สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2564
สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ยอดผู้ติดเชื้อในไทยวันนี้กว่า 985 ราย ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ยอดผู้ติดเชื้อในไทยวันนี้กว่า 985 ราย ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แจ้งว่า ตั้งแต่เวลา 00.01 น.ของวันที่ 13 เมษายน 2564 จนถึงเวลา 24.00 น.ของวันที่ 15 เมษายน 2564 รวม 3 วัน กทพ. ได้ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษ รวม 3 สายทาง คือ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) จำนวน 19 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) จำนวน 31 ด่าน ทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน-ปากเกร็ด) จำนวน 10 ด่าน
ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในวันหยุดและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน รวมทั้งช่วยลดปัญหาจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ และยังเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมที่ปรากฏในสัญญาสัมปทาน ฉบับแก้ไขใหม่ระหว่าง กทพ. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และบริษัททางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL)
อย่างไรก็ตามผู้ใช้ทางพิเศษสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทาง สภาพการจราจร และขอความช่วยเหลือจากศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ EXAT Call Center โทร 1543 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และผู้ใช้ทางพิเศษสามารถดาวน์โหลด Application "EXAT Portal SOS" เพื่อขอความช่วยเหลือกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ รถขัดข้องหรือเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ได้อีกช่องทางหนึ่ง
นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกประจำตัวรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา) เปิดเผยว่าคุณหญิงกัลยา ขอเชิญชวนให้นักเรียนทุกคนที่ได้มีโอกาสอยู่กับครอบครัวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้ใช้เวลาในช่วงนี้แสดงออกถึงความรัก ความผูกพัน และความกตัญญูต่อบิดามารดา ปู่ย่าตายาย รวมถึงญาติผู้ใหญ่ ที่เป็นผู้มีพระคุณ ซึ่งถือเป็นจารีตประเพณีที่ดีงามของสังคมไทย แต่อย่างไรก็ตามยังต้องคำนึงถึงมาตรการความปลอดภัยจากโรคโควิด-19 ภายใต้หลัก D-M-H-T-T
นางดรุณวรรณ กล่าวต่อด้วยว่า คุณหญิงกัลยา ตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัวที่เป็นสถาบันหลักในการพัฒนาและช่วยสร้างคุณภาพคน เพราะครอบครัวที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความรัก ความผูกพันเปรียบเสมือนวัคซีนที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้เด็กเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ และเป็นคนที่ดีของสังคม ในขณะที่โรงเรียนจะทำหน้าที่ในการหล่อหลอม ให้องค์ความรู้ และเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตในการอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคมได้อย่างเท่าทัน
ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ คุณหญิงกัลยา ได้ย้ำเน้นให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการระบาดของโรคอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะนักเรียนที่เป็นผู้พักค้างประจำในโรงเรียนต่าง ๆ ภายใต้การกำกับดูแล ที่ต้องกลับบ้านไปพบปะกับผู้ปกครอง ปู่ย่าตายายที่เป็นผู้สูงอายุ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ให้ยึดหลัก D-M-H-T-T ของกรมควบคุมโรค คือ D : Social Distancing เว้นระยะห่าง 1 - 2 เมตร เลี่ยงการอยู่ในที่แออัด M : Mask Wearing สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา H : Hand Washing ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ T : Testing การตรวจวัดอุณหภูมิและตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในกรณีที่มีอาการเข้าข่าย และ T : Thai Cha Na สแกนไทยชนะก่อนเข้า-ออกสถานที่สาธารณะทุกครั้ง เพื่อให้มีข้อมูลในการประสานงานได้ง่ายขึ้น
นางดรุณวรรณ ยังกล่าวเสริมในตอนท้ายด้วยว่า คุณหญิงกัลยาขออวยพรให้ทุกครอบครัวมีความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทย และขอส่งกำลังใจให้กับครอบครัวที่มีผู้ติดเชื้อ หรือเป็นผู้ที่สัมผัสเชื้อและมีความเสี่ยงสูง ปลอดภัยจากโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตามในบางครอบครัวที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันในช่วงเวลานี้ แต่ก็สามารถแสดงออกถึงความรัก ความผูกพัน และความกตัญญูที่มีต่อกันได้ในหลายรูปแบบเพื่อส่งเสริมค่านิยมที่ดีงามของสังคมไทย เพราะโรคระบาด อาจทำให้ห่างกันด้วยระยะทาง แต่ไม่จำเป็นต้องห่างกันทางความรู้สึก
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย นายกรัฐมนตรีห่วงใยผู้ประกันตนกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19 กำชับกระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สปสช. และกรุงเทพมหานคร เพิ่มช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ฟรี เริ่มต้นวันที่ 17 เมษายนนี้ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เพื่อ กำหนดแนวทางร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการตรวจหาเชื้อโควิด -19 แก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ฟรี โดยกระทรวงแรงงานประสานโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมมาให้บริการ ณ อาคากีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น)
โดยนายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับในทุกด้านหากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงมากขึ้น ในวันนี้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้เชิญผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงานเพื่อมาหารือกำหนดแนวทางที่จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรุงเทพมหานคร
โดยจะเปิดให้ผู้ประกันตนที่จะเข้ารับการตรวจสามารถลงทะเบียนจองคิวตรวจผ่านระบบแอปพลิเคชันออนไลน์ สำหรับคุณสมบัติของคนที่จะได้เข้าตรวจคือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คัดกรอง และสามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ชั่วโมงละไม่ต่ำกว่า 300 คน ทราบผลการตรวจภายใน 24 - 48 ชั่วโมง ซึ่งจะ kick off ในวันเสาร์ที่ 17 เมษายนนี้ ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ผมได้หารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เรียบร้อยแล้ว โดยกระทรวงแรงงานจะบูรณาการทำงานร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่กำลังเดินทางกลับจากเทศกาลสงกรานต์เข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครสามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ฟรี
ทั้งนี้ หากพบว่าผู้ประกันตนรายใดตรวจพบเชื้อโควิด-19 จะต้องส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่ายในสังกัดสำนักงานประกันสังคม โดยผู้ประกันตนที่ติดเชื้อโควิด -19 จะได้รับการรักษาฟรีในโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม ซึ่งมีอยู่จำนวน 81 แห่ง ที่มีความพร้อม มีเตียงรองรับกว่า 1,000 เตียง มี HQ 200 กว่าเตียง
สำหรับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 แก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมมาตรา 33,39 และ 40 ในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มช่องทางของหน่วยบริการตรวจ เนื่องจากขณะนี้หลายโรงพยาบาลมีผู้มาใช้บริการเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด -19 เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความแออัด คิวยาว กระทรวงแรงงานจึงมีนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกันตน ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคอีกทางหนึ่งอันจะส่งผลให้ภาคธุรกิจดำเนินการต่อไปได้
นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง การดำเนินงานโครงการ ม33เรารักกันว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ของผู้ประกันตน มาตรา 33 ให้ได้รับสิทธิคนละ 4,000 บาท และให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com
ซึ่งในวันนี้ 12 เมษายน พ.ศ.2564 เป็นวันที่ได้มีการโอนเงินงวดที่ 4 ซึ่งเป็นงวดสุดท้าย ของโครงการ จำนวน 1,000 บาท จนครบ 4,000 บาทแล้ว อีกทั้ง ในส่วนกรณีผู้ที่ทบทวนสิทธิผ่านแล้ว ในวันนี้ก็จะได้รับเงินครบ 4,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เช่นเดียวกัน โดยผู้ประกันตนสามารถเริ่มใช้จ่าย ซื้อสินค้าและบริการผ่านร้านค้า/ผู้ประกอบการ/บริการในร้านธงฟ้าที่ใช้ Application “ถุงเงิน” หรือภายใต้โครงการ “คนละครึ่ง” และโครงการ “เราชนะ” ได้ในวันที่ 12 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2564
เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังได้กำชับให้สำนักงานประกันสังคม ซึ่งได้แต่งตั้งคณะทำงาน ออกตรวจสอบร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ/สถานประกอบการในพื้นที่ และดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียน รวบรวมข้อเท็จจริง กรณีมีเรื่องร้องเรียน/มีการแจ้งเบาะแสว่ามีการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดเงื่อนไขโครงการฯ เช่น ขึ้นราคาสินค้า พร้อมเฝ้าระวังการเบิกจ่ายเงินของร้านค้า เพื่อป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิดเงื่อนไขอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม สำนักงานประกันสังคม ขอย้ำเตือนไปยังผู้ประกันตน ร้านค้า โปรดอย่าหลงเชื่อโฆษณาเชิญชวนที่ทำผิดเงื่อนไขโดยไม่มีการใช้จ่ายซื้อสินค้า หรือแลกเป็นเงินสด เพราะนอกจากจะถูกพ่อค้าหัวใสหักเปอร์เซ็นต์แล้ว ทำให้ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย และถือว่าเข้าข่ายทุจริต ซึ่งอาจจะถูกตัดสิทธิและถูกดำเนินคดีด้วยความห่วงใยจากสำนักงานประกันสังคม
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาย ผบ.ทร.ส่งสารอวยพรเนื่องในวันสงกรานต์ ประจำปี 2564 ว่า ผมขอส่งความปรารถนาดี มายังเพื่อนข้าราชการ ที่รักทุกท่าน ขอให้ทุกท่านมีความสุข ร่วมกันสานต่อประเพณีสงกรานต์ที่ปฎิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ให้อยู่คู่ประเทศไทยของเราตลอดไป และมีความภาคภูมิใจในประเพณีอันงดงามนี้ แต่เนื่องจากสถานการณ์ covid-19 ในปัจจุบัน
ผมขอให้กำลังพลทุกท่านและครอบครัว ตระหนักถึงความสำคัญของการร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆหรือการท่องเที่ยว เนื่องในวันสงกรานต์ ในลักษณะ new normal เพื่อให้ทุกคนปลอดภัย แต่ยังคงความสำคัญของวันสงกรานต์ ที่สมาชิกในครอบครัวจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้า เพื่อสร้างขวัญ กำลังใจ และความสุขให้แก่กัน ขอให้ใช้โอกาสนี้ หลอมรวมความรักให้เข้มแข็ง ส่งต่อเป็นพลังให้เดินหน้าต่อไป หากมีความจำเป็นต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ได้ทำการสำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์การจ้างงานในองค์กร โดยผลสำรวจระบุว่าสถานการณ์เลิกจ้างในเดือนมีนาคม 64 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 3.4% จาก 7.4% ในเดือนมกราคม 63 แต่อัตราการลดเวลาการทำงานล่วงเวลายังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลการว่างงานจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ที่ระบุว่าอัตราการว่างงานปรับลดลงอยู่ที่ 1.5% ในเดือนธ.ค. 63 แต่จำนวนผู้เสมือนว่างงาน (ทำงานน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน) ยังคงปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2,470 คน บ่งชี้ว่า แม้ว่าจะยังมีงานทำแต่แรงงานส่วนมากมีรายได้ที่ลดลง
สำหรับความเปราะบางของตลาดแรงงานจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันกำลังซื้อของครัวเรือนต่อเนื่อง โดยล่าสุดสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มกลับมาระบาดในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้ ที่มีจุดศูนย์กลางระบาดอยู่ในกลางเมืองและแพร่กระจายไปยังจังหวัดอื่น ๆ อาจจะทำให้มีการนำมาตรการควบคุมการระบาดกลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาวะการจ้างงานต่อไปได้
ดังนั้น มาตรการจากภาครัฐจึงยังมีความจำเป็นที่จะเข้ามาช่วยประคับประคองเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยมาตรการคนละครึ่งเฟส 2 ได้หมดอายุลงแล้วในเดือนมีนาคม 64 มียอดใช้จ่ายตลอดโครงการถึง 102,065 ล้านบาท และมีผู้เข้าร่วมโครงการอยู่ที่ 14.8 ล้านคน ขณะที่มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อต่าง ๆ ของภาครัฐ ทั้งโครงการเราชนะ และโครงการเรารักกัน (ม.33) จะเริ่มทยอยหมดโครงการในเดือนพฤษภาคม 64
การประท้วงในเมียนมาเริ่มมีการปรับเปลี่ยนจากการเคลื่อนไหวที่เรียกว่าอารยะขัดขืนจนมาถึงการตอบโต้กับเจ้าหน้าที่จนวันหนึ่งมีการผุดไอเดียประท้วงเงียบ 1 วันโดยใครที่ไม่เอากับกองทัพให้ทำการ CDM หรืออารยะขัดขืนโดยการปิดห้างร้านไม่ออกไปทำงาน ไม่ขายของ แต่นั่นคือ 1 วันแต่ล่าสุดมีการประชาสัมพันธ์มาอีกแล้วว่าให้ประท้วงเงียบในช่วงสงกรานต์ (Thingyan Silent Strike) โดยอ้างว่าเป็นการไว้อาลัยแก่คนที่เสียชีวิตไปในการประท้วงไปจนถึงบางคนบอกว่าหากใครเล่นน้ำจะเป็นพวกสนับสนุนเผด็จการ……เอาอย่างนี้กันเลยเหรอ
เทศกาลสงกรานต์หรือเทศกาลตะจ่านในเมียนมาเป็นวันหยุดยาวและมีความหมายของคนเมียนมามาก แต่ไม่ใช่เพราะการเล่นน้ำแต่เป็นการกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวและมีกิจกรรมทางศาสนา หลายครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกันในการเดินทางไปเที่ยวยังสถานที่อื่น ๆ หรือเข้าวัดทำบุญหรือไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน การเล่นน้ำนั้นถือเป็นหนึ่งกิจกรรมในครอบครัวและเป็นหนึ่งกิจกรรมของเพื่อนที่เล่นสนุกกัน แม้วันที่เขียนนี้วันที่ 12 เมษายนในเมียนมาตามเมืองใหญ่ ๆ จะมีการตั้งเวทีให้เล่นน้ำแต่ปีนี้ก็ยังไม่เห็นมีการตั้งเวทีกิจกรรมแต่อย่างใด
เอาเป็นว่าแม้จะมีกระแสข่าวที่บอกว่ากองทัพจะไม่มีการใช้อาวุธตราบใดที่ไม่มีการประท้วงแต่กองทัพก็ไม่ได้อำนวยความสะดวกให้มีเวทีเล่นน้ำเหมือนที่เคยเป็นในช่วงก่อนโควิดเช่นกัน ดังนั้นการประท้วงสงกรานต์เงียบครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากช่วงสงกรานต์โควิดเมื่อปีที่แล้วที่ทำให้เมืองใหญ่ ๆ ในเมียนมาเสมือนเมืองร้างไร้ผู้คน
คำถามคือไม่ใช่คนทุกคนที่เอาด้วยกับการประท้วงแม้จะไม่เห็นด้วยกับกองทัพก็ตาม แต่การที่จะเล่นน้ำสงกรานต์ในปีนี้ ในภาวะการณ์แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรที่จะเอาตัวเองหรือครอบครัวเข้ามาเสี่ยงเพราะในเมียนมาการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ก็ยังไม่ได้ครอบคลุมและคนส่วนใหญ่ในเมียนมาก็เลือกแล้วที่จะไม่ฉีดวัคซีน ดังนั้นไม่มีทางใดที่จะป้องกันอันตรายทั้งจากทหารและโควิด-19 ได้ดีกเท่ากับการอยู่บ้านซึ่งดูเหมือนว่าฝ่ายกองทัพก็ต้องการแบบนั้นเช่นกัน เพราะไม่เช่นนั้นกองทัพคงให้ในแต่ละเขตทำการสร้างเวทีสำหรับเล่นน้ำสงกรานต์ไปแล้ว
ที่มา: AYA IRRAWADEE
ข่าวดังรับสงกรานต์ของวันที่ 12 เมษายน คงหนีไม่พ้นเรื่องที่จีนยกหูติดต่อรัฐบาล CRPH เพื่อตกลงเจรจาผลประโยชน์ของจีนในเมียนมา แต่ก่อนจะมาถึงข่าวนี้หลายคนคงได้ทราบแล้วว่า รัฐบาลเงา CRPH นั้นจะเรียกได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่อยู่เบื้องหลังการประท้วงและการปล่อยข่าวต่างๆออกมา ซึ่งหนึ่งในข่าวเหล่านั้นคือข่าวที่ว่าจีนเป็นผู้ให้การสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่กองทัพเมียนมา
และเรื่องราวก็ลุกลามใหญ่โตจนไปถึงเรื่องของการเผาโรงงานและธุรกิจของชาวจีนในเมียนมาหลายแห่งรวมถึงธุรกิจตามนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่สิ่งที่ทางจีนห่วงที่สุดก็น่าจะเป็นท่อก๊าซในเมียนมาที่ต่อตรงจากเมืองเจาท์ผิ่วไปยังชายแดนจีน โดยมีระยะทางยาวมากกว่า 2,500 กิโลเมตร ซึ่งลงทุนโดย บริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติจีน (China National Petroleum Corp : CNPC) และนั่นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทางจีนมองว่าได้ไม่คุ้มเสียหากไม่หาทางป้องกัน
เพราะจีนน่าจะรู้ดีที่สุดว่างานนี้ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังและการที่จีนยกหูถึงรัฐบาล CRPH ครั้งนี้ก็อาจจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าจีนเลือกหนทางแบบพ่อค้าดีกว่าหนทางแบบมาเฟียคือดีลกับทุกค่าย ใครแพ้ ใครชนะ จีนก็ไม่มีวันแพ้ แต่ถ้างานนี้รัฐบาล CRPH ยอมซูเอี๋ยกับทางรัฐบาลจีน อาจจะถึงคราวกลืนน้ำลายตัวเอง และนี่อาจจะเป็นจุดที่ทาง CRPH ต้องเลือกก็เป็นได้ เพราะทุกวันนี้แม้ชาติตะวันตกจะให้การรับรู้ว่ามีรัฐบาลพลัดถิ่นของ CRPH แต่ก็ไม่มีประเทศไหนได้ให้การรับรองรัฐบาล CRPH แม้แต่สหรัฐอเมริกาเองก็ตาม นั่นแสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจต่อสหรัฐอเมริกาที่มีต่อเมียนมาในยามวิกฤตและถ้าหากรัฐบาลจีนยอมรับรองรัฐบาลพลัดถิ่น CRPH แล้วละก็ งานนี้กลุ่มผู้ประท้วงผู้รักประชาธิปไตยคงได้หันตัวแบบ 365 องศากันเลยทีเดียว หรือไม่ก็อาจจะเกิดกระแสตีกลับก็เป็นได้ เพราะจากคนที่เคยเกลียดจีนเข้าไส้ ต้องหันมาจูบปากกันอย่างดูดดื่มซึ่งเชื่อได้ว่าถ้าออกรูปนี้จริงเอย่าว่าดูไม่จืดแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามถามว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นแผนดึงเมียนมากลับมาเป็นมหามิตรของจีนอีกครั้งได้หรือไม่ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าเป็นไปได้ งานนี้คงต้องขึ้นกับรัฐบาล CRPH แล้วละว่าหากมีการต่อสายตรงถึงกันจริงจะยังชังกันอยู่หรือยอมกลืนน้ำลายตัวเองเสียเครดิตกับมวลชนนิดหน่อยแต่ได้ประเทศใหญ่และมีศักยภาพอย่างจีนมาเป็นมิตรเช่นเดิม สุดท้ายรัฐบาล CRPH อาจจะต้องประเมินว่าหากกลับไปจูบปากกับจีนคนเมียนมาปัจจุบันที่เป็นมวลชนของ CRPH จะรับได้ไหมหรือรัฐบาล CRPH จะแก้ลำอย่างไร แล้วคนเมียนมาจะเชื่อไหม หรือสุดท้ายคนเมียนมาจะตื่นรู้ว่าสุดท้ายพวกเขาก็คือเบี้ยของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองที่เมื่อสมยอมตกลงกันได้ อะไรที่ผ่านมาก็เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
ที่มา: AYA IRRAWADEE
เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ 13 เมษายน นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังผู้สูงอายุ ครอบครัวพี่น้องชาวไทย รวมถึงผู้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานด้านกิจการผู้สูงอายุ โดยหวังให้คนไทยตื่นตัวเรื่องสังคมสูงอายุให้มากเพราะเกี่ยวข้องกับคนทุกคน รัฐบาลจึงได้กำหนดให้ “สังคมสูงอายุ”เป็นวาระแห่งชาติ และได้สานต่อแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ (พ.ศ.2545-2565) เพื่อสร้างความพร้อมสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ที่คาดการณ์ปี 2564 จะมีประชากรไทย อายุ 60 ปีขึ้นไปในสัดส่วนร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป จะมีคนไทยอายุถึง 60 ปี ปีละล้านคน รวมถึงในปี 2576 สัดส่วนผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มสูงถึงร้อยละ 28 เข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด
สำหรับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการผู้สูงอายุ รัฐบาลกำหนดให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อนวัยสูงอายุ (25-59 ปี) และผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ในส่วนกลุ่มก่อนวัยสูงอายุ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการออม การสร้างทัศนคติไม่มองผู้สูงอายุเป็นภาระ การให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลผู้สูงอายุ และการปรับสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสภาพผู้สูงอายุ ส่วนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้สูงอายุ จะเน้นการเสริมทักษะการทำงานใหม่ การสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างที่จ้างผู้สูงอายุ การสร้างงานผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบ สนับสนุนเงินทุนกู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพผู้สูงอายุ ในด้านสุขภาพ รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาระบบการให้บริการสาธารณสุขให้ผู้สูงอายุได้รับการตรวจ ป้องกัน และดูแลสุขภาพในระยะยาวที่บ้านและในชุมชนตามระดับความจำเป็น
นางสาวรัชดา กล่าวว่า นอกจากจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลการรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย ยังพบว่าคนไทยมีอายุยืนขึ้น และผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย ในปี 2563 ผู้หญิงมีอายุเฉลี่ย 80.4 ปี ผู้ชายมีอายุเฉลี่ย 73.2 ปี และในปี 2583 อายุเฉลี่ยทั้งเพศหญิงและชายอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 83.2 ปี และ 76.8 ปี ดังนั้น เพื่อเชิญชวนให้คนไทยออมเงินจะได้มีใช้ในวัยเกษียณ ด้วยการเริ่มต้นการออมขณะที่อายุยังน้อย โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ เช่น เกษตรกร รับจ้างทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า วินมอร์เตอรไซด์ เป็นต้น
รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการในหลายรูปแบบเพื่อสร้างหลักประกันในวัยเกษียณแก่ประชาชน คือ 1) การออมของผู้มีอาชีพอิสระ เริ่มออมได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี ผ่านกองทุนเงินออมแห่งชาติ (กอช.) รัฐบาลช่วยสมทบด้วย ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกกว่า 2.4 ล้านคน 2) สำนักงานประกันสังคม เมื่อปีที่แล้วได้ปรับปรุงกฎหมายเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีอายุเกิน 60 ปี แต่ไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ขณะนี้มีจำนวนผู้ประกันตนกว่า 3.5 ล้านคน และ 3) ล่าสุด มี.ค.ที่ผ่านมา ครม.เห็นชอบร่างกฎหมายตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เพื่อการออมไว้ใช้ยามเกษียณของลูกจ้างในระบบทุกประเภท
"นายกรัฐมนตรีกล่าวในหลายโอกาสว่า อยากให้คนไทยทุกช่วงวัย เห็นคุณค่าของการออม ซึ่งถือเป็นการวางแผนชีวิตในระยะยาวสำหรับทุกคน เพื่อสร้างหลักประกันด้านรายได้ มีเงินพอใช้ในการดำเนินชีวิตในช่วงสูงอายุ และยามจำเป็น แม้เวลานี้เราจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รายได้ลดลง ก็ขอให้คำนึงถึงการออมเพื่อบั้นปลายชีวิตด้วย รัฐบาลได้ออกมาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเดินหน้าการกระจายการฉีดวัคซีน ซึ่งคาดว่า ในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้น" นางสาวรัชดา ฯ กล่าว