Wednesday, 2 July 2025
News

‘วิชัย ทองแตง’ หารือ ม.เกษตรฯ ยกระดับการศึกษา ร่วมพัฒนาองค์ความรู้ตอบโจทย์ตลาดแรงงานยุค 4.0

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ บริษัท ดับบลิวทีเอช โฮลดิงส์ จำกัด ประชุมหารือขับเคลื่อนความร่วมมือทางวิชาการ-ธุรกิจเพื่ออนาคต สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

(26 พ.ค. 68) นายวิชัย ทองแตง พร้อมทีมงาน ประชุมหารือขับเคลื่อนความร่วมมือทางวิชาการ-ธุรกิจเพื่ออนาคต กับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วาระสืบเนื่องจากการลงนามความร่วมมือทางวิชาการ-ธุรกิจเพื่ออนาคต ระหว่างกันไปเมื่อ 11 ก.พ. 68 ที่ผ่านมา โดยการลงนามร่วมกัน ระหว่าง ดร. ดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กับนายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ บริษัท ดับบลิวทีเอช โฮลดิงส์ จำกัด

โดยวาระการหารือสำคัญได้แก่ ความร่วมมือการดำเนินการโครงการ One TVet การพัฒนาทักษะแรงงานไทยแบบบูรณาการ เพื่อตอบสนองแรงงานไทยในยุค 4.0 และแผนการดำเนินการร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อร่วมกันพัฒนาทักษะแรงงานไทยแบบบูรณาการ มุ่งเน้นการ Upskill/Reskill เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานอุตสาหกรรมไทย ในยุค 4.0 การพบปะหารือ กับรองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาวิทยาศาสตร์สุขภาพฯ ผู้บริหารคณะแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ เพื่อทำความรู้จักและสานต่อความร่วมมือระหว่างกันในอนาคต ณ ห้องประชุม 8 ชั้น 2 อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน 

สำหรับผู้เข้าร่วมการหารือในครั้งนี้ ได้แก่ รศ.ดร.สุชาย  ธนวเสถียร ผู้อำนวยการ One TVET Project บริษัท เอ็ดดู ทรานฟอร์เมอร์ กรุ๊ป จำกัด คุณทัศณี คนการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท GHC MED จำกัด ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์หรือผู้แทน ได้แก่ ผศ. ดร.กฤษณ์ วันอินทร์ รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและพันธกิจเพื่อสังคม รศ. ดร.สมหวัง ขันตยานุวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาวิทยาศาสตร์สุขภาพและเขตพื้นที่สุพรรณบุรี รศ. ดร. อนันต์ ผลเพิ่ม รองอธิการบดีฝ่ายเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ รศ. พลเอก นายแพทย์ชุมพล เปี่ยมสมบูรณ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ รศ. พลตรีหญิง ดร.สายสมร เฉลยกิตติ รักษาการคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ ผศ. ดร.อภิรักษ์ จันทร์สร้าง ผู้อำนวยการสำนักบริการคอมพิวเตอร์ ผศ. ดร. นรุณ วรามิตร คณบดีวิทยาลัยบูรณาการศาสตร์ รศ. ดร. จุรีย์รัตน์ ลีสมิทธิ์

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งการประชุมหารือในครั้งนี้ จะนำไปสู่การร่วมกันทำงานในมิติต่างๆ อย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยสืบไป                              

‘เจือ ราชสีห์’ รับรางวัลแห่งความดี “เงือกทองคำ” ในฐานะผู้เจริญรอยตาม ‘พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์’

เมื่อวันที่ (25 พ.ค. 68) สงขลา นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เข้าร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลครบรอบ 6 ปีแห่งการอสัญกรรมของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ณ อาคาร 100 ปี ชั้น 2 วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งจัดโดยสมาคมชาวสงขลา ร่วมกับสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์

ในวันเดียวกัน ได้มีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ. 2567 ของสมาคมชาวสงขลา  พร้อมทั้งจัดพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติคนดีศรีแผ่นดิน “เงือกทองคำ”เพื่อยกย่องผู้ทำคุณประโยชน์แก่ส่วนรวม และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม

ในโอกาสนี้ นายเจือ ราชสีห์ ได้รับรางวัล “เงือกทองคำ” ในประเภท “ข้าราชการการเมืองที่ทำคุณประโยชน์ให้กับจังหวัดสงขลา” โดยรางวัลเชิดชูเกียรติคนดีศรีแผ่นดิน “เงือกทองคำ” นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณงามความดีของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตด้วยความรับผิดชอบและกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด
นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวสงขลา ที่จะเจริญรอยตามความดีของท่าน ตามคำกล่าวของท่านที่ว่า "เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน"

สำหรับรางวัลเชิดชูเกียรติคนดีศรีแผ่นดิน "เงือกทองคำ" เป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ทำคุณงามความดีเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม เป็นต้นแบบการทำความดีให้กับคนสงขลา โดยพิจารณาจากคนจังหวัดสงขลาที่คุณงามความดี เสียสละเพื่อส่วนรวมและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม เป็นต้นแบบการทำความดีให้กับคนสงขลา โดยแบ่งรางวัลออกเป็น 7 ประเภทคือ ข้าราชการที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสงขลา บุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสงขลา บุคคลต้นแบบ บุคคลสำคัญ (ถวายแด่พระคุณเจ้า)ข้าราชการการเมืองที่ทำคุณประโยชน์ให้กับจังหวัดสงขลาสื่อมวลชนที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสงขลานักธุรกิจที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสงขลา

‘เอ ภักดี’ เจ้าของร้านภักดีคาเฟ่ ย้อนความหลัง ได้รับน้ำใจจาก “พระเอกกล้ามโต” รีวิวน้ำพริกให้ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกัน

(27 พ.ค. 68) นายฐิติวัฒน์ ธนการุณย์ หรือ เอ ภักดี เจ้าของร้าน “ภักดี คาเฟ่” โพสต์เฟซบุ๊กถึง ‘อาร์ต พศุตม์‘ ว่า มีช่วงชีวิตหนึ่งที่ผมลำบากมากๆไม่มีอะไรทำ ต้องมาขายของออนไลน์ ทำน้ำพริกขาย ก็พอขายได้บ้างแต่ไม่มากครับ แต่แล้ว…

หลังบ้านสิครับ วันดีคืนดีไอ้น้องคนนี้ทักเข้ามาหาพี่(ไม่เคยรู้จักเขาเป็นการส่วนตัวเลยนะครับ) พี่เอครับ ผมขอซื้อน้ำพริกพี่เออย่างละ 5 ครับ เดี๋ยวผมจะช่วยพี่เอรีวิวด้วย เฮ้ย…ไอ้เราก็งงสิครับ อยู่ๆนักแสดงชื่อดัง แถมเราก็ชอบน้องมันด้วย เพราะเห็นน้องทำกิจกรรมจิตอาสาต่างๆ เยอะแยะมากมาย หลังจากนั้น…พอน้องเขาได้น้ำพริกของผมไป ตั้งแต่บัดนั้นชีวิตของผมเปลี่ยนเลยครับ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ที่ผมใช้ชีวิตโดยการส่งน้ำพริกทั้งทั้งคืน…นี่แหละครับ…ไอ้พระเอกกล้ามโตของพี่

ทบ. แจงเหตุปะทะเดือดทหารไทย - กัมพูชา ชี้ สถานการณ์คลี่คลายทหารไทยไร้บาดเจ็บ

ทบ.แจงเหตุการณ์ปะทะทหารกัมพูชาบริเวณชายแดนช่องบก อุบลราชธานี ปัจจุบัน สถานการณ์คลี่คลายแล้ว อยู่ระหว่างรอการเจรจา

เช้าวันนี้ (28 พ.ค.68) ณ กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา โดยระบุว่าได้รับรายงานจาก กองกำลังสุรนารีเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 05.30 น. 

โดย หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชาได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ต่อมาเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติ โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังบริเวณจุดปะทะ 

ปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อจัดการกรณีอ้างสิทธิในพื้นที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติอย่างสันติ ตามข้อตกลงที่มีอยู่

กองทัพบกขอยืนยันว่า กำลังพลฝ่ายไทยปลอดภัย ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต และจะรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมให้ทราบต่อไป

‘ศูนย์คุณธรรม’ ผนึกภาคีเครือข่ายสื่อมวลชนทั่วปท. จัดอบรมพัฒนาศักยภาพเสริมบทบาทสื่อสร้างสรรค์

ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ร่วมกับภาคีเครือข่ายสื่อมวลชน จัดอบรมหลักสูตร “พัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายสื่อพลังบวก สร้างสรรค์สังคมไทย” เสริมบทบาทสื่อสร้างสรรค์ สร้างสื่อพลังบวก

(28 พ.ค.68) ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ร่วมกับภาคีเครือข่ายสื่อมวลชน จัดอบรมหลักสูตร “พัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายสื่อพลังบวก สร้างสรรค์สังคมไทย” โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 70 คนจากสื่อส่วนกลาง และสื่อท้องถิ่นจังหวัดต่างๆ จาก 4 ภูมิภาค ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม กล่าวเปิดอบรมโดยเน้นว่า “สื่อคือพลังเปลี่ยนแปลงสังคม หากสื่อนำเสนอด้วยเจตนาและคุณธรรม สังคมไทยจะแข็งแรงจากภายใน” พร้อมย้ำถึงบทบาทของศูนย์คุณธรรมในการส่งเสริมคุณธรรมผ่านนโยบายและการสร้างเครือข่ายทางสังคม

ขณะเดียวกัน นายจักร์กฤษ เพิ่มพูล กรรมการนโยบายไทยพีบีเอส ในฐานะประธานเครือข่ายสื่อคุณธรรม ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมอบรมว่า “ในยุคที่ข้อมูลล้นทะลัก เราต้องการ ‘สื่อ’ ที่ไม่เพียงแต่มีความไว แต่ต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมในการนำเสนอ” พร้อมเปิดใจว่าการจัดอบรมครั้งนี้คือพื้นที่ในการเชื่อมโยงคนสื่อที่มีอุดมการณ์เดียวกัน

วัตถุประสงค์ของการอบรมครั้งนี้ คือการยกระดับความรู้ความเข้าใจด้านคุณธรรม จริยธรรม และการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัล พร้อมเปิดเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เสริมสร้างกลไกเครือข่ายสื่อที่มีพลังบวกและมีอุดมการณ์ร่วมในการขับเคลื่อนคุณธรรมในสังคมในประเด็นสำคัญ อาทิ บทบาทของสื่อในยุค AI และออนไลน์ , กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) , จริยธรรมวิชาชีพและแนวทางสร้างสื่อปลอดภัย , การสื่อสารคุณธรรมและความหวังในบริบทสังคมไทย

กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการบรรยายโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น นายระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และกรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ , นายอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ ผู้ก่อตั้ง เว็บไซต์ Pantip.com , นายโกศล สงเนียม เลขาธิการสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และการเสวนธุรกิจกับการอยู่รอดขององค์กรสื่อ เช่น นายสกล ถาวรกาญจน์ สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ. FM 91, นายสัมฤทธิ์ เจียมเจริญพรกุล บรรณาธิการ ATV,นายวิรุฬ รัตนปริคณน์ สถานีโทรทัศน์ TNN 2 รวมถึงนักวิชาชีพสื่อมวลชนอีกหลายท่าน โดยมีเวิร์กช็อปกลุ่มย่อย การระดมความคิดเห็น และข้อเสนอระดับพื้นที่และเชิงนโยบายด้านสื่อคุณธรรม เพื่อสร้าง “แกนนำสื่อ” ที่มีอุดมการณ์ในการใช้พลังของสื่ออย่างสร้างสรรค์ต่อไป

การอบรมปิดท้ายด้วยการมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้เข้าร่วมอบรม โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม พร้อมร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้างสื่อเพื่อสังคมคุณธรรมอย่างยั่งยืนต่อไป

‘ลานนา คัมมินส์’ ประกาศขาย ‘เฮือนสุนทรี’ ร้านอาหารสไตล์ล้านนา ริมแม่น้ำปิง 55 ล้านบาท

ลานนา คัมมินส์ ประกาศขาย เฮือนสุนทรี ร้านอาหารสไตล์ล้านนา ริมแม่น้ำปิง พื้นที่ 1,000 ตารางเมตร ราคา 55 ล้านบาท

เมื่อวันที่ (3 มิ.ย. 68)  นักร้องสาว ลานนา คัมมินส์ เจ้าของผลงานเพลงติดหูอย่าง “ไว้ใจได้กา” ได้ประกาศขายกิจการร้านอาหารเฮือนสุนทรี เป็นร้านอาหารของ นางสุนทรี เวชานนท์ ซึ่งเป็นแม่ของ ลานนา พื้นที่ประมาณ 1,064 ตร.ม. ราคา 55 ล้านบาท ผ่านเฟซบุ๊ก Lanna Commins

โดยรุบข้อความว่า “ขายกิจการร้านอาหารเฮือนสุนทรี พร้อมที่ดินริมแม่น้ำปิง ใจกลางเชียงใหม่ เนื้อที่ 553 ตร.วา | พื้นที่ใช้สอยประมาณ 1,064 ตร.ม. | ราคา 55 ล้านบาท (ค่าโอนคนละครึ่ง)

ใครที่กำลังมองหาทำเลริมแม่น้ำปิงในตัวเมืองเชียงใหม่-เงียบสงบ ร่มรื่น เป็นส่วนตัว และมากด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรม

วันนี้ ‘เฮือนสุนทรี’ ร้านอาหารชื่อดังของเชียงใหม่ เปิดขายพร้อมที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อาคารสไตล์ล้านนาแท้ รองรับลูกค้าได้หลายร้อยคน พร้อมลานจอดรถขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับสานต่อธุรกิจร้านอาหาร หรือรีโนเวทเป็นรีสอร์ต Wellness Space หรือบ้านพักส่วนตัวริมแม่น้ำ

จุดเด่น 

ที่ดินหน้ากว้าง ติดแม่น้ำปิง หาทำเลแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
ใกล้โรงแรม รีสอร์ต
บรรยากาศสงบ ร่มรื่น เป็นธรรมชาติ
ทำเลทอง เหมาะแก่การลงทุนระยะยาว”... 

นายกฯ ชม ‘หาน จื้อเฉียง’ ทูตจีนก่อนอำลาตำแหน่ง ย้ำมิตรภาพแนบแน่นในทุกระดับและทุกมิติ

สายสัมพันธ์ไทย-จีนแน่นแฟ้น! นายกฯ ชมบทบาทเอกอัครราชทูตจีนฯ ก่อนอำลาในโอกาสครบวาระ ย้ำมิตรภาพแนบแน่น "ร่วมทุกข์ ร่วมสุข"  พร้อมผลักดันความร่วมมือไทย-จีนทุกมิติ เสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคี-พหุภาคี สานความร่วมมือท่องเที่ยว-สินค้าเกษตร

(4 มิ.ย. 68) ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายหาน จื้อเฉียง  เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ 

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและชื่นชมเอกอัครราชทูตจีนฯ ที่มีบทบาทและเป็นกำลังสำคัญในการประสานงานระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศอย่างแข็งขันตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์ไทย-จีน ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกระดับและทุกมิติ โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทำงานร่วมกับเอกอัครราชทูตจีนฯ คนใหม่อย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แนบแน่นยิ่งขึ้นต่อไป

เอกอัครราชทูตจีนฯ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในวันนี้ โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี 10 เดือน ของการปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย ได้เห็นความก้าวหน้าและความใกล้ชิดของความสัมพันธ์ไทย–จีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังการรับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมบทบาทของนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือไทย-จีน ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี รวมทั้งขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีตลอดมา โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ไทย–จีนจะดำเนินไปด้วยดีแม้ในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ดังนี้

ด้านการท่องเที่ยว จีนยังพร้อมส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การแสดงทางวัฒนธรรม บัลเลต์จีน กายกรรมจีน คอนเสิร์ต โดยเอกอัครราชทูตจีนฯ กล่าวถึงงาน “สวัสดี หนีฮ่าว” ซึ่งมีผลตอบรับอย่างดี มีบริษัทจีนเข้าร่วมกว่า 350 แห่ง ขณะที่นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมยืนยันว่าจะเร่งสื่อสารเชิงบวกให้มากขึ้น ทั้งด้านความปลอดภัย การลงทุน และภาพลักษณ์ประเทศ ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และมิตรภาพระหว่างประชาชนของทั้งสองชาติ

ด้านความร่วมมือสินค้าเกษตร โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีที่ฝ่ายจีนช่วยอำนวยความสะดวกการส่งออกทุเรียนจากไทยไปจีนได้อย่างประสิทธิภาพ สามารถส่งไปยังจีนได้ภายในระยะเวลา 2 วัน จากเดิม 7-8 วัน โดยเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานจีนและหน่วยงานไทย ขณะที่ฝ่ายจีนได้ขึ้นบัญชีอนุญาตบริษัทไทยที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพให้ส่งออกทุเรียนโดยไม่ต้องตรวจซ้ำแล้วกว่า 240 แห่ง ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างกันได้อีกมาก

ด้านความร่วมมือในกรอบแม่โขง–ล้านช้าง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยยินดีต้อนรับการเยือนของนายกรัฐมนตรีจีนในช่วงปลายปีนี้ เพื่อร่วมการประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง ครั้งที่ 5 โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคในทุกมิติ ขณะที่เอกอัครราชทูตจีนฯ เห็นพ้องและอยู่ระหว่างการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศของไทย พร้อมกล่าวย้ำว่า “แม้สถานการณ์โลกจะผันผวน แต่ความสัมพันธ์ไทย–จีนจะแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เราต้องทำงานด้วยกันเพื่อที่จะร่วมทุกข์ ร่วมสุข ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ และสร้างพลังใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือต่อไป”

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตจีนฯ สำหรับความจริงใจและมิตรภาพที่มั่นคง พร้อมย้ำว่า มิตรภาพระหว่างบุคคลและระหว่างประเทศไม่ขึ้นกับตำแหน่งหน้าที่ แต่เกิดจากความเข้าใจและการประสานงานที่จริงใจ และขออวยพรให้เอกอัครราชทูตจีนฯ และภริยา ประสบความสำเร็จและมีความสุขในทุกภารกิจต่อไป

ถอดชุดครุย สวมแจ็คเก็ตไรเดอร์ เทรนด์โลกออนไลน์นักศึกษาจีนจบใหม่ ตลกร้ายที่อาจดูขำแต่น้ำตาตกใน จุดเปลี่ยนขาลงของระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม

“Every joke is a tiny revolution.”

“ทุกมุกตลกคือการปฏิวัติขนาดเล็ก”

— George Orwell (1903–1950)

(10 มิ.ย. 68) เข้าสู่ฤดูรับปริญญาของจีน ซึ่งตรงกับช่วงเดือน มิ.ย. - ก.ค. ของทุกปี เป็นช่วงที่จะได้เห็นคอนเทนท์รับปริญญาของนักศึกษาจบใหม่มากมายบนสื่อโซเชียล เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ บนโลก การรับปริญญาเป็นเรื่องที่น่ายินดี สำหรับตัวนักศึกษาจบใหม่เอง หรือจากคนรอบตัวที่แห่แสดงความยินดีในรูปแบบต่าง ๆ กลายเป็นเทรนด์บนโลกโซเชียลมากมายที่สะท้อนสังคมในยุคปัจจุบัน

ยกตัวอย่างเช่นคลิปไวรัลของนักศึกษาจบใหม่ที่ทำคลิปขอบคุณ ChatGPT ที่ช่วยเขาในการทำการบ้าน ที่ถ้าหากผมเป็นนายจ้างหรือเจ้าของบริษัท ก็คงจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้าเด็กยุคนี้ใช้ ChatGPT จนเรียนสามารถเรียนจบได้ ถ้างั้นแทนที่เราจะจ่ายเงินจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ เราจ่ายเงินค่า subscribtion รายเดือนให้ ChatGPT ทำงานให้ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ถูกกว่า เร็วกว่า ฟังก์ชั่นกว่า เพราะหากจ้างเด็กจบใหม่ในยุคนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาก็จะใช้ ChatGPT ทำงานให้อยู่ดี

แม้จะเป็นแค่มุกตลก แต่ว่ากันว่ามุกตลกนั้นสะท้อนภาพสังคมในแต่ละยุคสมัยได้เช่นกัน

ในกรณีที่ยกตัวอย่างตามข้างต้นนี้ สะท้อนภาพเศรษฐกิจสังคมยุคใหม่ และการแทนที่มนุษย์โดย AI

นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายเทรนด์คอนเทนท์รับปริญญาบนโลกโซเชียล ทั้งในจีนและทั่วโลก ที่สะท้อนสภาพสังคมและปัญหาที่แก้ได้ยาก ยังมีอีกหลายเทรนด์ที่ยังเป็นไวรัลอย่างต่อเนื่องอีกมากมาย….

“To truly laugh, you must be able to take your pain, and play with it.”

“เพื่อที่จะหัวเราะได้อย่างแท้จริง คุณต้องกล้าเอาความเจ็บปวดของคุณมาเล่นกับมันให้ได้”

— Charlie Chaplin

"毕业快乐!欢迎加入美团。"

“ยินดีด้วยที่เรียนจบ ยินดีต้อนรับสู่เหม่ยถวน (Meituan)”

— หนึ่งในคำโปรยจากวิดีโอสั้นใน Douyin (Tiktok ของจีน) ที่ถูกแชร์นับล้านครั้ง

เนื้อหาในวิดีโอความยาวไม่ถึง 30 วินาที เป็นภาพนักศึกษาจีนหนุ่มคนหนึ่งเดินออกจากพิธีรับปริญญาในชุดครุย เขาหยุดกลางถนน ถอดชุดครุยออก ก่อนจะเผยให้เห็นเสื้อของแพลตฟอร์มส่งอาหาร “Meituan - เหม่ยถวน” อยู่ข้างใน ใส่หมวกกันน็อก หิ้วกระเป๋าส่งของ แล้วหันมายิ้มกล้องพร้อมพูดออกมาว่า “หางานได้แล้ว!”

เทรนด์ดังกล่าวถูกเรียกว่าเทรนด์ “毕业即失业 - เรียนจบแต่ตกงาน” ซึ่งมักปรากฏในรูปแบบของวิดีโอเปลี่ยนชุดครุยเป็นชุดไรเดอร์ พนักงานร้านสะดวกซื้อ หรือแรงงาน Gig economy อื่น ๆ นี่เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงในจีน และจะเป็นกรณีหลักในการวิเคราะห์ของบทความนี้

คลิปเหล่านี้ไม่ได้แค่เป็นไวรัล แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ผู้ชมใช้ในการระบาย เช่นคอมเมนต์ทำนองว่า “ฉันก็จบจากมหาวิทยาลัย 985 (คล้าย ๆ กับ Ivy League ในสหรัฐฯ) เหมือนกัน ตอนนี้ส่งอาหารอยู่” คอนเทนท์ในเทรนด์นี้ค่อนข้างหลากหลาย มีผู้คนนำมาดัดแปลงรูปแบบการตัดต่อ ใส่เพลง และวิธีเล่า และไม่ได้มีแค่อาชีพส่งอาหาร ยังมีอาชีพอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นส่วนหนึ่งของคอนเทนท์ในเทรนด์ ตัวอย่างเช่นกรณีหนุ่มเรียนจบมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 ของจีน (จากการจัดอันดับในปี 2024) แต่กลับต้องเป็นคนขายเต้าหู้เหม็น

ซึ่งจริง ๆ เทรนด์การทำคลิปประมาณนี้ก็ฮิตมาถึงที่ไทย ผมเห็นคลิปคนไทยถอดชุดครุยแล้วสวมแจ็กเก็ตแอปสั่งอาหารสีเขียว บ้างก็ขายหมูปิ้ง บ้างก็ใส่ชุดพนักงาน 7-11 แตกต่างกันไป

วิดีโอเหล่านี้ กลายเป็นพื้นที่ของคนรุ่นใหม่ที่ใช้เสียงหัวเราะเป็นเกราะป้องกันความเจ็บปวด และเป็นการสะท้อนปัญหาที่ฝังรากลึกในโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนยุคใหม่ ความตลกกลายเป็นสื่อกลางในการสะท้อนความสิ้นหวัง — หรืออย่างที่นักแสดงตลกชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งอย่าง Charlie Chaplin เคยกล่าวเอาไว้ว่า “To truly laugh, you must be able to take your pain, and play with it. – เพื่อที่จะหัวเราะได้อย่างแท้จริง คุณต้องกล้าเอาความเจ็บปวดของคุณมาเล่นกับมันให้ได้”

หรืออีกหนึ่งเทรนด์ไวรัลที่เรียกว่า “孔乙己文学” (วรรณกรรมข่งอี้จี๋) ซึ่งกลายเป็นคำฮิตในโลกออนไลน์จีนในช่วงปี 2023–2024 โดยพูดถึงตัวละคร “ข่งอี้จี๋” จากเรื่องสั้นของหลู่ซิ่น ซึ่งเป็นชายมีการศึกษา แต่ยากจน ถูกสังคมเย้ยหยัน และไร้ที่ยืน เปรียบเทียบคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา แต่ไม่สามารถหางานที่เหมาะสมได้

โดยเยาวชนส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นเพราะโครงสร้างสังคมไม่เปิดทางให้พวกเขา และพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองให้เป็นเรื่องตลกและนำมาทำเป็นคอนเทนท์ประชดสังคม

เทรนด์นี้คือการที่เยาวชนนำเอาเรื่องราวชีวิตของตัวเองมาเขียนเล่าในแบบวรรณกรรม โดยดัดแปลงจากเรื่อง “ข่งอี้จี๋” ใช้ภาษาแบบกวี แต่เล่าให้เป็นเรื่องราวของตัวเอง ใช้ตัวเองเป็นตัวละครหลัก บอกเล่าถึงการเรียนอย่างหนักตั้งแต่เด็กจนจบมหาวิทยาลัย แต่ไม่สามารถหางานทำได้ ชีวิตมีอุปสรรคมากมาย ทำได้แค่เกาะพ่อแม่กิน แม้ต้องทนได้ยินคำดูถูกจากป้าข้างบ้าน

บางคนเอามาอัดคลิป ลงเสียง ตัดต่อเป็นเรื่องเป็นราว แต่งเป็นเพลงแร็พแสดงความเข้าอกเข้าใจ “ข่งอี้จี่” กลายเป็นสีสันช่วงวันรับปริญญาในปีที่แล้วไป….

“We were poor, but we didn’t know it. Then I got a degree, and I was broke — now I knew it.”

“เราเคยยากจนตอนเด็ก ๆ แต่เราไม่รู้ตัว หลังจากนั้นผมก็ได้ใบปริญญา ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมมันจน”

—Chris Rock

ในอดีต ใบปริญญาถือเป็น "ตั๋วทอง" สู่อนาคตที่มั่นคง โดยเฉพาะในสังคมจีนที่ให้คุณค่ากับการศึกษาอย่างสูง แต่ในยุคที่มหาวิทยาลัยขยายจำนวนรับนักศึกษาอย่างรวดเร็วในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “การศึกษาสำหรับทุกคน” แต่ในทางกลับกัน ตลาดแรงงานไม่สามารถดูดซับผู้สำเร็จการศึกษาได้เท่าทัน ทำให้การศึกษากลายเป็นสินค้าที่ล้นตลาด

จากรายงาน 2023 China College Graduates Employment Competitiveness Report ของ Tencent Research Institute ระบุว่า ในปี 2023 จีนมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาจำนวน 11.58 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่อัตราการว่างงานในกลุ่มเยาวชนอายุ 16–24 ปีพุ่งสูงถึง 21.3% ในเดือนมิถุนายน 2023 การสำรวจยังพบว่า 64% ของนักศึกษาจีนต้องการทำงานในภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ชี้ให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่สนใจอาชีพที่ให้ความมั่นคง มากกว่าอาชีพที่ให้ความมั่งคั่งแต่การแข่งขันสูง

ซึ่งหากมองให้สอดคล้องกับยุคสมัยนั้น สองตัวแปรสำคัญที่ควรนำมาตั้งคำถามเพื่อศึกษาปัญหาปัญหานี้ คือเรื่องระบบการศึกษา และกระแสความต้องการของตลาดแรงงาน

ประเด็นคน “จบปริญญา” แต่ทำงาน “รายได้ต่ำ” หรือการที่ผู้สำเร็จการศึกษาจำนวนมากต้องประกอบอาชีพที่ไม่ได้สอดคล้องกับสาขาที่เรียนมา ไม่ใช่เพราะขาดความสามารถ แต่เพราะตลาดแรงงานมีข้อจำกัดในการรองรับทักษะและความหลากหลายของแรงงานในยุคเปลี่ยนผ่าน ในขณะเดียวกัน ระบบการศึกษาเองก็ไม่ได้ผลิตบุคคลากรที่ตรงกับความต้องการตลาดเสมอไป

รายงานของ Tencent Research Institute ระบุถึงความคาดหวังของบัณฑิตรุ่นใหม่ว่าบัณฑิตระดับปริญญา บัณฑิตระดับปริญญาตรีคาดหวังเงินเดือนเริ่มต้นเฉลี่ย 10,792 หยวน (ประมาณ 50,000 บาท) ต่อเดือน

ในรายงานยังระบุอีกว่า ความต้องการบัณฑิตระดับปริญญาเอกเพิ่มขึ้น 202.1% และปริญญาโทเพิ่มขึ้น 142.6% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้าม ความต้องการสำหรับบัณฑิตระดับอนุปริญญาหรือต่ำกว่าลดลงเกือบ 40%

ส่วนความต้องการบัณฑิตระดับปริญญาตรีในตำแหน่งงานใหม่เพิ่มขึ้นจาก 28.8% ในปี 2021 เป็น 42.9% ในปี 2023 ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มที่ตลาดแรงงานยังคงให้ความสำคัญกับบัณฑิตระดับปริญญาตรี

หากเป็นยุคสมัยก่อน สาขาอย่างเช่น วรรณกรรม ปรัชญา ประวัติศาสตร์ การจัดการ ภาษาศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นสาย Social/Humanities ผู้ที่จบสาขาเหล่านี้อาจถูกมองว่าเป็นปัญญาชน หารายได้ได้มากกว่าชนชั้นแรงงาน แต่ในปัจจุบัน คนที่เรียนจบจากสายสังคม แม้จะมีความรู้รอบด้าน มีทักษะการสื่อสารที่แข็งแรง แต่ขาดทักษะและความเชี่ยวชาญในการสร้างหรือผลิตสินค้าตลาดใหม่หรือและบริการด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงในปัจจุบัน

เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลในตลาดแรงงานของจีน จะพบว่าสาขาที่มีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่องคือสาย STEAM ได้แก่ Science, Technology, Engineering, Arts และ Mathematics โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science), เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech), วิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Automation)

จากรายงานของ Tencent ยังมีการระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เสนอเงินเดือนระดับเริ่มต้นให้กับนักศึกษาจบใหม่ในสาย Data Science สูงถึง 20,000 หยวนต่อเดือน ในขณะที่สาย Humanities ได้เริ่มต้นเฉลี่ยเพียง 6,000–8,000 หยวน แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของตลาดแรงงาน โดยมีความต้องการสูงในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะที่สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มีความต้องการลดลง

ผลกระทบของความไม่สมหวังทางวิชาชีพของเหล่าเด็กจบใหม่ กลายเป็นกระแสที่คนรุ่นใหม่เริ่มลดแรงจูงใจในการแสวงหาความก้าวหน้า และเข้าสู่โหมด "躺平" (นอนราบ) หมายถึง การใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย หลีกเลี่ยงการแข่งขัน ไม่พยายามไล่ตามมาตรฐานความสำเร็จตามระบบ เช่น ไม่ซื้อบ้าน ไม่แต่งงาน ไม่ทำงานหนัก หรือโหมด "摆烂" (ปล่อยให้พัง) ซึ่งเป็นการยอมแพ้แบบประชดตัวเอง คือแม้รู้ว่าทุกอย่างกำลังแย่ ก็ไม่พยายามจะแก้ไขอีกแล้ว คล้าย ๆ กับการ “ปล่อยวางแบบขมขื่น”

"They say follow your dreams. So I went back to bed."

"เขาบอกให้ทำตามความฝัน… งั้นฉันก็เลยกลับไปนอนต่อ"

— Some viral Internet meme

ในทางทฤษฎี คำถามสำหรับตลาดแรงงานในวันนี้คือ : เป็นเพราะ “เศรษฐกิจไม่ดี” หรือ “เทคโนโลยีแย่งงาน” ที่ทำให้ความต้องการนักศึกษาจบใหม่ในตลาดแรงงานลดลง ?

คำตอบคือ : ทั้งสองอย่างผสมกัน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

แน่นอนว่าปัญหาในภาพรวมเกิดขึ้นจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัว และความล้ำหน้าของเทคโนโลยีที่สามารถแทนที่แรงงานบางประเภทได้แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องของโครงสร้างตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วมากในปัจจุบัน เราอาจอาจเลือกเรียนในคณะหรือสาขาที่คิดว่ามีความสำคัญและหาเงินได้ แต่ภายใน 4 ปีที่เรียนนั้น เกิดนวัตกรรมใหม่ที่ส่งผลต่อตลาด ทำให้คณะหรือสาขาที่เลือกเรียนไปมีความสำคัญน้อยลง ความรู้จากการเรียน 4 ปีที่ผ่านมาอาจไม่สำคัญอีกต่อไป ในจุดนี้ เป็นสิ่งที่ต้องนำไปตั้งคำถามต่อกับระบบการศึกษาที่ผลิตบุคคลากรป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน

อีกหนึ่งคำถามสำคัญ : “เรียนจบแล้วหางานไม่ได้” – แล้วการระบบศึกษายังสำคัญอยู่หรือไม่ ?

คำตอบคือ : ยังสำคัญอยู่ แต่ไม่ใช่ในแบบเดิม

กล่าวคือ ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อ “ได้ใบปริญญา” แต่ต้องเรียนเพื่อ “พัฒนาทักษะ + ความสามารถที่ตลาดต้องการ”

แม้ระบบการเรียนเพื่อ “ได้ใบปริญญา” ซึ่งเน้นวิชาการ ท่องจำ และการวัดผลตามระบบ จะเคยตอบโจทย์ในอดีต เพราะด้วยโครงสร้างทางสังคม จำนวนคนเรียนสูงยังไม่มาก คนมีปริญญาจึง “มีค่าหายาก” ในจังหวะที่ เศรษฐกิจขยายตัว สร้างตำแหน่งงานใหม่ ต้องการคนมีความรู้จำนวนมาก

แต่ในปัจจุบัน เกิด “academic inflation” การมีใบปริญญากลายเป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ เขาก็มีกัน ในขณะที่เศรษฐกิจก็ชะลอตัว ตำแหน่งงานลดลง เทคโนโลยีก้าวหน้า แต่การแข่งขันก็ยังสูง ทำให้ตลาดต้องการคนที่ “ทำได้จริง” ไม่ใช่แค่ “สอบได้ดี”

สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่ “คุณค่าของความรู้” แต่คือ “วิธีเรียนรู้” และ “สิ่งที่ต้องรู้” ที่จะต้องเน้นภาคปฏิบัติมากขึ้น ที่สำคัญ คือต้องไม่สอนให้เด็กเป็น “เครื่องมือของระบบเดิม”

'ในส่วนนี้ รัฐบาลจีนพยายามใช้นโยบายปฏิรูปการศึกษาด้วยแนวคิด Key Competencies-Based Education Reform และ TVET Reform สนับสนุนให้นักศึกษาได้มีโอกาสฝึกงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในสนามจริง ทั้งยังส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะข้ามสาย เพื่อรับมือกับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงความต้องการทางทักษะอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ให้เด็กมีความสามารถในการแก้ปัญหาใหม่ ๆ พร้อมปรับตัวกับอาชีพที่ยังไม่เคยมีในโลกวันนี้

อีกหนึ่งคำถามที่สำคัญคือ ประเทศไทยสามารถถอดบทเรียนจากเรื่องนี้อย่างไรได้บ้าง ? เพราะจริง ๆ แล้วทั่วโลก รวมถึงเราเองก็เผชิญกับปัญหาในลักษณะที่คล้ายกัน อาจต่างกันในเชิงบริบท แต่ในเมื่อใจความสำคัญของระบบการศึกษาคือการสร้างบุคคลากรที่มี “ทักษะ” (skill) แล้วทักษะไหนสำคัญที่สุด ระหว่าง “ทักษะแข็ง” (hard skills) ที่เน้นความสามารถเชิงเทคนิค หรือ “ทักษะอ่อน” (soft skills) ที่เน้นความสามารถทางสังคมและการสื่อสาร ?

ส่วนตัวผม ไม่ว่าจะทักษะไหนก็สำคัญทั้งนั้น แต่ในวันนี้ มีอีกหนึ่งทักษะที่ต้องบรรจุเพิ่มเข้าไปใน capacity ของคนรุ่นใหม่ นั่นก็คือ “ทักษะระดับเหนือ” หรือ “ทักษะกรอบใหญ่” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Meta Skills” ซึ่งนอกจากจะเน้นเรื่องการเรียนรู้ด้วยตนเอง ยังต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความล้มเหลว การรู้จักตัวเอง การรู้จุดแข็ง จุดอ่อน สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ รวมถึงความสามารถในการปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่ ความสามารถและเจตจำนงในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life long learning) และความเชื่อว่าความสามารถสามารถพัฒนาได้ (Lifelong Learning)

โดยสรุป แม้ว่าวิดีโอแนวไวรัลที่เปลี่ยนจากชุดครุยเป็นเสื้อไรเดอร์จะดูขบขันในแวบแรก แต่มันสะท้อนเสียงเงียบของคนรุ่นใหม่ที่ตั้งคำถามถึงระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ความหวังที่เคยผูกไว้กับการเรียนสูงเริ่มสั่นคลอน กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จีนเองก็จำเป็นต้องปฏิรูปหลักสูตร ส่งเสริมความยืดหยุ่นในการแนะแนวอาชีพ

ที่สำคัญ คือต้องสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคม โดยลดทัศนคติแบบ “มีปริญญา = ประสบความสำเร็จ” และให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะในสนามจริงที่เป็นที่ต้องการในปัจจุบัน

"The only thing that interferes with my learning is my education."

"สิ่งเดียวที่ขัดขวางการเรียนรู้ของฉันคือการศึกษา"

— Albert Einstein

'สนธิ-จตุพร' ประกาศกร้าวไม่อ่อนข้อให้กัมพูชา พร้อมส่งสัญญาณให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาชายแดน

'สนธิ-จตุพร' ประกาศกร้าวไม่ขออ่อนข้อให้กัมพูชา ชู 6 มาตรการให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาชายแดน จี้ให้ยกเลิก MOU 43 ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ใน JBC

(10 มิ.ย. 68) ที่ศูนย์ร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วยกลุ่มแนวร่วมที่สนับสนุน รวมถึงนักวิชาการและประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินจำนวนมาก เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ นายวีระ สมความคิด นายนิติธร ล้ำเหลือ นายพิชิต ไชยมงคล เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ นายใจเพชร กล้าจน นายคมสัน โพธิ์คง นายประพันธ์ คูณมี ฯลฯ ทยอยเดินทางมารวมตัวเพื่อ แสดงจุดยืนปกป้องอธิปไตยกรณีความขัดแย้งตามแนวชายแดนกับกัมพูชา

ทั้งนี้ นายสนธิ และคณะ ได้ยื่นหนังสือผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ถึง น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเป็นรูปธรรม โดยบรรยากาศตั้งแต่ช่วงสาย มีบรรดาผู้สนับสนุนเดินทางมาร่วม อาทิ กลุ่มแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมกับป้ายข้อความแสดงจุดยืนต่างๆ อาทิ การยกเลิก MOU43 และ MOU44 ที่ไม่จำเป็นต้องมี รวมถึงการเพิกถอน JC 2544

"ผมยืนยันถึงเวลาที่ต้องปกป้องอธิปไตยไทย และทำให้รัฐบาลชั่วช้า จะลงถนนตนไม่ขัดข้องถึงอายุ 78 ปี จะเป็นการลงครั้งสุดท้ายก่อนตายตนก็ยินดี และเชื่อว่าประชาชน หรือว่าทุกคนบนโต๊ะนี้ร่วมกับผมแน่ และขอฝากถึง นายกฯแพทองธาร นายภูมิธรรม นายทักษิณ ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย เรามาเตือนรัฐบาล ใครก็ตามที่มีเจตนาใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในการเจรจาทวิภาคี คือการสละอธิปไตย เป็นกบฏ 20 ปีที่ทำเรื่องนี้มา เรามีหลักฐานว่าความผิดสำเร็จแล้ว เราไม่อยากสิ้นชาติ สิ้นรัฐบาลไม่เป็นไร" นายสนธิ กล่าว

ด้านนายปานเทพ กล่าวว่า แม้มีสัญญาณว่ากัมพูชาจะถอยแต่เราไม่เชื่อ เราเชื่อว่าเป็นการถอยทางยุทธวิธี เพราะปัจจุบันเรายังไม่สามารถไว้วางใจได้ เรายังเห็นท่าทีของกัมพูชาเป็นปัญหาภัยคุกคามต่อความมั่นคงเศรษฐกิจของไทย อีกทั้ง กัมพูชายังประกาศว่าพื้นที่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มอมเบย (สามเหลี่ยมมรกต) เป็นของกัมพูชาและจะนำเรื่องเข้าสู่การตัดสินที่ศาลโลก และกัมพูชายังยึดมั่นในพื้นที่มาตรา 1:200,000 ที่จัดทำโดยฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการรุกล้ำฝ่ายไทยตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปี 2547 มีการละเมิดข้อตกลงไปแล้ว 470 ครั้ง อีกทั้ง MOU 2543 สร้างความขัดแย้งให้กับไทย-กัมพูชา มา 25 ปี รวมทั้งกัมพูชายึดเส้นเขตไหล่ทวีปทางทะเลและสร้างสิ่งปลูกเพิ่มยื่นเข้ามาในอ่าวไทย ที่สำคัญกัมพูชาเป็นพื้นที่อาชญากรรมทำลายเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศไทยตลอดแนวชายแดน ไม่ว่าจะกาสิโน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ และการทำลายสัตว์ป่า ป่าไม้ตลอดแนวชายแดนของประเทศไทย ทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงเรียกร้องให้รัฐบาล ทำตาม 6 มาตรการ ดังนี้

มาตรการที่ 1 รัฐบาลไทยต้องไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และไม่ยอมรับการที่กัมพูชานำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่ยอมรับอำนาจจากองค์กรอื่นหรือประเทศอื่นมาตัดสินในเรื่องอธิปไตยของประเทศไทย และใช้กลไกทวิภาคีเจบีซีเท่านั้น

มาตรการที่ 2 ไทยต้องประท้วงอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลกัมพูชาและทางสากล ว่า 3 ปราสาทและ 1 ดินแดน เป็นดินแดนอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย มีการแบ่งเขตแดนเสร็จสิ้นแล้วระหว่างสยามและฝรั่งเศส ต้องแก้ไขคำพูดของ นายภูมิธรรม ว่าการรุกล้ำของกัมพูชาต้องแก้ไขที่เป็น โนแมนสแตน ทั้งที่เป็นแผ่นดินไทยของราชอาณาจักรไทยเท่านั้น

มาตรการที่ 3 ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 เพื่อยกเลิกแผนที่มาตราส่วน 1:200,000

มาตรการที่ 4 ยกเลิกเอ็มโอยู 2544 ยกเลิกเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา และใส่เส้นมัธยะตามหลักสากล

มาตรการที่ 5 สั่งการและมีมติเพิ่มเติมอำนาจต่อรองให้คณะเจรจา ไม่ว่าจะปิดด่าน แก้ปัญหาชายแดนพนันออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาวุธสงคราม ยาเสพติด ตัดไม้ทำลายป่า ต้องกดดันต่อด่านปอยเปรตและกาสิโนทั้งหมด

มาตรการที่ 6 หากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เลวร้าย ไม่สามารถเจรจาได้ ภาคประชาชนสนับสนุนให้กองทัพไทยประกาศกฎอัยการศึก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนที่มาจากความผูกพันทางเครือญาติของผู้นำการเมืองทั้งสองประเทศ หรือการสมยอมผลประโยชน์ส่วนตัวซึ่งกันและกัน โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ

ด้านนายวีระ กล่าวว่า หากใช้เอ็มโอยู 2543 ไปเจรจาเราจะแพ้กัมพูชา แค่เริ่มก็แพ้ และขอให้เปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะเจรจาคือ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ทำให้ตนถูกจำคุกที่ กรุงพนมเปญ ให้ยอมรับว่าเราเข้าไปในเขตกัมพูชาทั้งที่เป็นเขตของประเทศไทย กล่าวหาว่าเราเป็นสายลับ ไปโจรกรรมความลับในกัมพูชา ขอยืนยันถ้าไทยจะให้ นายประศาสน์ เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ตนว่าประเทศเสียหาย และรัฐบาลแพทองธารต้องรับผิดชอบ เราถูกหลอก รัฐบาลหลอกประชาชน หลักฐานคือเมื่อวานกระทรวงกลาโหมกัมพูชากับ จอมพลสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกแถลงยืนยันว่ายังไม่ถอนทหารแค่ปรับกำลัง ประเทศไทยกลับออกข่าวว่ามีการถอนทหาร กัมพูชายอมแล้ว

จากนั้น นายสนธิ และแกนนำคนอื่นๆ ได้เดินออกมาพูดคุยกับมวลชน บริเวณด้านหน้าศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อพูดคุยถึงข้อตกลงต่างๆ ที่ส่งให้นายกรัฐมนตรีแล้ว

สำหรับบริเวณด้านหน้า นายจตุพร กล่าวว่า ไทยเสียดินแดนมากกว่าที่เหลือ ช่วงรัชกาลที่ 9และรัชกาลที่ 10 พูดว่าจะไม่ยินยอมเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายกฯแพทองธาร และนายทักษิณ เราเห็นเรื่องดินแดนเป็นเรื่องรอง แต่เรื่องหลักคือการแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี การลงพื้นที่ของนายกฯ ตรงข้ามกับแหล่งปัญหาทุกเรื่อง จะเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามตะกร้อ "โนแมนแลนด์ แปลว่าแผ่นดินไม่มีเจ้าของ แต่แปลว่าชายที่ไม่มีแผ่นดินอยู่" เมื่อมีการยืนยันชัดเจนว่า 3 ประสาทจะนำขึ้นศาลโลก ไม่ประชุมในโต๊ะเจบีซี และประเทศไทยส่ง นายประศาสน์ ไปเจรจาเรื่องประสาท ความเป็นจริงการเจรจาต้องยกเลิกเพราะเจบีซีคือทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่ขอเจรจากับกัมพูชา

ด้านนายสนธิ กล่าวกับมวลชนว่า ตนได้ประกาศไปแล้วว่าเรื่องอะไรพอจะรับกันได้นั่นคือ อดทนกันได้ แต่ถ้าเรื่องอธิปไตยของชาตินั้นยอมกันไม่ได้เลย ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องก็ต้องแตกหักกัน ตนเชื่อว่าประเทศไทยคนไทยทั่วประเทศจะเข้ามาร่วมกับตนและพวกเรา ในเรื่องของการปกป้องอธิปไตยของชาติ เพราะว่าเรามีคนไทยใจเขมร แม้กระทั่งประธาน JBC ซึ่งรัฐบาลชุดนี้แต่งตั้ง ที่เป็นอดีตทูตไทยประจำกัมพูชา การเอาอดีตทูตไทยประจำกัมพูชามาเป็นประธาน JBC แสดงว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่จริงใจต่อการเจรจา เรามีข้อสรุปว่ากัมพูชายังไม่ได้ถอยจริง เรายื่นข้อเสนอ ว่าถ้ายังแก้ไขไม่ได้เราจะให้ทหารเข้ามาประกาศกฎอัยการศึกเพื่อจัดการกับกัมพูชา และคนไทยขายชาติซึ่งตนมีรายชื่อหมดแล้ว อย่าประมาทประชาชน พวกเราทำอะไรมีเหตุมีผลตลอดเวลา เราไม่รับอำนาจศาลโลก เราไม่ได้คลั่งชาติจะไปรบกับใคร แต่ตนคิดว่าคนไทยไม่กลัวกัมพูชา และทหารไทยไม่กลัวทหารกัมพูชา

"วันนี้เราประสานงานกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะกลุ่มจตุพร พรหมพันธุ์ ผม และอาจารย์ปานเทพ ร่วมมือเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ แล้วไล่ฮุน เซนให้ลงนรกไป" นายสนธิ กล่าว

‘เอกนัฏ’ ข้องใจ 21 สส. รทสช. ปมร่อนเอกสารบีบปรับครม. ไล่เช็กรายตัว จริงหรือมั่ว!! ขณะที่ ‘เฮ้ง’ เมินรับสาย ซัด คนเสียประโยชน์ ป่วนให้แตกแยก

เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ (10 มิ.ย. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงปัญหาภายในพรรคว่า ในพรรคไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ยังเหมือนยังเดิม

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีมีเอกสารรายชื่อ 21 สส.ส่งถึงนายกฯ ขอปรับครม. เป็นเพราะคุยกันในพรรคไม่รู้เรื่องหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในข้อเท็จจริงทั้งตนและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน รู้ดีว่าในภารกิจการทำงานที่กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องเจออะไรบ้าง แต่เราต้องมุ่งมั่นภารกิจของเรา

ส่วนข่าวเรื่องเอกสารที่ออกมา ขอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และยังไม่ทราบว่ามีการยื่นเอกสารให้กับนายกฯจริงหรือไม่ เพราะมีข้อพิรุธหลังจากมีเอกสารออกมาแล้ว พบว่าสส.หลายคนออกมาปฏิเสธ เช่น สส.ชุมพร 3 คนที่ออกมาพูดเพราะเอกสารออกไปแล้วทำให้คนเข้าใจผิด

นอกจากนั้นยังเห็นสิ่งผิดปกติของลายเซ็น ที่บางคนออกมาปฏิเสธ รวมถึงในเนื้อความเขียนว่า รัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติไม่มีความรู้ความสามารถ ขาดจริยธรรม และลงชื่อนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีของพรรค ลำดับแรก รับรอง จึงไม่ทราบข้อเท็จจริงว่านายสุชาติได้เห็นและลงนามในเอกสารจริงหรือไม่

ถ้าลงลายมือชื่อก็เท่ากับรับรองและด่าตัวเองว่าไม่มีความรู้ ความสามารถ และต้องไปถามนายสุชาติว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เท่าที่ดูหลายลายเซ็นไม่ตรงกับเอกสารที่ใช้ในราชการ สส.คนอื่นที่สมัครสมาชิกพรรคลายเซ็นไม่ตรงบางคนเซ็นแค่ตัวอักษรนำ ซึ่งผิดวิสัยเอกสารสำคัญ เช่น เขียนตัวพีตัวเดียว

ทั้งนี้ ตนยังไม่เห็นเอกสารตัวจริง และเรื่องในพรรคต้องไปจัดการในพรรค ไม่เกี่ยวกับเสถียรภาพ แต่ไม่เคยเห็นมีการไปเซ็นเอกสารที่ต่อว่าหัวหน้าพรรค เลขาฯ ที่ท้าทายกดดันนายกฯ ให้ปรับครม.ที่มีใจความในลักษณะนี้

เมื่อถามว่าเรื่องนี้ได้พูดคุยกับนายพีระพันธุ์ หรือยัง นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตอนนี้ให้โอกาสและขอสื่อสารผ่านสื่อว่าขอให้ทำให้โปร่งใส ใครที่มีรายชื่อปรากฏในเอกสารดังกล่าว ที่ไม่ได้มีเจตนากดดันนายกฯ ไม่ได้มีเจตนาด่ารัฐมนตรีของพรรค ไม่มีความรู้ความสามารถจริยธรรม ก็ต้องออกมาชี้แจง

โดยตนได้พูดคุยกับสส.ทีละคนตั้งแต่มีภาพปรากฏไปรวมตัวกัน และมีข่าวจะย้ายพรรคขณะที่ส.ส. ก็ออกมาประกาศว่าไม่เป็นความจริง และวงที่คุยไม่ใช่เรื่องการย้ายพรรค เหตุการณ์ครั้งนี้ที่มีรายชื่อก็เช่นเดียวกัน ที่ขอตั้งข้อสังเกตและชวนสื่อไปดูว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเอกสารดังกล่าว วันนี้เมื่อมีคนออกมาปฏิเสธไม่ต่ำกว่า 3-4 รายชื่อ จาก 21 รายชื่ออย่างนี้เรียกว่าเป็นเอกสารเถื่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่ามองว่าใครเป็นคนดำเนินการเอกสารดังกล่าว เลขาฯรทสช.กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนรวบรวมรายชื่อ แต่ตั้งข้อสังเกตว่าการทำงานของทั้งตนและนายพีระพันธุ์ เราไปสร้างศัตรูไว้เยอะ ก่อนหน้านี้มีการไปลงขันกันด้วยเงินหลายร้อยล้านบาท หลังจากโรงงานที่ตนไปยกเลิกและปิดโรงงาน ซึ่งการลงทุนฆ่าหรือย้ายตนง่ายกว่าไปปรับคุณภาพโรงงาน เพราะภารกิจของเขา คือต้องการเอาตนเอาออกตำแหน่งให้ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่ากระแสข่าวที่ทำเช่นนี้เพื่อขอให้ขับออกจากพรรคหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ถ้าใครเห็นว่าจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรค ไม่เป็นไปตามอุดมการของเขาก็มีสิทธิ์ลาออก แต่ตราบใดที่เป็นสมาชิกของพรรค ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของพรรค

เมื่อถามย้ำว่าคนที่ลาออก อาจจะขาดสมาชิกภาพ จึงต้องการให้พรรคขับออก นายเอกนัฏ กล่าวว่า ต้องย้อนดูว่าการกระทำที่มีความผิดต่อพรรคร้ายแรง เช่น การผิดจริยธรรมร้ายแรงและการบิดเบือนเอกสาร การปลุกปั่นทำให้เกิดความแตกแยกภายในพรรคเพื่อหวังผลใดๆ และสิ่งเหล่านี้อาจมีผลทำให้ขาดสมาชิก และขอให้กลับไปอ่านข้อบังคับพรรคดูดีๆ

คนที่ปรากฏลงลายมือชื่อ ให้ไปถามสส.ว่าได้ลงลายมือชื่อจริงๆหรือไม่ ส่วนที่มีชื่อของนายสุชาติ ก็ต้องไปถามนายสุชาติ เพราะตนโทรไปไม่รับ แต่สส.คนอื่นที่ตนโทรไปรับและระบุว่าไม่มีอะไร เช่นนายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี ยังระบุว่ารักพรรคเหมือนเดิม ไม่น่าจะมีอะไร แต่หากทำอะไร ไม่ถูกต้องก็อาจขาดสมาชิกภาพที่ขัดข้อบังคับพรรค โดยไม่ต้องใช้มติกรรมการบริหารพรรคขับออกได้

“ขอตั้งข้อสังเกตว่าแปลกหรือไม่ ที่ใครจะเซ็นชื่อตัวเองมาปลดตัวเอง โดยให้เหตุผลว่าตัวเองขาดคุณสมบัติ ถามว่าใครจะไปเซ็นรับรองข้อความนั้น” นายเอกนัฏ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯเปิดโอกาสให้แต่ละพรรคเสนอชื่อปรับครมในส่วนของพรรค จะปรับหรือไม่ไหน นายเอกนัฏ กล่าวว่า ปรับหรือไม่ปรับ ต้องรอสัญญาณจากนายกฯก่อนเพราะนายกฯจะเป็นคนลงนามภายใต้สัญญาที่มีให้กัน ส่วนจะปรับหรือไม่ปรับอย่างไรเป็นกลไกของแต่ละพรรค ขอให้เป็นไปตามการตัดสินใจของกรรมการบริหารพรรค เพราะบ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมืองทุกอย่างมีกติกาอยู่

เมื่อถามว่าใน 21 รายชื่อ มีใครที่ไม่ได้เซ็นชื่อจริงได้ตรวจสอบหรือยัง นายเอกนัฏ กล่าวว่า มีทยอยมาชี้แจง แต่ยังไม่ได้พูดคุยในเรื่องนี้ จึงเกิดข้อสงสัยว่าได้ยื่นเอกสารจริงหรือไม่ และที่ตนได้พบกับนายกฯ เมื่อตอนเช้า ก็พูดถึงเรื่องของเกษตรกรชาวไร่อ้อย ซึ่งนายกฯ ให้กำลังใจในทุกเรื่องและที่ผ่านมาก็สนับสนุนการทำงานของตนตลอดมา

เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่มีปรากฏการณ์ความแตกแยกภายในพรรค มาเป็นระยะ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ได้เตรียมใจไว้แล้ว ตนเป็นคนยอมหัก ไม่ยอมงอ การทำงานของตนอาจจะไปเหยียบเท้าใครก็ได้ จึงทำทุกวิธีการในการจัดการ คนแทงจากข้างนอกอาจเห็นว่าไม่เจ็บเท่าข้างใน จึงต้องมาป่วนข้างใน

เชื่อว่าคนที่ขัดผลประโยชน์สร้างเรื่องเพื่อให้เกิดความแตกแยก ตนเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ที่ผ่านมากรรมการบริหารพรรคได้สื่อสารพูดคุยกับสส.ที่มีการประชุมมาตลอดไม่มีปัญหา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top