Monday, 9 June 2025
NewsFeed

‘ส่องศักดิ์’ พ่อใจโหดฆ่าลูก คอตกนอนคุก ไร้คนยื่นประกันตัว ด้าน ‘กรมราชทัณฑ์’ นำตัวฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

(22 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบ สน.บางเขน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอฝากขังนายส่องศักดิ์ ส่งแสง กับพวก รวม 2 สำนวน ประกอบด้วย คำร้องฝากขัง หมายเลขดำ ฝ.1406/2566 ซึ่งมีนายส่องศักดิ์ ตกเป็นผู้ต้องหาที่ 1 และน.ส.สุนัน ภรรยา ตกเป็นผู้ต้องหาที่ 2 ความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย, ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ หรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังการเกิดการตาย หรือเหตุแห่งความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 199, 290 วรรคหนึ่ง

ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาที่ 1 รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 รับสารภาพในข้อกล่าวหาร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ หรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังการเกิดการตาย หรือเหตุแห่ง ความตาย ส่วนข้อกล่าวหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายนั้นผู้ต้องหาที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ซึ่งการฝากขัง ทั้งพนักงานสอบสวน ผู้ร้อง และผู้เสียหาย ขอคัดค้านการให้ประกันตัวด้วย เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงหากปล่อยตัวไปเกรงว่าจะหลบหนี และผู้เสียหายอาจได้รับอันตรายเนื่องจากผู้ต้องหาทราบที่อยู่ของผู้เสียหาย

และคำร้องฝากขัง หมายเลขดำ ฝ.1407/2566 กล่าวหา นายส่องศักดิ์ ผู้ต้องหา ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายสาหัส, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (4), 309 ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

ซึ่งการฝากขัง ทั้งพนักงานสอบสวน ผู้ร้อง และผู้เสียหาย ขอคัดค้านการให้ประกันตัวด้วย เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยตัวไปแล้วจะหลบหนียากแก่การติดตามตัวมาภายหลัง และจะข่มขู่ผู้เสียหาย

โดยศาลอาญา อนุญาตให้ฝากขังตามคำร้องทั้ง 2 สำนวน ซึ่งผู้ต้องหาไม่ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวในชั้นฝากขังนี้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวผู้ต้องหาไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

นิพนธ์ และ ครอบครัวบุญญามณี รับโล่ประกาศเกียรติคุณ เนื่องในวันมหิดล ประจำปี 2566 ในนามผู้สมทบทุนบริจาคฯและสนับสนุน คณะแพทยศาสตร์ รพ.สงขลานครินทร์(ม.อ.)

วันที่ 22 กันยายน 2566 ที่ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระบารมี โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนางกัลยา บุญญามณี ภริยา ร่วมพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ผู้อุปการคุณมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์(ม.อ.) โดยภายในมีการแสดงวีดิทัศน์ "พระราชประวัติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชกรม พระบรมราชชนก" และวีดิทัศน์ "ภารกิจของมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์" มอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ผู้อุปการคุณมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เนื่องในวันมหิดล ประจำปี 2566

ทั้งนี้ ครอบครัวบุญญามณี ได้ร่วมสมทบทุนบริจาคร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย การบริจาคสมทบทุนก่อสร้างศูนย์ผ่าตัดหัวใจรัฐบุรุษ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ สมทบทุนก่อสร้างอาคารเย็นศิระ 3 ที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของผู้ป่วยและญาติที่ขาดแคลนทุนทรัพย์จากต่างจังหวัด ที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ตามแนวพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ผ่านมูลนิธิรพ.สงขลานครินทร์ และสมทบทุนโครงการก่อสร้างอาคาร “เกิดมาต้องตอบ แทนบุญคุณแผ่นดิน” ซึ่งจะเปิดเป็นศูนย์บริจาคอวัยวะ 99 ปี รัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ 

นอกจากนี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงมหาดไทย ได้ประสานขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 604 ล้านบาท ในวงเงินก่อสร้าง 1,499 ล้านบาท ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เพื่อก่อสร้างอาคารศูนย์ความเป็นเลิศและรองรับโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อีกด้วย 

'สุริยะ' เตรียมพร้อมรับ VISA Free 'จีน-คาซัคฯ' ยืนยันทุกสนามบินมีความพร้อมรองรับผู้โดยสาร

(22 ก.ย.66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมเตรียมความพร้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อรองรับผู้โดยสารชาวจีนและคาซัคสถานตามนโยบาย VISA Free ของรัฐบาล โดยมี นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 ณ ห้องประชุมคมนาคม กระทรวงคมนาคม

นายสุริยะ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้กำหนดนโยบายมาตรการ VISA Free ระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวนั้น จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยได้เพิ่มมากขึ้น อันจะนำไปสู่การกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวเพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศในช่วงปี 2566 - 2567 ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน

ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ตรงกับเทศกาลวันชาติของจีน คาดการณ์ว่า จะมีเที่ยวบินจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นจากมาตรการ VISA Free ของรัฐบาล จากเดิม เฉลี่ย 72 เที่ยวบิน/วัน เป็น 96 เที่ยวบิน/วัน และปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเฉลี่ย จากเดิม 9,680 คน/วัน เป็น 18,656 คน/วัน โดยในปี 2566 คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5 ล้านคน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการความร่วมมือในการเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยวให้ดีที่สุดตั้งแต่เดินทางเข้าสู่ประเทศตลอดจนถึงการเดินทางกลับออกจากประเทศไทย

"ผมได้สั่งการให้ ทอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ รวมถึงหาแนวทางการดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต และให้ประสานงานกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพื่อให้กระบวนการทุกขั้นตอนมีความสะดวกรวดเร็ว ไม่ให้ผู้โดยสารเกิดความแออัด หรือใช้เวลานานหลังจากลงจากเครื่องบิน รวมทั้งจัดตั้งศูนย์บัญชาการร่วม (Single Command Center) เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานร่วมของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการในทุกขั้นตอนในท่าอากาศยาน ทำหน้าที่ตรวจสอบติดตามการให้บริการ และกวดขันการบริหารการจราจรบริเวณหน้าท่าอากาศยานไม่ให้เกิดความแออัดหนาแน่น และเก็บบันทึกข้อมูลการให้บริการ ภาพถ่ายกล้องวงจรปิด เพื่อนำมาวิเคราะห์ประกอบการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น" รมว.คมนาคม กล่าว

ด้านนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. กล่าวว่า ทอท. ได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยว บริหารจัดการท่าอากาศยานให้การบริการมีประสิทธิภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ดังนี้...

(1) ผู้โดยสารขาเข้า

- ขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง ประสานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เตรียมประจำการเต็มช่องตรวจหนังสือเดินทาง ทั้ง 138 ช่อง ในชั่วโมงหนาแน่น และเตรียมเครื่องตรวจอัตโนมัติ 16 เครื่อง ซึ่งจะรองรับผู้โดยสารได้ 7,140 คนต่อชั่วโมง ระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจลงตรา 1 นาทีต่อคน

- ขั้นตอนรับกระเป๋าสัมภาระ กำกับดูแลและติดตามเวลาการจัดส่งสัมภาระให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด โดยกำชับให้ผู้ให้บริการภาคพื้นและสายการบิน จัดเตรียมอัตรากำลังและอุปกรณ์ให้เต็มขีดความสามารถและสอดคล้องกับเที่ยวบินที่เพิ่มมากขึ้น

(1.1) ผู้โดยสารขาออก

- ขั้นตอนการเช็กอิน ประสานสายการบินจัดให้มีพนักงานให้บริการเช็กอินเต็มทั้ง 302 เคาน์เตอร์ และประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนให้ผู้โดยสารใช้บริการเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (CUSS) และใช้บริการเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (CUBD) (ใช้เวลาเฉลี่ย 1 นาทีต่อคน) นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มเติมการทำ Early Check-in

- ขั้นตอนจุดตรวจค้น จัดเจ้าหน้าที่เกลี่ยแถวผู้โดยสารให้สามารถเข้าสู่จุดตรวจค้นผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ซึ่งมีทั้งหมด 3 โซน ในปริมาณใกล้เคียงกัน เพื่อให้การใช้อุปกรณ์ตรวจค้น ประกอบด้วย เครื่องเอกซเรย์ 25 เครื่อง ที่ได้ติดตั้งระบบ Automatic Return Tray System (ARTS) แล้ว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะทำให้ระยะเวลาในการตรวจค้นไม่เกิน 7 นาทีต่อคน

- ขั้นตอนการตรวจลงตรา ประสานเจ้าหน้าที่ ตม. ให้นั่งเต็ม 69 ช่องตรวจ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเร่งด่วน และเตรียมเครื่อง Auto Channel 16 เครื่อง มีพื้นที่รองรับผู้โดยสาร 2,199 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 4,149 คน ซึ่งในส่วนของท่าอากาศยานดอนเมือง ทอท. จะได้ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน

นอกจากนี้ นายสุริยะ ยังได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกสบายตลอดการเดินทางในประเทศไทย ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมท่าอากาศยานในภูมิภาค การเตรียมความพร้อมการเดินทางภายในกรุงเทพมหานคร การเตรียมความพร้อมการเดินทางไปต่างจังหวัดทางรถไฟและรถโดยสาร การเตรียมความพร้อมการเดินทางในต่างจังหวัด และการเตรียมความพร้อมสำหรับความปลอดภัยในการท่องเที่ยวทางน้ำ โดยให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติตามหลักการเดียวกัน คือ การให้บริการที่มีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย สะอาดสวยงาม พนักงานให้บริการด้วยมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และมีอัตราค่าบริการที่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด

'กระทรวงคมนาคมได้เดินหน้าบริหารจัดการทุกขั้นตอนการบริการที่เป็นประตูสู่ประเทศไทย พร้อมรองรับปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประตูและเป็นศูนย์กลางการเดินทางของภูมิภาค กระตุ้นการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความมั่นคงของประเทศ" รมว.คมนาคม ทิ้งท้าย

TrueMoney เปิดชำระเงินในจีนผ่าน Alipay+ เปย์ง่าย สแกนจ่าย ไม่ต้องแลกเงินหยวน

TrueMoney เพิ่มความสะดวกนักท่องเที่ยวไทยไปจีน สามารถใช้ทรู มันนี่ สแกนชำระเงินผ่าน Alipay+ สำหรับร้านค้า และบริการในจีนกว่า 10 ล้านจุดได้ทันที หวังช่วยนักท่องเที่ยวกว่า 7 แสนรายในแต่ละปีเข้าถึงการชำระเงินรูปแบบใหม่นี้

มนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทรู มันนี่ช่วยคนไทยในการใช้จ่ายตั้งแต่ออนไลน์ จนถึงออฟไลน์ ผ่านจุดชำระกว่า 7 ล้านแห่งทั่วประเทศผ่านเครื่องของทรู มันนี่ และพร้อมเพย์ พร้อมกับบริการใหม่ที่สามารถใช้แอป TrueMoney+ ชำระค่าสินค้า และบริการทั่วประเทศจีน ที่มีจุดรับชำระของ Alipay มากกว่า 10 ล้านจุด

“จากบริการใหม่นี้คาดว่าจะตอบโจทย์นักท่องเที่ยวไทยกว่า 7 แสนรายในแต่ละปี โดยผู้ใช้สามารถเลือกใช้เงินที่อยู่ในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของทรู มันนี่ ได้ทันที โดยไม่ต้องแลกเงินหยวน”

ทั้งนี้ บริการดังกล่าวได้เข้ามาแก้ปัญหากรณีที่นักท่องเที่ยวไทยที่ไปจีนไม่สามารถใช้จ่ายแบบไร้เงินสดได้ และไม่ใช่ทุกร้านจะรับเงินสด หรือรับบัตรเครดิตที่เข้าร่วม แต่ส่วนใหญ่แล้วจะรองรับการชำระผ่าน Alipay

นอกเหนือจากทรูมันนี่ เมื่อเร็วๆ นี้ แอนท์ กรุ๊ป ได้ร่วมมือกับอีก 6 อีวอลเล็ตและแอปชำระเงินชั้นนำในเอเชีย ภายใต้ โครงการ “Alipay+-in-China (A+China program)” เพื่อยกระดับบริการด้านการชำระเงินผ่านแอปในจีนให้มีความเป็นสากลขึ้น โดยการขยายบริการในครั้งนี้ ทำให้มีอีวอลเล็ตและแอปชำระเงินรวม 10 แอปจากต่างประเทศที่สามารถใช้จ่ายที่จีนได้

ดักลาส ฟีกิน รองประธานอาวุโส แอนท์ กรุ๊ป และหัวหน้างานบริการโมบายเพย์เมนต์ระหว่างประเทศ อาลีเพย์พลัส กล่าวว่า ด้วยเครือข่ายของ Alipay+ ผู้ใช้ทรูมันนี่สามารถใช้จ่ายที่ร้านค้าออนไลน์ทั่วโลก

รวมถึงร้านค้าปลีกในประเทศซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทย ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไปจนถึงสหราชอาณาจักร อิตาลี และฝรั่งเศส และการขยายบริการใช้จ่ายผ่านแอปสู่ประเทศจีนในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการทำงานร่วมกันของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งปัจจุบัน มีผู้คนทั่วโลกกว่า 1.4 พันล้านคน ที่สามารถเข้าใช้บริการของ Alipay+ ในการชำระเงินมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

‘ครอบครัวบุญญามณี’ รับโล่เกียรติคุณ เนื่องในวันมหิดล ปี 66 ในฐานะผู้บริจาคให้คณะแพทยศาสตร์ รพ.สงขลานครินทร์

(22 ก.ย. 66) ที่ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระบารมี โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนางกัลยา บุญญามณี ภริยา ร่วมพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ผู้อุปการคุณมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.)

โดยภายในมีการแสดงวีดิทัศน์ ‘พระราชประวัติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชกรม พระบรมราชชนก’ และวีดิทัศน์ ‘ภารกิจของมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์’ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ผู้อุปการคุณมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เนื่องในวันมหิดล ประจำปี 2566

ทั้งนี้ ครอบครัวบุญญามณี ได้ร่วมสมทบทุนบริจาคร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย การบริจาคสมทบทุนก่อสร้างศูนย์ผ่าตัดหัวใจรัฐบุรุษ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ สมทบทุนก่อสร้างอาคารเย็นศิระ 3 ที่จัดสร้างขึ้น เพื่อเป็นที่พักของผู้ป่วยและญาติที่ขาดแคลนทุนทรัพย์จากต่างจังหวัด ที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ตามแนวพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ผ่านมูลนิธิ รพ.สงขลานครินทร์ และสมทบทุนโครงการก่อสร้างอาคาร ‘เกิดมาต้องตอบ แทนบุญคุณแผ่นดิน’ ซึ่งจะเปิดเป็นศูนย์บริจาคอวัยวะ 99 ปี รัฐบุรุษ ‘พลเอกเปรม ติณสูลานนท์’

นอกจากนี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงมหาดไทย ได้ประสานขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 604 ล้านบาท ในวงเงินก่อสร้าง 1,499 ล้านบาท ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เพื่อก่อสร้างอาคารศูนย์ความเป็นเลิศและรองรับโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์อีกด้วย

'อ.โต' เผย ความสามารถในการทำนายโรค เมื่ออายุ 40+ กินแบบไหนได้แบบนั้น ต้องหมั่นปรับสมดุลเพื่อความอยู่รอด

(22 ก.ย.66) นายศาสตรา โตอ่อน อดีตอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต นิติศาสตรมหาบัณฑิต (กฎหมายมหาชน) ม.ธรรมศาสตร์ เจ้าของช่องยูทูบ 'อ.โต วิเคราะห์' โพสต์ข้อคิดผ่านเฟซบุ๊ก 'Sattra Toaon' ว่า...

พออายุ 40 + เราสามารถทำนายโรคที่เราจะเป็นได้

1.ถ้ายังรับประทานน้ำมันพืช ของทอด ไก่ทอดดีปฟราย ก็เตรียมเป็นโรคหลอดเลือด โรคหัวใจได้เลย

2.ถ้ายังรับประทานแป้งแบบไม่ยั้ง ก็เตรียมเป็นโรคเบาหวานไขมันความดัน ไขมันพอกตับได้เลย 

3.ถ้ายังทานน้ำตาลของหวานแบบไม่ยั้ง ก็เตรียมเป็นมะเร็งได้เลย แก่ก่อนวัยด้วยเพราะน้ำตาลนั้นจะลงไปทำลายระดับเซลล์ 

4.ถ้ายังทานอาหารเค็มก็เตรียมเป็นโรคหลอดเลือดแตกได้เลย 

5.ที่นี้ถ้าเป็นทุกโรคแล้วยังทานยาจำนวนมากก็เตรียมไปฟอกไตได้เลย 

6.ถ้ายังสูบบุหรี่อยู่ ก็เป็นมะเร็งปอดถุงลมโป่งพอง 

ผมเคยเขียนเรื่องการจัดชั้นวางชีวิต พออายุ 40 + ต้องมีชั้นวางอันใหม่ ไม่งั้นไม่รอด

ผมมีแล้วค่อยๆ ปรับสมดุลไปเพื่อความอยู่รอด

‘เทพไท’ จ่อขอพระราชทานอภัยโทษ พร้อมยกเหตุผลเหนือกว่า ‘ทักษิณ’

(22 ก.ย. 66) นายพงษ์สินธ์ เสนพงศ์ ในฐานะน้องชายของ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตนักการเมืองฝีปากกล้าของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประสบวิบากกรรมทางการเมือง ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกในคดีทุจริตเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมกับน้องชายอีกคน คือนายมาโนช เสนพงศ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้โพสต์ข้อมูลสำคัญที่สร้างความฮือฮา โดยระบุว่าเป็นการพูดคุยกับ นายเทพไท เสนพงศ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสถานะผู้ต้องขังของเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เตรียมที่จะขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยคุณสมบัติที่มีมากกว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความว่า…

“เทพไท ใช้สิทธิทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ เหมือนทักษิณ ผมได้ไปเยี่ยมคุณเทพไท ที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เมื่อวันก่อน คุณเทพไทได้แจ้งให้ผมทราบว่า เขาได้ทำหนังสือทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษส่วนบุคคล เช่นเดียวกับคุณทักษิณแล้ว โดยอธิบายเหตุผลให้ฟังว่า เดิมทีตั้งแต่เข้าสู่เรือนจำวันแรก มีหลายคนแนะนำให้ทำหนังสือทูลเกล้า เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษส่วนบุคคล ซึ่งตอนนั้นคิดว่า เรามีโทษจำคุกเพียง 2 ปี ก็ควรยอมรับชะตากรรม ไม่อยากทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ ให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท จึงไม่ได้ดำเนินการใดๆ นับตั้งแต่วันเริ่มเข้าสู่ประตูเรือนจำ แต่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม คุณทักษิณได้เดินทางกลับประเทศไทย โดยมีข้ออ้างว่าต้องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อต้องการรับโทษจำคุก 10 ปี ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา”

“แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าไม่ได้จำคุกจริง หลังจากอยู่ในเรือนจำได้ไม่เกิน 12 ชั่วโมง ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 โดยอ้างเหตุผลของการเจ็บป่วย และหลังจากนั้นได้ทำหนังสือทูลเกล้าขออภัยโทษในวันที่ 31 สิงหาคม โดยเหตุผล 4 ข้อ คือ 1.) ได้ทำคุณงามความดีให้กับประเทศชาติ 2.) มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 3.) เคารพและยอมรับกระบวนการยุติธรรม และ 4.) เป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว”

นายพงษ์สินธ์ ระบุอีกว่า หากพิจารณาจากเหตุผลในการทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษของคุณทักษิณแล้ว คุณเทพไท กล่าวกับผมว่า เขามีคุณสมบัติในการขอพระราชทานอภัยโทษได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคุณทักษิณเลย กล่าวคือ

1.) ได้เป็นสมาชิกสภาแทนราษฎรมา 4 สมัย ทำงานรับใช้ประชาชน และทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมากมายมาร่วม 20 ปี

2.) มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่ประจักษ์ เคยเป็นพิธีกรรายการสายล่อฟ้า ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จากการจาบจ้วงของระบอบทักษิณ (ตามเหตุผลการยึดอำนาจของคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) และไม่เคยต้องคดีตามมาตรา 112 แต่อย่างใด

3.) ยอมรับกระบวนการยุติธรรมด้วยความเต็มใจ เมื่อถูกศาลฎีกาตัดสินให้รับโทษจำคุก 2 ปี ก็ไม่ได้หลบหนีคดีแต่อย่างใด

4.) ตอนนี้อายุ 62 ปี เป็นผู้สูงวัยเช่นเดียวกัน และมีโรคประจำตัวหลายโรค ระหว่างถูกจำคุกในเรือนจำ ต้องเบิกตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชจังหวัดนครศรีธรรมราช

5.) ได้รับโทษจำคุกมาเป็นเวลา 14 เดือน กำลังจะเข้าข่ายเงื่อนไขการจำคุก 2 ใน 3 ของโทษตามคำพิพากษา แต่ไม่เคยได้รับการลดโทษเลย

6.) ได้ต้องโทษจำคุกจากการกระทำผิด พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ข้อหาจัดเลี้ยงและร่วมงานเลี้ยงกินข้าวกับกลุ่มกำนันผู้ใหญ่ ไม่ใช่การแจกเงินซื้อเสียง) แต่กรณีของคุณทักษิณ ต้องโทษคดีทุจริตต่อประเทศชาติ

ดังนั้น คุณเทพไท จึงได้สิทธิตามเงื่อนไขของกรมราชทัณฑ์ เหมือนกับนักโทษทั่วไป ที่ไม่ใช่นักโทษเทวดาทุกประการ สำหรับเรื่องนี้ ถ้าหากมีความคืบหน้าประการใดผมจะนำมารายงานให้ได้รับทราบในโอกาสต่อไป

ฮือฮา!! ‘ป.ป.ช.’ เปิดบัญชีทรัพย์สิน ‘สส.โตโต้’ พบ 3 ปี มีรถยนต์ 5 คัน-ที่ดิน 3 ล้าน-ตึกแถวในเมือง

(22 ก.ย. 66) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส. เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 จำนวน 91 ราย บัญชีที่น่าสนใจในส่วนของ สส.พรรคก้าวไกล โดย นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ ‘สส.โตโต้’ แจ้งว่ามีสถานภาพโสด มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 6,599,577 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 3,410,171 บาท โดยในส่วนของทรัพย์สินประกอบด้วย เงินฝาก 22,577 บาท ที่ดิน 3,000,000 บาท ซึ่งเป็นที่ดินในอำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2,500,000 บาท เป็นตึกแถว 3 ชั้น ย่านบางพลัด กรุงเทพฯ ยานพาหนะ 1,077,000 บาท

นายปิยรัฐ แจ้งว่า เป็นรถยนต์ 5 คัน ประกอบด้วย
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ยี่ห้อโฟล์ค ได้มาเมื่อเดือน พ.ย. 2563
- รถยนต์ส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า ได้มาเมื่อเดือน ม.ค. 2564
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อมินิ รุ่นคูเปอร์ ได้มาเมื่อเดือน มิ.ย. 2566
- รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า ได้มาเมื่อ ก.ย. 2564
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อโตโยต้า ได้มาเมื่อ พ.ย. 2563 จักรยานยนต์ 2 คัน ประกอบด้วยจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น แอร์เบลด และฮอนด้าคลิก

ตำรวจไซเบอร์รวบสาวน้อยร้อยประวัติฉ้อโกง หลอกกู้เงินออนไลน์ เสียหายรวมกว่า 2 ล้าน

สืบเนื่องจากผู้เสียหายต้องการสินเชื่อเงินกู้ ต่อมาได้พบโฆษณาให้กู้ยืมเงินผ่านช่องทางออนไลน์ชื่อ 
“RK COMPANY ฝ่ายบริการสินเชื่อ ฝ่ายสินเชื่อออนไลน์” จึงได้ติดต่อไป โดยแอดมินใช้โปรไฟล์ของบุคคลอื่นนำมาแอบอ้างเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แล้วใช้กลอุบายหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินไปก่อนทำสินเชื่อ โดยอ้างเป็นค่าดำเนินการต่างๆ เช่น ค่าทำสัญญา ค่าค้ำประกัน สร้างเครดิต แต่ก็ไม่เคยได้รับเงินกู้ดังกล่าว เมื่อผู้เสียหายเริ่มสงสัย ก็อ้างว่าผู้เสียหายทำผิดเงื่อนไข แล้วหลอกล่อให้โอนเงินเพิ่มอีกเพื่อปลดล็อคเงื่อนไขดังกล่าว
 
พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ บก.สอท. 5 เร่งดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้อง ต่อมา จากการสืบสวนพบว่า มีผุ้เสียหายในลักษณะดังกล่าวอีกหลายราย แต่ละรายโอนเงินให้คนร้าย 4-7 ครั้งต่อราย ผ่านหลายบัญชีธนาคาร แต่ไม่เคยรับเงินสินเชื่อดังกล่าว ความเสียหายตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักล้าน  รวมความเสียหายมากกว่า 2 ล้านบาท  ตำรวจไซเบอร์จึงรับแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งออนไลน์ thaipoliceonline.com แล้วได้ทำการสืบสวนสอบสวน จนนำไปสู่การขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาหลายราย

กระทั่ง กก.1 บก.สอท.5 ได้สืบสวนจนทราบข้อมูลหนึ่งในผู้ต้องหาของขบวนการนี้ พบมีหมายจับของตำรวจไซเบอร์ 3 หมายจับ และยังพบประวัติฉ้อโกงผู้เสียหายอีกหลายรายการ จึงนำกำลังร่วมกันเข้าจับกุม น.ส.ไพลิน อายุ 19 ปี ตามหมายจับ ศาลอาญา จำนวน 3 หมายจับในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”  โดยควบคุมตัวได้บริเวณหน้าห้องพักแฟลตปลาทอง อ.เมือง จ.ปทุมธานี
       
เบื้องต้นผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงนำตัวนำส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.สอท.5 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ  พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 และ พ.ต.อ.ศุภกร ธัญญกรรม ผกก.1 บก.สอท.5 สั่งการให้ พ.ต.ท.ปริพล  นาคลำภา, พ.ต.ท.หญิง ธรา เมืองแก้ว สว กก.1 บก.สอท 5, พ.ต.ท.อุดม อิสโร  สว.ฯ ปรก.กก.1 สอท.5 และ พ.ต.ต.สุธี บุดดีคำ สว.ฯ ปรก.กก.1 บก.สอท.5 พร้อมชุดสืบสวนร่วมกันจับกุม

ผบ.ตร. ชื่นชมตำรวจดีเด่น ประจำปี 2566 เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติงาน “ครองตน ครองคน ครองงาน” มอบประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติ เสื้อสามารถ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ด้าน สว.ฝอ.เชียงใหม่ ปลื้มใจ คนเป็นนายให้ความสำคัญตำรวจมดงาน

พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญ สร้างขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติงาน 5 ด้าน ทั้งป้องกันปราบปราม สืบสวน สอบสวน อำนวยการ และจราจร ที่มีความประพฤติ และปฏิบัติตนตามหลักการ “ครองตน ครองคน ครองงาน” มีความมุมานะในการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความเสียสละ เสมอต้นเสมอปลาย มีความรับผิดชอบต่องานที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย รวมถึงเป็นผู้ที่มีจิตสำนึกและจิตสาธารณะจนเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานต้นสังกัดได้พิจารณาและคัดเลือกข้าราชการตำรวจดีเด่นระดับรองผู้กำกับการ ถึงผู้บังคับหมู่ ประจำปี 2566 เพื่อรับมอบประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติ และเสื้อสามารถ จากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา เวลา 15.30 น. ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติและเสื้อสามารถให้แก่ข้าราชการตำรวจในสังกัดกองบัญชาการ และกองบังคับการหน่วยขึ้นตรงสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ได้รับการคัดเลือกตามโครงการ “ตำรวจดีเด่น ประจำปี 2566” โดยมี พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล เข้าร่วมพิธี โดยมีข้าราชการตำรวจดีเด่นเข้ารับรางวัล จำนวน 3,435 นาย เป็นตำรวจสายอำนวยการหน่วยขึ้นตรง สำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จำนวน 164 ราย ส่วนระดับกองบัญชาการอื่นๆ ทั่วประเทศ มอบหมายให้ผู้บัญชาการแต่ละหน่วยเป็นตัวแทนรับมอบ 

หลังเสร็จสิ้นพิธีฯ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้กล่าวให้โอวาทแก่ข้าราชการตำรวจดีเด่น ประจำปี 2566 โดยยึดหลัก “ครองตน ครองคน ครองงาน” และธำรงไว้ซึ่งการปฏิบัติตนเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนข้าราชการตำรวจต่อไป

ด้าน พ.ต.ท.หญิง อัมรินทร์  อินยาศรี สว.ฝอ.ภ.จว.เชียงใหม่ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ตามโครงการ “ตำรวจดีเด่น 2566” เปิดเผยความในใจว่า งานอำนวยการ เป็นงานหนัก เป็นงานที่อยู่เบื้องหลังของทุกสายงานไม่ว่าจะเป็นงานสืบสวนปราบปราม งานจราจร สวัสดิการต่างๆ ของกำลังพลในสังกัด งานอำนวยการเป็นงานที่ต้องทำทุกวัน ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะทำให้เกิดผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรมได้ยาก แต่ก็มีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนงานอำนวยการ ได้ดูแลสิทธิ สวัสดิการ ของพี่ๆ น้องๆ ตำรวจในสังกัด  ตนเคยได้รับรางวัลผู้ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่นในสายงานอำนวยงานมาแล้วในปี 2557 เมื่อครั้งที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ดำรงตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.5 และท่านได้มองเห็นถึงความสำคัญของสายงานอำนวยการเทียบเท่ากับสายงานอื่นๆ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานอำนวยการเกิดขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างยิ่ง ในปี 2566 ตนได้รับรางวัลนี้อีกครั้งแต่เป็นการรับรางวัลของ ผบ.ตร. ซึ่งสร้างความปลาบปลื้ม และภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญตำรวจมดงาน อยากจะให้มีโครงการดีๆ แบบนี้ต่อไป เนื่องจากมีข้าราชการตำรวจอีกหลายนายที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และสมควรได้รับการคัดเลือก ในส่วนของตนเองอยากจะขอปฏิญาณตนว่าจะรักษามาตรฐานการทำงานแบบนี้ต่อไป การที่ได้รับรางวัลเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้ตั้งใจทำงานต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top