Wednesday, 24 April 2024
Lite

7 ธันวาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทยอีกวันหนึ่ง โดยเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ซึ่งปีนี้ทรงเจริญพระชันษา 42 ปี

 

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจในหลากหลายด้าน ทางด้านกฎหมาย ทรงส่งเสริมหลักการยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะสตรีและผู้ต้องขังหญิง อีกทั้งส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมในระดับนานาชาติ โดยทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตสันถวไมตรีด้านการส่งเสริมหลักนิติธรรมและระบบงานยุติธรรมทางอาญา สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ

 

อีกหนึ่งพระราชกรณียกิจอันเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทย โดยทรงเป็นองค์ประธานมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ด้วยวัตถุประสงค์ในการบรรเทาความเดือดร้อน ตลอดจนช่วยเหลือประชาชนคนไทย ทั้งในยามประสบภัยพิบัติ และส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

 

เนื่องด้วยเป็นวันคล้ายวันประสูติ ขอพระองค์ทรงมีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของประชาชนคนไทยสืบไป ทรงพระเจริญ

 

อ้างอิง: https://th.wikipedia.org/ , http://friendsofpa.or.th/TH/home

 

 

ถูก ‘บูลลี่’ ควรแก้ยังไง?

ใครเคยถูก ‘บูลลี่’ ยกมือขึ้น?

 

ถามแบบนี้ เชื่อเถอะว่า ยกมือกันพรึ่บ ไล่ไปตั้งแต่เด็กประถมไปยันนายกรัฐมนตรี ยุคสมัยนี้เขาเรียกการโดนล้อว่า ถูกบูลลี่ (Bully) แต่ถ้าเป็นยุคก่อนๆ มันก็คือ การถูกล้อ ถูกแซว นั่นแหละ

 

การถูกบูลลี่ หรือการล้อ การแซว เป็นเรื่องทางจิตวิทยาของมนุษย์มาแต่โบร่ำโบราณแล้วล่ะ เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม พอมารวมกลุ่มกันเข้า เมื่อเห็นว่าสิ่งใดที่มันดู ‘แตกต่าง’ ไปจากผู้คนปกติในกลุ่ม ก็มักจะมีการออกความเห็น เป็นธรรมดา

 

เช่น ‘ทำไมคนนี้ถึงดำ’ ‘ทำไมคนนั้นถึงเตี้ย?’ แต่ปัญหาต่อมาก็คือ เมื่อมีคนพูด (หรือตั้งประเด็นขึ้นมา) คนอื่นๆ ในกลุ่มก็จะพลอยสนใจ จากที่มีคนสีผิวต่าง หรือส่วนสูงต่างอยู่ในกลุ่มตั้งนานสองนาน พอมีคนตั้งข้อสังเกตปุ๊บ กลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทันที

 

ที่มันเลยเถิดไปกว่านั้น เมื่อสนใจในความแตกต่าง กลับกลายเป็นการไปย้ำความต่างนั้นๆ อยู่เรื่อยๆ เหมือนอะไรเอ่ยไม่เข้าพวก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่มีใครทัก ใครพูด มันก็จะไม่กลายเป็นประเด็น

 

ยังมีอีกหลายกรณี เช่น คนนี้อ้วนกว่าใครในกลุ่ม คนนี้ผอมแห้งกว่าใครในแก๊ง คนนี้สิวเยอะ คนนั้นพูดไม่ชัด คนโน้นผมหยิก กระทั่งพัฒนามาสู่ยุคนี้ ที่มีโซเชี่ยลมีเดียเป็นตัวกระจายอำนาจการบูลลี่ กล่าวคือ ใครที่มีความต่าง หรือมีพฤติกรรมไม่เข้าพวก หรือแม้แต่ทำอะไรน่าเกลียดๆ แล้วโดนถ่ายภาพเก็บไว้ ทั้งหมดนี้จะถูกกระจายกำลังกันโดนบูลลี่ไปในโลกกว้างทันที

 

 

เรื่องเหล่านี้ ใครไม่เจอกับตัวเอง ก็คงไม่รู้ซึ้งว่า ‘มันเจ็บปวดเพียงใด’

 

อย่างที่ถามไป มีใครเคยถูกบูลลี่บ้าง น้อยคนนั่นแหละที่จะไม่เคย เอาเรื่องเบสิกสุดๆ ประเภทล้อชื่อพ่อชื่อแม่ ยิ่งชื่อพ่อแม่เป็นชื่อเชยๆ แปลกๆ งานนี้โดนล้อกันจนแก่จนเฒ่า นี่ก็เป็นมิติหนึ่งของการบูลลี่เหมือนกัน ถามต่อมาว่า แล้วจะทำยังไงไม่ให้ถูกบูลลี่? ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ‘ยาก!’ เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมมีความแตกต่าง หรือแม้แต่ทำอะไร ‘พลาดๆ’ กันได้หมด

 

แต่ตัวการปัญหาจริงๆ มันอยู่ที่ ‘คนบูลลี่’ นั่นต่างหาก

 

ยกสมการง่ายๆ ว่า ‘ถ้าไม่มีคนบูลลี่ มันก็จะไม่มีการถูกบูลลี่’ ถูกไหม? เพราะฉะนั้น สิ่งที่ ‘ทุกคน’ ควรทำ หรือต้องทำ คือ ฉุกคิดสักนิด ก่อนจะพูด ก่อนจะเล่า ก่อนจะแซว ก่อนจะล้อ ก่อนจะให้ความเห็น หรือก่อนจะคอมเม้น

 

ทั้งหมดมันเกิดจากตัวเรานี่ล่ะ บางครั้งไม่ตั้งใจ แต่เผลอตัวพูดออกไปด้วยความสนุก(ปาก) ด้วยความคึกคะนอง คิดว่าขำๆ ล้อกันเล่นๆ แต่ใจเขาใจเรา อะไรที่มากเกินพอดี ผลลัพธ์ที่ออกก็มักจะเกินงามไปด้วยเช่นกัน

 

 

เราไม่ได้บอกให้ใครต้องทำตัวโลกสวย ต้องพูดเพราะๆ แต่ก่อนพูด ขอให้มีสติ ฉุกคิดสักนิดกับคำพูดของเรา อะไรที่ประเมินว่าสุ่มเสี่ยง ก็ข้ามๆ ไปบ้าง ไม่ต้องพูดทุกอย่างที่คิดก็ได้

 

สรุปคาถาง่ายๆ ป้องกันการถูกบูลลี่ นั่นคือ ‘การไม่ไปบูลลี่คนอื่นก่อน’ ก็เท่านั้นเอง...

เก็บตก 20 เรื่อง ซีรี่ส์แห่งปี START-UP

จบไปแบบยังไม่แห้งดี (จบแบบหมาดๆ) สำหรับซีรี่ส์เกาหลีส่งท้ายปี START-UP

 

เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่ซีรี่ส์ส่งท้ายปีเท่านั้นนะ ยังเป็นซีรี่ส์เกาหลีแห่งปี 2020 อีกด้วย เหตุที่ต้องยกตำแหน่งนี้ให้อย่างไม่เป็นทางการ เพราะทันทีที่ซีรี่ส์ดังกล่าวถูกปล่อยสตรีมมิ่งลง Netflix เรตติ้งก็ดีเว่อร์ กระแสความคลั่งไคล้ในเรื่องราวและเหล่าตัวละครก็พรึ่บพรั่บมาแรงแซงทุกเรื่องแบบไม่เห็นฝุ่น

 

แรกทีเดียว ฟังแค่ชื่อ START-UP คงพอเดาได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวธุรกิจยุคใหม่ การแข่งขันทางเทคโนโลยี แต่ซีรี่ส์เรื่องนี้ทำได้ดีกว่านั้นมากกกกก! ทั้งผูกเรื่องราวได้น่าสนใจ ตัวละครแทบทุกตัวมีมิติ และสะท้อนโลกของคนรุ่นใหม่ (ในแบบเกาหลีใต้) ได้อย่างน่าสนใจ

 

เอาเป็นว่า ใครที่ยังไม่เคยดู สามารถตามดูย้อนหลังได้แบบรวดเดียวจบได้เลย นี่เป็นข้อดีของการดูซีรี่ส์ยุคสตรีมมิ่งออนไลน์ แต่สำหรับใครที่ยังไม่เชื่อกระแสการตลาดแบบปากต่อปาก ประมาณว่า บอกว่าดี ดี ดี กันปากต่อปาก จนสุดท้ายก็ต้องเข้าไปดู เอาอย่างนี้แล้วกัน เรามี 20 เรื่องราวของซีรี่ส์นี้ ให้คุณได้ลองอ่านดูก่อน

 

ไม่ต้องกลัวว่าเราจะบอกเรื่องย่อ หรือไคลแมกซ์ของเรื่องหรอกนะ แต่เป็นการจับเอา ‘คุณค่า’ ที่ได้จากซีรี่ส์เรื่องนี้ เรียกว่าเป็นคุณงามความดี ที่ไม่ได้ดีแค่นางเอกสวย พระเอกหล่ออย่างเดียว ลองตามไปอ่านดูกัน

 

1 ซี่รี่ส์ START-UP แม้ชื่อจะฟังดูร่วมสมัย เป็นเรื่องของคนยุคใหม่ แต่ภาพหลังของเรื่องราวทั้งหมด คือความรัก ความผูกพันของคนในครอบครัว จากต้นเรื่องที่ดูเหมือนครอบครัวตัวละครต่างแตกแยก แต่ท้ายที่สุด ความรักและความผูกพันก็ทำให้พวกเขากลับมาพร้อมหน้ากันในที่สุด

 

2 ซีรี่ส์พยายามจะบอกว่า ไม่ว่าคนกลุ่มไหนก็สามารถเป็น Startup ที่ประสบความสำเร็จได้ สะท้อนได้จากกลุ่มตัวละครในบริษัท ซัมซานเทค ที่ประกอบไปด้วย นัมโดซาน คิมซงซาน และอีชอลซาน แม้แรกเริ่มพวกเขาจะอยู่ในบริษัทอันซอมซ่อ แถมแต่ละคนยังพูดจาไม่รู้เรื่อง ดูเป็น underdog มากๆ แต่ด้วยความกล้า ลุย อดทน และมีความแตกต่าง สุดท้ายพวกเขาก็ประสบความสำเร็จจนได้

 

 

3 หลายๆ ฉากของซีรี่ส์เรื่องนี้ สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของเหล่า Startup ในโลกที่คนอยากทำ Startup ต้องเจอ นั่นคือ ต้องอึด ถึก ทน กินอยู่ หลับนอน และทำงาน อยู่ในออฟฟิศนั่นล่ะ

 

4 ซีรี่ส์นี้ยังบอกอีกด้วยว่า ถ้าคิดจะทำธุรกิจ Startup ก็อย่าได้กลัวความล้มเหลว ดังสัญลักษณ์ของอาณาจักร Sand Box ในเรื่อง (ทำหน้าที่คล้ายๆ Silicon Valley ในโลกสตาร์ตอัพจริง) ที่ใช้ภาพเด็กผู้หญิงกำลังแกว่งไกวชิงช้า โดยมีที่มาจากการที่ตัวละครหนึ่งเคยนำทรายไปถมเพื่อให้ลูกเล่นชิงช้า พร้อมกับสะท้อนการทำธุรกิจว่าเหมือนกับการเล่นชิงช้านั้น อย่ากลัวที่จะทำอะไรใหม่ๆ ถ้าพลาด หรือตกลงมา ก็ยังมีพื้นทรายที่รองรับ มันก็แค่เจ็บ แต่ไม่ถึงกับตาย จงกล้าที่จะสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา

 

 

5 ซีรี่ส์นี้เหมือนจะเป็นซีรี่ส์ของคนรุ่นใหม่ แต่ตัวละครสำคัญของเรื่องล้วนผูกไว้กับ ‘คนรุ่นก่อน’ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับ ‘คุณย่าชเววอนด็อก’ ซึ่งเป็นคุณย่าของนางเอก เธอเปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของเด็กๆ ทุกคนในเรื่อง แถมยังมีประโยคคำสอนมากมาย สุดท้ายซีรี่ส์นี้กำลังจะบอกว่า โลกนี้ล้วนอยู่ได้ด้วยความเก่าและใหม่ ที่ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของกันและกัน เพียงแต่ต้องผสานให้เป็นหนึ่งเดียว

 

6 คุณงามความดีของซีรี่ส์นี้อีกประการ ตัวละครรุ่นใหม่พยายามสร้างธุรกิจใหม่ๆ ก็จริง แต่สุดท้ายพวกเขาไม่ได้สร้างเพื่อต้องการ ‘ความร่ำรวย’ หากแต่สร้างเพื่อ ‘ประโยชน์’ ให้กับผู้คน สะท้อนได้จากกลุ่มบริษัทซัมซานเทคที่พยายามทำแอปฯ ที่ชื่อ นันกิล เพื่อไว้ใช้นำทาง และบอกข้อมูลต่างๆ ให้กับคนพิการทางสายตา

 

 

7 ‘ความรวย’ ไม่ใช่คำตอบสำหรับซีรี่ส์เรื่องนี้ หลากหลายตัวละครที่อยู่บนฐานะที่ร่ำรวย อาทิ ชาอาฮยอน (แม่ของนางเอก) หรือ วอนอินแจ (พี่สาวนางเอก) แรกเริ่มเดิมที ทั้งสองคนต่างอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น จึงแยกครอบครัวไปอยู่กับพ่อเลี้ยงคนใหม่ แต่สุดท้าย เงิน ก็ไม่ใช่คำตอบของชีวิต หากแต่คือความเป็นตัวของตัวเอง และการได้พิสูจน์ความสามารถที่แท้ของตัวเองต่างหาก

 

8 ซอดัลมี คือนางเอกของเรื่อง เหมือนเป็นตัวแทนของผู้หญิงในโลกนี้ที่ไม่ได้สวยที่สุด เก่งที่สุด แถมครอบครัวก็ไม่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่ปลุกเร้าให้เธอต้องก้าวขึ้นมาพิสูจน์ตัวเอง เพราะการจากไปของพ่อ และอยากให้ย่าเลิกขายฮอตด็อก และสุดท้าย อย่าเพิ่งตัดสินว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง จนกว่าเขาจะได้รับโอกาสในการพิสูจน์ตัวเอง

 

 

9 ในมุมกลับกัน นัมโดซาน พระเอกของเรื่อง มีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อและแม่ต่างเป็นห่วงในอนาคตของเขา แม้จะไม่ชอบใจในสิ่งที่ลูกชายทำก็ตามที (ก่อตั้งบริษัทซอมซ่อที่ชื่อ ซัมซานเทค) แต่พวกเขาก็เหมือนลมใต้ปีก ที่คอยอุ้มและส่งแรงให้ลูกชายได้บินขึ้นไปสู่ท้องฟ้าได้สำเร็จ

 

 

10 มาสู่เรื่องเบาๆ กันบ้าง ซีรี่ส์เรื่องนี้ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นซีรี่ส์เกาหลีอยู่เช่นเดิม กล่าวคือ ต้องมีฉากกินข้าวร่วมกันของครอบครัว (ที่แทบทุกเรื่องต้องมี) และต้องเห็นมื้ออาหาร เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็น Soft Power ทางวัฒนธรรมเบาๆ ที่แฝงมาจนทำให้เรา (คนดู) อยากกินตามบ้าง

 

11 ไม่ใช่แค่มื้ออาหาร แต่ร้านอาหาร และร้านร่ำสุรา ก็ต้องมี แน่นอน เครื่องดื่ม ‘โซจู’ ต้องมาเช่นเคย นี่ก็ Soft Power อีกหนึ่งอย่างที่ประสบความสำเร็จเอามากๆ ทุกวันนี้ร้านสะดวกซื้อในเมืองไทย มีโซจูขายเพียบเลย

 

12 นอกจากรถแบรนด์หรูจากประเทศเยอรมัน ที่เป็นสปอนเซอร์ให้กับรถยนต์ทุกคันของตัวละครในเรื่อง ซีรี่ส์เรื่องนี้ยังแอบไทอิน หรือมีแอดเวอเทอเรียลแบบเนียนๆ อยู่เป็นระยะๆ (โดยเฉพาะฉากแต่งหน้าของนางเอก) หากไม่สังเกตแบบจ้องจับผิด ก็อาจจะดูไม่ออก ต้องยกความสามารถนี้ให้กับฝ่ายคิดและถ่ายทำ ซึ่งซีรี่ส์เกาหลีนั้น ‘ขายโฆษณาแฝง’ แทบทุกเรื่อง แต่ดูเพลินจนแยกไม่ออกจริงๆ

 

13 อีกหนึ่งคุณงามความดี คือเสื้อผ้าหน้าผมของทุกตัวละคร ดูลงตัว ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่ฉูดฉาดเหมือนซีรี่ส์เกาหลีบางเรื่อง เสื้อผ้าที่ตัวละครสวมใส่ล้วนใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน แถมบางชิ้นเห็นมากๆ เข้าก็อยากจะไปส่องตามร้านในเมืองไทยว่ามีขายหรือยัง ภาพรวมเป็นการสไตลิ่งที่สมจริงกับความเป็นคนรุ่นใหม่ในสายงานสตาร์ตอัพ ดูจับต้องได้ และน่าจับต้องอีกด้วย

 

 

14 เห็นว่าเป็นซีรี่ส์แนวธุรกิจโลกยุคใหม่ก็ตาม แต่ยังคงความเป็นสไตล์เกาหลี โดยเฉพาะเรื่องการสร้างปมตัวละครอันสุดเฉียบ ยกตัวอย่างเช่น นางเอกมีรักแรกจากเพื่อนทางจดหมาย (ที่เขียนขึ้นโดยพระรอง) แต่แท้จริงพระรองนั้นถูกย่าของนางเอกขอให้ช่วยเขียนให้ แต่ปรากฎว่า ชื่อที่พระรองใช้ กลับเป็นชื่อพระเอก (ตัวจริง) ที่ไปเห็นจากในหนังสือพิมพ์ เนื่องจากพระเอกชนะเลิศการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก เวลาผ่านไป 15 ปี คนทั้งหมดก็วนกลับมาเจอกัน ทำให้เกิดเรื่องราวความรักสามเส้าขึ้น

 

15 ซีรี่ส์ START-UP เรื่องนี้ ไม่มีตัวร้าย โดยเฉพาะที่ร้ายอย่างไม่มีเหตุผล แต่ไปวางตัวละครที่ต้องมาแข่งขันด้วย ที่เปรียบเหมือนตัวร้ายแบบเบาๆ ส่วนใหญ่จุดหักเหต่างๆ ของเรื่อง มักเกิดจากความผิดพลาดของเหล่าตัวละคร ซึ่งล้วนแต่เกิดมาจากความอ่อนด้อยในประสบการณ์ คนดูที่ติดตาม ก็ได้เรียนรู้และได้ประสบการณ์จากพวกเขาไปปรับใช้จริงได้ด้วยเช่นกัน

 

16 ปกติคนดูจะลุ้นว่า เมื่อไรพระเอก-นางเอกจะจูจุ๊บกันสักที แต่สำหรับซีรี่ส์เรื่องนี้ การจูบกันของพระนางแทบจะไม่ทำให้คนดูฟิน หรือดูดดื่มแต่อย่างใด แต่ในมุมกลับกัน ดูเป็นการจูบที่เป็นมุษย์มนา เรียกว่ามาตามอารมณ์ของเรื่อง ไม่ใช่เอะอะจูบ เอะจูบจูบ แม้จะไม่ใช่ฉากขายเหมือนหลายๆ เรื่อง แต่ก็เป็นซีนที่ดูจริง และสบายตาสบายใจ

 

 

17 อย่างที่บอกไป START-UP เป็นซีรี่ส์ที่ให้รายละเอียดของตัวละครแทบทุกตัว ยกตัวอย่าง พระเอก-นัมโดซาน เป็นคนชอบถักนิตติ้ง เมื่อใดที่เขาโกรธ หรือควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาจะถักนิตติ้ง ส่วนนางเอก-ซอดัลมี เมื่อไรที่เธอเอาจริงกับเรื่องอะไรก็ตาม เธอมักจะรวบผมแล้วมัดขึ้นมาอยู่เสมอ แม้แต่ ฮันจีพยอง-พระรอง ตัวละครที่ภาพนอกคือผู้อำนวยการที่แสนจะเพอร์เฟคท์ แต่แท้จริงเขาคือคนเหงาคนหนึ่ง ที่มีเพื่อนคุยคือ คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ ที่ตั้งอยู่บ้านเท่านั้นเอง

 

 

18 ตัวละคร พระรอง-ฮันจีพยอง เหมือนเป็นภาพสะท้อนของคนยุคปัจจุบัน ที่แม้จะมีต้นทุนในชีวิตที่ต่ำมาก่อน แต่ด้วยความเก่ง และความขยัน ก็สามารถถีบตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นผู้บริหารแถวหน้าได้ แต่ในภาพความสำเร็จ ความร่ำรวย สิ่งที่เขาต้องการ กลับเป็นแค่ความรัก ความเข้าใจ และชีวิตที่เรียบง่าย เหมือนอย่างที่เขามักจะไปหา ‘คุณย่าชเววอนด็อก’ คนที่เคยดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆ ที่ร้านขายฮอตด็อกนั่นเอง

 

 

19 แง่งามของ START-UP อีกอย่างคือ ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือคนแก่ ก็สามารถดูซีรี่ส์เรื่องนี้ได้อย่างเข้าใจและเข้าถึง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องธุรกิจคนรุ่นใหม่ แต่แท้จริงแล้ว ซีรี่ส์ได้ซ่อนการเชื่อมโยงของคนสองเจนเนอเรชั่นเข้าไว้ด้วยกัน คนรุ่นใหม่พร้อมทะยานเพื่อไปสู่อนาคตก็จริง แต่ในเนื้อแท้ พวกเขายังต้องอาศัยประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน เพื่อนำทางไปสู่เป้าหมาย หนำซ้ำ เป้าหมายจริงๆ ที่พวกเขาต้องการ ไม่ใช่แค่พิสูจน์ให้คนรุ่นก่อนเห็นว่าพวกเขาทำได้ แต่มันคือภาพของการทำให้คนที่รักมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่างหาก

 

 

20 ทำไมคนดูมากมายถึงต่างก็ ‘หลงรัก’ ซีรี่ส์และตัวละครของเรื่องนี้ เพราะพวกเขาเหมือนตัวแทนของเราที่พยายามจะ ‘ทำตามฝัน’ (Follow your dream) มากไปกว่านั้น คือการไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง เหมือนดังเช่นตอนท้ายๆ ของเรื่อง ที่พวกเขาได้กลับไปที่ออฟฟิศเก่าแห่งแรกของตัวเอง พร้อมกับยืนกอดคอกันร้องไห้ สะท้อนให้เห็นว่า ที่สุดแล้วชีวิตของคนเรา ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ หรือวัยไหนก็ตามที การได้ไปยังสิ่งที่ใฝ่ฝัน แน่นอนว่า มันคือความสำเร็จ แต่ในแก่นแท้ของความสำเร็จแล้ว มันคือการได้เรียนรู้ และได้เห็นการเติบโตของตัวเองตลอดมา

 

8 ธันวาคม พ.ศ. 2501 ครบรอบวันเกิด ธงไชย แมคอินไตย์ 62 ปี

หนึ่งในศิลปินเมืองไทยที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน และยังคงครองตำแหน่ง ‘ซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่ง’ ของเมืองไทยมาได้หลายพ.ศ. ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีๆ ธงไชย แมคอินไตย์ ก็ยังเป็น ‘พี่เบิร์ด’ของทุกคนอยู่เสมอ

 

ธงไชย แมคอินไตย์ เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2501 หรือวันนี้เมื่อ 62 ปีที่แล้ว กรุณาอย่าเอามือทาบอก-แสดงอาการตกใจ แม้วัยจะเขยิบมาถึง 62 ปี แต่พี่เบิร์ดของทุกๆ คน ก็ยังเต็มไปด้วยพลัง ยังร้อง เล่น เต้น โชว์ สร้างสีสันให้คนไทยได้แบบสบายสบาย

 

จากพนักงานธนาคารย่านท่าพระเมื่อกว่า 40 ปีก่อน วันหนึ่ง ธงไชย แมคอินไตย์ ก็ได้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยการเป็นนักแสดงสมทบ ก่อนจะเดินหน้าไปประกวดร้องเพลงในเวทีสยามกลการ แล้วคว้ารางวัลนักร้องยอดเยี่ยมมาครอง กระทั่งในปี พ.ศ. 2529 เขาก็ได้ออกอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเองครั้งแรกในชื่อชุด ‘หาดทราย สายลม สองเรา’ และประสบความสำเร็จอย่างมาก

 

จากวันนั้นถึงวันนี้ ธงไชยมีอัลบั้มเพลงออกมาชนิดนับไม่ถ้วน พร้อมกับมีโชว์คอนเสิร์ตอีกมากมาย มากที่สุดที่ศิลปินไทยสักคนหนึ่งจะเคยมี ไม่นับรางวัลต่างๆ ที่ได้รับมาแบบนับไม่ถ้วนเช่นกัน ความยิ่งใหญ่เหล่านี้ส่งให้ชื่อของผู้ชายคนนี้ กลายเป็น ‘ดาวค้างฟ้า’ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ชื่อ ธงไชย แมคอินไตย์ ก็ยังคงอยู่ในความนึกคิดของแฟนๆ ชาวไทยเสมอ

 

วันนี้วันเกิด ‘พี่เบิร์ด’ ทางเราก็ขออวยพรให้ผู้ชายมากความสามารถคนนี้ มีความสุขแบบล้นๆ ตลอดไป HBD ซุป'ตาร์ของพวกเรา

 

 

ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป ส่งผลร้ายอย่างไร?

"อีกขวดน่า!" มีใครเคยพูดกับตัวเองทำนองนี้ ขณะยืนอยู่หน้าตู้แช่เครื่องดื่มบำรุงกำลังบ้างไหม?

แถมสุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดตู้คว้ามา 1 ขวดจนได้ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง วันนี้ทั้งวัน ซัดเครื่องดื่มบำรุงกำลังไปแล้ว 3 ขวด!!!

จากที่เคยได้ยินโฆษณาทางทีวีที่บอกว่า "ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด" แต่ในชีวิตจริง คือดื่มไปเรื่อย โดยเฉพาะเมื่อไรที่รู้สึกเพลีย ง่วง ซึมเซา ไม่กระปรี้กระเปร่า ก็ต้องมายืนอยู่หน้าตู้แช่แบบนี้ทุกทีไป

หน้าที่หลักของ "เครื่องดื่มบำรุงกำลัง" นั้น ทำให้สมองตื่นตัว เพิ่มพลังงาน เนื่องจากมีน้ำตาล และผสมสารคาเฟอีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของสมอง แต่อะไรที่กิน หรือเสพมากจนเกินไป ก็มักจะตามมาด้วยผลข้างเคียง เหมือนดังเช่น ‘คาเฟอีน’ ที่เมื่อได้รับมากจนเกินไป ผลลัพธ์ที่ออกมา ก็ดูจะไม่เป็นมิตรต่อร่างกายสักเท่าไรเลย

ร่างกายเราสามารถรับคาเฟอีนได้แค่ไหน

โดยเฉลี่ยในผู้ใหญ่ ไม่ควรรับประทานคาเฟอีนเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเครื่องบำรุงกำลังมักจะผสมคาเฟอีนต่อขวดอยู่ที่ 80 มิลลิกรัม (เทียบเท่ากาแฟ 1 แก้ว) แต่จากผลการศึกษาของหน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ American Academy of Pediatrics (APP) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขปริมาณคาเฟอีนที่เห็นบนฉลากข้างขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลังนั้น มันเป็นเรื่องยากมากที่จะพิสูจน์ได้ว่า มีปริมาณคาเฟอีนจริง ๆ อยู่เท่าไรกันแน่

 

 

หากได้รับคาเฟอีนมากไป...จะมีผลเสียอย่างไร

การดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ หรือมากกว่า 2 ขวดขึ้นไป อาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกิน จนมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ อาการในระดับเบาที่มักจะเกิดขึ้น คือ รู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้ กระหายน้ำ ปวดหัว นอนไม่กลับ หงุดหงิดง่าย อาการเหล่านี้สามารถเป็นแล้วหายได้เองเมื่อเวลาผ่านไป แต่หากได้รับคาเฟอีนมากเกินขนาดหนัก อาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ เช่น หายใจลำบาก อาเจียน เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก รวมทั้งมีอาการชัก

 

 

คาเฟอีนกับผลร้ายในวัยรุ่น

หน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ หรือ APP ยังมีรายงานถึงผลข้างเคียงที่ได้รับจากการดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กหรือวัยรุ่น อาจทำให้เกิดการเสพติดคาเฟอีนขึ้นได้ มากไปกว่านั้น การได้รับคาเฟอีนอยู่ตลอดเวลา มีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว และเต้นผิดจังหวะ มีผลต่อความดันโลหิตที่สูงขึ้น รวมทั้งความเข้มของเลือดที่มากขึ้น ไม่นับรวมภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน เนื่องจากในเครื่องดื่มบำรุงกำลังมีน้ำตาลผสมอยู่ในปริมาณมากเช่นกัน

 

ทั้งนี้ปริมาณของคาเฟอีนที่เหมาะสำหรับวัยรุ่น คือไม่ควรเกินวันละ 100 มิลลิกรัม แต่หากเลี่ยงได้ ก็ควรหลีกเลี่ยงดีกว่า เพราะไม่ส่งผลดีใดๆ ในระยะยาว เอาเป็นว่า ถ้าง่วง เพลีย ซึมเซา หรือต้องใช้พลังงานอ่านหนังสือ หรือต้องทำงาน ลองปรับพฤติกรรมตัวเองดูดีกว่า หากอ่านหนังสือดึกๆ ไม่ไหว ก็สู้เข้านอนเร็ว แล้วรีบตื่นมาอ่านช่วงเช้า ๆ เผลอๆ หัวสมองจะแจ่มใส่กว่าเป็นไหน ๆ ส่วนคนที่ต้องทำงาน มีอาการง่วงเหงาหาวนอน ลองหาชาอุ่น ๆ จิบเบา ๆ ให้ร่างกายตื่นตัว เอาจริง ๆ ดื่มน้ำเปล่าก็ช่วยได้นะ ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้น

เก็บเครื่องดื่มบำรุงกำลังเอาไว้เป็น "ตัวช่วยสุดท้าย" ถนอมร่างกายตัวเองกันใว้ยาวๆ ดีกว่านะ


อ้างอิง:

https://www.thelist.com/164290/what-happens-when-you-drink-too-many-energy-drinks/

https://hellokhunmor.com

https://www.pobpad.com  

 

 

ลาทีปี 2020...คุณอยากให้อะไรหายไปพร้อมกับปีนี้บ้าง?

ปังเว่อร์! เมื่อนิตยสาร TIMES ฉบับล่าสุด ประจำเดือนธันวาคม จัดปกได้เจ็บปวด นำเครื่องหมายกากบาทมาขีดฆ่าตัวเลข 2020 แถมโปรยด้วยตัวหนังสือ The Worst Year Ever หรือประมาณว่า "แด่ปีที่แย่ฝุดๆ ตลอดกาล"

ชัดเจน! แจ๋มแจ๋ว! ตรงประเด็น! ไม่มีอ้อมค้อม! อะไรแย่บอกแย่! แฮ่! จะใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ทำไมเยอะแยะ มาเหลากันต่อกับตัวนิตยสาร TIMES ทางทีมงานได้ขยายความเพิ่มเติมถึง "ไอเดีย" ในการเอากากบาทมาขีดฆ่าปี ค.ศ. แบบนี้ เนื่องด้วยที่ผ่านมา เคยมีเหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้นกับโลกมากมาย เช่น สงครามโลกครั้งที่ 1 หรือโรคระบาดในปี ค.ศ. 1918 แต่ในชั่วชีวิตของคนทั่วไปในยุคนี้ เชื่อว่า ปี 2020 น่าจะเป็นปีที่แย่ที่สุดแล้วล่ะ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ TIMES เคยนำสัญลักษณ์ X ขีดฆ่าลงบนปกเช่นนี้ แต่เคยทำมาแล้วถึง 4 ครั้ง เช่น ในกรณีการเสียชีวิตของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, ซัดดัม ฮุสเซน, อาบู มูซาบ อัล-ซากาวี (ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์) และ โอซามา บินลาเดน ซึ่งปกหนล่าสุดนี้ก็ได้นำกลับมาทำอีกครั้ง แถมยังสร้างกระแสให้พูดถึงกันไปทั่วโลก

เพราะลึก ๆ ในใจของผู้คน คงคิดไม่ต่างกันว่า "ปี 2020 ถึงเลขจะสวย แต่โห๊ดโหด!" อะไร ๆ มันช่างดูเลวร้ายมาตั้งแต่ต้นปี เรื่องแย่ ๆ ที่มาวินไม่มีกล้าเถียง นั่นคือ การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังคงหนักหนาอยู่เหมือนเดิม ย้อนกลับมาที่เมืองไทยเอง ปี 2020 ก็จัดหนักกันหลายเรื่อง The States Times LITE ลองเช็กเสียงจากทีมงานกองบรรณาธิการ (คนใกล้ตัวนี่เอง) โดยตั้งโจทย์ว่า "ถ้าจะขีดฆ่าเรื่องราวใดให้หายไปจากปีนี้ อยากจัดการกับเรื่องอะไร?"

อาร์ตไดเรกเตอร์ประจำกองฯ บอกว่า : "ผมขอขีดฆ่าม็อบทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เบื่อความขัดแย้งมาก"

โซเชี่ยลแอดมินประจำกองฯ บอกเช่นกันว่า "คงเป็นเรื่องโควิด-19 อยากให้มันหายไปจากโลกนี้เสียที เบื่อ!!!"

นักเขียนกองฯ การเมือง ก็เห็นคล้ายๆ กับอาร์ตไดฯ "อยากให้ม็อบหายไป เพราะยืดเยื้อก็ไม่ส่งผลดีต่อใคร"

กราฟิกดีไซน์ ประจำกองฯ มาแนวแปลก บอกว่า "อยากกากบาทให้โจ ไบเดน หายไปครับ" (อ๋อ เป็นแฟนคลับโดนัลด์ ทรัมป์)

บก.โต๊ะข่าวธุรกิจ ใคร่ครวญอยู่แป๊บนึง แล้วฟันธงออกมาว่า "ขอขีดฆ่าปี 2020 แบบที่ TIMES ทำนี่แหละครับ เหมือนล้างไพ่ ว่ากันใหม่ปีหน้า"

นี่เป็นแค่เสียงส่วนหนึ่งจากกองบรรณาธิการ The States Times อีกไม่กี่สัปดาห์ปี 2020 ก็จะผ่านไปแล้ว ถามใจคุณว่า อยากขีดฆ่ากากบาทให้อะไรหายไป แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ปีหน้า...

 

บทเพลง BTS & BLACKPINK ติด 50 อันดับ เพลงดีที่สุดในปี 2020

Rolling Stone นิตยสารเเละเว็บไซต์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา เผย 50 เพลงจากทั่วโลกที่ดีที่สุดในปี 2020 โดย BTS ศิลปินบอยแบนด์ชื่อดังจากเกาหลีใต้ ติดอยู่ในอันดับที่ 7 จากเพลง Dynamite ซิงเกิลภาษาอังกฤษเพลงแรกของพวกเขา ซึ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม แถมยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปินจากเกาหลีใต้วงแรกที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ อัลบั้มของพวกเขา Map of the Soul: 7 ก็ยังติดอยู่ในอันดับที่ 16 จาก 50 อันดับอัลบั้มที่ดีที่สุดประจำปี 2020 ของ Rolling Stone ด้วยเช่นกัน ด้านเกิร์ลกรุ๊ปสุดฮอต BLACKPINK ก็ไม่น้อยหน้า นำบทเพลง Ice Cream ซึ่งเป็นผลงานที่พวกเธอสร้างสรรค์ร่วมกับ เซเลนา โกเมซ ติดอยู่ในอันดับที่ 13 

โดยเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา เนื้อเพลงส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ มีเพียงท่อนเเร็ปของ ลิซ่า ที่มีภาษาเกาหลีปนอยู่ อีกหนึ่งความโดดเด่นของงานเพลงชิ้นนี้ คือมิวสิควีดีโอของพวกเธอที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส มาในโทนชมพูพิงค์ ๆ ที่ใครได้ชมเป็นต้องหลงเลิฟฟฟฟ

ถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของทั้ง 2 ศิลปินจากเกาหลี และจัดว่าเป็นปีทองของ BTS และ BLACKPINK อย่างแท้จริง

 

9 ธันวาคม วันต่อต้านการทุจริตสากล

น้ำร้อนน้ำชา หลบไป! เงินใส่ซอง หลบไป! เงินใต้โต๊ะ หลบไป! เงินกินเปล่า แป๊ะเจี๊ยะ กระเช้าของขวัญ ข้าวของอภินันท์ เอ้ย! ก็บอกให้หลบไป! ไม่รู้หรือไง วันนี้เป็น วันต่อต้านทุจริตสากล

วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็นวันต่อต้านทุจริตสากล หรือ International Anti-Corruption Day วันนี้เกิดขึ้นในที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ (UN) มีมติเห็นชอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ. 2546 อย่างเป็นเอกฉันท์

จากนั้นประเทศภาคีสมาชิก UN 191 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ได้เข้าร่วมลงนามในอนุสัญญาดังกล่าว ระหว่างวันที่ 9-11 ธันวาคม พ.ศ. 2546 ณ เมืองเมอริด้า ประเทศเม็กซิโก ด้วยเหตุนี้ UN จึงประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันต่อต้านการทุจริตสากล

โดยเจตนารมย์ที่ทำให้เกิดวันนี้ขึ้นมา ก็เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของผู้คนในเรื่องการทุจริต ซึ่งส่งผลกระทบไปในทุกๆ มิติของประเทศ รวมทั้งยังเป็นตัวถ่วงการพัฒนาเศรษฐกิจ กิจกรรมในวันนี้ ผู้นำทางการเมือง รัฐบาล หรือองค์กรสำคัญๆ ของประเทศทั่วโลก จะร่วมใจกันตีแผ่ถึงปัญหาการคอรัปชั่นที่เกิดขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ

เอาเป็นว่า วันนี้จะไม่มีใครติดสินบนใคร จะไม่มีประโยคทำนอง ‘พี่ช่วยหน่อย’ แต่หากอยากให้สังคมเจริญก้าวหน้าไปมากกว่านี้ เราต้องมีวันที่ 9 ธันวาคมอยู่ในใจ ในทุกๆ วัน แล้วอะไรๆ ก็จะดีขึ้น

แล้วคำว่าน้ำร้อนน้ำชา สินบน เงินใต้โต๊ะ ฯลฯ จะกลายเป็นแค่คำโบราณที่อยู่แค่ในพจนานุกรมเท่านั้น สักวัน! สาธุ!

 

 

วัคซีนต้านโควิด - 19 เริ่มออกปฏิบัติการแล้วจ้า!

เมื่อวานผู้คนทั้งโลกต่างพากันจับจ้องไปยังข่าวการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 โดสแรกของ "มาร์กาเรต คีแนน" คุณยายชาวอังกฤษวัย 90 ปี ซึ่งการฉีดวัคซีนครั้งนี้ เป็นไปตามเจตนารมย์ของประเทศในเครือสหราชอาณาจักร ที่ต้องการจะเริ่มการฉีดวัคซีนในกลุ่มประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นแนวหน้าในการรักษาผู้ป่วยโควิด - 19

ถึงตรงนี้ เริ่มเป็นสัญญาณที่ดี ที่การเดินหน้าการผลิตวัคซีนจากบริษัทต่าง ๆ เริ่มมีประสิทธิผล พร้อมทั้งถูกนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น หลังจากที่เป็นเพียงแค่ข่าวคราวมาได้ระยะใหญ่ คาดว่าหลังจากกลางเดือนธันวาคมนี้ เลยข้ามไปจนถึงกลางปีหน้า การอนุมัติการสั่งซื้อวัคซีนต่าง ๆ รวมไปถึงการทดลองตัวยาที่มีประสิทธิภาพสูขึ้น จะเริ่มทยอยตามออกมา

ช่วงนี้หลายประเทศเริ่ม "พรีออเดอร์" หรือมีการสั่งซื้อวัคซีนกันมากขึ้น ประเทศในอียูสั่งไปแล้วกว่า 700 ล้านโดส ส่วนสหรัฐฯ ประเทศเดียวก็สั่งไปกว่า 700 ล้านโดสเช่นเดียวกัน เนื่องจากยังเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อสะสมสูงที่สุดในโลกอยู่ที่เกือบๆ 15 ล้านคน ส่วนประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อตามมาเป็นอันดับสองและสาม อย่างอินเดียและบราซิล ก็พรีออเดอร์วัคซีนไปประเทศละ 500 ล้านโดส และ 100 ล้านโดส 

ล่าสุดประเทศแคนาดา เพิ่งมีข่าวสั่งจองวัคซีนต้านโควิด - 19 จำนวนมากพอต่อประชากรแล้ว (ราว 38 ล้านคน) โดยเป็นการสั่งจองวัคซีนจากผู้ผลิตและทดสอบรายต่างๆ ไปมากกว่าจำนวนประชากรทั้งประเทศเกือบ 4 เท่า อันนี้ก็ถือเป็นเรื่องโชคดีของพลเมืองแคนาดา แต่ในมุมกลับกัน หลายฝ่ายก็แสดงความกังวลว่า การกระจายของวัคซีนต้านโควิด - 19 นี้ จะไม่แพร่หลายไปยังผู้คนทั่วโลก หรือพูดง่าย ๆ ว่า เกรงจะเกิดความเหลื่อมล้ำในการแจกจ่ายวัคซีนขึ้น เนื่องจากประเทศที่ไม่ได้มั่งคั่ง อาจจะเข้าถึงตัวยาเหล่านี้ได้ยากกว่า

ด้วยเหตุนี้จึงมีพันธมิตรวัคซีนที่เรียกว่า "เกวี" เป็นการร่วมมือกันระหว่างองค์กรใหญ่ระดับนานาชาติ เช่น องค์การอนามัยโลก และมูลนิธิเกตส์ ได้ทำโครงการเข้าถึงวัคซีนโลก (โคแวกซ์) เพื่อช่วยกระจายวัคซีนไปทั่วโลก ถึงขณะนี้ได้รับการบริจาคจากประเทศ บุคคล และองค์กรการกุศลไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ แต่ยังต้องการอีก 5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมไปทั่วโลก

เอาเป็นว่า ถ้าจะป้องกัน ก็อยากให้ป้องกันทั่วโลก เพราะหากทำไม่ได้ 100 เปอร์เซนต์ ถึงวันหนึ่ง โควิด - 19 ก็อาจวนกลับมายังประเทศของเรา หรือตัวเราได้อยู่ดี...

 

ส่องคำขวัญวันเด็กและลายมือของ "นายกฯ ลุงตู่"

นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งมอบคำขวัญ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564 ซึ่งตรงกับวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2564 มีประโยคว่า "เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม"

สำหรับคำขวัญปีล่าสุดนี้ ถือเป็นการมอบคำขวัญครั้งที่ 7 ที่ "นายกฯ ลุงตู่" ได้มอบให้กับเด็กไทย โดย 6 ครั้งก่อนหน้านี้ มีประโยคและการสื่อความหมายที่แตกต่างกันออกไป เรามาย้อนให้อ่านกัน พร้อมเทคนิคการตั้งคำขวัญ ดังนี้...

ปี พ.ศ. 2563 "เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย"

ปี พ.ศ. 2562 "เด็ก เยาวชน จิตอาสา ร่วมพัฒนาชาติ"

ปี พ.ศ. 2561 "รู้คิด รู้เท่าทัน รู้สร้างสรรค์เทคโนโลยี" 

ปี พ.ศ. 2560 "เด็กไทยใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง"

ปี พ.ศ. 2559 "เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต"

ปี พ.ศ. 2558 "ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต"

จะสังเกตได้ว่า คำขวัญของ "นายกฯ ลุงตู่" จะมีคำว่า "เด็ก" ขึ้นต้นเสียเป็นส่วนใหญ่ และมีคำว่า "อนาคต" ผสมผสานอยู่ในคำขวัญอีกด้วย และในระยะ 3-4 ปีให้หลัง คำขวัญจะเน้นย้ำในเรื่องเทคโนโลยี ยุคใหม่ แต่ทั้งหมดทั้งมวล คือต้องรู้หน้าที่ และมีความสามัคคี สร้างชาติ

ส่วนลายมือของนายกฯ ลุงตู่ ค่อนข้างอ้วน ตัวใหญ่ แต่อ่านไม่ยาก มีหางยาวฉวัดเฉวียน ดูสวยงาม (จบการรายงาน...นะจ้ะเด็ก ๆ)

 

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top