Tuesday, 1 July 2025
News

‘หมอแอร์’ ใช้ชื่อคนตาย 370 คน รับยานอนหลับ คาดมี 6 หมอเอี่ยว พบเงินหมุนเวียนกว่า 400 ล้าน

(10 มิ.ย. 68) ‘หมอแอร์’ งานเข้าซ้ำ ชื่อคนตาย 370 คน โผล่รับยานอนหลับ คาดมี 6 หมอเอี่ยวด้วย อึ้งเงินหมุนเพิ่ม 400 ล้าน ลุยตรวจสอบคลินิก 11 แห่งพรุ่งนี้

จากกรณีตำรวจและ อย.เข้าตรวจสอบคลินิกสั่งซื้อยานอนหลับ ก่อนเชื่อมโยงถึง หมอแอร์ พ.ต.อ.พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล พร้อมจับกุมชายรายหนึ่ง ซึ่งรับเป็นผู้ดูแลห้องพักภายในแฟลตตำรวจ พร้อมยึดของกลางกลุ่มยานอนหลับ ที่บรรจุอยู่ในกล่องลังกว่า 10 กล่อง เบื้องต้นพบเงินหมุนเงินกว่า 80 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลตำรวจมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน

ล่าสุดวันที่ 10 มิ.ย.68 ที่กระทรวงสาธารณสุข ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วย รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาลตำรวจ เพียงแต่ หมอแอร์ เป็นหมอประจำโรงพยาบาลตำรวจ โดยโรงพยาบาลตำรวจมีคำสั่งให้ออกจากราชการแล้ว

ดร.ธนกฤต กล่าวว่า จากการตรวจสอบได้รับการรายงานว่า ผู้ป่วยที่มารับยาที่คลินิก มีสถานะเสียชีวิต ตามข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ก่อนที่จะรับยาตั้งแต่ปี 2567 จำนวน 250 คน และปี 2568 จำนวน 120 คน ช่วง 2 ปีนี้พบคนถูกสวมเอกสาร 370 คน

นอกจากนี้คาดว่าจะมีหมอที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 5-6 ราย โดยในวันที่ 11 มิ.ย. จะเข้าตรวจค้นคลินิกเพิ่มเติมอีก 11 แห่ง ที่อาจเชื่อมโยง โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะดำเนินการตรวจสอบ และจะแถลงข่าวการจับกุมเวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)

ดร.ธนกฤต กล่าวว่า สำหรับแพทย์หญิงคนนี้ถูกจับกุมตัวแล้วที่บ้านพักย่านราชดำริ กรุงเทพฯ เมื่อตรวจสอบพบเส้นทางการเงินพบมีความผิดปกติ โดยมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 80 ล้านบาทและไม่พบแหล่งที่มาชัดเจน อีกทั้งยังมีเส้นทางการเงินร่วมกับบุคคลอื่นอีกกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินและยาเสพติด

“เบื้องต้นพบว่าอาจมีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดประเภท 2 และ 4 ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรง และได้มีการประสานไปยังแพทยสภาเพื่อสอบสวนและดำเนินการตามขั้นตอน หากพบความผิดชัดเจน อาจนำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์”

ก.มหาดไทย เผยผลสอบ สปส.ซื้อตึก 7 พันล้าน พบราคาซื้อขายควรอยู่ในช่วง 3.4 – 3.8 พันล.เท่านั้น

(10 มิ.ย. 68) เปิดผลสอบ ก.มหาดไทย ศึกษา-วิเคราะห์ราคาอาคาร SKYY9 หลัง สปส.ควักเงินจ่าย 7 พันล้าน พบราคาซื้อขายขณะนั้น ควรมีค่า ในช่วงประมาณ 3,428,000,000-3,863,000,000 บาท

จากกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 มูลค่า 3 พันล้านบาทในราคา 7 พันล้านบาท โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน

ล่าสุด จากการรายงานของสำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลว่า คณะกรรมการฯ ชุดนี้ ได้จัดทำรายงานผลตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 เสร็จสิ้นแล้ว 

โดยมีข้อสรุปผลการศึกษาและวิเคราะห์ราคาอาคาร SKYY9 เห็นว่า มูลค่าตลาดของอาคาร SKYY9 ในขณะที่ทำการซื้อขายควรมีค่าในช่วงประมาณ 3,428,000,000-3,863,000,000 บาท ใช้วิธีคิดจากกระแสเงินสดคิดลด 

ผลการศึกษาดังกล่าว ระบุว่า "จากการศึกษาการประเมินมูลค่าทรัพย์สินโดยวิธีคิดจากกระแสเงินสดคิดลดข้างต้น พร้อมกับการตรวจสอบความสมเหตุสมผลของมูลค่าด้วยวิธีคิดจากต้นทุนและวิธีเปรียบเทียบข้อมูลราคาซื้อขาย มีความเห็นว่าผลการศึกษาการประเมินมูลค่าอาคาร SKYY9 ที่ได้จากวิธีคิดจากกระแสเงินสดคิดลดเป็นผลที่สอดคล้องกับข้อกำหนดในมาตรฐานวิชาชีพการประเมินมูลค่าทรัพย์สินในประเทศไทย ทั้งยังเป็นแนวคิดที่เหมาะสม สอดคล้องกับธรรมชาติของทรัพย์สิน จึงสามารถสะท้อนมูลค่าตลาดของทรัพย์สินได้ดีกว่า จึงมีความเห็นว่ามูลค่าตลาดของอาคาร SKYY9 ในขณะที่ทำการซื้อขายควรมีค่าในช่วงประมาณ 3,428,000,000 บาท - 3,863,000,000 บาท"

อย่างไรก็ดี ในการศึกษาดังกล่าวมีข้อจำกัด ได้แก่ คณะทำงานไม่ได้รับข้อมูลจากบริษัทประเมินและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสำรวจทรัพย์สิน  

ส่วนสรุปผลการศึกษาผ่านวิธีการประเมินราคาแบบต่าง ๆ ดังนี้

การประเมินมูลค่าอาคารสำนักงาน SKYY9 โดยวิธีรายได้ : 3,428,000,000-3,863,000,000 บาท

การประเมินมูลค่าอาคารสำนักงาน SKYY9 โดยวิธีคิดจากต้นทุน

มูลค่าที่ดิน (1,392 ตารางวา ละ 700,000-800,000 บาท) : 998,340,000-1,140,960,000 บาท

มูลค่าอาคารสุทธิ : 2,469,000,000 บาท

มูลค่าตลาดโดยวิธีคิดจากต้นทุน : 3,467,340,000-3,609,960,000 บาท หรือประมาณ : 3,467,000,000-3,610,000,000 บาท

มูลค่าอาคารสำนักงาน SKYY9 โดยวิธีเปรียบเทียบราคาตลาด : 3,554,000,000 บาท

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันว่า เป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยังไม่มีการลงโทษอะไร เมื่อทราบข้อเท็จจริง เห็นความผิดปกติ ค่อยพิจารณาดำเนินการต่อไป

‘ดร.ปิติ’ ดึงสติคนไทยปมชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่หลงเหลี่ยมกลุ่มอำนาจในกรุงเทพและพนมเปญ

รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กต่อกรณีกัมพูชาส่งหนังสือถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

1. คนไทยควรทำจิตใจให้เข้มแข็ง เข้าใจสภาพความเป็นจริงก่อนว่า ชายแดนไทย-กัมพูชา ยาว 798 กิโลเมตร มีความขัดแย้งกัน 4 จุด ดังนั้นอย่าให้ประเด็นขัดแย้ง 4 จุดกลายเป็นความเกลียดชังระหว่างคนไทยและคนเขมร และปัญหาจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาของคนในพื้นที่ แต่เป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มอำนาจการเมืองในกรุงเทพและพนมเปญ เราต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างมีสติ เพราะในความเป็นจริง คนไทยและคนกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ดีเกื้อกูลซึ่งกันและกันมาตลอดประวัติศาสตร์ เราเรียนรู้จากเขา เอามาพัฒนา เขาเรียนรู้จากเรา เอาไปปรับใช้ ทั้งสองรัฐถึงพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นพันปี

2. คนไทยต้องศึกษาข้อมูลให้มาก เอกสารที่สมควรต้องอ่านและทำความเข้าใจด้วยตนเอง อย่าให้ใครมาชี้นำได้คือ MOU2543, MOU2544 (เอกสาร 2 ฉบับนี้ยาวรวมกันไม่ถึง 8 หน้ากระดาษ), คำตัดสินกรณีเขาพระวิหาร (ทั้ง 2 รอบ) แผนที่ 1:200000 ระวางดงรัก, และ แผนที่ 1:50000 L7017 (ของเก่า) และ L7018 (ของใหม่)

3. เป้าหมายสำคัญที่สุดของไทยและกัมพูชา คือ การสร้างชายแดนให้เป็นจุดเชื่อมโยงแห่งโอกาส โอกาสการค้า โอกาสการลงทุน โอกาสการเข้าถึงทรัพยากร โอกาสการเข้าถึงตลาด โอกาสพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน โอกาสสร้างความมั่งคั่งให้คนในพื้นที่ โอกาสพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกัน โอกาสเชื่อมโยงระบบ Logistics ฯลฯ อย่าละทิ้งโอกาสเพราะนักการเมืองชั่วๆ ที่เมืองหลวงที่มีผลประโยชน์ร่วมกันของเครือญาติครอบครัว แต่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติทั้งสองมาทำให้เราเสียโอกาส ดังนั้นชายแดน 798 กิโลเมตรต้องเดินหน้าหา solution ที่ยั่งยืนร่วมกัน ถ้าแผนที่มีปัญหาก็ใช้เทคนิคสมัยใหม่ในการจัดทำแผนที่ร่วมกัน Delimitation และเริ่มต้น Demarcation กันใหม่ทั้งหมด โดยยึดเอาประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นหลัก แล้วจริงๆ แผนที่ที่มีปัญหาก็มีไม่กี่ตำแหน่งในระวางเดียว ที่เหลือก็ต้องยึดหลักการสากล ซึ่งก็คือ สันปันน้ำ

4. ไทยต้องตั้งศูนย์เฉพาะกิจของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (นายกฯ รองนายกฯ กลาโหม ต่างประเทศ คลัง คมนาคม DE มหาดไทย ยุติธรรม กองบัญชาการกองทัพไทย และเลขาธิการ สมช) เป็นเสมือน War room ติดตามสถานการณ์ วางยุทธศาสตร์ยุทธวิธี และสื่อสารเชิงกลยุทธ์จากจุดเดียวให้ทั้งประชาชนไทย และประชาคมโลกเข้าใจถูกต้องตรงกัน แถลงแบบช่วงการระบาดโควิดเลยในทุกวาระที่มีความตึงเครียด โดยแถลง 3 ภาษา ไทย อังกฤษ และขแมร์ ผ่านช่องทางที่เป็นทางการ และห้ามคนที่ไม่รู้เรื่อง คนที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ออกมาพูด เพื่อป้องกันความสับสน

5. ไทยต้องยืนยันเป็นเอกสารอย่างชัดเจนว่าเราไม่ยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ICJ แสดงหลักฐานที่มีทั้งหมดที่เราปฏิเสธอำนาจ ICJ ในทุกวาระ

6. ไทยต้องแสดงหลักฐานว่าเรามีกลไกในการจัดการชายแดนและระงับข้อพิพาทอยู่แล้วระหว่าง 2 ประเทศ นั่นคือ MOU2543 ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ ฝ่ายกัมพูชาทำเสียมารยาท เพราะทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพการประชุม  JBC ตาม MOU2543 อยู่แท้ๆ แต่กัมพูชากลับดำเนินการละเมิดข้อ 8 ของ MOU2543 เสียเองโดยการนำเรื่องขึ้นสู่ ICJ ทั้งที่ MOU2543 ข้อ 8 บัญญัติว่า "ข้อ 8 (การเจรจา) ให้ระงับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา"

7. ไทยต้องแสดงหลักฐานทั้งคำให้การ ภาพถ่าย บันทึกต่างๆ ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาเขมร ย้ำว่าต้องทำเอกสารและแถลงเป็นภาษาเขมรด้วย ของการละเมิด MOU2543 ข้อ 5 ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยละเมิดมาแล้วกว่า 400 ครั้งในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา MOU2543 ข้อ 5 บัญญัติว่า "ข้อ 5 (ข้อตกลงห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมพื้นที่ชายแดน) เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใดๆที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

8. Soft power ให้ทุนการศึกษา ให้เด็กนักเรียนที่เก่งที่สุดในทุกระดับจากกัมพูชามาเรียนหนังสือในไทย (ให้เงินเดือน ให้ค่าที่อยู่ ให้ค่ารักษาพยาบาล ให้ค่าเทอม ซึ่งเงินทั้งหมดก็ตกอยู่ในประเทศไทย เพราะเขาเข้ามากินมาอยู่ในไทย), สนับสนุนงานวิจัยร่วมไทย-กัมพูชาในมิติที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน, ให้ความช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลชาวกัมพูชาที่ข้ามแดนมา, ส่งกองทัพออกไปเก็บกู้วัตถุระเบิด, ทำให้การจ้างแรงงานกัมพูชาสะดวกและถูกกฎหมาย, ให้การสนับสนุน  NGOs/CSOs กัมพูชาที่ทำงานด้านการพัฒนาและการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ส่งเสริมให้เอกชนไทยไปลงทุนในกัมพูชา เพื่อให้เขาเห็นว่า การเป็น Friend of Thailand ดีกว่าที่เขาจะเกลียดประเทศไทย ศัตรูของเขาไม่ใช่คนไทย แต่เป็นระบบการเมืองที่มีปัญหา

9. ตัดกระแสไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต สำหรับกิจการที่ใช้ไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ตจากไทยในปริมาณมากๆ เพราะส่วนใหญ่คือ กิจกรรมการพนันและ scam center, fraud factory ห้ามบุคคลที่จะเดินทางออกไปเล่นการพนันไม่ให้ข้ามพรมแดน (สังเกตจากคนพวกนี้จะมีนายหน้าของบ่อนดำเนินการเรื่อง border pass) เพราะบ่อนและ scam center เป็นท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มบุคคลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ในขณะที่หากเป็นกิจกรรมปกติ ค้าขาย ข้ามแดนเพื่อท่องเที่ยว ทำงาน ให้อำนวยความสะดวกตามปกติ เพื่อไม่ให้ประชาขนเดือดร้อน รวมทั้งให้กองทัพและ ตชด. ลาดตระเวนให้พื้นที่ช่องทางธรรมชาติให้มีความถี่สูงขึ้น

10. กระทรวงการต่างประเทศต้องเรียกให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาชี้แจง และรับนโยบายของฝ่ายไทย รวมทั้งกำหนดว่า หากมีปัญหาอีก คงต้องดำเนินการจากเบาไปหาหนักในสัดส่วนที่เหมาะสม

รู้จัก ‘บิ๊กเล็ก’ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ ผู้กุมบังเหียน ศบ.ทก. สู้ศึก ‘ไทย-กัมพูชา’

(19 มิ.ย 68) เปิดประวัติ ‘บิ๊กเล็ก’ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยฯ กลาโหม กับภารกิจคุมบังเหียน ศบ.ทก. วางแผน แก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เจรจาอย่างสันติ หลีกเลี่ยงการปะทะ

สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการแก้ไขปัญหาทั้งในระดับพื้นที่และชายแดน ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา

เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจึงมีคำสั่งจัดตั้ง “ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา” (ศบ.ทก.) ขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อประสานและบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ศูนย์เฉพาะกิจนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการวางแผน แก้ไข และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนอย่างถูกต้องและเป็นเอกภาพ รวมทั้งสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในแนวทางสันติวิธี บนพื้นฐานของการเคารพในเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค และบูรณภาพแห่งดินแดนตามหลักทวิภาคี

พร้อมกันนี้ ยังมีการประสานกับสภาความมั่นคงแห่งชาติในการอนุมัติการดำเนินการต่างๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และสร้างแนวทางสู่การเจรจาอย่างสันติระหว่างประเทศเพื่อนบ้านต่อไป

สำหรับ พล.อ.ณัฐพล นั้นเป็นผู้ที่เข้าใจในมิติด้านความมั่นคงของประเทศเป็นอย่างดี เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มาแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังเคยเป็นกรรมการ “ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” หรือ“ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19”(ศปก.ศบค.) รวมทั้งยังรั้งตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควบคู่กันไปด้วย กล่าวได้ว่าประสบการณ์ในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตของชาติมีอย่างเต็มเปี่ยม

เปิดประวัติบิ๊กเล็ก
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือ บิ๊กเล็ก เกิดเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ปี 2504 จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 20 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 31 (รุ่นเดียวกับพลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการพระราชวัง) โรงเรียนเสนาธิการทหารบก และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

• ผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ พ.ศ. 2531
• อาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก พ.ศ. 2536
• อาจารย์วิทยาลัยการทัพบก พ.ศ. 2540
• ผู้อำนวยการกอง กรมยุทธการทหารบก พ.ศ. 2550
• เจ้ากรมยุทธการทหารบก พ.ศ. 2558
• รองเสนาธิการทหารบก พ.ศ. 2559
• หัวหน้าส่วนอำนวยการ สำนักงานเลขาธิการ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ พ.ศ. 2559
• เสนาธิการทหารบก พ.ศ. 2560
• รองผู้บัญชาการทหารบก พ.ศ. 2561-2563
• กรรมการ บริษัท ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2561-พ.ศ. 2563
• กรรมการอิสระและกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดี บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2562-พ.ศ. 2563
• เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2563
• ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
• ประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข พ.ศ. 2564
• รองผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ประวัติการศึกษา พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์
• พ.ศ.2529 หลักสูตรชั้นนายร้อย รุ่นที่ 74 โรงเรียนทหารราบ
• พ.ศ.2532 หลักสูตรชั้นนายพัน รุ่นที่ 52 โรงเรียนทหารราบ
• พ.ศ.2540 หลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับผู้บริหาร กรมยุทธศึกษาทหารบก
• พ.ศ.2542 หลักสูตรความมั่นคงภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ประเทศสหรัฐอเมริกา
• พ.ศ.2560 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ หลักสูตรป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 59

‘ลีดเดอร์ชิพโพลล์’ ม.รังสิต สะท้อนวิกฤตผู้นำ ชี้ ประชาชนไม่เชื่อมั่น ‘แพทองธาร’ แก้ปมเขมร

(19 มิ.ย. 68) ลีดเดอร์ชิพโพลล์ วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “มุมมองต่อสถานการณ์ชายแดน (ไทย–กัมพูชา)” จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,500 คนทั่วประเทศ ผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่าง วันที่ 12–18 มิถุนายน 2568 โดยสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกห่วงกังวลของสังคมต่อความขัดแย้งชายแดน ตลอดจนความไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบันในการบริหารจัดการสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนนี้

จากผลสำรวจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่จำนวนมากถึงร้อยละ 60.13 ระบุว่า “ไม่มีความเชื่อมั่นเลย” ว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะสามารถจัดการปัญหาข้อพิพาทชายแดนกับกัมพูชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่อีกร้อย ละ 23.47 ก็ระบุว่า “ไม่ค่อยเชื่อมั่น” โดยมีเพียงส่วนน้อยคือร้อยละ 7.93 ที่ “ค่อนข้างเชื่อมั่น” และเพียงร้อยละ 1.07 เท่านั้นที่ “เชื่อมั่นสูง” ในศักยภาพของรัฐบาล ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายเชิงภาวะผู้นำที่นายกรัฐมนตรีต้องเผชิญท่ามกลางวิกฤตความมั่นคงระหว่างประเทศ

ในทางกลับกัน กองทัพไทยกลับได้รับความเชื่อมั่นในระดับสูงจากประชาชน โดยร้อยละ 59.73 ระบุว่ามี “ความเชื่อมั่นสูง” ว่ากองทัพจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ชายแดนในครั้งนี้ได้ ขณะที่อีกร้อยละ 30.27 “ค่อนข้างเชื่อมั่น” ซึ่งต่างจากความรู้สึกที่มีต่อฝ่ายบริหารอย่างชัดเจน

ในประเด็นแนวทางการแก้ไขปัญหา ประชาชนร้อยละ 55.80 เสนอว่าไทยควรใช้การเจรจาทวิภาคีกับกัมพูชา ขณะที่ร้อยละ 27.93 สนับสนุนความร่วมมือผ่านกลไกอาเซียน และมีเพียงร้อยละ 6.87 ที่เห็นว่าควรยื่นเรื่องต่อศาลโลก (ICJ)

ประชาชนยังแสดงความห่วงใยต่อผลกระทบจากความตึงเครียดบริเวณชายแดน โดยร้อยละ 39.87 เห็นว่ามีผลกระทบ“มาก” ต่อการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว และร้อยละ 35.20 เห็นว่ากระทบ “พอสมควร” สอดคล้องกับข้อค้นพบที่ว่า ร้อยละ 68.73 ของประชาชนรับรู้ถึงการ “ปลุกกระแสชาตินิยม” จากทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา

เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ของประชาชนสองฝั่งชายแดน ร้อยละ 60.00 เห็นว่ามีความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ “แน่นแฟ้นพอสมควร” อีกทั้งยังมีประชาชนถึงร้อยละ 41.33 ที่ต้องการให้อาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยในกรณีพิพาทนี้ ในขณะที่อีกร้อยละ 38.20 เห็นว่าอาเซียนควรมีบทบาทเฉพาะเมื่อสถานการณ์รุนแรงเท่านั้น

สุดท้าย เมื่อประเมินความมั่นใจของประชาชนว่าไทยจะสามารถรักษาผลประโยชน์ของประเทศในกรณีพิพาทชายแดน ครั้งนี้ได้หรือไม่ พบว่า ร้อยละ 36.27 “ค่อนข้างมั่นใจ” และร้อยละ 16.20 “มั่นใจสูง” ขณะที่อีกร้อยละ 29.53 “ไม่ค่อยมั่นใจ” และร้อยละ 11.00 “ไม่มีความมั่นใจเลย”

ผลสำรวจนี้ สะท้อนถึงความกังวลของสังคมอย่างมาก ความท้าทายของรัฐบาลในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนภายใต้สถานการณ์ที่มีทั้งความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ และความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลสำรวจของลีดเดอร์ชิพโพลล์ สะท้อนวิกฤตศรัทธาต่อรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อย่างชัดเจน ขณะที่กองทัพกลับได้รับความ ไว้วางใจสูงกว่ามาก ซึ่งยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่อ่อนแอในวิกฤตการณ์นี้ ความไม่ไว้วางใจนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นจากคลิปเสียง สนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับสมเด็จฮุนเซนที่หลุดออกมาท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังอ่อนไหวทางการเมืองในทุกมิติ ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความชัดเจนของท่าทีรัฐบาลและความโปร่งใสในการเจรจาระหว่างประเทศ การที่ประชาชนส่วนใหญ่เสนอให้ใช้การเจรจาทวิภาคี สะท้อนความคาดหวังต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างสุขุมรอบคอบความท้าทายที่ซับซ้อนสำหรับผู้นำของนา ยกแพทองธาร โดยเฉพาะภาพลักษณ์และวุฒิภาวการณ์เป็นผู้นำ ซึ่งกำลังส่งผลต่อความชอบธรรมของรัฐบาลที่กำลังสั่นคลอนจากความรู้สึกไม่มั่นใจของประชาชนต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติในเวทีระหว่างประเทศ

‘ฮุน มาเนต’ นายกฯ กัมพูชา สั่งปิด 2 ด่านชายแดน ตอบโต้ ‘กองทัพภาค 2’ ปิดจุดผ่อนปรน ‘ช่องสายตะกู’ บุรีรัมย์

(22 มิ.ย.68)  เมื่อเวลา 07.00 น. ‘ฮุน มาเนต’ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เมื่อคืนที่ผ่านมา (วันที่ 21 มิถุนายน) ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด Oddar Meanchey ได้รายงานให้ผมทราบว่า ทหารภาค 2 ของกองทัพไทย เพิ่งออกหนังสือแจ้งว่า ทางฝั่งไทยจะปิดประตู Say Taku-Jobkkir ในเขต Banteay Ompil, Oddar Mean จังหวัดเชย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

อนุมัติให้ ท่านผู้ว่าฯ ปิดประตูนี้ในกัมพูชาถาวร  นอกจากประตูนี้แล้ว ผมสั่งให้ท่านผู้ว่าฯ ปิดประตูอีกประตูหนึ่ง ประตูชายแดนดํา อ.อันหลงเวง จ.อุดรมีชัย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และแจ้งทางฝั่งไทยด้วย

ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2025 กองทัพไทยได้ใช้มาตรการปิดชายแดนและปรับเปลี่ยนเวลาปิด-เปิดประตูชายแดนระหว่างสองประเทศ โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อการเดินทางของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

กัมพูชาไม่เคยมีเจตนาที่จะสร้างความลําบากแก่ประชาชนของทั้งสองประเทศที่อาศัยอยู่ใน หรือเดินทางผ่านประตูชายแดน แต่กองทัพไทยยังใช้วิธีนี้โทษกัมพูชา เขมรกับเราอยู่เสมอ

เป็นเรื่องแปลกที่ผู้นําการเมืองไทย รวมถึงนายกรัฐมนตรีไทย มักจะขอเจรจาเปิดขอบเขต เพื่อคืนความปกติ แต่ในขณะเดียวกัน กองทัพไทยยังคงปิดประตู หรือปรับเวลาปิดประตู ตามที่ตนต้องการเป็นฝ่ายเดียว

ไม่รู้ว่าเป็นวิธีการหรือกลยุทธ์ในการทํางานระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทัพไทย เพราะดูเหมือนจะไม่มีข้อตกลงภายในและหลักการที่ชัดเจน คนหนึ่งขอให้การเจรจาต่อรองทวิภาคีเพื่อเปิดประตูสู่ความปกติอีกครั้ง ในขณะที่อีกคนยังคงปิดประตูอย่างเดียว

สําหรับกัมพูชา เราได้รับการสนับสนุนจากผู้นําประเทศสู่กองทัพแนวหน้า ถ้านายกฯ สั่งอะไรมา ทุกสถาบันชาติและชาติ รวมทั้งกองทัพบก ให้ใช้คําสั่งนั้นเป็นสำคัญ

เกี่ยวกับการเปิดประตูชายแดนระหว่างกัมพูชาและประเทศไทย ขอย้ำว่ากัมพูชายังคงจุดยืนเดิมว่า ไม่จําเป็นต้องเจรจาต่อรองทวิภาคีในการเปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ

ถ้าฝั่งไทยต้องการเปิดประตูสู่ความปกติจริงๆ ก็ทําได้ง่ายและรวดเร็ว กองทัพไทย ที่ปิดประตูทางเดียวเป็นคนแรก ต้องเปิดประตูทางเดียวอีกครั้ง เพราะก่อนวันที่ 7 มิถุนายน 2025 กัมพูชาจะเปิดให้บริการอีกครั้งในอีก 5 ชั่วโมง นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายมาก โดยไม่ต้องต่อรองหรือเสียเวลา ต้องการเพียงจุดยืนของความต้องการจากฝั่งไทย“

‘อั้ม อธิชาติ’ เดินทางให้กำลังใจถึงฐานทหารสุรินทร์ พร้อมจัดโซลาร์เซลล์ - ยารักษาโรค - สิ่งของจำเป็นเพียบ

(22 มิ.ย. 68) อั้ม อธิชาติ ชุมมานนท์ นักแสดงชื่อดัง ได้เดินทางไปมอบอุปกรณ์ช่วยเหลือทหารในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ โดยเพจข่าวทหารระบุว่า "น้องจัดให้พี่ตลอด!" เสียงชื่นชมจากใจทหารผู้พิทักษ์ อั้ม อธิชาติ บุคคลที่คอยประสานงานและส่งมอบความช่วยเหลือไม่ขาดสาย ล่าสุดได้ส่งตรงโซลาร์เซลล์ อุปกรณ์สำคัญสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า รวมถึงยารักษาโรคและสิ่งของจำเป็นอีกมากมาย ถึงฐานปฏิบัติการของทหารในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจและดูแลความเป็นอยู่ของกำลังพลอย่างต่อเนื่อง

การส่งมอบครั้งนี้ อั้ม อธิชาติคำนึงถึงความสะดวกและปลอดภัย โดยนำสิ่งของไปส่งมอบถึงที่ฐานโดยตรง ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลทหารหาญผู้เสียสละเพื่อชาติ การช่วยเหลือดังกล่าวสะท้อนถึงน้ำใจและความห่วงใยที่ภาคประชาชนมีต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกล

เปิดปูม ‘สหรัฐฯ’ เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ‘อิหร่าน’ เหตุเพราะไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติอย่างที่เคยเป็น

(22 มิ.ย. 68) วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 และเป็นนักเขียนที่ได้รับ รางวัลซีไรต์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า เรื่องตลกเรื่องหนึ่งของเหตุการณ์สหรัฐฯโจมตีอิหร่านในครั้งนี้คือ Ted Cruz วุฒิสมาชิกที่กระหายสงครามและยุให้รบ ยังไม่รู้เลยว่าอิหร่านมีพลเมืองเท่าไร มีเชื้อชาติใดบ้าง รู้แต่ว่าต้องทำลายประเทศนี้ให้ราบ 

การที่ Ted Cruz ผู้เคยลงสมัครเป็นประธานาธิบดีไม่รู้เรื่องการเมืองโลก เป็นเรื่องน่ากังวลใจ พอๆ กับรัฐมนตรีกลาโหมไม่รู้ว่าโลกมีประเทศกลุ่มอาเซียน

ชาวตะวันตกจำนวนมากไม่รู้จักอิหร่านเลย ยังคิดว่าอิหร่านเป็นพวกอาหรับ และอาหรับเป็นพวกเลวร้าย ความจริงอิหร่านไม่ใช่อาหรับ ตุรกีก็ไม่ใช่อาหรับ

อิหร่านคือพวกเปอร์เซีย ใช้ภาษาฟาร์ซี เปอร์เซียเป็นอาณาจักรเก่าแก่ของโลก พังไปเพราะพวกมองโกล 

เปอร์เซียเป็นศูนย์กลางวิทยาการของโลกในอดีต ศาสตร์ต่างๆ ที่มีคำว่า 'อัล' คิดค้นโดยพวกเปอร์เซีย เช่น อัลกอริทึม พีชคณิต (Algebra) เป็นต้น

ดีที่อยู่ไกลนะ ไม่งั้นคงโดนบางประเทศเคลมไปแล้ว

เปอร์เซียส่งอิทธิพลไปทั่วโลกในอดีต ลัทธิเม้งก้าแห่ง ดาบมังกรหยก ก็มาจากเปอร์เซีย

ชาวเปอร์เซียที่อพยพมาอยู่สยามตั้งแต่สมัยอยุธยา เช่น เฉกอะหมัด เป็นข้าราชการระดับสูงของไทย

ชาวเปอร์เซียก็คือต้นตระกูลบุนนาค บุรานนท์ ศุภมิตร ศรีเพ็ญ เป็นต้น

อเมริกันมีภาพลบกับพวกอิหร่านเพราะเหตุการณ์อิหร่านจับชาวเมริกัน 66 คนเป็นตัวประกันในปี 1979 หลังจากเกิดปฏิวัติอิหร่านในปีนั้น ราชวงศ์ปาลาวีถูกโค่น ชาห์เรซา ปาลาวีหนีไปสหรัฐฯ เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อังกฤษยึดครองอิหร่าน ปลดชาห์ นายกฯคือ Mohammad Mosaddegh อนุญาตให้บริษัทน้ำมันของอังกฤษเข้าไปหาผลประโยชน์ เขาปกครองจนปี 1953 ก็ถูกสหรัฐฯและอังกฤษล้มผ่านการรัฐประหาร เพราะ Mohammad Mosaddegh ไม่ยอมตะวันตกบางเรื่อง

สหรัฐฯตั้งชาห์ปาลาวีขึ้นมาครองอำนาจ เพราะโปรตะวันตก ตอนนั้นเองบริษัทน้ำมันสหรัฐฯก็เข้าไปในอิหร่าน อิหร่านเป็นประเทศที่ทันสมัยแบบตะวันตก จนเมื่อชาห์เรซา ปาลาวี ถูกโค่น ตั้งแต่นั้นมา สหรัฐฯก็เป็นศัตรูกับอิหร่านอย่างเปิดเผย

เหตุการณ์อิหร่านจับชาวเมริกัน 66 คนเป็นตัวประกันถูกสร้างเป็นหนังเรื่อง Argo ยิ่งตอกย้ำภาพอิหร่านเป็นคนเลวร้าย (หนังได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์)

เล่ากันว่าก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 1980 รอนัลด์ เรแกน ส่งคนไปเจรจากับฝ่ายอิหร่านลับๆ ให้ปล่อยตัวประกัน ทำให้เขาชนะ จิมมี คาร์เตอร์ แต่เหตุการณ์นี้ไม่มีใครยอมรับว่าจริง

เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้รู้ว่า เวลาอ่านเหตุการณ์ใดๆ ต้องรู้ประวัติศาสตร์ด้วย
เพราะที่สำคัญกว่า 'what' คือ 'why'

‘ขี้คุกเขียนรูป’ เผยจุดเปลี่ยนให้หันตอบแทนสังคม เพียงสบสายตาและเสียงขอบคุณของเด็กที่ไร้เดียงสา

(22 มิ.ย. 68) นายวรรณวัฒน์ หาญรุ่งเรืองกิจ เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก ‘ขี้คุกเขียนรูป’ โพสต์ข้อความว่า ...

เด็กคนนี้‼️ที่เปลี่ยนความคิดผม ให้หันกลับมามองสังคม

เรื่องมีอยู่ว่าวันนั้นผมได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรและไปร่วมทำกิจกรรมกับเด็กที่ต่างจังหวัดซึ่งเป็นเด็กด้อยโอกาส และในกิจกรรมก็จะมีการแจกทุนการศึกษาเด็กรวมถึงสิ่งของอุปกรณ์กีฬาให้กับเด็กโรงเรียนนี้ และเด็กคนนี้แหละที่เปลี่ยนความคิดผมให้หันกลับมาช่วยเหลือสังคม วันนั้นได้มอบทุนการศึกษาให้เด็กคนนี้จำนวน 500 บาท

สิ่งที่ที่สำคัญมันไม่ใช่เงินในซองสีขาว  แต่เป็นสายตาและเสียงขอบคุณของเด็กที่ไร้เดียงสาหันมาสบตาผมแล้วขอบคุณด้วยใจที่บริสุทธิ์ของเด็ก 

มันเลยทำให้เราคิดว่ายังมีเด็กที่ด้อยโอกาสอีกมากในประเทศไทย  เมื่อวันไหนที่เรามีแล้ว เราจะหัน ช่วยเหลือเด็กเหล่านี้บ้าง อย่างน้อยๆ ก็ให้เขาได้มีชีวิตที่ดีขึ้นบ้างแค่นั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top