Tuesday, 8 July 2025
NewsFeed

'สุชาติ' รมว. แรงงาน สั่งการด่วนให้ประกันสังคม ให้การช่วยเหลือลูกจ้าง เจ็บ ตาย ที่ประสบเหตุเพลิงไหม้ย่านสำเพ็ง

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2565 เวลาประมาณ 11.30 น. ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ห้างร้าน บ้านเรือนประชาชน ย่านสำเพ็ง ใกล้เคียงท่าน้ำราชวงศ์ ถนนราชวงศ์ แขวงจักรวรรดิ์ เขตสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพฯ ภายหลังเหตุเพลิงไหม้สงบเจ้าหน้าที่กู้ภัย เจ้าหน้าที่ดับเพลิง พร้อมอาสาสมัคร เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพลิงไหม้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และได้รับบาดเจ็บ 9 ราย นั้น ด้านนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใย สั่งการด่วนให้ นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เร่งตรวจสอบ และให้การช่วยเหลือลูกจ้าง ผู้ประสบเหตุทันที

นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยนางสาวรังสิมา ปรีชาชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบและเร่งให้การช่วยเหลือ ผู้ประสบเหตุทันที ในเบื้องต้นพบว่า ในจำนวนผู้ประสบเหตุ 6 ราย มี ลูกจ้าง ผู้ประกันตนเสียชีวิต 2 ราย ซึ่งเป็นลูกจ้างของห้างผ้าใบราชวงศ์ และได้รับบาดเจ็บ 4 ราย เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นเจ้าหน้าที่ ของมูลนิธิฮั่วเคี้ยวปอเต็กเซี่ยงตึ๊ง (ปอเต็กตึ๊ง) การประสบอันตรายในครั้งนี้ ลูกจ้างอยู่ระหว่างการทำงาน จะได้รับสิทธิจากกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคมได้เข้าให้การช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ ดังนี้

ผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุจำนวน 2 ราย เป็นลูกจ้างห้างผ้าใบราชวงศ์ ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ได้ดำเนินการชี้แจงสิทธิประโยชน์ ให้กับทายาทผู้ประกันตนที่เสียชีวิต ซึ่งได้รับ สิทธิประโยชน์ ดังนี้ 

รายที่ 1 ชื่อ นางสาวจิราพร สุ่มมาตร์ จะได้รับค่าทำศพจากกองทุนเงินทดแทน จำนวน 50,000 บาท ค่าทดแทนการขาดรายได้ 1,260,000 บาท และเงินบำเหน็จชราภาพ 134,653 บาท พร้อมดอกผล รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,444,653 บาท 

รายที่ 2 นาย PHEAK DOEUM ลูกจ้างห้างผ้าใบราชวงศ์ ชาวกัมพูชา จะได้รับค่าทำศพจากกองทุนเงินทดแทนจำนวน 50,000 บาท ค่าทดแทนการขาดรายได้ 722,904 บาท และเงินบำเหน็จชราภาพ 17,512 บาท พร้อมดอกผลเป็นเงินทั้งสิ้น 790,416 บาท

สำหรับผู้บาดเจ็บเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยของมูลนิธิฮั่วเคี้ยวปอเต็กเซี่ยงตึ๊ง (ปอเต็กตึ๊ง) ที่ได้เข้าให้ การช่วยเหลือในเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวน 6 ราย 

1.นายจิรภัทร จรรยานุภาพ 
2.นายสมใจ อ่อนภิรมย์ 
3.นายพรชัย นามกระโทก 
4.นายศิรสิทธิ์ ศิลารักษ์ เข้ารักษาตัวและออกจากโรงพยาบาลแล้ว 

ส่วนอีก 2 ราย คือ นายศรัณยพงค์ กิตติโชควัฒนา ยังคงพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหัวเฉียว และนาย SOMSAY VOLASANE ซึ่งพักรักษาตัวในห้อง ICU โรงพยาบาลกลาง โดยเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2565 นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้มอบนายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประกันตน พร้อมมอบของเยี่ยมให้กำลังใจ และชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับ สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับ สำนักงานประกันสังคมพร้อมดำเนินการตามนโยบายของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้การดูแลสิทธิประโยชน์ของลูกจ้าง ผู้ประกันตน ให้ได้รับความคุ้มครองพร้อมช่วยเหลือในยามเดือดร้อนทันที เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบประกันสังคม และเป็นหลักประกัน ความมั่นคงในการดำรงชีวิตแก่ลูกจ้าง ผู้ประกันตน เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดเป็นสำคัญ

ผู้บัญชาการทหารเรือ มอบประกาศเกียรติคุณยกย่องชมเชยกำลังพลกองทัพเรือ   

วันนี้ (27 มิถุนายน 2565)  เวลา 10.00 น. พลเรือเอก สมประสงค์ นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีมอบประกาศเกียรติคุณชมเชย กำลังพลกองทัพเรือที่ประกอบคุณงามความดี เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและสร้างชื่อเสียงแก่กองทัพเรือ ณ ห้องรับรองกองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ รวมถึงผู้บังคับบัญชาของกองเรือยุทธการ ร่วมพิธี 

พันจ่าตรี อนุชิต พรหมดอนกลอย เจ้าหน้าที่ส่งกำลัง หมวดส่งกำลัง แผนกส่งกำลังและซ่อมบำรุง กองสนับสนุน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ ช่วยเหลือแม่และเด็ก ซึ่งประสบอุบัติเหตุขับรถหลุดโค้งจมน้ำ บริเวณบ้านคำแก้ว ต.คำแก้ว อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ขณะเดินทางกลับบ้าน เพื่อร่วมงานศพมารดาที่บ้านเกิด ในพื้นที่ จ.บึงกาฬ ปัจจุบันผู้ประสบเหตุมีอาการปลอดภัย

การกระทำของ พันจ่าตรี อนุชิต พรหมดอนกลอย นับได้ว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับหน่วยงานต้นสังกัดคือ กองเรือยุทธการ และหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ รวมถึงกองทัพเรือนับเป็นบุคคลตัวอย่างที่สมควรได้รับการยกย่องชมเชยเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้กำลังพลของกองทัพเรือ และครอบครัว ได้ยึดถือเป็นแบบอย่างที่ดีสืบไป

‘สุริยะ’ ปลื้ม ‘ร้าน มอก.’ ทะลุ 13,060 ร้าน ประกาศชัด!! ‘ร้านเล็ก-ใหญ่’ ใครๆ ก็เป็นได้

สมอ. อนุมัติเซเว่นฯ กว่า 12,000 สาขา เข้าร่วมเป็น ‘ร้าน มอก.’ รวมยอดทะลุ 13,060 ร้าน ประกาศชัด ‘ร้าน มอก.’ ใคร ๆ ก็เป็นได้ หากขายสินค้ามาตรฐาน มอก. เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมยังคงเดินหน้าโครงการ ‘ร้าน มอก.’ อย่างต่อเนื่อง โดยมอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ดำเนินการ เพื่อสร้างเครือข่ายร้านจำหน่ายที่ใส่ใจในความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยการคัดเลือกสินค้ามาตรฐาน มอก. มาจำหน่ายภายในร้าน เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น รวมทั้งผลักดันให้ร้านค้าจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ที่ภาครัฐและเอกชนร่วมกันคุ้มครองความปลอดภัยในคุณภาพสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้บริโภคจะได้รับความปลอดภัยหากเลือกซื้อสินค้าจากร้านที่เข้าร่วมเป็นร้าน มอก. 

ปัจจุบันมีร้านจำหน่ายทั่วประเทศทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ เข้าร่วมโครงการร้าน มอก. กับ สมอ. แล้วจำนวน 49 ราย 13,060 ร้าน ซึ่งมีทั้งห้างสรรพสินค้า, โมเดิร์นเทรด, ร้านจำหน่ายทั่วไป, ร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าออนไลน์ที่มีความตระหนักและใส่ใจในความปลอดภัยของผู้บริโภค 

ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. จะให้ความรู้ด้านการมาตรฐานแก่ร้านจำหน่าย เพื่อให้มีองค์ความรู้ในการคัดเลือกสินค้าที่มีเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. มาจำหน่ายภายในร้าน โดยเฉพาะสินค้าที่ สมอ. ควบคุมจำนวน 136 รายการ ซึ่งกฎหมายบังคับให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เช่น พาวเวอร์แบงค์, อะแดปเตอร์, ปลั๊กพ่วง, หลอดไฟ, ไดร์เป่าผม, ของเล่น, ผงซักฟอก, ภาชนะเมลามีน, ถ่านไฟฉาย, ไฟแช็ก, เตาปิ้งย่าง, ฟิล์มยืดห่อหุ้มอาหาร เป็นต้น

มติการประชุมคณะกรรมการดำเนินการ ร้าน มอก. ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ (24 มิ.ย. 65) ที่ผ่านมา 
ได้อนุมัติให้ร้านจำหน่ายจำนวน 3 ราย ที่ยื่นคำขอต่ออายุเป็น ‘ร้าน มอก.’ ได้แก่ 
1) บริษัท ทวีโชค พาณิช จำกัด 
2) บริษัท แสงไพบูลย์เชียงราย จำกัด (เอสซีจี โฮม บุญถาวร เชียงราย) 
และ 3) บริษัท โฮมมาร์ท ช. โลหะกิจ จำกัด (เอสซีจี โฮม บุญถาวร กระบี่) และมีร้านจำหน่ายรายใหม่ จำนวน 2 ราย สมัครเข้าร่วมเป็น ‘ร้าน มอก.’  ได้แก่…

G7 ทุ่ม 6 แสนล้านฯ ล่อประเทศกำลังพัฒนาเข้าซบ ด้านอเมริกันชน เซ็ง!! สนแต่คนนอก ไม่แคร์คนใน

การประชุมกลุ่ม G7 ในประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ (26 มิถุนายน 2022) ที่ผ่านมา ประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ครั้งที่ 48 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ (26-28 มิถุนายน 2022) ที่เมือง Schloss Elmau แคว้นบาวาเรีย ในเยอรมัน ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, แคนาดา, ญี่ปุ่น และอิตาลี ได้มีข้อตกลงร่วมกันว่า…

ทางกลุ่ม G7 จะทุ่มเงินให้กับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งคาดว่าเป็นการปล่อยกู้ ไม่ใช่การกุศล แต่เพื่อการลงทุน โดยหวังจะดึงความนิยมให้ประเทศเหล่านั้นหันมาหาซบ G7 และมองข้ามโครงการ Belt and Road หรือ เส้นทางสายไหมใหม่ของจีน ผ่านโครงการยักษ์อย่าง The Partnership for Global Infrastructure and Investment เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้กับประเทศกำลังพัฒนา ที่จะทุ่มงบประมาณลงในโครงการนี้ถึง 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยการประชุมย่อยในครั้งนี้ น่าสนใจที่ทางฟาก สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำกลุ่ม ประกาศจะทุ่มเงินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปี เพื่อการนี้โดยเฉพาะด้วย

ถึงกระนั้น ก็มีคำถามว่า แล้วสหรัฐฯ จะไปหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาจากไหน ทางด้านทำเนียบขาวจึงได้ตอบว่า “จะเป็นการตั้งเงินงบประมาณจากรัฐบาลกลาง ประกอบกับการขอความร่วมมือจากกองทุนและธนาคารต่างๆ ไปจนถึงความร่วมมือจากภาคเอกชนยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา”

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้มีโครงการนำร่องที่ให้เงิน 2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท) แก่ประเทศแองโกลา โดยเป็นการรวมเงินจากกระทรวงพานิชย์, ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกแห่งสหรัฐอเมริกา และกองทุนภาคเอกชนที่เข้าไปลงทุนในแอฟริกา

CJ Worx ปล่อย 3 อาวุธทรงพลังแห่งยุคดิจิทัล ‘คืนชีพ-ติดสปีด’ ธุรกิจให้ยอดพุ่งไวหลังโควิด

‘Sringboardgun และ Spore’ ในเครือ CJ Worx Group จัด 3 อาวุธใหม่สู้ตลาดยุค Digital พร้อมช่วยธุรกิจไทยคืนชีพ ยอดขายพุ่งไวหลังยุคโควิดซา 

เรียกได้ว่าตลอดช่วง 2 ปีมานี้ สถานการณ์โควิดได้พรากโอกาสในการสร้างยอดขายและรายได้แก่แทบทุกธุรกิจ พร้อมทั้งสร้างผลกระทบให้เกิดแผลลึกร่วมด้วยในเวลาเดียวกัน

จากข้อมูลของ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยรวมถึง 58.1% 

อย่างไรก็ตามปัญหาจากโควิด ก็เป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมดของปัญหาที่แท้จริงทั้งหมดของภาคธุรกิจ ซึ่งยังมีอยู่อีกมายมายในเบื้องล่าง

นั่นก็เพราะ ถึงแม้ในปัจจุบันสถานการณ์โควิดดูมีท่าทีที่ดีขึ้น แต่สถานการณ์ของธุรกิจแบรนด์ไทยกลับยังแย่ลง!!

ยอดขายที่ลดลง, ฐานลูกค้าที่หายไป, ธุรกิจชะงัก รวมไปถึงเงินทุนหมุนเวียนมีปัญหา ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะผลกระทบจากโควิด แต่อีกส่วนหนึ่งคือประสิทธิภาพของการทำตลาดที่ยังควบไม่ทันกระแส Digital บูม!!

แน่นอนว่า การตลาดแบบ Digital เป็นตัวแปรสำคัญที่แบรนด์ธุรกิจไทยคงปฏิเสธได้ยาก ในการพาธุรกิจกลับมาต่อสู้ใหม่ได้อีกครั้ง

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เปิดปฏิบัติไล่ล่าผู้ต้องหา หลังนำอาวุธสงครามยิงถล่มบ้านคู่อริ

จากกรณีสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.65 เวลาประมาณ 23.00 น. มีคนร้ายจำนวน 2 คน นำอาวุธปืนสงครามชนิดเอ็ม 16 ยิงถล่มบ้านและรถของนายภาสกร หลินมา อายุ 38 ปี ผู้เสียหาย ขณะที่ตนเองและครอบครัวกำลังพักผ่อนภายในบ้าน ในพื้นที่ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ทำให้คนในบ้านต้องพยายามหนีเอาชีวิตรอด วิ่งหลบกันชุลมุน ซึ่งต่อมาผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายนั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ควบคุมการปฏิบัติในการสืบสวนติดตามและจับกุมคนร้ายกรณีดังกล่าวอย่างเร่งด่วนเนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกหวาดกลัวและไม่มั่นใจความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะกลุ่มคนร้ายมีการนำอาวุธปืนสงคราม ซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงมาใช้ก่อเหตุ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ฯ ได้ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9, พล.ต.ต.วัลลพ จำนงค์อาษา รอง ผบช.ภ.9,พล.ต.ต.ทิวธวัช นครศรี ผบก.สส.ภ.9, พล.ต.ต.ตานิตย์ รามดิษฐ์ ผบก.ภ.จว.พัทลุง, พ.ต.อ.ยศวรรธน์ กระจ่างวงศ์ ผกก.สส.ภ.จว.พัทลุง, พ.ต.อ.สการียา ยูโซ๊ะ ผกก.สภ.ควนขนุน และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนเร่งรัดติดตามกลุ่มคนร้ายทันที

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.65 พ.ต.อ.บรรพต เดชมา ผกก.สส.2 บก.สส.ภ.9, เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนและเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ควนขนุน ได้ขออนุมัติหมายจับศาลจังหวัดพัทลุง และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย..

1. นายพีรพงษ์ สงวนนามสกุล อายุ 40 ปี อยู่ที่ หมู่ 3 ต.เกาะเต่า อ.ป่าพยอม จ.พัทลุง ทำหน้าที่เป็นคนยิง (จับกุมตัวได้ที่ ม.1 ต.เกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี)

2. นายเกียรติศักดิ์ สงวนนามสกุล อายุ 38 ปี อยู่ที่ หมู่ 13 ต.เกาะเต่า อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง  ทำหน้าที่เป็นคนขับรถพาไปยังที่เกิดเหตุ (จับกุมได้ที่หน้าบ้านเลขที่ ม.8 ต.เกาะเต่า อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง) โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนเข้าไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ 

พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนสงครามชนิด เอ็ม 16 เอ 2 จำนวน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนปืน ขนาด 5.56 จำนวน 30 นัด และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน

จากการซักถามเบื้องต้น นายพีรพงษ์ฯ ยอมรับว่าตนเองเป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าวจริง โดยตนเป็นผู้ชักชวน นายเกียรติศักดิ์ฯ ให้ขับรถพาตนไปก่อเหตุดังกล่าว ส่วนมูลเหตุจูงใจเกิดจากความโกรธแค้นที่นายภาสกรฯ ผู้เสียหาย ได้ขับรถเฉี่ยวชนกับรถของตน ในพื้นที่บ้านคลองใหญ่ อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง เมื่อวันที่ 27 พ.ค.65 ที่ผ่านมา ซึ่งไม่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกันแต่อย่างใด หลังการพูดคุยตกลงกัน นายภาสกรฯ ยอมรับที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นายพีรพงษ์ฯ ได้พยายามทวงถาม นายภาสกรฯ กลับบ่ายเบี่ยงนิ่งเฉย ไม่ยินยอมชดใช้ นายพีรพงษ์ฯ  จึงได้ชักชวนนายเกียรติศักดิ์ฯ ร่วมกันก่อเหตุอุกฉกรรจ์ดังกล่าวในที่สุด

'ผบก.ตม.2' จัดเจ้าหน้าที่ พร้อมรับมือหยุดยาว วอนผู้โดยสารถึงสนามบินล่วงหน้า

(27 มิ.ย.65) พล.ต.ต.วีรพล เจริญศิริ ผบก.ตม.2 เปิดเผย ถึงมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ผู้โดยสารแน่นหนาช่วงหยุดยาว ว่า เบื้องต้นได้สั่งการกำชับมายัง พ.ต.อ.กันตวัฒน์ พงศ์สถาบดี รอง ผบก.ตม.2 และ พ.ต.อ.ชัยพร ออฟูวงศ์ ผู้กำกับการฝ่าย ตม.ขาออก ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ให้เจ้าหน้าที่ ตม.เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ผู้โดยสารหนาแน่นช่วงเดือน ก.ค.นี้  

เนื่องจากเป็นช่วงที่จะมีผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่วันที่ 1-3 ก.ค.รวมถึงช่วงวันหยุดยาว วันที่ 13-17 ก.ค.และวันที่ 28-31 ก.ค.ซึ่งในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้คลี่คลายและมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งรัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการและข้อจำกัดต่างๆ 

เพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ใกล้เคียงปกติ รวมถึงได้มีการผ่อนคลายมาตรการและข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ ให้สอดคล้องกับนโยบายเปิดประเทศต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงฝากประชาสัมพันธ์ไปยังผู้โดยสารที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ขอให้เผื่อเวลาไว้ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง สำหรับการ Check-in กับสายการบิน การตรวจค้นสัมภาระ ตามมาตรการรักษาความปลอดภัยของการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทอท.) 

'เกษตรฯ' เร่งขับเคลื่อน 'นโยบายอาหารแห่งอนาคต' เล็งเจาะตลาด 'สาหร่าย' มูลค่า 5 แสนล้าน

'เกษตรฯ' เร่งขับเคลื่อนนโยบายอาหารแห่งอนาคต เล็งเจาะตลาดสาหร่ายมูลค่า 5 แสนล้าน ด้านกรมประมง คิกออฟงาน 'อนาคตสาหร่ายทะเลในประเทศไทย Seawed : The Next Future'

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ (27มิ.ย.) ว่า ภายใต้ 'นโยบายอาหารแห่งอนาคต' ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งยกระดับอัพเกรดภาคเกษตรของไทยสู่เกษตรมูลค่าสูงเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพเพิ่มรายได้ใหม่ให้เกษตรกรและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง รวมทั้งตอบโจทย์วาระเศรษฐกิจมหาสมุทรที่ยั่งยืน (Sustainable Ocean Economy) เพื่อเป็นส่วนร่วมในทศวรรษวิทยาศาสตร์มหาสมุทรแห่งสหประชาชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (พ.ศ. 2564 – พ.ศ. 2573) และการลดภาวะโลกร้อนจากผลกระทบของก๊าซเรือนกระจก จึงดำเนินการสนับสนุนส่งเสริมการผลิตและแปรรูปสาหร่ายทะเล (Seaweed) เป็นอาหารแห่งอนาคตตัวใหม่

เพราะปัจจุบันการผลิตสาหร่ายทะเลเติบโตอย่างรวดเร็วมีผลผลิตทั้งหมดทั่วโลกในปี 2562 ไม่น้อยกว่า 35 ล้านตัน มีมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 5 แสนล้านบาทเนื่องจากมีศักยภาพที่จะนำไปใช้ในอาหาร อาหารเสริม อาหารสัตว์ ปุ๋ย เชื้อเพลิงชีวภาพ เวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง ซีรั่มชะลอความแก่ เป็นต้น อีกทั้งการเพาะปลูกสาหร่ายสามารถช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ 

ดังนั้นอุตสาหกรรมสาหร่ายทะเล จึงมีศักยภาพในวงกว้างสาหร่ายไม่เพียงเป็นแหล่งที่ให้ปริมาณโปรตีนในระดับสูงเท่านั้น หากยังมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย ได้แก่ วิตามินบี แคลเซียม ธาตุเหล็ก กรดไขมันที่จำเป็น และใยอาหารสูง นอกจากนี้ สาหร่ายยังมีกรดไขมันบางชนิดที่พบไม่ได้ในพืชชนิดอื่น ได้แก่ กรดไขมันที่มีโอเมก้า 3 และ 6 เช่น EPA และ DHA ทำให้ผลิตภัณฑ์เนื้อเทียมจากสาหร่ายมีคุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อยยิ่งขึ้นด้วยกรดกลูตามิก ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ทำให้เกิดรสอูมามิหรือรสกลมกล่อมในอาหารอีกด้วย

นายอลงกรณ์ยังกล่าวต่อไปว่า กรมประมงจึงได้ผนึกความร่วมมือกับทุกภาคส่วนคิกออฟ 'นโยบายอาหารแห่งอนาคต' ด้วยการจัดงาน 'อนาคตสาหร่ายทะเลในประเทศไทย Seaweed : The Next Future' ในวันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00 – 16.00 น. โดยกรมประมงเป็นเจ้าภาพร่วมกับ มูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท (WCF : Worldview Climate Foundation) และ และมูลนิธิเวิลด์วิว อินเตอร์เนชั่นแนล (WIF: Worldview International Foundation) 

งานเสวนาครั้งนี้จะฉายภาพสถานการณ์ของสาหร่ายทะเลในระดับประเทศ ภูมิภาค จนถึงระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับสาหร่ายทะเลตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเพื่อพัฒนาและยกระดับสาหร่ายทะเลจากหลากหลายภาคส่วนในมิติต่างๆ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วิชาการ ตั้งแต่ระดับผู้ปฏิบัติการ ผู้ประกอบการ นักวิจัย ผู้พัฒนานวัตกรรมการแปรรูป ภาครัฐ ภาคเอกชน ไปจนถึงองค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายเช่น องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยต่างๆ  เพื่อร่วมกันพัฒนาและยกระดับสาหร่ายทะเลของประเทศไทย รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจขอบเขตความร่วมมือด้านสาหร่ายทะเล ตลอดจนโอกาสในการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวประมงของไทยอย่างยั่งยืน

'กรณ์' บี้ต่อเนื่อง ทวง 'พาณิชย์-พลังงาน' เร่งหาทางออก เผยตัวเลขหนี้กองทุนน้ำมันทะลุแสนล้าน ค่าการกลั่นพุ่ง 10 บาท

นายกรณ์ จาติกวณิช เปิดเผยว่า ตามที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ วันที่ 12 มิถุนายน 2565 ซึ่งเป็นการแถลงข่าวของตนวันแรกว่า ประเทศไทยจะมาถึงจุดที่ค่าการกลั่นพุ่งไปเรื่อยๆ และกองทุนน้ำมันจะสูงทะลุ 1 แสนล้านหากยังไม่มีมาตรการใด ๆ 

เดิมทีกฎหมายกำหนดเพดานหนี้ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท เปลี่ยนขึ้นมาเป็น 40,000 ล้านบาท และเมื่อต้นปีนี้ยกเลิกเพดาน จึงเป็นที่มาขอหนี้ที่ยังมีเพิ่มขึ้นทุกวันนี้ 

เมื่อถามว่า สุดท้ายใครจ่าย คำตอบคือ ประชาชนทุกคนที่จะต้องอยู่กับนํ้ามันแพงไปอีกนาน เพื่อชำระหนี้ทุกครั้งที่เราเติมน้ำมันลงถัง สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งที่หนี้กองทุนน้ำมันยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ก็เพราะค่าการกลั่นที่ยังสูงไม่หยุด 

“พรรคกล้าติดตามค่าการกลั่นอยู่ทุกวัน จากที่ทุกหน่วยงานของพลังงานออกมาปฏิเสธ ค่าการกลั่น 8 บาทกว่าที่เราเสนอตั้งแต่ต้นเดือน ตัวเลขล่าสุดจากข้อมูลของเว็บไซต์กระทรวงพลังงานเอง ชี้ให้เห็นว่า ค่าการกลั่น ณ วันที่ 25 มิถุนายน ทะลุ 10 บาทต่อลิตรไปแล้ว ใครที่ยังหาตัวเลขไม่เจอ ทั้งหมดอยู่ในเว็บไซต์ EPPO ของกระทรวงพลังงานเองครับ ลิงค์ : http://www.eppo.go.th/.../petro.../price/structure-oil-price” หัวหน้าพรรคกล้า กล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยการเลือกซื้อสินค้าจากการจัดโปรโมชั่นของร้านค้าหรือผู้ประกอบการ ควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีอาจถูกหลอกลวงสร้างความเสียหาย 

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอฝากเตือนภัยการเลือกซื้อสินค้าจากการจัดโปรโมชั่นเพื่อรับส่วนลดหรือของแถม จากร้านค้า ผู้ประกอบการ ควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีอาจถูกหลอกลวงสร้างความเสียหายได้  

ในห้วงที่ผ่านพบว่ามีการหลอกลวงของมิจฉาชีพที่เกี่ยวกับการเสนอขายสินค้าโดยการจัดโปรโมชั่นเพื่อ ลด แลก แจก แถม สินค้าหรือบริการต่างๆ ดังเช่นกรณีร้านบุฟเฟ่ต์แซลมอนชื่อดังรายหนึ่งขายคูปองทานอาหารในราคาถูก แล้วต่อมาได้ปิดกิจการ ทำให้มีผู้ได้รับความเสียหายจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลและนำตัวผู้ต้องหายื่นฝากขังต่อศาลอาญาตามขั้นตอนกฎหมายแล้ว 

และในกรณีล่าสุดที่มีการจำหน่ายคูปองที่พักและบัตรอาหารย่านพัทยาและใกล้เคียง ของบริษัทแห่งหนึ่ง หลังมีการจัดโปรโมชั่นขายคูปองในราคาถูกเพื่อเข้าไปรับการบริการดังกล่าว เช่นราคาที่พัก 999 บาท ซื้อในช่วงโปรโมชั่นเพียง 22 บาท เป็นต้น และเนื่องจากมีราคาถูกจึงมีประชาชนสนใจไปซื้อคูปองจากทางร้านเองหรือจากตัวแทนที่รับคูปองมาจำหน่ายอีกที แต่ต่อมาไม่สามารถเข้าไปพักได้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ได้ เนื่องจากทางเจ้าของที่พักได้ปฏิเสธไม่ยินยอมให้เข้าพัก ต่อมาทางบริษัทผู้จำหน่ายคูปองยกเลิกให้บริการจองที่พักด้วยคูปองทั้งหมด สร้างความเสียหายให้กับลูกค้าเป็นจำนวนหลายราย 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ตระหนักถึงพิษภัยภัยจากการหลอกลวงของมิจฉาชีพในลักษณะดังกล่าว อันเป็นการสร้างความเสียหายซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนในห้วงการแพร่ระบาดโควิด-19 จึงได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการและดำเนินการป้องกันปราบปรามตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างจริงจัง 

เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค พล.ต.อ.สุวัฒน์   แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับและสั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย ในการป้องกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ให้เร่งสร้างการรับรู้ให้กับพี่น้องประชาชน ทราบถึงพิษภัยและรูปแบบการกระทำความผิดต่างๆ พร้อมเร่งทำการสืบสวนปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดเพื่อเป็นการจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและตัดโอกาสในการกระทำความผิดอย่างจริงจังต่อเนื่องโดยให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม 

ซึ่งความคืบหน้าของการดำเนินการดังกล่าวขณะนี้ บก.ปคบ. ได้รับคำร้องทุกข์จากผู้เสียหายเพื่อทำการรวบรวมพยานหลักฐานโดยทำการสอบปากคำผู้เสียหายไปแล้วกว่า 23 ปาก สอบปากคำพยานไปแล้ว 7 ปาก(เจ้าของที่พัก ร้านอาหาร และอื่นๆ) ตรวจสอบหลักฐานการเงินของบริษัทผู้ขายคูปองทั้ง 2 บริษัท โดยได้ทำการตรวจสอบพบความเสียหายในเบื้องต้นจากผู้เสียหายที่สอบปากคำ มูลค่าประมาณกว่า 1,200,000 บาท ซึ่งยังมีผู้เสียหายเดินทางเข้ามาร้องทุกข์เพิ่มเติมอีกจำนวนมาก และต้องสอบสวนพยานเจ้าของที่พักตามที่ระบุไว้ในคูปองอีกกว่า 20 แห่ง (ในพื้นที่เมืองพัทยาและใกล้เคียง) และทำการรวบรวมพยานหลักฐานอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงหากมีการนำไปบิดเบือนหรือผลิตข่าวปลอมที่เกี่ยวกับการจัดโปรโมชั่นสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์  ก็จะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2), (5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top