Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

พีค of the week EP.13

ข่าวพีค ๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา ขอจัดมาเป็นคู่ ๆ เริ่มต้นจาก ‘คู่สู้..คู่อดข้าว’ รุ้ง – ปนัสยา และ เพนกวิน – พริษฐ์ ที่ฝ่ายชายอดข้าวเพื่อเรียกร้องขอประกันตัวมากว่า 15 วัน ส่วนฝ่ายหญิง หลังจากไม่ได้รับการประกัน ก็ประกาศอดข้าวตามเพื่อนเช่นกัน งานนี้อดกันเป็นคู่ ต้องรอดูว่า ศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่

อีกคู่ที่มาแรงในรอบสัปดาห์ ชิงพื้นที่ความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อย ‘คู่เต้นตู่’ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ จตุพร พรหมพันธุ์ หลังจากที่ฝ่ายแรกพ้นโทษกลับคืนสู่อิสรภาพ ก็จัดแถลงจุดยืน เคียงข้างม็อบเยาวชนทันที ด้านเดอะตู่ อดีตคู่หูแกนนำนปช. ก็จัดหนักไม่ให้น้อยหน้า ประกาศชุมนุม ‘ไล่นายกฯ’ งานนี้มืออาชีพสายม็อบคัมแบ็กคืนเวที จะยืนระยะยาวแค่ไหน ต้องรอดู

ยังมีข่าวพีคอื่น ๆ รออยู่อีกมากมาย ไปติดตาม พีค of the week ep.13 กันได้เลย Let’s go go go!

.

.

LG Electronics Inc. กำลังปิดหน่วยสมาร์ทโฟน เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและมุ่งเน้นไปที่โครงการในอนาคตเช่นส่วนประกอบของรถยนต์ไฟฟ้า หลังแผนกนี้ขาดทุนอย่างหนัก

LG จะยุติการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรในด้านการเติบโตรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV), บ้านอัจฉริยะ, หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์

ทั้งนี้ โทรศัพท์มือถือคิดเป็น 8.2% ของยอดขาย LG ในปีที่แล้ว โดยบริษัทฯ คาดว่าจะมีการสูญเสียรายได้อีกในระยะสั้น ฉะนั้นหากบริษัทปิดธุรกิจนี้ น่าจะเป็นผลดีทางการเงินในระยะยาว แล้วไปเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงไปทุ่มพัฒนาเทคโนโลยีมือถือเช่นระบบเครือข่ายและกล้องรุ่นที่ 6

สำหรับ LG เริ่มผลิตโทรศัพท์มือถือครั้งแรกในปี 1995 และ LG เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกระบบปฏิบัติการ Android โดยร่วมมือกับ Google ของ Alphabet Inc. ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน Nexus และผลิตกล้องและเทคโนโลยีการแสดงผลที่ดีที่สุดในกลุ่มนี้

โดย LG Electronics เคยเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ยิ่งไปกว่านั้นในแง่ของส่วนแบ่งการตลาดในตลาดสหรัฐ LG ก็เคยเป็นอันดับสามรองจาก iPhone ของ Apple Inc. และSamsung Electronics Co. จากประเทศเดียวกัน

แต่ปัจจุบัน LG สู้คู่แข่งไม่ได้มาหลายปี และจากนั้น OnePlus ของจีน ก็พุ่งพรวดเข้ามาแทนที่ท่ามกลางการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปทั่วโลกให้กับคู่แข่งจากต่างประเทศ โดยธุรกิจมือถือของ LG ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่มาตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2015มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานสะสมถึง 5 ล้านล้านวอน (4,400 ล้านดอลลาร์) ในปีที่แล้วตามรายงานของสำนักข่าวยอนฮัป

ดังนั้นในเดือนมกราคมผ่านมา ทางบริษัทจึงตัดสินใจทบทวนทิศทางของธุรกิจสมาร์ทโฟนใหม่ ด้วยการปิดไลน์ธุรกิจดังกล่าว ทั้งๆ ที่เมื่อเดือนก่อนหน้านั้นสัญญาว่าจะขายโทรศัพท์แบบพับได้ในปีนี้


ที่มา: https://www.posttoday.com/world/649675

‘ศิริกัญญา ตันสกุล’ กล่างถึงกรณีไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว จี้รัฐเร่งฉีดวัคซีนให้ครบ - ออกมาตรการการเงินช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพราะถือเป็นโอกาสสุดท้ายของประเทศขออย่าพลาดเป้าซ้ำรอยเดิม

นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฝ่ายนโยบาย เปิดเผยทางเฟซบุ๊กแฟนเพจพรรคก้าวไกล ว่า หลังจาก ศบศ. มีข่าวดีเรื่องมาตรการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3 ระยะ ระยะแรก เริ่มแล้วตั้งแต่เมื่อ 1 เม.ย. เปิดรับเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส แต่ยังต้องมีการกักตัวในโรงแรม 7 วันโดยไม่ต้องกักตัวในห้องพัก หลังจากนั้นจะสามารถเดินทางไปพื้นที่ปิดเพื่อท่องเที่ยวในพื้นที่ที่กำหนดภายนอกโรงแรมได้ โดยพื้นที่นำร่องได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา เกาะสมุย พัทยา และเชียงใหม่ ระยะที่ 2 ดีเดย์วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตได้และต้องกักตัวอยู่ในภูเก็ตอย่างน้อย 7 วัน ก่อนที่จะสามารถเดินทางไปที่อื่นๆ ได้ และใช้มาตรการป้องกันควบคู่กับ Vaccine Certificated รวมถึงใช้แอปพลิเคชันติดตามตัว ส่วนระยะที่ 3 ในไตรมาส 4 ปี 2564 จะเพิ่มพื้นที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่ต้องกักตัวมากขึ้น เช่น กระบี่ พังงา เกาะสมุย พัทยา และเชียงใหม่

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนทางมาจำนวน 1 แสนคนในไตรมาส 3 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศยุโรป และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 6.5 ล้านคนในปี 2564

เท่ากับเรามีเวลาอีก 3 เดือน เพื่อเตรียมตัวเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังมีอีก 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาให้ทัน เรื่องแรกคือการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในจังหวัดนำร่องให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ หรือ herd immunity ให้ทันเวลา และเรื่องที่ 2 คือ เตรียมการให้ผู้ประกอบการพร้อมรับนักท่องเที่ยว

สำหรับเรื่องแรก การเร่งฉีดวัคซีน เพื่อเตรียมรับการเปิดประเทศในเดือนกรกฎาคม ภูเก็ตจะได้วัคซีนราว 100,000 โดส สำหรับ 50,000 คน ในปัจจุบันอัตราการฉีดในภูเก็ตขณะนี้ยังอยู่ที่วันละ 4,000 คนเท่านั้น และยังต้องรออีกระยะเพื่อให้ประชาชนเกิดภูมิคุ้มกัน ตอนนี้ได้รับจัดสรร 50,000 โดสแรกมาแล้ว จากรายงานข่าวของมติชน สาธารณสุขคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้คนภูเก็ตได้เพิ่มเป็นวันละ 7,000 คน นั่นหมายความว่าหากเป็นไปตามแผน จังหวัดภูเก็ตก็จะกระจายวัคซีนล็อตสอง 50,000 โดส เสร็จสิ้นก่อนสงกรานต์ แต่หากจะฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ จังหวัดภูเก็ตต้องฉีควัคซีนให้ได้ถึง 70% หรือคิดเป็นประชากรราว 460,000 คน ซึ่งต้องใช้วัคซีนประมาณ 920,000 – 930,000 โดส ก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ฉีดวัคซีนครบแล้วให้เดินทางเข้ามา นับว่าเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง

การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่เป็นเรื่องสำคัญมาก ถึงแม้เราจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วถึงจะเข้าประเทศได้ แต่อย่าลืมข้อเท็จจริงที่ว่าการฉีดวัคซีนโควิดนั้นจะช่วยลดความรุนแรงของอาการป่วย แต่ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ และการแพร่เชื้อ ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วจะยังเป็นพาหะของโรคโควิดและสามารถแพร่กระจายโรคได้ ประโยชน์ของการรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วอยู่ที่เราไม่ต้องเสียทรัพยากรทางการแพทย์ไปรักษานักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในจังหวัดนำร่องได้เพราะการกักตัวลดลงเหลือ 7 วัน ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดหลังกักตัวก็ควรมีการตรวจโควิดแบบ rapid test ดูว่าร่องรอยการติดเชื้อหรือไม่ เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่น่าจะสร้างความอุ่นใจให้ประชาชนได้ไม่น้อย

สำหรับเรื่องที่สอง ศิริกัญญา กล่าวถึง การเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการ ครม. เพิ่งมีมติเห็นชอบ 2 มาตรการทางการเงินช่วยเหลือ SME คือมาตรการซอฟต์โลนรอบที่ 2 วงเงิน 250,000 ล้านบาท และ มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ (Asset Warehousing) วงเงิน 100,000 ล้านบาท ที่มีแผนจะออกเป็น พรก. โดยอ้างว่าเป็นความเร่งด่วน แต่ยังไม่คลอดออกมาเสียที ทั้งที่ความจริงถ้าจะออกเป็น พ.ร.บ. ก็ไม่น่าจะมีใครขัดข้อง ยอมให้ตั้งกรรมาธิการทั้งสภาเพื่อเปิดช่องทางด่วนให้ผ่านวาระ 2,3 ได้ในวันเดียว แถมสภาฯ ก็เปิดสมัยวิสามัญกันอยู่เป็นระยะ

2 มาตรการช่วยเหลือด้านการเงินนี้ ดูจะเป็นความหวังสำหรับภาคท่องเที่ยว มาตรการซอฟต์โลนรอบ 2 น่าช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวได้สภาพคล่องไปเตรียมตัวเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากโรงแรมหลายแห่งต้องปิดตัวชั่วคราวมาระยะหนึ่งหลังการแพร่ระบาดและนักท่องเที่ยวหดหาย ข้อดีของมาตรการรอบนี้คือยอมให้เอกชนที่ยังไม่เคยมีหนี้กับแบงก์ขอกู้ได้ด้วย ยืดระยะเวลาการจ่ายคืนหนี้ออกไปได้สูงสุดถึง 10 ปี แต่ต้องยอมให้แบงก์ชาร์จดอกเบี้ยแพงขึ้นเป็น 5% และแก้ปัญหาแบงก์ไม่อยากปล่อยลูกค้ากลุ่มเสี่ยงอย่างภาคท่องเที่ยวด้วยการการันตีสินเชื่อโดย บสย. สูงถึง 40% ของพอร์ตสินเชื่อ และอยู่ระหว่างการออกประกาศสัดส่วนการันตีหนี้ตามขนาดของสินเชื่อ รายเล็กอาจจะได้ค้ำประกันในสัดส่วนที่มากกว่าเพื่อจูงใจให้แบงก์กล้าปล่อยมากขึ้น

การแก้ไขซอฟต์โลนรอบนี้ก็คล้ายคลึงกับร่างแก้ไขพรก.ซอฟต์โลนที่พรรคก้าวไกลได้ยื่นต่อสภาไปแล้ว เพื่อปลดล็อกซอฟต์โลน 500,000 ล้านก้อนแรกที่ผ่านไปเกือบปี เพิ่งปล่อยออกไปเพียง 130,000 ล้าน เพราะแบงก์เองยังไม่กล้าปล่อยด้วยความที่กลัวความเสี่ยง และดอกเบี้ย 2% นั้นเข้าเนื้อ ส่วนลูกหนี้ก็บ่นว่าให้กู้แค่ 2 ปีจ่ายคืนหนี้ไม่ไหว

ส่วนมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ หรือ Asset Warehousing น่าจะมาช่วยต่อลมหายใจ ลูกหนี้ที่ใกล้จะหมดลม เพราะจ่ายหนี้ไม่ไหว มาตรการนี้จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการปรับโครงสร้างหนี้ โดยการยกทรัพย์สิน เช่น อาคาร หรือที่ดินให้เป็นของแบงก์แทนการจ่ายหนี้ ลูกหนี้ยังคงสิทธิ์ในการซื้อคืนในราคาตีโอน เช่น ธุรกิจโรงแรมสามารถโอนตึกโรงแรมให้เป็นของแบงก์เพื่อปลดหนี้ส่วนหนึ่ง หลังจากนี้ยังสามารถเช่าใช้ตึกทำธุรกิจต่อได้ จนครบ 5 ปีก็สามารถซื้อคืนได้ตามมูลค่าที่แบงก์ตีราคาในวันที่โอน บวกค่าใช้จ่าย carrying cost 1% และค่าบำรุงรักษา ส่วนแบงก์เองก็น่าจะชอบแนวทางนี้ เพราะนอกจากจะได้ซอฟต์โลนจากแบงก์ชาติ ในอัตรา 0.01% แล้ว ยังไม่ต้องกันสำรองหนี้ที่กำลังจะกลายเป็น NPL กำไรเพิ่มเห็น ๆ

ดูเผินๆ ก็น่าจะช่วยแบ่งเบายอดหนี้ให้กับลูกหนี้ ส่วนแบงก์ก็ได้ลดหนี้ NPL วิน-วินทั้งสองฝ่าย แต่ก็ต้องตามดูในรายละเอียดที่ออกตามมา ในการกำกับดูแลการคิดค่าเช่า ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา การประเมินราคาว่าจะเป็นธรรมกับทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้หรือไม่ หรือกลายจะเป็นการอุ้มแบงก์เหมือนที่ผ่าน ๆ มา

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ รอแค่ให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการนี้มาโดยเร็ว ให้ทันการณ์ และจะรอช้าไม่ได้ เพราะประเทศกำลังจะเปิดรับนักท่องเที่ยวชุดใหญ่ในอีกไม่กี่เดือนแล้ว กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวได้มีสภาพคล่องไปรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว ปรับปรุงฟื้นฟูสถานที่ เตรียมการจ้างงาน ถึงแม้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะกลับมาไม่มากเท่าเดิมในปีนี้ และไม่น่าจะถึงเป้า 6.5 ล้านคนที่ ททท. คาดหวัง แต่ก็เป็นการต่อลมหายใจให้เมืองท่องเที่ยวได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาผงกหัวขึ้นได้ต่อในปี 2564

“ที่ต้องออกมาเตือนกัน เพราะไม่อยากให้ซ้ำรอยเดิม ที่รัฐบาลเพิกเฉยกับงบฟื้นฟูที่มีอยู่ตรงหน้า ทำให้พลาดโอกาสพลิกฟื้นเศรษฐกิจไปอย่างน่าเสียดาย โครงการต่างๆ ตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านภายใต้ พรก.เงินกู้ 1 ล้านล้าน ที่เพิ่งอนุมัติกันไปเพียง 130,000 ล้านบาท เบิกจ่ายไปได้ไม่ถึงครึ่ง มีโครงการพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว งบ 15 ล้าน เบิกจ่ายไปไม่ถึง 2 ล้าน หรือแม้แต่โครงการเราเที่ยวด้วยกันที่แป๊กแล้วแป๊กอีก วาดฝันโครงการไว้ 20,000 ล้าน แต่เพิ่งใช้งบไปเพียง 8,700 ล้านบาทเท่านั้นเอง” นางสาวศิริกัญญา กล่าวปิดท้าย

4 เมษายน ตรงกับเทศกาลอีสเตอร์ของชาวคริสต์ ที่เชื่อว่าเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ ฟื้นคืนชีพจากความตาย หลังสิ้นพระชมน์จากทัณฑ์ทรมานบนไม้กางเขน จึงเป็นวันที่ชาวคริสต์ทั่วโลกจะจัดงานเฉลิมฉลอง รื่นเริง ในโบสถ์ และจะมีกิจกรรมที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้

และกลุ่มผู้ประท้วงชาวพม่า ก็ไม่พลาดกับเทศกาลนี้ ด้วยการนัดกันเอาไข่ไก่มาระบายสี เขียนข้อความ และสัญลักษณ์ต่อต้านการรัฐประหาร พร้อมผูกข้อมือด้วยด้ายดิบสีขาว ออกมาชูไข่อีสเตอร์ ประท้วงรัฐบาลทหารพม่ากันอย่างคึกคัก

โดยเฉพาะในเมืองย่างกุ้ง ที่มีกิจกรรมระบายสีไข่ไก่แจกจ่ายให้แก่ผู้ประท้วง รวมกลุ่มเดินขบวนประท้วง ชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว ที่มีไข่อีสเตอร์ในอุ้งมือ และจัดพิธีจุดเทียนไว้อาลัยผู้ชุมนุมที่เสียชีวิต ในค่ำคืนที่ชาวคริสต์ทั่วโลกฉลองเทศกาลอีสเตอร์

และในทวิตเตอร์ ก็ได้เปิดแฮชแท็ก #EasterEggStrike และแชร์ภาพกิจกรรมการประท้วงด้วยไข่อีสเตอร์ให้แพร่หลาย

ทางด้าน โป๊บ ฟรานซิส แห่งวาติกัน ก็ได้ออกมาชื่นชมเยาวชน หนุ่มสาวชาวพม่าที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ในงานพิธีกล่าวประทานพรชาวคริสต์ในเทศกาลอีสเตอร์ หน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร ในนครวาติกัน และกล่าวย้ำว่า ความรักเท่านั้นที่จะขจัดความเกลียดชังของมนุษย์ได้

สำหรับพม่าจัดว่าเป็นประเทศของชาวพุทธ โดยมีชาวคาทอลิก เพียง 1% ของประชากรพม่าเท่านั้น แต่หลังจากที่เกิดการรัฐประหารในพม่าในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และเริ่มมีการปะทะกันอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิต ก็เกิดภาพข่าวที่สะเทือนใจชาวคริสต์ทั่วโลก เมื่อมีแม่ชีพม่า คุกเข่าต่อหน้ากองกำลังทหารติดอาวุธ เพื่อร้องขอชีวิตให้กับผู้ชุมนุม

และในวันอีสเตอร์ ม็อบชาวหม่อง จึงหยิบไอเดียการใช้ไข่อีสเตอร์ เขียนข้อความ ระบายสัญลักษณ์ของการประท้วง เพื่อดึงความสนใจชาวคริสต์ทั่วโลกอีกครั้ง

สำหรับไข่อีสเตอร์ ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ และการฟื้นคืนชีพ ที่ผู้ประท้วงชาวพม่าเชื่อว่า แม้พวกเขาจะถูกปราบปรามหนัก ล้มตายสักแค่ไหน แต่พวกเขาจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน


อ้างอิง:

https://www.ucanews.com/news/pope-lauds-myanmar-youths-commitment-to-democracy/91984#

https://news.sky.com/story/myanmar-egg-strike-to-an-empty-st-peters-square-how-the-world-is-spending-easter-12265781

วันจักรี ตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุกปี เนื่องมาจากเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงเสด็จปราบดาภิเษกขี้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และเป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรี 

ความสำคัญของวันจักรี

วันจักรี (Chakri Memorial Day) คือ วันที่ระลึกถึงมหาจักรีบรมราชวงศ์ เป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี 

อีกทั้งยังเริ่มก่อสร้างพระนครแห่งใหม่ในนาม กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์ ที่นับว่าเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ถัดจากกรุงธนบุรี ซึ่งเมื่อครั้งที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานีนั้น มีอาณาบริเวณรวมทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เป็นเมืองหลวงที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง 

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเปลี่ยนนามใหม่ จาก กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์ เป็น กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ซึ่งช่วงเวลาตั้งแต่ก่อตั้งกรุงเทพมหานครฯ เมื่อปี พ.ศ. 2325 มักเรียกกันว่า สมัยรัตนโกสินทร์ เช่นเดียวกันกับที่เคยเรียกยุคสมัยที่ผ่านมาในสยาม 

นอกจากนั้น ในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งเป็นวันจักรีของทุกปี รัฐบาลยังได้ประกาศเป็นวันหยุดราชการ แต่หากในปีใดที่วันจักรีตรงกับวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ก็ให้หยุดชดเชยได้ในวันทำการวันต่อไป


ขอบคุณที่มา: http://event.sanook.com/day/chakriday/

“ชวน”ขอดูองค์ประชุมรัฐสภาก่อน หลังส.ส.ประกาศกักตัว 14 วัน ชี้หากตรวจไม่พบเชื้อสามารถร่วมประชุมได้ปกติ

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัยประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าวถึงกรณีที่ส.ส.และส.ว.อาจติดเชื้อโควิด-19 จนไม่สามารถเข้าร่วมประชุมรัฐสภาในวันนี้ทางรัฐสภามีมาตรการป้องกันโควิดป้องกันโควิดที่เข้มงวด ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ส่วนใครที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่าไปใกล้ชิดเอกอัคราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ก็ได้ไปตรวจหาเชื้อครบทุกคนแล้ว ไม่พบว่าบุคคลใดติดเชื้อ อีกทั้งท่านทูตก็ติดเชื้อหลังจากงานเลี้ยงดังกล่าว 

แต่สำหรับกรณีล่าสุดที่ไปร่วมกิจกรรมวันเกิดพรรคภูมิใจไทย และมีส.ส.ขอกักตัว 14 วันนั้น ตนยังไม่ทราบเพียงแต่วันนี้เราก็ต้องประชุมร่วมเรากันตามปกติ และต้องรอดูเรื่ององค์ประชุมว่าจะมีปัญหาหรือไม่  อย่างไรก็ตามหาก ส.ส.ไปตรวจแล้วไม่พบว่าติดเชื้อ ก็สามารถเข้าร่วมประชุมรัฐสภาได้ตามปกติ เมื่อถามว่าหากองค์ประชุมไม่ครบมีแผนรองรับอะไรหรือไม่นายชวนกล่าวว่า ไม่มีแผนรองรับ เพราะสมาชิกรัฐสภาไม่สามารถสำรองได้ แต่เชื่อว่าสมาชิกไม่ได้ติดเชื้อโควิดกันทุกคน

“บิ๊กตู่”ยอมรับกังวล​โควิด ครม.ลาประชุมเยอะ เผยตรวจSwob แล้วยังไม่พบเชื้อ ‘ย้ำ’ห่วงความรู้สึก​ประชาชน จ่อออกมาตรการคุมเข้ม​เพิ่มเติม

วันที่ 7 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนให้ประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยกล่าวยอมรับว่า กังวลถึงการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิค 19 ในขณะนี้ ซึ่งมีบุคคลใกล้ชิดคณะรัฐมนตรีติดเชื้อโควิค 19 ถึงทำให้ต้องลาประชุมและกักตัวเพื่อดูอาการ 14 วัน จึงได้มีการเปลี่ยนการประชุมผ่านระบบ Video Conference รวมทั้งในส่วนของกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีการยกเลิกไป โดยให้กลับไปทำงานที่บ้าน สำหรับตน ได้มีการตรวจหาเชื้อโควิดแบบ Swob แต่ยังไม่พบเชื้อ

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการเรียกประชุมด่วน ศบค.ก่อนช่วงสงกรานต์หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องประชุมอะไรอีก ที่ผ่านมาได้มีการสั่งกำชับด้านมาตรการในทุกวันอยู่แล้ว พร้อมให้แนวคิดนำไปพิจารณาร่วมกันในคณะกรรมการส่วนที่เกี่ยวข้อง และในวันนี้อาจจะมีมาตรการออกมาเพิ่มเติมอีก ถึงอย่างไรก็ตามจะต้องห่วงความรู้สึกของประชาชน โดยทุกคนจะต้องร่วมมือกันหากไม่ร่วมมือก็จะเกิดขึ้นแบบนี้ซ้ำอีก พร้อมขอให้ระมัดระวัง​มากขึ้น ซึ่งก็ได้มีการกำชับ ครม.ไปแล้วทุกคน ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน ขออย่าให้อะไรต้องแย่ไปกว่าเดิมซึ่งก่อนเดินขึ้นตึกบัญชาการ 1 นายกรัฐมนตรี ยังได้ย้ำว่า เป็นห่วงประชาชนและได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว

"สุชาติ" เชื่อ​ รมต.ทุกคนระมัดตัวดี​ เล็งเสนอครม.ขยายเวลาตรวจเชื้อโควิด-19 ออกไป​ 1-2เดือน

​วันที่ 7 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล​ นายสุชาติ​ ชมกลิ่น​ รมว.แรงงาน​ ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี​ (ครม.)​ ถึงกรณีที่มีรัฐมนตรีกักตัวหลายคน​ สืบเนื่องจากคณะทำงานติดเชื้อโควิด-19​ ว่า​ รัฐมนตรีทุกคนระมัดระวังตัวเองอยู่แล้ว ส่วนที่ต้องกักตัวเพราะมีการบอกต่อ ๆ กันว่าคนนั้นคนนี้ที่มาหาติดเชื้อโควิด-19​ ซึ่งเชื่อว่ารัฐมนตรีระมัดระวังตัวเอง​ เช่น เดียวกับตนที่ระมัดระวังตนเอง สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้คิดว่ารัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขกำลังหามาตรการควบคุมอย่างดีที่สุด 

ส่วนในภาคแรงงานนั้น ได้กำชับไปทุกสถานประกอบการให้มีการป้องกันอย่างเข้มงวด​ ส่วนแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนก็ได้มีการตรวจหาเชื้อไปหลายแสนรายแล้ว​ โดยวันเดียวกันนี้จะขออนุมัติที่ประชุม​ ครม. ขยายเวลาในการตรวจหาเชื้อโควิด-19​ ของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ทันวันที่ 16 เมษายนนี้ โดยจะขยายการตรวจออกไป 1-2 เดือน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทุกคนเป็นห่วงคือแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาโดยการให้ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้รับการตรวจโควิด-19 เป็นการตัดประเด็นที่น่ากังวลออกไปทีละประเด็น

"เสรีพิสุทธ์" เผยความคืบหน้ายื่นถอดถอน "สิระ" เชื่อ คดีออกมาเป็นธรรม ยัน สิระไม่มีหลักฐานมาหักล้างได้แน่

วันที่ 7 เมษายน 2564 ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องวินิจฉัยถอดถอน นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ หลังนายสิระเคยต้องคำพิพากษาของศาลแขวงปทุมวัน มีความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามีโทษ จำคุก 4 เดือน แต่ตีตกคำร้องที่ขอให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากไม่มีเอกสารแสดงหลักฐานว่าคดีถึงที่สุดแล้ว ว่า ตนได้มีหนังสือไปถึงศาลแขวงปทุมวัน เพื่อขอคำพิพากษาและหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดด้วย แต่ศาลแขวงปทุมวันให้ได้แต่เพียงคำพิพากษา ซึ่งในคำพิพากษาเป็นคดีที่นายสิระรับสารภาพจึงถูกศาลพิพากษาจำคุก ตนจึงส่งคำพิพากษาผ่านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ว่าไปตามเนื้อหาสาระและรับเรื่องไว้แต่ยังไม่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า ซึ่งต่อมาศาลก็ส่งเรื่องไปยังผู้ถูกร้อง คือ นายสิระเพื่อให้ชี้แจง ซึ่งนายสิระให้การต่อศาลว่าหลังจากที่มีคำพิพากษาแล้วได้ประสานกับผู้เสียหายเพื่อขอผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือน ทั้ง ๆ ที่ นายสิระคุยโวโอ้อวดร่ำรวยมหาศาล แต่เงินแค่ 200,000 บาท ยังต้องขอผ่อนเลย ซึ่งปรากฏว่าไม่มีหลักฐาน ผู้เสียหายเป็นใครก็บอกว่าจำไม่ได้ หนังสือผ่อนชำระหนี้ก็ไม่มีเป็นเพียงการอ้างลอย ๆ และถ้าผ่อนชำระหนี้เสร็จจริง ผู้เสียหายก็ต้องแจ้งอัยการว่าได้รับชำระหนี้แล้ว อัยการก็ต้องแจ้งต่อศาล 

หลังจากนั้นศาลก็จะเข้ามาซักถามว่าจำเลยชำระค่าเสียหายจริงหรือไม่ และจะออกรายงานว่าจำเลยชดใช้ค่าเสียหายเรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่มีหลักฐาน ฉะนั้นการที่นายสิระอ้างว่าได้ชดใช้แล้วจึงไม่มีหลักฐาน ซึ่งต่อมานายสิระได้ถามไปยังกรมราชทัณฑ์ว่าตัวเองเคยติดคุกหรือไม่ เนื่องจากนายสิระติดคุกเมื่อปี 2538 แต่ปี 2547 เกิดอุทกภัยน้ำท่วม จึงไม่มีหลักฐานว่านายสิระเคยจำคุกหรือไม่ พยานหลักฐานตรงนี้ก็ฟังไม่ได้อีก

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า เมื่อศาลพิพากษาแล้วหากไม่มีการขอหนังสือรับรองของโจทก์หรือจำเลยก็จะมีแต่คำพิพากษา สำนวนของศาลที่ลงโทษชั้นต้น สำนวนชั้นอุทธรณ์(ถ้ามี) ก็จะเก็บไว้เมื่อ แต่เมื่อเวลาผ่านมานานศาลก็จะมีระเบียบ เช่น ผ่านมา 20  ปี ขึ้นไปให้ทำลายก็จะเหลือแต่คำพิพากษา ฉะนั้น คดีนี้มีเพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น สอดคล้องกับที่คุณสิระบอก ไม่มีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งการที่นายสิระอ้างว่าชดใช้แล้วจึงไม่มีหลักฐาน

เมื่อถามว่าหลักฐานที่มีอยู่จะสามารถถอดถอนหรือเอาผิดนายสิระได้หรือไม่ เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ ตนได้ข่าวว่าศาลรัฐธรรมนูญตั้งผู้พิพากษา 3 ท่าน ที่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมารับผิดชอบเรื่องนี้ และตนเชื่อว่าคดีนี้จะออกมาด้วยความเป็นธรรม คงจะไม่มีใครไปก้าวก่ายศาลได้ เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่านายสิระไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะมาหักล้างข้อกล่าวหาได้ กล่าวว่า ไม่มี เพราะที่อ้างมาก็อ้างลอย ๆ หมด

เลขาฯสมช. ยืนยัน สงกรานต์ยังข้ามจังหวัดได้ ยึด มาตรการป้องกันเดิม เน้น สวมแมส ล้างมือ เว้นระยะห่าง

วันที่ 7 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ ปฏิบัติการศูนย์บริหาร สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 (ศปก.ศบค.)ให้สัมภาษณ์ถึงการทบทวนมาตรการช่วงสงกรานต์ เพื่อป้องกัน โควิด-19 ขณะนี้ยังคงดำเนินมาตรการเดิม แต่ได้เน้นย้ำให้มีการเว้นระยะห่างสวมหน้ากากอนามัย นอกนั้นยังสามารถดำเนินการได้ตามที่เคยอนุญาต รวมถึงการเดินทางข้ามจังหวัดยังทำได้ปกติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top