Tuesday, 3 June 2025
NewsFeed

‘สุริยะ’ เร่งเพิ่มเที่ยวบิน รับนโยบายฟรีวีซ่านักท่องเที่ยว ดันผู้โดยสารจีนเยือนไทยเพิ่ม 5 ล้านคน ช่วงไฮซีซั่นนี้

(14 ก.ย. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงมอบนโยบายในการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมว่า นโยบายเร่งด่วนที่ตนจะต้องดำเนินการ คือ การเพิ่มตารางการบิน (Slot) และการบริหารจัดการพื้นที่ภายในท่าอากาศยาน เพื่อรองรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบิน และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ

โดยขณะนี้ ได้มอบให้ทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในเรื่องนี้ ดำเนินการตามนโยบาย ซึ่งขณะนี้ทราบว่าได้มีการจัด Slot การบินสำหรับฤดูหนาวนี้สามารถเพิ่มเที่ยวบินได้มากขึ้นอย่างน้อย 15% ต่อสัปดาห์เมื่อเทียบกับ Slot ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวหลักอย่างตลาดจีน จะเพิ่มมากขึ้นกว่า 5 ล้านคน จากนโยบาย VISA Free สำหรับนักท่องเที่ยวจีนตลอดฤดูท่องเที่ยวที่จะถึงนี้

ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) พิจารณาแนวทางปฏิบัติในการปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า และประเมินผลกระทบต่อหนี้สาธารณะ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปพร้อมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน ต.ค.นี้

ขณะเดียวกันได้มอบหมายงานให้ 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมดูแลรับผิดชอบแต่ละหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยมี 8 กรม 12 รัฐวิสาหกิจ 2 หน่วยงานอิสระ ได้แก่ นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีอำนาจในการสั่งการอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวม 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1.กรมเจ้าท่า (จท.) 2.องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 3.การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) 4.สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) และ 5.บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด

ทั้งนี้ ได้ให้นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีอำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวม 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย

1.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.)
2.) กรมการขนส่งทางราง (ขร.)
3.) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)
4.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
5.) บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด
6.) บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.)
7.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
8.) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)

ส่วนที่เหลืออีก 9 หน่วยงานตนจะกำกับดูแล ประกอบด้วย
1.) กรมทางหลวง (ทล.)
2.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.)
3.) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)
4.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ทอท.’
5.)กรมท่าอากาศยาน (ทย.)
6.)สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)
7.)สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
8.)สถาบันฝึกอบรมระบบราง
9.) สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม

‘อรรถวิชช์’ ชม!! รัฐบาลทำงานไว ‘ลดค่าไฟ-น้ำมันดีเซล’ ทันที จับตาดู ‘ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ - จัดการปัญหาเครดิตบูโร’

(15 ก.ย. 66) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินนโยบายลดค่าน้ำมันดีเซล ค่าไฟฟ้า และการทำงานของคณะรัฐมนตรีในวันแรก ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 14 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO / MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายไอยรา อัลราวีย์ บรัศว์ตฤณ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยนายอรรถวิชช์ ได้กล่าวว่า…

“ผมดูในคําแถลงนโยบายของรัฐบาลแล้ว และคิดว่ารัฐบาลเข้าใจว่าประเทศปัจจุบันอยู่ในฐานะวิกฤติเศรษฐกิจหลังจากโควิด เขาก็ต้องการจะให้ผลักเงินทุกอย่างออกมาโดยเร่งด่วนที่สุด เพราะฉะนั้นผมคิดว่านโยบายที่จะได้เห็นคือนโยบายเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท อันนี้เห็นชัดแน่” 

“ต่อมาคือมาตรการที่ออกมาในมติ ครม. วันแรก เป็นมาตรการที่เรียกว่า ‘กระชากลดค่าใช้จ่ายทันที’ เช่น ลดราคาน้ำมันดีเซลลง 2.50 ซึ่งเข้าใจว่าจะเริ่มเลย ที่เขาทําได้เพราะว่ารัฐบาลมีอำนาจเต็มมือ ก่อนหน้านี้เป็นการงดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน แต่ปรากฏว่าการคําสั่งงดจัดเก็บมันสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม และเราก็ยังไม่มีรัฐบาลสักที ก็เลยออกมาตรการใหม่ไม่ได้ แต่พอรัฐบาลใหม่มีอํานาจเต็มมือ ก็สามารถจะทุบโต๊ะได้เลยว่า งดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอีก 2.5 บาท เพราะฉะนั้นมันเลยทําให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงต่ำกว่า 30 บาททันทีเลย”

“อันที่สอง ก็คือเรื่องของค่าไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าลดลงจาก 4.45 ลดเหลือ 4.10 อันนี้ก็ทําทันที ผมมองว่า อันนี้เจ๋ง เพราะปกติแล้วราคาค่าไฟมันจะถูกทบทวนทุกรอบ 4 เดือน รัฐบาลใหม่ก็ประกาศลดทันทีในรอบนี้ (ก.ย. - ธ.ค.) ไม่ไปรอรอบหน้า (ม.ค. - เม.ย.) ผมว่าอันนี้ดี แหวกกติกาเดิม ๆ ดี” นายอรรถวิชช์ กล่าว

นายอรรถวิชช์ กล่าวเพิ่มเติมเรื่องค่าไฟฟ้าแพงว่า “เรื่องค่าไฟฟ้า คำถามคือค่าไฟผันผวนขึ้นลงเพราะปัจจัยใด? มันผันผวนตามราคาแก๊สธรรมชาติ หรือค่าเงินบาทเรามันอ่อนค่าแข็งค่า มันจะส่งผลต่อราคาไฟฟ้า ซึ่งปกติจะทบทวนราคาแก๊สบวกค่าเงิน ทุก ๆ 4 เดือน แต่ว่าเขาประกาศวันนี้ เขาทำวันนี้เลย ผมคิดว่าอันนี้ดี ก็ทําให้ค่าไฟลดลง มาได้เป็น 4.10 บาท”

ต่อมา นายอรรถวิชช์ แสดงความคิดเห็นเรื่องการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยว โดยระบุว่า เขาจะฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนกับคาซัคสถาน คือ 1 ปี ไม่ต้องขอวีซ่าให้วุ่นวาย สามารถเข้ามา และ on arrival ได้เลย ส่วนสาเหตุที่ต้องดึงนักท่องเที่ยวจากคาซัคสถาน ก็เพราะว่าในช่วงหน้าหนาวบ้านเขา เขาจะได้หนีหนาวเพื่อเดินทางมาเที่ยวไทย ซึ่งหากดูจากสถิติ นักท่องเที่ยวจากคาซัคสถานเดินทางมาไทยค่อนข้างมากในช่วงหลายปี ก็มองว่ารัฐบาลกำลังพยายามทำนโยบายที่เรียกว่า ‘ควิกวิน’ หรือชัยชนะระยะสั้น ๆ เป็นเทคนิคการกระตุกให้คนเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น

นายอรรถวิชช์ กล่าวถึงเรื่องการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ว่า “สำหรับเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เราควรทำอย่างจริงจังมาตั้งนานแล้ว แต่คณะกรรมการฯ ก็ต้องเป็นคนที่มีหัวคิดสร้างสรรค์พอสมควรถึงจะสามารถผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ของไทยออกมาได้อย่างดี ที่ผ่านมาเราเน้นเรื่องการเซนเซอร์มากไป พอเจอฉากที่ไม่ดี หรือไม่ถูกใจก็ให้ตัดออก แต่หากมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ขึ้นมา ก็ควรต้องไปพิจารณาว่าจะส่งเสริม ผลักดันไปทิศทางไหน? แบบใด? จะเป็นการให้รางวัลหรือการสนันสนุนด้วยเงินก็ต้องมาพิจารณาอีกที”

“ยกตัวอย่างหนักไทยนะ ส่วนใหญ่จะเป็นการประชดประชันสังคม สะท้อนสังคม ดูแล้วเครียด ต่างจากของเกาหลีที่ทำออกมาจะไม่ใช่อารมณ์เครียด แต่จะมีน่ารัก สดใส เช่น การสอดแทรกภาพลักษณ์ของผู้ชายเกาหลีเข้าไปให้ดูสุภาพบุรุษ ทั้งที่จริง ๆ เขาก็ไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษแบบนั้นทั้งหมด แต่เกาหลีพยายามสอดแทรกและปั้นประชาชนให้เป็นแบบนั้น 10 ปีต่อมาก็เริ่มเห็นผล หรือการส่งเสริมการแปรงฟัน เราก็จะเห็นฉากแปรงฟันในซีรีส์หรือหนังเกาหลีบ่อย ๆ แม้แต่อาหาร หรือเคป็อปที่ดังระเบิดไปทั่วโลก ทั้งหมดที่พูดมาเป็นการส่งเสริมจากภาครัฐ หากผู้ผลิตมีฉากที่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ ทางรัฐก็จะจ่ายเงินสนับสนุน แต่ทางไทยยังไม่ได้เป็นแบบนั้น ดังนั้นหนังของเราก็จะเป็นการสะท้อนสังคม ไม่ได้เป็นการชี้นำสังคม” นายอรรถวิชช์ กล่าว

นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า “สมัยก่อนไทยเรามีงบเข็มแข็งที่ใช้สนับสนุนทำหนังสุริโยไทย พระนเรศวร ในครั้งนั้นเป็นการปลูกฝังความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ก็ไม่ได้มีแค่แนวนี้ที่ต้องผลักดัน เราต้องผลักดันแนวอื่น ๆ ด้วย ต้องนำเสนอว่าประเทศไทยน่าอยู่อย่างไร คนไทยใจดีขนาดไหน มีความสร้างสรรค์อย่างไร อาหารบ้านเราน่ารับประทานแค่ไหน เราต้องสื่อสารออกมาให้ได้ ทุกวันนี้ไทยติดอันดับประเทศที่น่ามาเยือน ลองคิดดู หากเราทำซอฟต์พาวเวอร์เจ๋ง ๆ ออกมาได้ ประเทศเราจะเจ๋งขนาดไหน ผมเชื่อว่าต่อให้เป็นเกาหลี เราก็สู้ได้ครับ”

“อีกสิ่งที่ต้องสนับสนุนหรือส่งเสริมให้เกิดขึ้นคือการถ่ายทอดลักษณะนิสัยของคนไทย ที่ไม่ใช่การคอลเอาต์แบบรุนแรง โวยวาย แบบไทย ๆ ต้องเป็นการพูดด้วยความเป็นมิตร ยิ้มแย้ม ถ้อยทีถ้อยอาศัย และที่ต้องเน้นย้ำมาก ๆ เลยคือการคอร์รัปชัน ต้องปลูกฝังนิสัยคนไทยผ่านซอฟตค์พาวเวอร์เลยว่าการโกง รับเงินใต้โต๊ะ เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ส่งเสริมนิสัยดี ๆ ให้คนไทย” นายอรรถวิชช์ กล่าวเสริม

นายอรรถวิชช์ แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายแบ่งจ่ายเงินเดือน 2 ครั้ง ว่า “มองว่าเป็นนโยบายที่ดี และคงเป็นทางเลือกให้ข้าราชการ คงไม่ได้บังคับ ซึ่งก็ถือว่าดี น่าจะช่วยลดการเป็นหนี้นอกระบบได้ แต่ว่าต้องรออีกสักนิด คงได้เห็นผลลัพธ์กัน”

นายอรรถวิชช์ กล่าวถึงเรื่องเชิงโครงสร้างที่รัฐบาลควรเร่งทำมากที่สุด โดยระบุว่า “เรื่องโครงสร้างไฟฟ้าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงและควรรีบทำ หากจะปรับราคาให้ลดลงในระยะยาว คือเราต้องหาแก๊สธรรมชาติแหล่งใหม่ เพราะแก๊สในอ่าวไทยเป็นตัวหลักในการผลิตไฟฟ้า และตรงช่วงตะเข็บไทย-กัมพูชาในอ่าวไทยมีทรัพยากรธรรมชาติสูงมาก ผมมองว่ารัฐบาลไทยควรเปิดฉากเจรจากับกัมพูชา และแบ่งทรัพยากรกัน เพราะถ้าแก๊สในอ่าวไทยหมดลง สิ่งที่เราจะเจอคือค่าไฟฟ้าพุ่งกระฉูด เนื่องจากต้องนําเข้าแก๊สอัดเหลว เป็นตัวแปรทำให้ค่าไฟแพง”

นายอรรถวิชช์ กล่าวถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งผลักดัน โดยระบุว่า “ต้องการให้มีกฎหมายดูแลเรื่องข้อมูลเครดิต เรื่องแบล็กลิสต์ ผมมองว่านี่คือเส้นผมบังภูเขาที่หลายคนมองไม่เห็น แต่ว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ได้เสนอให้ยกเลิก แต่ต้องไม่นำประวัติหรือข้อมูลเครดิตที่ผ่านมาแล้วมาคำนวณหรือเป็นเกณฑ์วัดการกู้ครั้งใหม่ บางครั้งเราชำระหนี้คืนหมดแล้ว แต่ประวัติที่ผ่านมาไม่ค่อยดี ก็ถูกนำมาเป็นตัวตัดสิน ทำให้กูยืมครั้งต่อไปยากขึ้น ผมจึงอยากให้มีกฎหมายกำหนดให้ส่งแค่สกอร์ก็พอ ปิดหนี้เสร็จแล้ว คำนวณเป็นคะแนน และสถาบันการเงินก็ดูเพียงแค่สกอร์ตรงนี้ หรืออาจจะเสริมทางเลือกด้วยการดูวินัยทางการเงินอื่น ๆ ที่เราใช้จ่าย เช่นในช้อปปี้ ในไลน์ นำมาคำนวณเป็นสกอร์เพิ่มคะแนนได้”

“ทุกวันนี้คนติดแบล็กลิสต์รวมประมาณ 5 ล้านคน ช่วงโควิดที่ผ่านมา 3 ล้านคน เขาไม่มีทางหาเงินมาหมุนได้ ทางเลือกคือกู้ยืมนอกระบบ บางคนก็ต้องเป็นหนี้วนไป ไม่จบไม่สิ้น นี่จึงเป็นเรื่องที่ผมอยากฝากไปถึงรัฐบาล ส่วนทางพรรคชาติพัฒนากล้าก็ผลักดันเรื่องนี้เต็มที่ครับ”

ชมสัมภาษณ์เต็มได้ที่ : https://fb.watch/n2nexoZvTM/?mibextid=TFl8gu 

‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ เดือด!! ถูกสังคมตีฟูไม่หยุด ยัน!! ไม่เคยพูดว่า ไม่รู้จักกลุ่ม #ทะลุวัง

(15 ก.ย. 66) ‘เจี๊ยบ-อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ อดีต สส.พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

สื่อมวลชนที่พาดหัวข่าวโดยปราศจากความรับผิดชอบ ให้กลุ่มนายแบกนางแบกเอาไปตีฟูไม่หยุดหย่อน อาจจำเป็นต้องอธิบายอย่างจริงใจเพื่อบันทึกไว้

การให้สัมภาษณ์ครั้งนั้นที่ตึกไทยซัมมิท (ราวต้นเดือนส.ค.66) ดิฉันพูดว่านักกิจกรรมในช่วงหลังๆ มีกลุ่มใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายหลายกลุ่ม ดิฉันรู้จักไม่ครบทุกกลุ่มไม่ครบทุกคน แต่ที่คุ้นเคยคือกลุ่มแรกๆ เช่น เพนกวิน, อานนท์, โตโต้ ตอนนี้โตโต้และหลายคนก็มาเป็น สส.พรรคก้าวไกลแล้ว

ดิฉัน ‘ไม่เคยพูด’ ว่าไม่รู้จักกลุ่ม #ทะลุวัง ข้อเท็จจริงคือรู้จักแต่ผิวเผิน พบเห็นกันตามกิจกรรมการเมืองไม่เคยคุยกันจริงจัง เคยได้เบอร์ของบุ้งมาในช่วงที่ไปเยี่ยม #ตะวันแบม อดอาหารหน้าศาลฎีกาสนามหลวง จึงขอเบอร์บุ้งมาเพื่อจะโทรไถ่ถามอาการคืบหน้าของตะวันแบม เมื่อมีเรื่อง #หยก เกิดเป็นข่าวขึ้นมาจึงโทรไปถามบุ้งว่าทำไมแม่หยกถึงไม่พาลูกไปมอบตัว แล้วนัดคุยกันเรื่องนี้แบบเจอตัว 1 ครั้งเพราะสงสัยเรื่องแม่หยกมากๆ ว่าหายไปไหน จะให้ช่วยอะไรหรือไม่เพื่อให้หยกเข้าเรียนได้ การคุยครั้งนั้น ดิฉันแนะนำไปว่าถ้าประท้วงวิธีรุนแรงอาจจะทำให้เสียแนวร่วมการต่อสู้ 

หลังจากนั้น เห็นว่ามีหลายหน่วยออกมาเคลื่อนไหวช่วยเหลือ มีการนัดพูดคุยระหว่างหน่วยงานทางการศึกษาและสิทธิมนุษยชนกับทาง รร. จึงไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกนอกจากติดตามอ่านข่าวจากสื่อมวลชน และรู้สึกเสียใจกับเคสของหยก

#สื่อเสี้ยม
#บันทึกไว้ 14 ก.ย. 66

'หมอธีระวัฒน์' ตอกย้ำความสำคัญของอาหารเช้า ยกผลวิจัย 'ไม่งด-ไม่ต้องเป็นมื้อใหญ่เสมอไป'

(15 ก.ย. 66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กินเร็วตั้งแต่เช้า…ตายช้า

รายงานการศึกษาทั้งสองชิ้นในวารสาร Cell Metabolism (clinical and translational report) 4 ตุลาคม 2022 ตอกย้ำการให้ความสำคัญกับเรื่องของอาหาร ซึ่งขณะนี้เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า อาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่มาก ผัก ผลไม้ กากใย น้ำมันมะกอก ไวน์แดง แป้งไม่มาก จัดเป็นอาหารช่วยชีวิต

ซึ่งในคนไทยเราก็มีผักผลไม้มากมายมหาศาลตามฤดูกาลอยู่แล้ว ปรับแต่งให้เข้ากับรสชาติไทยๆ เป็นส้มตำ เคียงผักนานาชนิด แต่อย่าให้เค็มมาก ลดข้าวเหนียวลงบ้าง เนื้อสัตว์ทั้งหลายพยายามหลีกเลี่ยง แต่ได้โปรตีนจากถั่ว จากพืช และปลา ปู กุ้ง หอย

*นอกจากนั้นการวิเคราะห์ยีน พบว่า ยีนที่ควบคุมความเสถียรของเซลล์ และการคุมการคงมีชีวิตและการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ ในระบบ autophagy เป็นในทิศทางที่แย่ลง รวมทั้งมีการเผาผลาญไขมันลดลงและมีการเพิ่มการสร้างเนื้อเยื่อไขมันมากขึ้น ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้บ่งบอกถึงการมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วน และโรคที่ตามติดมาจากผลพวงดังกล่าว

ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยทั้งสองกลุ่มต่างก็ให้ข้อสรุปในทิศทางคล้ายกัน คือ

*เริ่มกินตั้งแต่เช้าหรืออย่างมื้อเช้า และจำกัดระยะเวลาของการกินอยู่ในช่วง 5 ถึง 10 ชั่วโมงแรก และประเพณี ประพฤติ ปฏิบัติของการกินมื้อเย็น ดินเนอร์ตอน 5 โมงเย็น หรือล่าช้าไปถึงทุ่มหรือสามทุ่ม จะเป็นสิ่งที่ให้ผลดีต่อสุขภาพหรือไม่ และการกินตอนสายจนไปถึงบ่าย กลับจะเพิ่มความตะกละอยากกิน จนอาจจะต้องลุกขึ้นมาหาอะไรกินตอนกลางคืน หรือตอนดึกไปอีก

*และอาหารมื้อเช้านั้น น่าจะเป็นมื้อที่ใหญ่ที่สุดหรือไม่?

จึงมีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งจากสกอตแลนด์และอังกฤษ พบว่า มื้อเช้าอาจจะไม่จำเป็นที่ต้องเป็นมื้อใหญ่เสมอไป แต่อยู่ในระยะเวลาของการกินและปริมาณของอาหารและชนิดของอาหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ที่เรียนให้ทราบถึงตรงนี้ เพื่อที่จะให้รู้สึกสบายใจและมั่นใจที่จะเริ่มประพฤติปฏิบัติในการกินอาหารสุขภาพ ทราบถึงเวลาและระยะเวลาของการกิน ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปจนถึงสุขภาพของร่างกายโดยรวม คุณภาพของการนอน และแน่นอน ส่งผลไปถึงสมองทำให้เสื่อมช้าลง (resistance) หรือแม้แต่เสื่อมแล้วก็ยังไม่แสดงอาการออกมาได้ (resilience)

ชีวิตของเราเองเลือกได้ ที่จะไม่เป็นภาระต่อครอบครัว สังคม และทำให้ประเทศไทยของเรามั่งคั่งครับ.

'เอกชัย หงส์กังวาน' ทรุดหนัก!! ทนายกังวลอาจรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ จี้!! ผอ.รพ.ราชทัณฑ์ เร่งส่งตัวไปรักษาที่รพ.ธรรมศาสตร์

ทนายยื่นหนังสือถึง ผอ.รพ.ราชทัณฑ์ เร่งส่งตัว ‘เอกชัย หงส์กังวาน ’ ไปรักษาที่รพ.ธรรมศาสตร์ คาดอาการอยู่ในขั้นรุนแรงถึงชีวิต

(15 ก.ย.66) เพจ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความว่า ทนายยื่นหนังสือถึง ผอ.โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เร่งส่งตัว ‘เอกชัย’ ไปรักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ คาดอาการอยู่ในขั้นรุนแรงถึงชีวิต

วันที่ 13 ก.ย. 2566 ทนายความในคดีของ ‘เอกชัย หงส์กังวาน’ นักกิจกรรมทางการเมืองและผู้ต้องขังคดีสิ้นสุดแล้ว วัย 48 ปี ได้ยื่นหนังสือถึงผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพื่อขอส่งตัวจำเลยไปเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปทุมธานี

ก่อนหน้านี้ เอกชัย ถูกนำตัวส่งแอดมิทอยู่ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มาตั้งแต่วันที่ 8 ก.ย. 2566 และล่าสุด เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2566 แพทย์ก็ได้ตรวจพบก้อนเนื้อขนาด 11X8 ซม. อยู่ที่ท้องด้านขวา หลังจากได้รับการเจาะเลือดไปตรวจหาโรคและหาเซลล์มะเร็ง เอกชัยบอกว่า เป็นตำแหน่งใกล้กับ ‘นิ่วในถุงน้ำดี’ จุดเดิมซึ่งอยู่ติดกับตับที่เคยเป็นเมื่อปี 2548 แต่ได้รับการรักษาและผ่าตัดออกไปแล้วในปีนั้น ครั้งนั้นเขาใช้เวลารักษาและผ่าตัดรวมทั้งสิ้นเพียง 8 วันเท่านั้น

ปัจจุบันเอกชัยรักษาตัวอยู่ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ มาแล้ว 6 วัน โดยอยู่ในห้องผู้ป่วยรวม ซึ่งมีผู้ป่วยประมาณ 30 เตียง ส่วนใหญ่เป็นนักโทษผู้ป่วยที่มีอายุมากแล้ว ป่วยหลายโรค อาทิ น้ำท่วมปอด โรคเกี่ยวกับอายุรกรรม โรคทางต่อมไร้ท่อ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 13 ก.ย. 2566 เอกชัยได้ถูกเบิกตัวจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ มายังศาลอาญา เพื่อร่วมการพิจารณาในฐานะจำเลย ในคดี ‘คนอยากเลือกตั้ง’ ที่บริเวณหน้าองค์กรสหประชาชาติ หรือคดี UN62 เมื่อช่วงปี 2561

เอกชัยเปิดเผยแพร่ในระหว่างการพิจารณาคดีว่า เขาต้องการเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เนื่องจากเห็นว่าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีความพร้อมที่จะทำการผ่าตัดให้กับเขาได้

ย้อนอ่านทามไลน์อาการป่วยของเอกชัย >>> https://tlhr2014.com/archives/59433

ในหนังสือลงวันที่ 13 ก.ย. 2566 มีใจความสำคัญระบุว่า เอกชัยมีอาการป่วยรุนแรง ผิวหนังภายนอกเป็นสีเหลือง และดวงตาส่วนของตาขาวเป็นสีเหลือง ไม่สามารถทานอาหารได้ และนอนไม่หลับ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ โดยแพทย์ให้รอฟังผลการตรวจเลือด และได้รับแจ้งจากแพทย์ผู้ทำการรักษาว่าอาจจะต้องนำชิ้นเนื้อในช่องท้องไปส่งตรวจเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโรคโดยละเอียด

ทั้งนี้ ทนายความมีความกังวลว่าอาการของจำเลยจะอยู่ในขั้นรุนแรงที่อาจถึงแก่ชีวิตได้ และเอกชัยก็มีความประสงค์ที่จะขอให้ส่งตัวไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ในทันที เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์และบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และจำเลยมีความมั่นใจว่าจะโรงพยาบาลดังกล่าวจะสามารถเยียวยาและรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้

เช็กรายชื่อ ‘ที่ปรึกษา - เลขานุการฯ’ ใน ครม.เศรษฐา 1

เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 66 ครม. แต่งตั้งเลขาธิการฯ-ที่ปรึกษารัฐมนตรี ข้าราชการการเมือง รวมถึงตำแหน่งรักษาการนายกฯ ล็อตแรก โดย ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ มีรายชื่อในตำแหน่งรักษาการนายกฯ คนที่ 1 และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนตำแหน่งอื่น ๆ THE STATES TIMES ได้รวบรวมมาให้แล้ว ใครจะได้นั่งตำแหน่งอะไรบ้าง มาดูกัน!!

'เอกชัย' เห็นด้วยกับ 'ยุ้ย ญาติเยอะ' ชี้!! เพลงดังก็แค่เพลง อย่า ปสด.

หลังจากกรณี 'เพลงคนจนมีสิทธิ์ไหมคะ' ที่ในเนื้อหามีคำไม่เหมาะสม จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และกลายเป็นดรามาเลือกฝั่ง แบ่งคนเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยออกมาอย่างชัดเจนนั้น

ล่าสุด เอกชัย ศรีวิชัย เป็นอีกคนที่ออกมาเห็นด้วยกับ ความคิดเห็นของยุ้ย ญาติเยอะ เรื่องเพลงดัง คนจนมีสิทธิ์ไหมคะ ที่เอามาแปลงเนื้อ มีคำหยาบชัดเจน โดย ยุ้ย มีการแสดงความเห็นไว้ ว่า...

"เพลงมันก็แค่เพลงค่ะ หยาบคายยังไง มันก็แค่เพลง ก็เป็นกระแสแค่นั้น งงอะไร กลัวลูกหลานฟังไม่ได้ นี่เปิดให้ลูกฟังเลยค่ะ แล้วอธิบายสอนลูกไปด้วย ว่าอย่าร้องตามลูกไม่ใช่อะไรเดี๋ยวติดปาก ยายเขาร้องไว้นานแล้ว สมัยก่อนสมัยนี้ ก็บอกไปว่ามันคืออะไร แต่ให้พูดไม่ได้ ก็สอนไปซิมีหน้าที่พ่อแม่มัวมองโลกสวย ไม่มองโลกจริง ๆ ระวังลูกไม่มีภูมิ เจอเพลงแค่นี้ ปสด."

‘หมอวรงค์’ ชี้!! ไม่แปลกใจ หลัง ‘พิธา’ ติดอันดับนิตยสาร TIME 2023 เพราะ ‘เซเลนสกี’ ก็เคยติด 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพล เมื่อ 2022 มาแล้ว

(15 ก.ย. 66) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

‘เซเลนสกี’ ติดบุคคลแห่งปี 2022 โดยนิตยสาร TIME ไม่แปลกที่ ‘พิธา’ จะติด 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลของ TIME ปี 2023

ถ้ายิ่งดูย้อนกลับไป เราจะพบว่า ธนาธรก็เคยติด 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลของ TIME ในปี 2019 ที่สำคัญ ‘รุ้ง ปนัสยา’ ก็เคยติด ติด 1 ใน 100 ผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลของ BBC ในปี 2020 (ยิ่งลักษณ์ก็เคยติดของ 
ฟอร์บในปี 2011/2012)

การล่าอาณานิคมยุคใหม่ของโลกตะวันตก ไม่จำเป็นต้องส่งกองเรือเหมือนร้อยๆ ปีที่ผ่านมา หรือส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปให้เสียชีวิต

แต่โลกยุค Social Media วันนี้ง่ายเพียงแค่กดปุ่ม สร้างคำว่าประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม เสมอภาค และสร้างคนขึ้นมา โดยใช้สื่อยุคใหม่คอยสนับสนุน จบเพียงแค่นี้ครับ

โชคดีที่ประเทศไทยของเรา มีชาวบ้านบางระจัน กรุงศรีอยุธยาไม่เคยสิ้นคนดี เรามีคำว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งเหล่านี้พวกตะวันตกคงคาดไม่ถึง

#ราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ
#สภาราชประชาสมาสัย

'ผู้นำเวเนฯ' ยอมรับใช้สมาร์ตโฟน Huawei ได้อย่างสบายใจ เพราะ 'ชาวอเมริกัน' ดักฟังไม่ได้ ฟากยุโรปเริ่มแห่ซื้อใช้ตาม

ไม่นานมานี้ เพจ 'ลึกชัดกับผิงผิง' ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับสื่อจีนที่รายงานถึงเทคโนโลยี และความปลอดภัยของ 'หัวเว่ย' (Huawei) ผ่านมุมมองของผุ้นำเวเนซุเอล่า ว่า...

เมื่อเร็วๆ นี้ นายนิโกลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลาเดินทางเยือนจีน ก่อนการเดินทาง ได้เข้าร่วมรายการ Con Maduro+ ที่จัดโดยสถานีโทรทัศน์เวเนซุเอลา (VTV) 

ขณะกล่าวถึงเรื่องที่บริษัทหัวเว่ยของจีนได้ออกสมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุด Mate 60 Pro นายนิโกลัส มาดูโรกล่าวว่า แม้หลายปีมานี้ สหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกดำเนินการคว่ำบาตรอย่างไร้เหตุผลต่อหัวเว่ย แต่หัวเว่ยยังคงประสบผลคืบหน้าอย่างมาก เทคโนโลยีของหัวเว่ยสามารถเทียบเท่าคู่แข่งของโลกจำนวนมาก กระทั่งมีความเหนือกว่าในบางอย่างด้วย 

นายมาดูโรยังเผยว่า “ผมมีมือถือหัวเว่ยเครื่องหนึ่ง ใช้ดีมาก ชาวต่างชาติไม่สามารถดังฟังได้เลย” (เขาใช้คำว่า 'gringos' ที่ตามภาษาสเปนมักจะหมายถึงชาวอเมริกัน) 

คำพูดของนายมาดูโรเกี่ยวกับหัวเว่ยนั้น เกิดจากการยืนยันด้านความปลอดภัยจากนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยของเวเนซุเอลาเอง 

หลังจากสหรัฐอเมริกา ทุ่มเทกำลังทั่วประเทศในการปราบปรามบริษัทหัวเว่ย ทำให้หัวเว่ยไม่ได้รับชิประดับสูงที่ใช้ในการผลิตสมาร์ตโฟน 5G อัตราส่วนในตลาดโลกของหัวเว่ยร่วงจากอันดับ 1 อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นของบริษัทแอปเปิลพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาคือ ผู้ที่ใช้สมาร์ตโฟนของหัวเว่ยนั้น หน่วยงานพิเศษของสหรัฐอเมริกา จะไม่สามารถดักฟังได้ นี่เป็นเรื่องที่พวกเขากังวลเป็นอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่ได้รับการยืนยันจากหลายฝ่ายมาแล้ว จึงเข้าใจได้ว่าทำไมชาวยุโรปก็พากันไปซื้อ Mate 60 Pro สมาร์ตโฟนระดับ 5G ที่หัวเหว่ยเปิดขายเมื่อเร็วๆ นี้ 

ทั้งนี้ รายงานข่าวของสื่อจีนระบุว่า ช่วง 7 วันแรก ยอดสั่งซื้อ Mate 60 Pro เกินกว่า 15 ล้านเครื่องแล้ว

‘บ้านตานิด’ ร้านอร่อยชื่อดังริมน้ำเจ้าพระยา กลิ่นอายพื้นบ้าน บรรยากาศดี อาหารเด็ด เดินทางสะดวกทั้งทางเรือ-ทางบก

อยากอร่อยกับเมนูไทยพื้นบ้าน เหมือนที่เคยลิ้มลองในวัยเด็ก สัมผัสบรรยากาศริมน้ำ กลิ่นอายวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยก่อนที่อาศัยการคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก ให้มาที่ ร้านบ้านตานิด ร้านอาหารไทยชื่อดังแห่งอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเดิมคือบ้านพักอาศัยของครอบครัวเจ้าของร้าน อีกทั้งยังเคยเป็นปั๊มน้ำมันเรือทางน้ำ (ปั๊มเชลล์) สมัยที่ยังไม่มีถนนตัดผ่านย่านนี้เลย

การมาร้านบ้านตานิดในปัจจุบันนี้ ยังคงมาได้ทั้งทางเรือส่วนตัวและทางบก จากกรุงเทพฯ ให้ขึ้นทางด่วนขั้นที่ 2 (ศรีรัช) ต่อด้วยทางพิเศษอุดรรัถยาหรือทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด มาลงที่ทางออก ถนนสาย 346 (บางพูน-รังสิต) เลือกไปทาง ปทุมธานี จากนั้นให้ข้ามแม่น้ำมาตามทางในกูเกิลแมพอีก 10 กม. จนเข้าถนนสาย 4004 หรือถนนเทศบาล 1 (ให้ค้นในกูเกิลแมพว่า ร้านบ้านตานิด) ไปสุดทางที่ริมน้ำตรงตำบลกระแชง อำเภอสามโคก ซึ่งจะมีลานจอดกว้างๆ ให้ถามคนโบกได้เลยว่าร้านบ้านตานิดจอดตรงไหน หรือถ้าอยากเห็นบ้านเรือนและชุมชนใกล้ริมน้ำ สามารถลัดเลาะมาตามถนนเส้นเล็กๆ จากตัวจังหวัดปทุมธานีอีกเส้นทางหนึ่งได้ด้วย

ร้านบ้านตานิดอยู่ในบ้านไม้เก่าแก่ทาสีเขียวที่รักษาสภาพไว้เป็นอย่างดี ส่วนที่นั่งกินข้าวจะอยู่ตรงชานบ้านด้านนอกมีหลังคาคลุมและริมท่าน้ำ ซึ่งจะมีท่าจอดเรือส่วนตัวด้วย โดยก่อนเข้าร้าน ลูกค้าจะต้องถอดรองเท้าและสวมรองเท้าแตะที่จัดไว้ให้เดินเข้าไปอีกที

ก่อนอื่นขอบอกว่ามาร้านบ้านตานิดต้องโทรจองโต๊ะล่วงหน้า เพราะได้รับความนิยมมาก ยิ่งถ้ามาวันสุดสัปดาห์ให้โทรจองก่อนหลายๆ วันเลย

เจ้าของร้านนั้นคือเพื่อนของพี่รอบิ้นรุ่นพี่ของปิ่นโตเถาเล็กเองชื่อว่า พี่มด ซึ่งนำบ้านพักอาศัยของครอบครัวมาทำเป็นร้านอาหาร แต่ก่อนนั้นนอกจากจะเป็นปั๊มน้ำมันเรือแล้ว ยังเป็นร้านขายเครื่องอุปโภคบริโภครวมถึงสินค้าต่างๆ เช่นน้ำมันยาง ชัน ปูนขาวอีกด้วย พอมีการตัดถนนจึงเลิกกิจการเปลี่ยนเป็นบ้านอยู่อาศัยอย่างเดียว

จากนั้นคุณแม่พี่มดก็หันมาทำพริกแกงขายโดยใช้ชื่อว่า บ้านพริกแกง ที่ร้านนี้จึงเก่งเรื่องแกงต่างๆ เพราะทำพริกแกงเอง ใช้วิธีการบดและตำด้วยมือ

จนกระทั่ง พ.ศ. 2559 พี่มดกับน้องสาวจึงได้ดัดแปลงบ้านเป็นที่พักเล็กๆ สำหรับคนที่จะมาเรียนศิลปะ ขายอาหารเฉพาะคนที่จองมาเท่านั้น เป็นเมนูซึ่งพี่มดชอบกินเองที่บ้านอยู่แล้ว พอมีเพื่อนฝูงลูกค้าบอกต่อเยอะจึงหันมาทำร้านอาหารเป็นหลัก (แทบไม่ได้ทำเรื่องห้องพักแล้ว) นำชื่อวาณิชย์ของคุณพ่อมาตั้งเป็นชื่อร้านบ้านตานิด

ผมชอบของกินร้านนี้มาก เพราะเป็นอาหารไทยพื้นบ้านที่คนกรุงเทพฯรุ่นผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เมนูห้ามพลาดมีมากมาย อย่างเช่น ต้มกะทิสายบัวปลาสลิด (240 บาท+) พี่มดบอกว่าเป็นคนไม่ชอบกินปลาทู จึงใส่ปลาสลิดแทน เคล็ดลับความเค็มหอมมาจากการใช้ปลาเค็มแทนกะปิ เมนูนี้ต้องรีบกินตอนร้อนๆ จะอร่อยมาก

ถ้าชอบรสเผ็ดหน่อยให้สั่ง แกงส้มชะอมไหลบัวกุ้งสด (260-320 บาท+) พริกแกงทำเองรสเข้มข้นครบทุกรสเหมือนที่กินตอนเด็กจริงๆ พี่มดจะต้มกุ้งแล้วนำไปบดใส่ในน้ำแกงจนน้ำข้นคลั่ก โดยเลือกใช้กะปิบังดาษจากเมืองตรังหอมอร่อย

อีกเมนูที่สุดยอดมากๆ คือ ผัดสามเหม็น (240-280 บาท+) ผัดวุ้นเส้นใส่ชะอม สะตอ และกระเทียมดอง กลิ่นหอมฟุ้งเป็นพิเศษเพราะมีเคล็ดลับคือจะซอยเครื่องกระเทียม หอมและพริกสดเมื่อลูกค้าสั่งเท่านั้นทุกๆ จาน

ของไม่เผ็ดต้อง พะโล้ไข่เค็ม (220-280 บาท+) อร่อยไม่ซ้ำใคร ใส่เครื่องสามเกลอ (รากผักชี กระเทียม พริกไทย) เยอะๆ และมีอบเชยกับเครื่องยาจีนด้วย ทำรสหวานนำ แต่จะได้ความเค็มอร่อยลงตัวจากไข่เค็มมาผสมกัน ซึ่งต้องซื้อจากเจ้าประจำในตลาด อ.ต.ก.เท่านั้น (ไม่เค็มเกินไป) นำมาต้มค้างคืน

ส่วนผัดผักที่ห้ามพลาดคือ ผักบุ้งไทยผัดกะปิกุ้งกรอบ (220 บาท+) กุ้งทะเลสดกรอบสมชื่อ พี่มดซื้อจากเจ้าประจำที่ตลาดสามโคก ซื้อเช้าขายบ่าย ซื้อบ่ายขายเย็น และผัดผักบุ้งไทยได้รสชาติถึงใจ เนื่องจากพอผัดเสร็จจะหยอดน้ำพริกกะปิเพิ่มความหอมเข้มอีก 1 ช้อนลงไป

ส่วนถ้าเป็นเครื่องจิ้มต่างๆ ให้สั่ง หลนปลากุเลาหอม (260-340 บาท+) ซึ่งพี่มดทำแบบโบราณใส่ข้าวหมากเพิ่มความหอม โดยจะใช้ทั้งปลากุเลาให้ความหอมและปลาอินทรีให้ความเค็ม นอกจากนี้ ก็มี น้ำพริกกะปิกุ้งสด (280-380 บาท+) อีกเมนูโบราณที่ใส่น้ำพริกกะปิก็คือแกงรัญจวนเนื้อ (260-320 บาท+) ใส่เนื้อน่องลายตุ๋นและแตงโมอ่อนด้วย ไม่กินเนื้อก็มีแกงรัญจวนหมูอีกอย่าง

ของไม่เผ็ดมีหลากหลาย เมนูยอดนิยมคือหมูกรอบคั่วพริกเกลือ (280-380 บาท+) ใส่พริกไทยอ่อน คั่วถึงเครื่องพริกขี้หนูหอมๆ อีกทั้ง ปลาเนื้ออ่อนทอดราดกระเทียม (380-480 บาท+) ตัวเล็กๆ ทอดราดน้ำปลาผสมน้ำตาล ซึ่งกระเทียมที่ร้านจะเจียวเอง เวลากินให้จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด เนื้อย่างจิ้มแจ่ว (240-320 บาท+) ใส่มะขามเปียก สันคอหมูย่าง (240-320 บาท+) และ หนำเลี้ยบหมูสับคั่วพริกแห้ง (220-280 บาท+) มีแม้กระทั่ง กุ้งแม่น้ำเผา (สอบถามขนาดและราคาได้เลย) ส่วนเครื่องดื่มถ้ามาวันเสาร์-อาทิตย์ให้สั่ง น้ำมะยงชิดปั่น กระท้อนปั่น และ มะม่วงปั่น (145 บาท+ ทุกอย่าง)

ลืมบอกไปว่าที่ร้านบ้านตานิด ถ้ามาวันธรรมดาจะคิดค่าบริการเพิ่ม 5% แต่ถ้ามาวันเสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์จะคิดค่าบริการ 10%

ขอย้ำว่าเนื่องจากร้านบ้านตานิดคือร้านดังที่ได้รับความนิยมมาก ก่อนไปหลายๆ วันต้องโทรไปจองโต๊ะไว้ล่วงหน้าดีที่สุด มิฉะนั้นอาจจะต้องรอโต๊ะนานเป็นชั่วโมง ร้านบ้าน

ตานิดเปิดบริการตามช่วงมื้ออาหาร กลางวัน 11 โมงครึ่งถึงบ่าย 3 โมง ส่วนมื้อเย็นเปิดตอน 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม หยุดทุกวันอังคาร โทรจองโต๊ะได้ที่ 08-1835-0660


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top