Friday, 16 May 2025
NewsFeed

บอร์ด กพฐ. เห็นชอบรวมโรงเรียน 10 โรง เลิกสถานศึกษา 3 โรง แนะสพฐ. บริหารจัดการโรงเรียนให้เหลือ 2 หมื่นโรง การจัดสรรงบฯ จะได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นายเอกชัย กี่สุขพันธ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ประธาน กพฐ.) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุม กพฐ.ได้มีมติเห็นชอบการรวมสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 10 โรง ใน 7 เขตพื้นที่การศึกษา คือ

1. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เชียงใหม่ เขต 5 โรงเรียนบ้านกองวะ มีนักเรียนระดับชั้น ป.3-6 จำนวน 4 คน รวมกับโรงเรียนบ้านโปงทุ่ง

2. สพป.เชียงใหม่ เขต 6 โรงเรียนวัดพระบาท มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 29 คน รวมกับโรงเรียนบ้านเมืองกลาง

3. สพป.พิจิตร เขต 2 โรงเรียนวัดคลองข่อย มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 36 คน รวมกับโรงเรียนศรีประสิทธิ์วิทยา

4. สพป.เพชรบุรี เขต 1 โรงเรียนวังตะโก มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 12 คน รวมกับโรงเรียนวัดทองนพคุณ (เจริญราษฎร์วิทยาคาร)

5. สพป.นครสวรรค์ เขต 2 โรงเรียนบ้านทุ่งรวงทอง มีนักเรียนชั้น ป.1-3 และ ป.5 14 คน รวมกับโรงเรียนบ้านเนินใหม่

6. สพป.ลำพูน เขต 1 โรงเรียนบ้านทาปลาดุก มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 25 คน รวมกับโรงเรียนบ้านดอยแก้ว

7. สพป.น่าน โรงเรียนบ้านธงหลวง มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 20 คน รวมกับ โรงเรียนบ้านน้ำครกใหม่ โรงเรียนบ้านห้วยมอญสาขาใหม่ในฝัน มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 15 คน รวมกับ โรงเรียนบ้านห้วยมอญ โรงเรียนบ้านน้ำอูน มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 17 คน รวมกับ โรงเรียนบ้านนาคา และโรงเรียนบ้านกาใส มีนักเรียน ป.1-6 จำนวน 30 คน รวมกับโรงเรียนบ้านวังตาว

นายเอกชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 3 โรง ได้แก่ โรงเรียนบ้านห้วยขี้เหล็ก สพป.เชียงราย เขต 2 โรงเรียนบ้านสระลำใย สพป.สระบุรี เขต 1 และโรงเรียนวัดบางพระ สพป.นครศรีธรรมราช เขต 3 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามสถานการณ์อัตราการเกิดของประชากรที่ลดลง และยังสอดคล้องกับโครงการโรงเรียนคุณภาพของชุมชนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ด้วย

อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าในอนาคต เราควรที่จะบริหารจัดการโรงเรียนให้เหลือประมาณ 20,000 โรง จาก จำนวน 30,000 กว่าโรง เพื่อที่จะทำให้การบริหารจัดการงบประมาณเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่จะต้องคงมีโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล (Stand alone) ไว้


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/99659

'ฟิล์ม-รัฐภูมิ' เรียกร้องให้รัฐบาลเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการสถานบันเทิงที่ถูกสั่งปิดตามมาตรการควบคุมโควิด เพราะถึงแม้จะไม่มีคำสั่งล็อกดาวน์ แต่การสั่งปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ไม่ต่างจากการล็อกดาวน์

นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ สมาชิกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงสถานการณ์โควิดที่แพร่ระบาดในวงกว้างอยู่ในขณะนี้ว่า ผู้ที่ต้องตกเป็นจำเลยของสังคมส่วนหนึ่งก็คือกลุ่มคนในวงการบันเทิง รวมถึงผับ บาร์ คาราโอเกะ นักดนตรีอิสระ เพราะถูกมองว่าทำงานอยู่ในสถานที่ที่เป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นเพียงคนทำมาหากินเลี้ยงชีพตนเองเหมือนกับคนกลุ่มอื่น ๆ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายซึ่งเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องเข้มงวดควบคุมให้สถานบริการต่าง ๆ เป็นไปตามกฎระเบียบเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด

"ส่วนมากคนในธุรกิจบันเทิงจะไม่ได้อยู่ในระบบสวัสดิการของรัฐไม่ว่าจะเป็นประกันสังคมหรือสิทธิ์อื่น ๆ ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นผู้ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจของประเทศและเสียภาษีตามกฎหมาย มาตรการเยียวยาที่ออกมาถึงบ้างไม่ถึงบ้าง ต้องแย่งกันลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ บางครั้งคนไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก เพื่อที่จะเข้าถึงสวัสดิการของรัฐหรือการศึกษาที่ดีพอ แต่ด้วยระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบปัจจุบันทำให้คนไทยยังติดอยู่ในวังวน โง่ จน เจ็บ อยู่เหมือนเดิม จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องต่อสู้ดิ้นรนทำมาหากินในทุกวิถีทาง"

ในฐานะคนในวงการบันเทิงอยากส่งเสียงดัง ๆ ไปยังผู้มีอำนาจขอให้มีมาตรการเยียวยาแบบทั่วหน้าและมีมาตรการสำหรับสถานประกอบการที่ต้องทำตามมาตรการของรัฐในการปิดสถานประกอบการ เพราะถึงแม้ครั้งนี้จะไม่มีการล็อกดาวน์ แต่การสั่งปิดสถานประกอบการผับบาร์คาราโอเกะทั่วทั้งประเทศ ก็ไม่ต่างอะไรจากการสั่งปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามมาตรการล็อกดาวน์ก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับทั้งเจ้าของกิจการ ลูกจ้าง นักดนตรี เด็กเสริฟ ไปจนถึงพ่อครัวแม่ครัว หลายแห่งทนพิษบาดแผลจากโควิดและมาตรการของรัฐไม่ไหว ต้องปิดกิจการ สร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงครอบครัวของแต่ละคน

"ดังนั้น รัฐบาลควรมีมาตรการเยียวยาคนเหล่านี้ด้วย ไม่ใช่สั่งให้ปิดร้านไปอย่างน้อยถึงสิ้นเดือน แต่กลับไม่มีการช่วยเหลือใดใดเลย เวลาจ่ายหรือถูกปรับ อาชีพของพวกเราก็ไม่เคยถูกละเว้น แต่ทำไมตอนที่พวกเราต้องการความช่วยเหลือเยียวยาเหมือนกับคนอาชีพอื่นๆกลับต้องละเว้น ผมไม่เข้าใจ รอบนี้คงมีหลายคนอดตายก่อนเป็นโควิดแน่ สถานการณ์โควิดวันนี้ สิ่งที่รัฐควรทำคือแสดงภาวะผู้นำและการบริหารแบบชาญฉลาดเพื่อให้ทุกคนอยู่รอด ไม่ใช่ให้รัฐบาลกับพรรคพวกอยู่รอดอย่างเดียว" นายรัฐภูมิ กล่าว


ที่มา: https://www.naewna.com/politic/566841

อีกความภาคภูมิใจของประเทศไทย หลังเพจ JU - JITSU THAI ได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับ 'เพชรดา เคซี ตัน' สาวสัญชาติไทยที่คว้าเหรียญทองในการแข่งขัน Abu Dhabi World Professional Jiu-Jitsu 2021

กลายเป็นอีกความภาคภูมิใจของประเทศไทย หลังเพจ JU - JITSU THAI ได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับ 'เพชรดา เคซี ตัน' สาวสัญชาติไทยที่คว้าเหรียญทองในการแข่งขัน Abu Dhabi World Professional Jiu-Jitsu 2021 ระดับสายม่วงรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กิโลกรัม ในวันที่ 8 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา และยังคว้าเหรียญทองในรายการ Abu dhabi Grandslam 2021 ระดับสายม่วงรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กิโลกรัม

โดยทั้งสองรายการทำการแข่งขัน ณ เมืองอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นรายการยิวยิตสูระดับโลก

'เพชรดา เคซี ตัน' ชื่อเดิม 'เพชรดา กกฝ้าย' เกิดที่เมืองไทย จบการศึกษา ระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรังสิต คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

สำหรับเส้นทางชีวิตของเธอก่อนจะคว้าแชมป์ยิวยิตสูระดับโลกได้นั้น ดูน่าสนใจอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้เธอทำงานเป็นสถาปนิกในบริษัทชั้นนำในประเทศไทย (Origin Properly)

แต่เธอได้ตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อไล่ตามความฝันนี้ โดยในปี 2019 เธอเดินทางไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา และบราซิล เพื่อฝึกฝนอย่างหนัก หวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถคว้าเหรียญทองให้กับประเทศไทยกับกีฬาประเภทนี้

และวันนี้เธอทำได้แล้ว!!

ติดตามผลงานของเธอได้ใน

Instagram : kacieingi


ที่มา: https://www.facebook.com/262984937235819/posts/1694994830701482/

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ศธ 04006/ ว1245 ลงวันที่ 9 เมษายน 2564 เรื่อง การรับนักเรียน ปีการศึกษา 2564 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

แนวทางการรับสมัครและการจัดสอบคัดเลือกหรือคัดเลือกผู้สมัครเข้าศึกษาต่อ (กรณีโรงเรียนมีการจัดสอบ) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด - 19

การรับสมัคร ให้ปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้

1. โรงเรียนสามารถรับสมัครผ่านระบบออนไลน์ หรือทางเว็บไซต์ของทางโรงเรียน

2. กรณีรับสมัคร ณ โรงเรียน

- ผู้สมัคร ผู้ปกครอง และผู้เข้ามาในบริเวณสถานที่รับสมัครของโรงเรียนทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า

- คัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิผู้สมัคร ผู้ปกครอง และผู้เข้ามาในบริเวณสถานที่รับสมัครทุกคน

- สถานที่รับสมัคร ให้คำนึงถึงหลัก Social Distancing

- จัดให้มีจุดล้างมือต้วยสบู่ แอลกอฮอล์ เจล หรือน้ำยาอื่น ๆ ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้

- ข้อกำหนดอื่น ๆ ตามบริบทของโรงเรียน

กรณีโรงเรียนมีการจัดสอบคัดเลือก ให้ปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้

1. การดำเนินการก่อนวันสอบ

1.1 ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแนวปฏิบัติของผู้เข้าสอบและผู้ปกครองทาง Online หรือช่องทางอื่น ดังนี้

- ผู้เข้าสอบ ผู้คุมสอบ และผู้เข้ามาในบริเวณสนามสอบทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในวันสอบ

- โรงเรียนต้องประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ เข้าสอบ กำหนดการสอบและตารางสอบ แผนผังที่นั่งสอบแผนผังโรงเรียน (ระบุจุดรับส่ง จุดคัดกรอง จุดพักคอย อาคารสอบ ฯลฯ โดยคำนึงหลัก Social Distancing

- โรงเรียนขอความร่วมมือผู้ปกครองมาส่งและมารับผู้เข้าสอบตามกำหนดเวลาโดยไม่พักคอยหากจำเป็นต้องพักคอย ผู้ปกครองต้องผ่านการคัดกรองและพักคอย ณ จุดที่โรงเรียนกำหนด

- โรงเรียนต้องแจ้งให้ทราบว่าไม่มีบริการจำหน่ายอาหารในวันสอบ

- ข้อกำหนดอื่น ๆ ตามบริบทของโรงเรียน

1.2 ประสานโรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อดูแลส่งต่อ

1.3 จัดห้องพยาบาลสำหรับให้บริการโดยเฉพาะ ณ สถานที่จัดสอบ

2. การจัดเตรียมห้องสอบ

2.1 กรณีใช้ห้องเรียนปกติ (ขนาด 8 x 8 เมตร ให้จัดไม่เกินห้องละ 20 คน เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1.5 เมตร และไม่ควรจัดให้สอบในห้องปรับอากาศหรือห้องที่มีสภาพอากาศปิด

2.2 กรณีใช้ห้องเรียนขนาดอื่นหรืออาคารอเนกประสงค์ เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1.5 เมตร และไม่ควรจัดให้สอบในห้องปรับอากาศหรือห้องที่มีสภาพอากาศปิด

2.3 จัดเตรียมห้องสอบสำรอง กรณีผู้เข้าสอบอยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือผู้ที่มีอุณหภูมิร่างกายมากกว่า หรือเท่ากับ 37.5 C โดยไม่จัดสอบในห้องปรับอากาศหรือห้องที่มีสภาพอากาศปิด และเว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร

2.4 ให้ทำความสะอาดพื้นที่ที่นักเรียนต้องใช้ร่วมกันด้วยน้ำยาหรือแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้

3. การดำเนินการในวันสอบ

3.1 ผู้เข้าสอบ ผู้คุมสอบ และผู้เข้ามาในบริเวณสนามสอบทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า

3.2 คัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิผู้เข้าสอบ ผู้คุมสอบ และผู้เข้ามาในบริเวณสนามสอบทุกคน

3.3 จัดให้มีจุดล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์ เจล หรือน้ำยาอื่น ๆ ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้

3.4 ให้ผู้เข้าสอบพักคอย ยืนยันตัวตน ณ จุดที่กำหนด โดยคำนึงหลัก Social Distancing

3.5 ให้ผู้เข้าสอบทยอยขึ้นห้องสอบ เว้นระยะห่างระหว่างการเดิน โดยคำนึงหลัก Social Distancing

3.6 ดำเนินการสอบให้แล้วเสร็จภายในครึ่งวัน (เวลา 09.00 - 12.00 น.) โดยโรงเรียนกำหนดวิชาและเวลาสอบในแต่ละวิชา ตามบริบทของโรงเรียน

3.7 หากดำเนินการสอบเกินกว่าครึ่งวัน (เกินเวลา 12.00 น) โรงเรียนต้องดำเนินการให้นักเรียนเข้าสอบครั้งเดียวจนเสร็จสิ้น จึงจะสามารถออกจากห้องสอบได้ โดยโรงเรียนจะต้องบริการอาหารว่างและน้ำดื่ม ให้แก่นักเรียนทุกคนที่เข้าสอบในช่วงเวลาพักที่โรงเรียนกำหนด เพื่อลดการสัมผัสและรวมกลุ่มกันของนักเรียน

3.8 เมื่อเสร็จสิ้นการสอบ อนุญาตให้ผู้เข้าสอบออกจากห้องสอบที่ละห้องสอบ โดยต้องให้ผู้เข้าสอบแต่ละคนเว้นระยะห่างระหว่างการเดิน โดยคำนึงหลัก Social Distancing

กรณีการคัดเลือกนักเรียนความสามารถพิเศษ (ถ้ามี)

ให้โรงเรียนดำเนินการปรับใช้แนวทางกรณีโรงเรียนมีการจัดสอบคัดเลือกข้างต้น โดยคำนึงถึงหลัก Social Distancing ทั้งนี้ หากวิธีการคัดเลือกเดิมกำหนดให้ผู้เข้ารับการคัดเลือกต้องสัมผัสตัวกัน ให้ปรับเปลี่ยนวิธีการคัดเลือก โดยถือหลักการหลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัสระหว่างกัน

คลิกเพื่ออ่าน หนังสือด่วนที่สุด ที่ ศธ 04006/ ว1245 ลงวันที่ 9 เมษายน 2564 เรื่อง การรับนักเรียน ปีการศึกษา 2564 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

http://www.kruwandee.com/datas/file/1618647192.pdf


ขอบคุณที่มา: https://www.kruwandee.com/news-id46093.html?fbclid=IwAR3KoHPuwPsQFDj8oznS-hDU3axcQR7kIJI_Pv_Q6blvgZifvCPltsqR4Rk

วันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมามีเอกสารภายในแจ้งไปยังเขตศุลกากรเมียวดีว่า ระงับการนำเข้าสินค้าไทย 5 กลุ่ม

วันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมามีเอกสารภายในแจ้งไปยังเขตศุลกากรเมียวดีว่า ระงับการนำเข้าสินค้าไทย 5 กลุ่มได้แก่ น้ำอัดลม ชาและกาแฟปรุงสำเร็จ กาแฟสำเร็จรูป นมจืดและนมข้น ผ่านชายแดนแม่สอด-เมียวดีชั่วคราว

โดยให้นำเข้าผ่านทางทะเลแทน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป


ที่มา: AYA IRRAWADEE

เพจ KKU GROUP มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดย รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ออกมาชี้แจงผ่านเพจดังกล่าว จากกรณีการเลิกจ้าง นายเดวิด สเตร็คฟัสส์ นักวิชาการชาวอเมริกัน โดยระบุว่า...

สืบเนื่องจากจากกรณีไทยสั่งระงับวีซ่า 'เดวิด สเตร็คฟัสส์' นักวิชาการชาวอเมริกัน อดีต ผอ.โครงการ CIEE ขอนแก่น ผู้ดูแล 'The Isaan Record' ที่ฝังตัวทำงานในไทยกว่า 35 ปี และเป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิชาการต่างชาติที่เคลื่อนไหวต่อต้าน ม.112 และ วิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯของไทย มาโดยตลอดนั้น

ล่าสุด เพจ KKU GROUP มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดย รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข. ได้ออกมาชี้แจงผ่านเพจดังกล่าว จากกรณีการเลิกจ้าง นายเดวิด สเตร็คฟัสส์ (Mr.David Streckfuss) นักวิชาการชาวอเมริกัน โดยระบุว่า...

ผมขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อจากเมื่อวาน หลังจากได้ข้อมูลจากคณบดีและฝ่ายการต่างประเทศของ มข. ดังนี้ครับ

1.) โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา CIEE เป็นหน่วยงานภายนอก มข. มีความร่วมมือกับ มข.ในเรื่องการแลกเปลี่ยนนักศึกษาต่างประเทศ โดยไม่เคยมีสัญญาจ้าง

2.) มีการยกเลิกโครงการ CIEE เมื่อปีที่แล้ว (มข. ไม่ได้เป็นผู้ยกเลิก)

3.) หลังจากโครงการ CIEE ถูกยกเลิก คณะสาธารณสุขศาสตร์ มข.ได้มีสัญญาจ้าง 1 ปี โดยไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนเพื่อให้ดำเนินการสร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนนักศึกษาต่างประเทศกับหลาย ๆ ประเทศตามที่เจ้าตัวเสนอ เริ่มสัญญาจ้างเมื่อเดือน ส.ค.2563

4.) เดือน ก.พ.2564 ทางคณะฯ เห็นว่าไม่มีความก้าวหน้าในงานที่ได้ตกลงกันไว้ จึงแจ้งเจ้าตัวขอยกเลิกสัญญา

และ 5.) ไม่เคยมีตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใดใด มาพบหรือมากดดันอธิการบดีและคณบดี จึงเรียนข้อมูลให้ทุกท่านรับทราบ


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/99761

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=801780967427399&id=336295587309275

เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน (จ.สุราษฎร์ธานี) เปิดใช้ศาลาวัด ตั้ง 'รพ.สนาม'

จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ซึ่งหลาย ๆ โรงพยาบาลตอนนี้ กำลังประสบกับปัญหาเตียงเต็ม

นั่นจึงทำให้เกิดการดัดแปลงสถานที่ต่าง ๆ เพื่อจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามมากขึ้น

ล่าสุด ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้เผยภาพ โรงพยาบาลสนาม ซึ่งใช้พื้นที่ศาลาวัดมาตั้งเตียงผู้ป่วย โดยสถานที่ดังกล่าว อยู่บนเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยระบุข้อความไว้ว่า...

"ขอขอบพระคุณ ท่านเจ้าอาวาสวัด อัมพวัน ที่เอื้อเฟื้อ สถานที่ ให้จัด โรงพยาบาลสนาม"

ทั้งนี้หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้มีชาวเน็ตจำนวนมากต่างพากันเข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่บอกว่า สาธุ, บุญรักษา พระคุ้มครอง


ที่มา: https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/145798

ภาพ : มีรูนะ ซัง : https://www.facebook.com/sangclinic

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ยอดผู้ติดเชื้อในไทยยอดกว่า 1,390 ราย ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

“จตุพร” เฉ่ง “สิระ” แฉยับ! เคยต้องโทษติดคุกเรือนจำพิเศษ - พร้อมคดีหมิ่นประมาท คนแบบนี้ได้เป็น ส.ส. ย้อน “สิระ” มีกำพืดฉ้อฉลไม่อายหมาขี้เรื้อนหรือ? คนแบบนี้หรือ “ประยุทธ์”เอามาปกป้องตัวเอง

เมื่อ 19 เมษายน พ.ศ.2564  ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ตอบโต้นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พลังประชารัฐ และประธานกรรมาธิการกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร โดยยกสุภาษีสวนกลับว่า พวกนายว่าขี้ข้าพลอย 
 
นายจตุพร อ่านข้อความที่ถูกนายสิระ กล่าวหาอย่างหยาบคายด้วยข้อความเท็จ พร้อมตอบโต้กลับว่า นายสิระ เป็นพวกมนุษย์ที่ไร้ค่า ไม่มีความน่าเชื่อถือ และก่อนมาเป็น ส.ส.ก็ถูกคดีอาญามากมาย ที่สำคัญคือ ตกเป็นจำเลยในคดีฉ้อโกง และใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น แล้วยังเคยต้องโทษจำคุกที่เรือนจำพิเศษมาด้วย 
 
พร้อมทั้ง กล่าวว่า วันที่ 24 เมษายนนี้ ตั้งแต่เวลาบ่ายโมงตรง คณะสามัคคีประชาชนจะเปิดอภิปรายไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย แต่ที่ผ่านมากลับมีพวกเส็งเคร็งทางการเมืองออกมาวิพากษ์วิจารณ์คณะสามัคคีประชาชน โดยเฉพาะนายสิระ ได้กล่าวหาตนอย่างหยาบคายด้วยข้อความอายหมาบ้างหรือไม่ ที่โหนกระแสเด็ก พวกขี้คุก ถูกคนเสื้อแดงเท และไม่มีใครเชื่อลมปากพวกคนล้มเจ้า 
 
นายจตุพร ตอบโต้นายสิระ ที่กล่าวหาโหนกระแสเด็กมาเรียกมวลชน ว่า นายสิระ นอกจากปากหมาแล้ว ใจยังหมาขี้เรื้อนด้วย และพวกโหนเป็นพวกที่เลวที่สุดที่เอาสถาบันมาปกป้องตัวเองแล้วทำลายคนอื่น 
 
“ผมยืนยันอย่างชัดเจนมาแต่ต้นว่า ผมมีแนวทางเดียว คือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพรประมุข ด้วยความเข้าใจกันเป็นอย่างนี้และพูดชัดมาแต่ต้น” 
 
ส่วนการแสดงคิดเเห็นถึงสิทธิประกันตัวนั้น ตนกล่าวอย่างพื้นฐานที่มนุษย์ควรได้รับสิทธินี้ แล้วยังเป็นเรื่องเมตตาที่วังคมต้องให้ระหว่างกัน ไม่ใช่ใครไปโหนใคร ซึ่งการกล่าวเช่นนั้น ไม่ใช่การปลุกมวลชน หรือโหนกระแสเด็ก เพราะคณะสามัคคีประชาชนยังไม่ถึงขั้นเรียกมวลชนชุมนุมเอาจริง  
 
อีกอย่างการชุมนุมที่สวนสันติธรรมเมื่อ 4-5 และ 7 เม.ย.ที่ผานมานั้น  เป็นเพียงการทำความเข้าใจกันว่า ระบอบประยุทธ์ ได้ทำให้บ้านเมืองกำลังล่มจมพินาศ ไม่ใช่การชุมนุมที่เรียกระดมพล รวมทั้งยามที่บ้านเมืองใกล้พินาศนั้น กลับมีคนได้ประโยชน์จะระบอบอประยุทธ์ ที่เอาคน สับปะรังเคอย่างนายสิระ มาค้ำบัลลังก์ น่าอับอายขายขี้นหน้าที่สุด 
 
นอกจากนี้ ตนเคลื่อนไหวทางการเมืองมาตลอดตั้งแต่วัยเด็ก ได้นำการต่อสู้กับคณะทหารยึดอำนาจในเหตุการณ์พฤษภา 35 ที่ชุมนุมในมหาวิทยาลัยรามคำแหง ดังนั้น ตนไม่จำเป็นต้องแสวงหาชื่อเสียงใดๆเพิ่มเติม 
 
“นายสิระ ถ้าถามว่าคนหน้าด้าน ปากหมา ใจหมาควรจะอับอายนั้น คือ คนที่มีพฤติการณ์ฉ้อโกง ทำร้ายร่างกายผู้อื่น คนแบบนี้ที่เข้ามาเป็น ส.ส. มีพฤติกรรมติดคุกเพราะคดีขี้ฉ้อทั้งหลาย ซึ่งศล รธน.กำลังจะวินิจฉัย ถ้าดูจากสาระแล้วคงช่วยกันยาก” 
 
อีกทั้ง ที่บอกว่าก้าวล่วงสถาบันนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เป็นการใส่ร้าย เข้าข่ายหมิ่นประมาท เพราะการเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนหนุ่มสาวคณะราษฎรนั้น เป็นสิทธิของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น ควรมีพื้นที่ของความเห็นต่างได้ และมนุษย์พึ่งมีให้แก่กัน แต่ตนไม่ก้าวล่วงในเนื้อหาของคดี 112  
 
ส่วนการดำเนินคดีของกองบัญชาการตำรวจนครบาลนั้น นายจตุพร กล่าวว่า การชุมนุมที่ผ่านมาจะถูกกล่าวหาเป็นคดีเดียว แต่ยุคนี้กลับเล่นกันเป็นรายวัน จึงเป็นกรณีเปรียบเทียบ แสดงถึงการตั้งข้อหามิชอบ 
 
“ประยุทธ์ ไม่รู้กำพืดของสิระหรือ เพราะมีคดีมากมายทั้งออกเช็คเด้ง มีคดีฉ้อโกง ถูกกล่าวหาปลอมเอกสารทางราชการ เคยติดคุกในเรือนจำพิเศษ ยังมีคดีหมิ่นประมาทอีก 11 คดี คดีขับรถเร็วประมาท  แล้วยังมีคดีทำร้ายร่างกายคนอื่น คนแบบนี้หรือที่มาปกป้องคนดี ประยุทธ์จะไม่รู้สึกรู้สาได้อย่างไง และเอาไปเป็นประธานกรรมาธิการกฎหมายได้ไง เพราะคนนี้ยิ่งกว่าน้ำเน่าเสียอีก” 
 
นายจตุพร กล่าวว่า การเรียกร้องให้ประยุทธ์ ออกไปนั้น ต่างใช้ความคิดเห็นแบบมีวุฒิภาวะ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาโควิดล้มเหลว จนประชาชนขาดความเชื่อมั่น และเศรษฐกิจย่ำแย่ โรงแรมต้องปิดตัวแล้วประกาศขาย ซึ่งมีแต่ทุนต่างชาติเท่านั้นจะสามารถซื้อได้ 
 
พร้อม ระบุว่า วันนี้ เราพยายามทำความคิดกับประชาชนและต้องสามัคคีกันเฉพาะหน้า เพื่อจัดการรัฐบาล อีกทั้งคุณภาพของรัฐบาลจะมีแค่ไหนต้องต้องดูจาก ส.ส.ที่เลือกรัฐบาลนั่นเอง

กสทช. กำชับค่ายมือถือดูแลสัญญาณรับ WFH

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กสทช. ได้กำชับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกราย ดูแลคุณภาพสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเทอร์เน็ต ให้พร้อมรองรับการใช้งาน ของประชาชนจำนวนมากพร้อม ๆ กัน หลังจากรัฐบาลออกมาตรการสนับสนุนให้ประชาชนทำงานจากที่บ้าน (work from home) ในช่วงโควิด-19 ระบาดรอบใหม่ 

ทั้งนี้ กสทช. ยังขอให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกราย จัดส่งรถขยายสัญญาณเข้าในพื้นที่ โรงพยาบาลสนาม หน่วยงานสาธารณสุข ที่เกี่ยวข้องในการรักษา และควบคุมโรคโควิด-19 ให้พร้อมใช้งาน 24 ชั่วโมง เพื่อทีมบุคลากรทางการแพทย์สามารถใช้งาน โทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อติดต่อสื่อสารในภาวะวิกฤต

สำหรับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนใหญ่ ทั้ง เอสไอเอส  ดีแทค และกลุ่มทรู ล่าสุดได้ทำการเพิ่มสัญญาณเครือข่าย มาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ และสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ด้วยการส่งรถโมบายล์เคลื่อนที่ เข้าไปยังโรงพยายาลสนามต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้น เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างสะดวก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top