Thursday, 15 May 2025
Lite

‘ราวปันสุข ปีที่ 2’ โครงการแบ่งปันชุดนักเรียน โดย หจก.กนกวรรณบูติค นครสวรรค์ 

เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ห้วงก่อนเปิดเทอมนี้ บริเวณหน้าร้าน หจก.กนกวรรณบูติค ร้านขายชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนรายใหญ่ของนครสวรรค์คึกคัก มีผู้ปกครองจูงลูก-หลานมาเลือกซื้อชุดนักเรียนกันอย่างต่อเนื่อง หลังจากต้องเลื่อนเปิดเทอมป้องกันโควิดระบาดกันทั้งประเทศ

แต่ด้วยเสื้อผ้านักเรียน-อุปกรณ์บางอย่างมีการปรับราคาขึ้นแล้วชิ้นละประมาณ 5-10 บาท เพราะด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ลดจำนวนการซื้อชุดใหม่แค่ 1-2 ชุดต่อคนเท่านั้นเพื่อลดค่าใช้จ่าย เนื่องจากยังต้องซื้อชุดพละและชุดลูกเสือด้วย

ขณะที่ทางร้านฯ ได้จัดโครงการ “ราวปันสุข ปีที่ 2” เชิญชวนพ่อแม่ผู้ปกครอง-ผู้ใจบุญนำเสื้อผ้าชุดนักเรียนที่อยู่ในสภาพดีมาร่วมบริจาค ก่อนคัดแยกตั้งราวแขวนไว้ให้พ่อแม่ผู้ปกครองมาเลือกหยิบกลับไปให้ลูกหลานใช้ในภาคเรียนใหม่ที่จะถึงนี้ เพื่อลดภาระให้แก่ผู้ปกครองที่มีรายได้น้อยอีกทางหนึ่ง

วันนี้เมื่อ 38 ปีก่อน ‘สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2’ ได้เสด็จมาเยือนประเทศไทย

วันนี้เมื่อ 38 ปีก่อน เป็นอีกวันสำคัญไม่เพียงกับ ‘คริสตชนไทย’ แต่ยังหมายรวมถึงชาวไทยทั้งประเทศในมิติที่ว่า ‘สมเด็จพระสันตะปาปา นักบุญ จอห์น ปอล ที่ 2’ หรือ ‘ประมุขแห่งวาติกัน’ ได้เสด็จมาเยือนประเทศไทยครั้งแรกและอย่างเป็นทางการ อันนับเป็นหน้าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยกับนครวาติกัน ครั้งสำคัญอีกด้วย

ทั้งนี้ ชาวไทยยุคสมัยหนึ่งคงจำกันได้กับภาพประวัติศาสตร์ในครั้งนั้น นับแต่ที่คนไทยได้ทราบข่าวการเสด็จเยือนประเทศในแถบเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทยนั้น สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ได้มีวาระการเสด็จเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 10-11 พฤษภาคม พ.ศ. 2527

สืบสานกว่า 100 ปี!! ‘เครื่องแบบนักเรียน’ เมื่อแรกมีในไทย สู่ความภาคภูมิใจแห่งสถาบันศึกษา 

การแต่งเครื่องแบบมีพื้นฐานจากการแต่งตัวให้เข้ากับกาลเทศะ ความเหมาะสมของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา เครื่องแบบของนักเรียนชายส่วนใหญ่ ประกอบด้วยกางเกงขาสั้นหรือกางเกงขายาว เสื้อเชิ้ตสีขาว ขณะที่เครื่องแบบนักเรียนหญิงจะต่างกันในแต่ละประเทศและระบบการศึกษาของโรงเรียน อีกทั้งมีการออก พระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน มาบังคับใช้ด้วย เพื่อส่งเสริมความมีระเบียบวินัย และเป็นการคุ้มครอง มิให้บุคคลอื่นใดแต่งเครื่องแบบนักเรียนโดยไม่มีสิทธิที่จะแต่ง

โรงเรียนในประเทศไทยเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง จากนั้นก็ทรงให้มีโรงเรียนสำหรับสามัญชนตามมา และได้มีพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน ปี 2482 ออกมาบังคับใช้

หลังจากใช้ พ.ร.บ. ดังกล่าวมาเป็นเวลานาน พบว่าบทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน จึงยกเลิกพระราชบัญญัติฯ ปี 2482 แล้วให้ใช้ พระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. 2551 แทน โดยกำหนดให้มีเครื่องแบบนักเรียนไว้เป็นมาตรฐานกลาง เพื่อประโยชน์ในการประหยัดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย

สำหรับวิวัฒนาการของเครื่องแบบนักเรียนไทย ดร.อาทร จันทวิมล อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ปรึกษาหอประวัติศาสตร์กระทรวงศึกษาธิการได้เคยให้ข้อมูลเอาไว้ว่า ยุคแรกของการศึกษาไทย การเรียนการสอนมีขึ้นที่วัดโดยพระเป็นผู้สอนหนังสือ ต่อมาเมื่อมีโรงเรียนหลวง โรงเรียนราษฎร์ เกิดขึ้น ก็มีการบังคับใช้ เครื่องแบบนักเรียน ตามมา

ส่วนที่มาของเครื่องแบบนักเรียน พบว่าในปี ค.ศ.1846 ได้ปรากฏภาพเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดของอังกฤษ (โอรสพระราชินีวิคตอเรีย) ทรงแต่งชุดกะลาสีเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ ชุดดังกล่าวจึงกลายเป็นที่นิยมของเด็กๆ ทั่วโลก จากนั้นมีการนำชุดกะลาสีไปเป็นแบบฟอร์มชุดนักเรียนในสหรัฐอเมริกา และแพร่ขยายต่อไปยังเยอรมนี  ญี่ปุ่น และประเทศไทย

สำหรับประเทศไทยเรามีวิวัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัย อาทิ ในยุคหนึ่ง เครื่องแบบนักเรียนไทยในยุคหนึ่งต้องสวมหมวกด้วย โดยเกิดขึ้นในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นหมวกที่ทำด้วยวัสดุหลายรูปแบบ ฯลฯ ถือว่าเป็นยุคที่นักเรียนสวมหมวกเป็นเครื่องแบบเป็นยุคแรก 

บางโรงเรียนใช้เครื่องแบบเป็น "ชุดราชปะแตน" นอกจากนี้ยังพบว่ามีบางโรงเรียนมีเครื่องแบบนักเรียนคล้ายชุดทหาร นั่นคือ "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย" เนื่องจากโรงเรียนนี้มีจุดเริ่มต้นจากโรงเรียนในพระบรมมหาราชวัง ในสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นโรงเรียนเป็นการฝึกหัดบุคคลเข้ารับราชการทหาร เครื่องแต่งกายจึงใช้แบบทหาร

ต่อมาโรงเรียนถูกเปลี่ยนฐานะเป็นโรงเรียนสำหรับพลเรือน เครื่องแต่งกายของนักเรียนจึงเปลี่ยนไป โดยในยุคแรกเครื่องแบบนักเรียนใช้เป็น "เสื้อราชปะแตน นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมถุงเท้ายาวสีขาวพับขอบบน รองเท้าหนังสีดำ"

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 เครื่องแบบโรงเรียนนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นกางเกงตัดเป็นจีบ รูดเลยหัวเข่าคล้ายโจงกระเบน ต่อมาเปลี่ยนรูปแบบเป็นกางเกงขาสั้นแคบสีดำ เสื้อคงเดิม และสวมหมวกยาวปีกกลมคาดแถบผ้าสีเหลือง ตรงกลางหน้าหมวกมีเข็มกลัดโลหะอักษร สก. จากนั้นเครื่องแบบนักเรียนถูกเปลี่ยนอีกครั้ง กลายเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้นสีกากี และพัฒนามาเป็นกางเกงขาสั้นสีดำ

วันนี้เมื่อ 211 ปีก่อน คือ วันถือกำเนิดของแฝดสยามคู่แรกของโลก

ย้อนไปเมื่อ 211 ปีก่อน ในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2354 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ฝาแฝดอิน-จัน ได้ถือกำเนิดในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน ที่จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีบิดาเป็นชาวจีนอพยพแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ชื่อ นายที มารดาเป็นคนไทยชื่อ นางนาก (บันทึกของชาวตะวันตกเรียกว่า นก (Nok)) ซึ่งฝาแฝดคู่นี้สามารถเติบโตและใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ แตกต่างไปจากแฝดติดกันคู่อื่น ๆ ที่มักเสียชีวิตหลังคลอดได้ไม่นาน 

เนื่องด้วยเกิดที่ประเทศสยาม แฝดอิน-จัน จึงได้รับการขนานนามว่า “แฝดสยาม (Siamese Twins)” ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และยังเป็นคำเรียกฝาแฝดที่เกิดมามีตัวติดกันอีกด้วย 

โดยในปี พ.ศ. 2367 นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวอังกฤษ หรือที่คนไทยสมัยนั้นเรียกว่า "นายหันแตร" ได้พบแฝดคู่นี้กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ ด้วยความประหลาดและน่าสนใจ นายฮันเตอร์จึงคิดที่จะนำฝาแฝดคู่นี้ไปแสดงโชว์ตัวที่สหรัฐอเมริกา จึงเข้าทำความสนิทสนมกับครอบครัวของฝาแฝดอยู่นานนับปี จนพ่อแม่ของทั้งคู่ไว้วางใจ ในที่สุดนายอาเบล คอฟฟิน กัปตันเรือสินค้า เดอะ ชาเคม (The Sachem) ซึ่งขณะนั้นได้เข้ามาทำการค้าในประเทศไทย ได้เป็นผู้นำตัวคู่แฝดออกเดินทางจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2372 ขณะนั้นอิน-จัน อายุได้ 18 ปี จากนั้นเมื่อถึงอเมริกา คู่แฝดได้ออกเดินทางแสดงทั่วอเมริกาและยุโรปนานนับ 10 ปี 

กระทั่ง เมื่ออายุได้ 28 ปี ใน พ.ศ. 2382 (ค.ศ. 1839) ทั้งคู่ก็ได้ลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านแทรปฮิลล์ (Traphill) เขตชานเมืองวิลส์โบโร (Wilkesboro) เคาน์ตีวิลส์ ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยลงทุนซื้อที่ดิน 11 เอเคอร์ พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน โดยใช้ชื่อว่า เอ็ง-ชาง บังเกอร์ (Eng and Chang Bunker) พร้อมกับได้แต่งงานกับหญิงชาวอเมริกัน อินสมรสกับ Sarah Ann Yates (1822 - 1905) และจันสมรสกับ Adelaide Yates Bunker (1823 - 1917) และมีลูกด้วยกันหลายคน จัน 10 คน อิน 11 คน ซึ่งระหว่างที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตในต่างประเทศนั้น มีความพยายามหลายครั้งจากหลายบุคคลที่จะทำการผ่าตัดแยกร่างทั้งคู่ออกจากกัน แต่ท้ายที่สุดก็มิได้มีการดำเนินการจริง ๆ

'ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล' ผู้บุกเบิกด้านการพยาบาลสมัยใหม่ เป็นที่มาของ ‘วันพยาบาลสากล’

ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Florence Nightingale) สตรีชาวอังกฤษผู้บุกเบิกด้านการพยาบาลสมัยใหม่ เกิดวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2363 ในครอบครัวเศรษฐีชาวอังกฤษที่กรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี

ด้วยความศรัทธาต่อพระเจ้า ซึ่งเธอกล่าวว่าได้ยินเสียงจากพระองค์ให้เธอช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ในปี พ.ศ. 2380 ซึ่งสมัยนั้นสังคมยังกำหนดบทบาทให้ผู้หญิงเป็นเพียงแม่บ้านและภรรยาเท่านั้น เธอปฏิเสธความเชื่อดังกล่าว เริ่มออกช่วยรักษาคนป่วยที่ยากจน ในปี พ.ศ. 2389 เธอเดินทางไปศึกษาพยาบาลที่เมืองไคเซอร์เวิร์ธ (Kaiserswerth) ประเทศเยอรมนี และเริ่มอาชีพพยาบาลตั้งแต่ปี 2394

ในช่วง สงครามไครเมีย (Crimean War) ประเทศตุรกี ระหว่างรัสเซียกับฝรั่งเศสและอังกฤษ หลังจากพบว่ามีทหารล้มตายและบาทเจ็บจำนวนมาก โดยไม่มีหน่วยงานเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง เธอจึงรวมตัวกับเพื่อน 38 คนเป็นพยาบาลอาสาตั้งโรงพยาบาลชั่วคราวในสนามรบ โดยใช้มาตรฐานอย่างเข้มงวด ทั้งการรักษา สุขภาพอนามัย และอาหาร เธอดูแลคนป่วยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้ในยามมืดค่ำ เธอยังคงรักษาคนไข้ใต้แสงตะเกียง จนได้รับการยกย่องว่า “สตรีผู้ถือตะเกียง” (The Lady with the Lamp)

วันพืชมงคล วันอันอุดมฤกษ์ตามตำราโหราศาสตร์ เหมาะแก่การทำพิธีแรกนา

วันพืชมงคล คือ วันที่กำหนดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพระราชพิธีเก่าแก่มาตั้งแต่โบราณ พิธีนี้ทำเพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรของชาติ รวมถึงเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทยอีกด้วย 

พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พิธีแรกนา เป็นพระราชพิธีที่มีมาแต่โบราณ ในส่วนของวันประกอบพิธีของวันพืชมงคลนั้นจะต้องเป็นวันที่ดีที่สุดของแต่ละปี ซึ่งเป็นวันอันอุดมฤกษ์ตามตำราโหราศาสตร์ ซึ่งในตามตำราของโหราศาสตร์จะประกอบด้วย ขึ้น แรม ฤกษ์ยาม และวันนี้จะต้องอยู่ในระหว่างเดือน 6 เพราะเดือนนี้จะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ถือว่าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนาที่จะได้เตรียมทำนากัน

พระราชพิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญพืชพรรณธัญญาหารที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งข้าวที่นำเข้าพิธีนั้นจะเป็นข้าวเปลือก มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้ยังมีเมล็ดพืชต่าง ๆ รวม 40 อย่าง

ในปัจจุบันการประกอบพิธีในวันพืชมงคลนั้นจะถูกกำหนดขึ้นโดยโหรหลวง จะมีการทำนายปริมาณน้ำฝนในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงโดยมีพระยาแรกนาจะทำหน้าที่เลือกผ้า 3 ผืนที่มีความยาวต่างขนาดกัน ถ้าพระยาแรกนาเลือกผืนที่ยาวที่สุดก็ทายว่า ปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะมีน้อย ถ้าเลือกผืนที่สั้นที่สุด ทายว่า ปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะมาก และถ้าเลือกผืนที่มีความยาวปานกลาง ทายว่า มีปริมาณน้ำฝนพอประมาณ หลังจากนั้นพระยาแรกนาก็จะไถลงไปบนพื้นที่ท้องสนามหลวงด้วยพระนังคัลสีแดงและสีทอง ซึ่งลากโดยพระโคผู้สีขาว ตามขบวนด้วยเทพีทั้ง 4 ผู้ซึ่งหาบกระเช้าทองและกระเช้าเงินที่บรรจุด้วยเมล็ดข้าวเปลือก 

วันนี้เมื่อ 65 ปีก่อน มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 9

ในช่วงสมัยของรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูจารีตประเพณีที่สืบมาแต่โบราณหลายอย่างจากที่เลิกร้างไปนับตั้งแต่ประเทศมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หนึ่งในพระราชพิธีนี้คือ ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค จัดให้มีขึ้นครั้งแรก พ.ศ. 2500 เนื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ จากนั้น พ.ศ. 2502 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูจารีตประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราชลมารค และจัดในพิธีสำคัญวโรกาสต่างๆ รวม 17 ครั้งในรัชกาล

การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9)

นับตั้งแต่มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคเมื่อคราวฉลองพระนครครบ 150 ปี พ.ศ. 2475 ในรัชกาลที่ 7 แล้ว ไม่ปรากฎหลักฐานว่าได้มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคอีกเลย จนในปี พ.ศ. 2500 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระปณิธานอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้สืบต่อเนื่องยาวนาน พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูประเพณีเสด็จพระราชดาเนินถวายผ้าพระกฐิน

วันนี้ในอดีต 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 พระราชวงศ์และเสนาบดีมีมติเห็นชอบให้ถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ จึงได้ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ไปเฝ้าเจ้าฟ้ามงกุฎ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร แต่พระองค์ตรัสว่า ถ้าจะถวายพระราชสมบัติแก่พระองค์จะต้องอัญเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นครองราชย์ด้วย เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นผู้ที่มีพระชะตาแรง ต้องได้เป็นพระมหากษัตริย์

ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระองค์ได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฏว่า

"พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎสุทธิ สมมุติเทพยพงศวงศาดิศรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธิเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวราชรามวรังกูร สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหารสุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคคล ประสิทธิสรรพสุภผลอุดม บรมสุขุมาลยมหาบุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมลศุภศีลสมาจารย์ เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฏิสาธุ คุณวิบุลยสันดาน ทิพยเทพวตาร ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์เอกอัครมหาบุรุษ สุตพุทธมหากระวี ตรีปิฎกาทิโกศล วิมลปรีชามหาอุดมบัณฑิต สุนทรวิจิตรปฏิภาณ บริบูรณ์คุณสาร สัสยามาทิโลกยดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพพิเศษ สิรินธรมหาชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเศกาภิษิต สรรพทศทิศวิชิตวิไชย สกลมไหศวรินมหาสยามินทร มเหศวรมหินทร มหาราชาวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบรมบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "

เด็กไทยฉลาดขึ้น!! กรมสุขภาพจิต เผยผลสำรวจ เด็ก ป 1. ไทยฉลาดขึ้น ไอคิวเฉลี่ย 102.8 ไอคิวสูงเกิน 130 มากกว่าละ 10

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2565 ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงผลการสำรวจไอคิว อีคิว "เด็กไทย" ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปี 2564 ภายในงาน “เดินหน้า...สร้างเด็กไทยไอคิวดี” พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณแก่บุคคลที่ร่วมดำเนินงานพัฒนาเด็กไทยและพัฒนาสติปัญญาเด็กไทยดีเด่น จำนวน 18 รางวัล

นายอนุทิน กล่าวว่า จากการสำรวจระดับสติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ประจำปี 2564 ทั่วประเทศ พบว่า มีระดับสติปัญญา (ไอคิว) เฉลี่ย 102.8 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติและผ่านเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่กำหนดให้เด็กไทยมีไอคิวไม่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 100 และเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 พบว่า เด็กไทยมีไอคิวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 4.5 จุด ส่วนเด็กที่ไอคิวต่ำกว่า 90 ลดลงจาก 31.8% เหลือ 21.7% สะท้อนความสำเร็จจากความร่วมมือของทุกฝ่ายในการพัฒนาเด็กไทยให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ 

อย่างไรก็ตาม ยังมีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีไอคิวในเกณฑ์บกพร่อง ต่ำกว่า 70 อยู่ถึง 4.2% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานสากลที่กำหนดให้ไม่เกิน 2% แสดงว่ายังมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่ส่งผลต่อสติปัญญาในช่วงแรกเกิดถึง 5 ปี ซึ่งพบในกลุ่มขาดโอกาสทางสังคม เช่น ครอบครัวที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เด็กที่เกิดจากมารดาวัยรุ่น ครอบครัวขาดความพร้อมในการเลี้ยงดูเด็กขณะที่ตั้งครรภ์

สำหรับเด็กที่มีระดับสติปัญญาในเกณฑ์ฉลาดมาก คือ "ไอคิวสูง" มากกว่า 130 พบสูงถึง 10.4% เป็นผลจากได้รับการส่งเสริมศักยภาพอย่างเต็มที่จากครอบครัวและสังคม ซึ่งทุกหน่วยงานควรนำมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาให้ครอบคลุมทั้งประเทศ

ส่วนผลสำรวจความฉลาดทางอารมณ์ (อีคิว) พบอยู่ในเกณฑ์ปกติ 83.4% แสดงว่าเด็กยังมีความสามารถในการรู้จัก เข้าใจ ควบคุมอารมณ์ สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ เอาชนะอุปสรรคในชีวิต และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จและความสุขในอนาคต

“การที่เด็กไทยมีระดับไอคิวสูงขึ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่พระราชทานแนวทางแก้ปัญหาขาดแคลนสารไอโอดีนในเด็ก ทำให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยมากขึ้น จึงขอให้กรมสุขภาพจิตและกรมอนามัยเพิ่มเรื่องความรอบรู้ด้านไอโอดีนให้แก่ อสม. เพื่ออธิบายต่อกับชาวบ้านถึงความสำคัญในการให้เด็กได้บริโภคอาหารที่มีสารไอโอดีน” นายอนุทินกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top