Saturday, 17 May 2025
Lite

29 ตุลาคม ของทุกปี เป็น ‘วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ’ น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ รัชกาลที่ 3

วันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย

ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย เป็นรากฐานสำคัญของการดำรงอยู่คนไทยที่เกิดจากการเรียนรู้และสืบทอดองค์ความรู้ในการดูแลรักษาสุขภาพมาช้านาน มีการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยมาเผยแพร่ในวงกว้าง

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 มีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม แก่ปวงชนชาวไทยนานัปการ พระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง คือ การรวบรวมองค์ความรู้ ด้านการแพทย์แผนไทยมาเผยแพร่ ทำให้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเป็นรากฐานของชาติไทย 

และตามหลักฐานจารึกแผ่นศิลาว่าด้วยการปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร และได้ทอดพระเนตรเห็นพระอุโบสถ พระวิหาร พระระเบียง กุฏิเสนาสนะต่าง ๆ ชำรุดปรักหักพังมาก จึงมีพระราชศรัทธาจะปฏิสังขรณ์และขยายพื้นที่ให้มากกว่าเดิมและมีพระบรมราชโองการให้รื้อพระอุโบสถเดิม และก่อเสนาสนะสงฆ์ต่าง ๆ มีการจารึกตำราการแพทย์แผนไทยติดประดับไว้ตามศาลาราย เช่น แผนฝีดาษ ฝียอดเดียว แผนชัลลุกะ แผนลำบองราหู แผนกุมารและแม่ซื้อ 

อีกทั้ง มีการจัดสร้างรูปฤๅษีดัดตน ตั้งไว้ศาลาละ 4-5 รูป รวม 16 หลัง ซึ่งองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศรับรองให้ศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทำให้การแพทย์แผนไทยมีความเจริญ รุ่งเรือง เกิดคุณูปการแก่ประชาชนในวงกว้าง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและแสดงถึงความกตัญญูกตเวที กระทรวงสาธารณสุขจึงเห็นสมควรถวายพระราชสมัญญา ‘พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย’ แด่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า และกำหนดให้วันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปี เป็น ‘วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ’

‘Calyp Sea’ เรือไม้สุดชิคย่านสัตหีบ ชวนฟิน!! ช่วง Low Season ‘พายเรือ-ดำน้ำ-ชมพระอาทิตย์ตกดิน’ ครบจบในที่เดียว!!

วันนี้ THE STATES TIMES ขอแนะนำที่เที่ยวช่วง Low Season ใกล้กรุงเทพฯ สามารถเดินทางมาเที่ยวเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าช่วงวันหยุดนี้จะไปไหน ขอแนะนำ เรือไม้สุดชิคของ Calyp Sea เลย...

สำหรับเรือไม้ของ Calyp Sea นั้น มีกิจกรรมบนเรือให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พายเรือซับบอร์ด ดำน้ำดูปะการัง นอนชมพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น หรือหากใครเป็นสายถ่ายรูป ก็สามารถถ่ายรูประหว่างเรือกำลังล่อง หรือในขณะที่เรือจอดก่อนลงไปทำกิจกรรมอื่นๆที่ทางเรือจัดไว้ให้ได้

ในส่วนของการบริการของ Calyp Sea นั้น จะมีอาหารและเครื่องดื่มพร้อมเสิร์ฟให้ในระหว่างล่องเรือ หรือหากท่านใดสนใจนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นไปดื่มบนเรือ ก็สามารถนำไปได้และทางเรือก็มีแก้วไวน์พร้อมไว้บริการเช่นกัน

ช่วงเวลาในการเดินเรือจะมีทั้งรอบเช้าและรอบบ่าย โดยจะให้บริการแบบ Private Trip เพียงแค่ 2 รอบต่อวันเท่านั้น

Sunrise : 8.00 -12.00 (เช้า)
Sunset : 13.00 - 18.00 (พระอาทิตย์ตก)

หากท่านใดล่องเรือช่วง Sunset จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดิน บนดาดฟ้าเรือ ให้ความโรแมนติกกับ Vanilla Sky ไปอีกแบบ บอกเลยว่าทริปนี้ห้ามพลาด!!

ทางเรือสามารถออกทริปสูงสุดได้ 10 ท่าน

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด: สะพานปลา สัตหีบ จังหวัดชลบุรี https://maps.app.goo.gl/vFriHcxFLMsauBoEA?g_st=ic
ติดต่อสอบถาม: 082-2096913
 Instagram: calypsea_
 Facebook: Calypsea.2023
Line: https://lin.ee/d8GRMGp

‘สิริพงศ์’ ชี้ ‘สัปเหร่อ’ เป็นการสะท้อนชีวิตชนบท ‘คนอีสาน’ ไม่ใช่ ‘โง่ จน เจ็บ’ ย้ำ!! เขามีชีวิตเหมือนกับทุกคน

(28 ต.ค.66) จากเฟซบุ๊ก ‘KUL’ โดย ‘นายกุลวิชญ์ สำแดงเดช’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้แชร์คำพูดของ ‘นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ’ ผู้อำนวยการสร้าง ‘สัปเหร่อ’ และเป็นผู้สนับสนุนจักรวาลไทบ้าน โดยระบุว่า…

“สัปเหร่อ…เป็นการสะท้อนชีวิตชนบท ‘คนอีสาน’ ไม่ใช่ ‘โง่ จน เจ็บ’ เขามีชีวิตเหมือนกับทุกคน และชีวิตเขาสนุกสนาน”

‘มานพ อัศวเทพ’ นักแสดงรุ่นเก๋า เสียชีวิตลงแล้ว ในวัย 86 ปี

(28 ต.ค.66) เพจ ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ได้โพสต์ข้อความ “ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ด้วยการจากไปของ ‘อามานพ อัศวเทพ’ รายละเอียดผมจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะครับ”

ล่าสุดเพจ ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ได้โพสต์ข้อความระบุอีกว่า "แจ้งข่าว​ อามานพ อัศวเทพ วันนี้ เวลา 16:00 น. รดน้ำศพ ที่วัดเจ้าอาม บางขุนนนท์ ตลิ่งชัน ขอเชิญเพื่อนพ้องคนในวงการบันเทิง รดน้ำ ที่วัดโดยพร้อมเพียงกันครับ"

สำหรับ ‘มานพ อัศวเทพ’ มีชื่อจริงคือ วิริยะ จุลมกร ชื่อเล่น ยะ เกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2480 (บางแหล่งระบุ พ.ศ. 2477) จบการศึกษาจากโรงเรียนจ่าทหารเรือที่สัตหีบ รับราชการเป็นทหารเรืออยู่ที่กองบัญชาการทหารสูงสุดและเป็นพลขับประจำตัวของจอมพลถนอม กิตติขจร โดยได้รับตำแหน่งยศพันจ่าเอก

ก่อนเข้าสู่วงการโดยบังเอิญในปี พ.ศ. 2505 ด้วยการพบกับ สนาน คราประยูร เจ้าของนครพิงค์ภาพยนตร์ ที่ร้านตัดผม โดยใช้ชื่อในวงการบันเทิงว่า นาวิน เทพโยธี ก่อนที่จะมีผลงานทางจอเงินครั้งแรกในปี พ.ศ. 2506 เรื่อง นางสมิงพราย ประกบกับ มิตร ชัยบัญชา และ ตรึงใจ วลัยลักษณ์ ต่อมาจึงได้รับบทเป็นพระเอกเต็มตัวเรื่องแรกในปี พ.ศ. 2507 คือ พิชิตทรชน คู่กับ อมรา อัศวนนท์ ต่อด้วย เพชรน้ำผึ้ง (2508), สุดแผ่นดิน (2510), หลั่งเลือดแดนสิงห์ (2512) ประกบกับ สมบัติ เมทะนี และ เพชรา เชาวราษฎร์ ขณะนั้นรับงานแสดงได้ไม่เต็มที่เพราะยังรับราชการเป็นทหารเรือไปด้วย 

จนกระทั่งหม่อมปริม ยุคล ณ อยุธยา (บุนนาค) ซึ่งเป็นหม่อมของ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ได้ติดต่อให้เป็นพระเอกภาพยนตร์ของของอัศวินภาพยนตร์เรื่อง ละครเร่ คู่กับ สุทิศา พัฒนุช ร่วมด้วยดาราใหม่ในสมัยนั้น คือ สายัณห์ จันทรวิบูลย์, จารุวรรณ ปัญโญภาส และ กนกวรรณ ด่านอุดม ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลชมเชยกำกับศิลป์ จากงานมหกรรมภาพยนตร์เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 15 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ในปีเดียวกัน จากนั้นเขาได้เปลี่ยนชื่อในวงการเป็น มานพ อัศวเทพ จนถึงปัจจุบัน 

ต่อมาจึงมีผลงานตามมาอย่างต่อเนื่องทั้ง พระรอง และตัวร้าย จนได้รับรางวัลตุ๊กตาทองนักแสดงประกอบชายจากเรื่อง เงาราหู ที่กำกับโดย เปี๊ยก โปสเตอร์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 

ชีวิตส่วนตัว สมรสกับสุนันท์ จุลมกร (กุ้ง) มีบุตรและบุตรีทั้งหมด 3 คน ปัจจุบันเป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อ ปูทอง 

30 ตุลาคม พ.ศ. 2370 วันสถาปนา ‘คุณหญิงโม’ ขึ้นเป็น ‘ท้าวสุรนารี’ ตำนานหญิงกล้าศูนย์รวมจิตใจของชาวโคราช

วันนี้ เมื่อ 196 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนา ‘คุณหญิงโม’ ขึ้นเป็น ‘ท้าวสุรนารี’ พร้อมกับพระราชทานเครื่องยศ จากวีรกรรมอันกล้าหาญที่ต่อสู้กับทหารเจ้าอนุวงศ์ จากลาว จนแตกพ่าย

ท้าวสุรนารี มีนามเดิมว่า ‘โม’ (แปลว่า ใหญ่มาก) หรือ ท้าวมะโหโรง เป็นชาวเมืองนครราชสีมาโดยกำเนิด เกิดเมื่อปีระกา พ.ศ. 2314 มีนิวาสถานอยู่ ณ บ้านตรงกันข้ามกับวัดพระนารายณ์มหาราช (วัดกลางนคร) ทางทิศใต้ของเมืองนครราชสีมา เป็นธิดาของนายกิ่มและนางบุญมา 

เมื่อปี พ.ศ. 2339 โม เมื่ออายุได้ 25 ปี ได้แต่งงานกับนายทองคำขาว พนักงานกรมการเมืองนครราชสีมา ต่อมานายทองคำขาว ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น ‘พระภักดีสุริยเดช’ ตำแหน่งรองปลัดเมืองนครราชสีมา นางโม จึงได้เป็น คุณนายโม และต่อมา ‘พระภักดีสุริยเดช’ ได้เลื่อนเป็น ‘พระยาสุริยเดช’ ตำแหน่งปลัดเมืองนครราชสีมา คุณนายโมจึงได้เป็น คุณหญิงโม ชาวเมืองนครราชสีมาเรียกท่านทั้งสองเป็นสามัญว่า ‘คุณหญิงโม’ และ ‘พระยาปลัดทองคำ’

ในปี พ.ศ. 2369 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ (วีระกษัตริย์ของชาวลาว) บุตรเจ้าศิริบุญสาร ผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต ล้านช้างและเวียงจันทน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองประเทศราชของกรุงสยาม ต้องการเป็นเอกราชจากสยาม จึงประพฤติเป็นกบฏยกทัพหมายจะเข้าตีกรุงเทพมหานคร นำชาวลาวที่มาอยู่ในแผ่นดินสยามกลับมาตุภูมิ เจ้าอนุวงศ์ใช้อุบายลวงเจ้าเมืองตามรายทาง โดยปลอมท้องตราพระราชสีห์ว่า สยามขอให้เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาช่วยรบกับอังกฤษ (ขณะนั้นมีข่าวลือหนาหูว่า สยามจะมีศึกกับอังกฤษ) ซึ่งยกทัพเรือจะมาตีกรุงเทพ ๆ จึงไม่มีผู้ใดขัดขวาง

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาถึงเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านสยามและ มีความอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่เจ้าพระยามหานครราชสีมา ไม่อยู่ และพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาไปราชการเมืองขุขันธ์ กองทัพเจ้าอนุวงศ์มาถึง จึงเข้ายึดเมือง ยึดทรัพย์สินและให้เพี้ยรามพิชัย หรือพระยารามพิชัย กวาดต้อนชาวเมืองไปเป็นเชลยศึก เดินทางกลับไปเวียงจันทน์

ส่วนทัพเจ้าอนุวงศ์เดินทัพต่อไปยังสระบุรีเพื่อเข้ากรุงเทพฯ ในบรรดาเชลยศึกที่ถูกกวาดต้อนกลับเวียงจันทน์ มีคุณหญิงโมรวมอยู่ด้วย คุณหญิงโม เป็นหญิงที่ฉลาดหลักแหลมและออกอุบายให้ทหารเวียงจันทน์ ตายใจ โดยให้หญิงที่ถูกต้อนเป็นเชลย หน่วงเหนี่ยวทหารให้เดินทัพช้าลง และวางแผนให้พวกผู้หญิง หลอกขอมีด จอบ เสียม มาใช้ซ่อมเกวียนและทำอาหาร แท้จริงแล้วกลับนำมีด จอบ เสียมนั้นมาลอบตัดไม้เป็นอาวุธแอบซ่อนไว้

ระหว่างพักที่ทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงพิมาย ซึ่งห่างจากตัวเมืองนครราชสีมา ประมาณ 40 กิโลเมตร ในวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2369 สบโอกาสเหมาะ พวกผู้หญิง ช่วยกัน หลอกล่อ มอมเหล้าทหารจนเมามายไร้สติไปทั้งกองทัพ แล้วช่วยกันทั้งหญิงและชายแย่งอาวุธฆ่าฟัน จนทหารล้มตายเป็นจำนวนมาก กองทัพแตกพ่ายไป เมื่อได้รับชัยชนะแล้ว จึงตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ ชาวเมืองที่หนีรู้ข่าวการชนะศึก จึงพากันกลับมาสมทบ และพระยาปลัดก็ยกทัพตามมาช่วยทันเวลา ส่วนเจ้าอนุวงศ์รู้ข่าวว่ากรุงเทพฯ ยกทัพขึ้นมาช่วย จึงเลิกทัพกลับไปเวียงจันทน์

การศึกที่ทุ่งสัมฤทธิ์นี้ มีสตรีผู้กล้าหาญได้พลีชีพจุดไฟทำลายเกวียน ที่บรรทุกดินระเบิดจนตัวตาย คือ นางสาวบุญเหลือ ชาวบ้านทุ่งสัมฤทธิ์และชาวโคราชได้ให้ความเคารพนับถือ ไม่ยิ่งหย่อนกว่าย่าโมและเรียกนางบุญเหลือว่า ย่าเหลือ และกำหนดให้วันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันสดุดี วีรกรรมของนางสาวบุญเหลือ และทางจังหวัดนครราชสีมา กำหนดให้วันที่ 23 มีนาคม เป็นวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี

เมื่อความทราบไปถึง ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา ‘คุณหญิงโม’ ขึ้นเป็น ‘ท้าวสุรนารี’ พร้อมกับพระราชทานเครื่องยศเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2370 ซึ่งในตอนนั้นคุณหญิงโมมีอายุ 57 ปี
เครื่องยศทองคำประดับเกียรติ ดังนี้

-ถาดทองคำใส่เชี่ยนหมาก 1 ใบ
-จอกหมากทองคำ 1 คู่
-ตลับทองคำ 3 เถา
-เต้าปูนทองคำ 1 อัน
-คณโฑทองคำ 1 ใบ
-ขันน้ำทองคำ 1 ใบ

ท้าวสุรนารี ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. 2395 รวมสิริอายุ 81 ปี อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ประดิษฐานอยู่ที่หน้าประตูชุมพล ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2477 และได้บูรณะใหม่ให้งามสง่ายิ่งขึ้นเมื่อ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 
 
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2524 เวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ท่ามกลางพสกนิกร ที่เข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีอย่างเนืองแน่น ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานบรมราโชวาท มีความตอนหนึ่งว่า

“ท้าวสุรนารีเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อให้ประเทศชาติได้อยู่รอดปลอดภัย ควรที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน บ้านเมืองทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน การหวงแหน คือ ต้องสามัคคี รู้จักหน้าที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ชาวนครราชสีมา ได้แสดงพลังต้องการ ความเรียบร้อยความสงบเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ชาติกลับปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าสถานการณ์รอบตัวเราและรอบโลก จะผันผวนและ ล่อแหลมมาก แต่ถ้าทุกคนเข้มแข็ง สามัคคี กล้าหาญ และเอื้อเฟื้อต่อกันชาติก็จะมั่นคง”

‘สาวเกาหลี’ เช็กอิน!! สังคมไร้เงินสดไทย ลองกินเที่ยว กทม.แบบไม่ขอพกเงินสด อึ้ง!! ‘ระบบสแกนจ่าย’ กระจายทั่ว สะดวกจนไม่ต้องแลกเงินใช้สักบาทเดียว

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 66 ช่องยูทูบ ‘TopMent Thailand’ ได้ออกมาเล่าเรื่องราวของยูทูบเบอร์สาวชาวเกาหลีใต้ ที่ได้มาเที่ยวเมืองไทย และรู้สึกประทับใจกับวิธีการชำระเงินของเมืองไทยเป็นอย่างมาก โดยได้ระบุว่า…

2-3 ปีมานี้การใช้จ่ายเงินด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด (QR Code) กำลังเป็นที่นิยมมากในประเทศไทย โดยทางรัฐบาลมีความพยายามที่จะทำให้สังคมไทยกลายเป็น ‘สังคมไร้เงินสด’ ... และไม่น่าเชื่อเลยว่า การสแกนคิวอาร์โค้ด ที่คนไทยจำนวนมากเริ่มใช้กันจนชินแล้วนั้น จะกลายเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์สำหรับชาวต่างชาติ จนถึงขนาดที่มีสาวชาวเกาหลีใต้รายหนึ่งตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า จะขอลองเที่ยวกรุงเทพฯ โดยไม่ใช้เงินสด และจะสแกนแต่คิวอาร์โค้ดเท่านั้น

‘TopMent Thailand’ ได้เล่าถึงคลิปวิดีโอต้นเรื่อง ซึ่งเป็นคลิปของ ‘คุณแองเจลิน่า ลี’ จากช่องยูทูบ @AngelinaleeTravel ที่ถูกเผยแพร่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา และจนถึงตอนนี้ก็ผู้คนจากทั่วโลกเข้ามารับชมคลิปวิดีโอของเธอไปมากกว่า 184,000 วิว

แองเจลิน่า ลี ได้เริ่มต้นคลิปของเธอในระหว่างที่เดินออกมาจากเครื่องบิน พร้อมกับบอกว่า...

"ตอนนี้มาถึงกรุงเทพฯ ผ่านไปเพียงแค่ 3 ปี กรุงเทพฯ เปลี่ยนไปเร็วมาก" จากนั้นสิ่งแรกที่เธอต้องทำก็คือไปรับ 'ซิมการ์ด' ก่อน ซึ่งเธอยังบอกอีกด้วยว่า "ทุกวันนี้สะดวกมากเพราะสามารถดำเนินการซื้อล่วงหน้าได้ผ่านช่องทางออนไลน์"

หลังที่เธอได้รับซิมการ์ดแล้ว เธอก็เดินผ่านมาทางเคาน์เตอร์แลกเงิน ซึ่งที่จริงแล้ว เธอสามารถทำการแลกเงินที่นี่ได้เลย แต่สำหรับทริปนี้ เธอจะไม่ทำเช่นนั้น เพราะเธอนั้นได้วางแผนมาล่วงหน้าแล้ว ว่าทริปเที่ยวกรุงเทพฯ ในครั้งนี้เธอจะไม่ใช้เงินสดเลยตลอดทั้งทริป

โดย แองเจลิน่า เผยว่า เธอได้ยินชื่อเสียงของระบบการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดที่กรุงเทพฯ ว่ามีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีแต่คนบอกว่าคุณสามารถชำระเงินได้โดยใช้ระบบคิวอาร์โค้ด แม้แต่ในร้านค้าที่เล็กมากๆ ก็ยังรับชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเลย ดังนั้น เธอจึงอยากลองใช้ชีวิตการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดดูบ้าง

หลังจากนั้น เธอก็ได้เดินทางไปที่พัก แล้วหาหลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อย ก็ออกไปหาอะไรกิน โดยเธอบอกว่าร้านที่เธอจะไปเป็นร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในหมู่คนเกาหลี และอยู่ห่างจากโรงแรมที่เธอพักเพียงแค่ประมาณ 2 นาทีเท่านั้น

โดยในระหว่างทาง ขณะที่เธอกำลังเดินอยู่นั้น เธอก็ได้ชมเมืองไทยด้วยว่า "ข้อดีของเมืองไทยก็คือ คุณสามารถเดินออกมาหาของกินข้างนอกได้อย่างปลอดภัย แม้จะเป็นเวลากลางคืนแล้วก็ตาม"

แองเจลิน่าเดินมาถึงร้านดังกล่าว ชื่อ ‘ร้านโจ๊กโภชนา’ โดยเธอได้สั่งอาหารไปทั้งหมด 3 อย่าง ทั้งหมด ราคา 310 บาท ซึ่งเธอบอกว่า ร้านนี้ไม่รับบัตรเครดิต แต่สามารถจ่ายเงินด้วยคิวอาร์โค้ดได้ เธอจึงขอลองสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจ่ายเงินทันที ... เธอบอกว่าระบบสแกนคิวอาร์โค้ดนี้ใช้งานง่ายมากๆ เพียงแค่สแกน กดใส่ตัวเลข และกดตกลง จากนั้นก็นำหลักฐานการโอนไปโชว์ให้คนขายดูเพื่อเป็นการยืนยัน เพียงเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

หลังจากนั้น เธอได้ไปเดินเล่นเพื่อเที่ยวถ่ายรูปที่ถนนข้าวสารต่อ และที่น่าทึ่งก็คือ บรรดาร้านขายของริมถนนที่เธอเห็น ก็ยังรับชำระเงินด้วยระบบคิวอาร์โค้ด ทำเอาเธออดสงสัยไม่ได้ว่า การชำระเงินด้วยระบบคิวอาร์โค้ดนั้น ได้รับความนิยมในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญเธอยังรู้มาว่า การใช้จ่ายแบบนี้ ร้านค้าประเภทนี้ไม่ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมให้กับธนาคารอีกด้วย รับเงินแบบเต็มๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกว้าวมากๆ

หลังจากได้ทดลองใช้คิวอาร์โค้ดในการจ่ายเงินในหลายๆ ร้าน แองเจลิน่า ก็รู้สึกทึ่งกับนวัตกรรมการชำระเงินของประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเธอบอกว่า...

"ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่สังคมไร้เงินสดจริงๆ การที่ไม่ต้องพกเงินสดแบบนี้ มันทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นอย่างมาก และยังช่วยยกระดับการท่องเที่ยวอีกด้วย เพราะเมื่อ 3 ปีก่อนที่มา ไทยยังไม่มีอะไรแบบนี้ และมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ด้วย เนื่องจากระบบการชำระเงินที่แสนสะดวกสบายนี้ ทำให้เราเพลิดเพลินและสนุกสนานไปกับการเดินทางได้ โดยไม่ต้องกังวลกับการหาสถานที่แลกเงินเลย"

ทั้งนี้ หลังจากที่คลิปของคุณแองเจลิน่าได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้คนเข้ามารับชม พร้อมแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก อาทิ...

- มันช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินไปได้เยอะเลยนะ และมันก็ปลอดภัยกว่า อีกทั้งยังง่ายกับร้านค้าในการชำระเงินด้วย ตัวลูกค้าเองนั้นก็สะดวกสบาย เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด แถมยังป้องกันการเลี่ยงภาษีได้อีกด้วย ฉันหวังว่า สักวันหนึ่ง ประเทศของฉันจะทำแบบนี้บ้าง
- ฉันดีใจที่คุณชื่นชอบที่พักนั้น รวมถึงสระว่ายน้ำก็มีเอกลักษณ์และดูสวยงามมาก
- ดูเหมือนว่าที่นั่นจะสะดวกมากๆ เพราะสามารถใช้จ่ายเงินได้ โดยไม่ต้องใช้เงินสด
- การชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือแบบนั้นดูสะดวกสบายมาก และมันก็ดูน่าทึ่งมากๆ ที่ประเทศไทยสามารถสร้างสังคมไร้เงินสดด้วยระบบคิวอาร์โค้ดได้แบบนั้น
- กรุงเทพฯ และโลกของพวกเรากำลังเปลี่ยนไป พวกเราจะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสดกันอีกต่อไปแล้ว

***นอกจากนี้ ยังได้มีคนไทยเข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วยว่า...

- ในประเทศไทย คุณสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดจ่ายเงินได้ตามปกติเกือบทุกที่ แม้แต่ร้านค้าริมทาง ตลาดสด อาหารริมทางของชาวบ้านตามชนบท ตามจังหวัดก็ใช้ได้ทั้งหมด แต่ต้องเป็นเงินบาท โดยปัจจุบันคนต่างจังหวัด หรือคนชนบทก็รับการชำระเงินด้วยระบบคิวอาร์โค้ด คุณแทบไม่จำเป็นต้องพกเงินสดอีกต่อไปในประเทศไทย เพราะแม้แต่คนแก่ หรือผู้เฒ่าในชนบทก็ยังสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อใช้จ่ายได้อย่างง่ายดาย สะดวกสบายมาก
- คุณสามารถชำระเงินด้วยรหัสคิวอาร์โค้ดได้เกือบทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย แม้แต่ร้านอาหารข้างทาง ก็ยังมีรหัสคิวอาร์โค้ดให้คุณได้ใช้ชำระเงิน
- ใน เซเว่น อีเลฟเว่น ที่ประเทศไทย จะแตกต่างไปหน่อย เพราะเขามีระบบกระเป๋าเงินเป็นของตัวเอง คุณจึงไม่สามารถชำระเงินผ่านรหัสคิวอาร์โค้ดในเซเว่น อีเลฟเว่นได้ ต้องใช้บัตรเครดิตหรือเงินสดแทน
- มันช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินไปได้เยอะเลยนะ และมันก็ปลอดภัยกว่า อีกทั้งยังง่ายกับร้านค้าในการชำระเงินด้วย ตัวลูกค้าเองนั้นก็สะดวกสบาย เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด แถมยังป้องกันการเลี่ยงภาษีได้อีกด้วย ฉันหวังว่า สักวันหนึ่ง ประเทศของฉันจะทำแบบนี้บ้าง
- ชาวต่างชาติที่ได้มาเที่ยวที่เมืองไทย จะไม่รู้สึกผิดหวังกับเมืองไทยของเราอย่างแน่นอน คุณจะได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ ที่จะทำให้คุณประหลาดใจ ทั้งผู้คน ภาษาพูด ภาษากาย อาหาร และวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาค ... ตัวตนของเราชาวไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้ และนั่นก็ทำให้คุณหลงรักเมืองไทย จนต้องกลับมาเที่ยวที่เมืองไทยอีกแน่นอนมัน เพราะเอกลักษณ์นั้น คือ มิตรภาพ และรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ที่เราทุกคนมี และมอบให้เพื่อต้อนรับแขกเสมอ

*** หลังจากนั้น ก็มีผู้ชมต่างชาติเข้ามาชื่นชมถึงความน่ารักของเมืองไทย กรุงเทพฯ รวมถึงคนไทย และอยากจะมาเที่ยวไทยในเร็ววัน ผ่านการรีวิวของ แองเจลิน่า และข้อคิดเห็นจากคนไทยผ่านในคลิปนี้อีกด้วย ว่า...

- ฉันสนุกไปกับวิดีโอของคุณมาก และฉันก็รู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่ได้มาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งดูเหมือนว่าที่นั่นจะมีเวทมนตร์สักอย่างที่ดึงดูดใจผู้คนได้มากมายขนาดนี้ และฉันก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ตกหลุมรักเมืองไทย ราวกับโดนเวทมนตร์สะกดเอาไว้ ทำให้ฉันได้อาศัยอยู่ที่นั่นนานถึง 15 ปี และทุกวันนี้ ฉันก็ยังคงเดินทางกลับไปท่องเที่ยวที่เมืองไทย เพื่อให้รู้สึกว่าได้เหมือนอยู่บ้านของตัวเอง ฉันเคยไปเที่ยวมาแล้วทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เมืองไทยเป็นสถานที่โปรดของฉัน
- ไปเที่ยวที่เมืองไทยนั้นคุ้มค่ามาก และปลอดภัยมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้น ฉันจึงรู้สึกปลอดภัยมาก ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนในเมืองไทยก็ตาม
- ฉันชอบกรุงเทพฯ ครั้งต่อไป ฉันต้องลองไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ บ้างแล้ว
- คนไทยน่ารักมาก!!
- กรุงเทพฯ เป็นที่เที่ยวที่ฉันชอบมาก ซึ่งฉันได้จองทริปไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ เอาไว้แล้วในเดือนมีนาคมปี 67 ดีใจมากที่เรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่และบรรยากาศของที่นั่นจากคลิปของคุณ แถมยังได้รู้วิธีการใช้เงินที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนอีกด้วย

เฮ!! ‘แจ็ค แฟนฉัน’ งัดแหวนขอ ‘ใบหม่อน’ แต่งงานแล้ว ท่ามกลางเพื่อนนักแสดงร่วมเป็นสักขีพยานรักในครั้งนี้

(30 ต.ค. 66) เพิ่งจะออกมาเปิดตัวว่ากำลังคบหาดูใจกันเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา สำหรับนักแสดงหนุ่มอารมณ์ดี ‘แจ็ค เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์’ หรือ ‘แจ็ค แฟนฉัน’ กับแฟนสาวสุดสวย ‘ใบหม่อน กิตติยา จิตรภักดี’ จนมีภาพหวาน ๆ ออกมาเสิร์ฟให้แสดงถึงความคลั่งรักอยู่เสมอ

ล่าสุด ‘แจ็ค แฟนฉัน’ ก็ได้จัดเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่ ขณะกำลังไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น โดยการคุกเข่าเซอร์ไพรส์ขอใบหม่อนแต่งงานท่ามกลางเพื่อน ๆ ที่ร่วมเป็นสักขีพยานรักในวันคล้ายวันเกิดของแฟนสาว

ซึ่ง ‘แจ็ค แฟนฉัน’ ได้เผยรูปภาพสวมแหวนตีตราจอง พร้อมแคปชันไว้ว่า "ใบหม่อน วันเกิดหนูวันนี้ พี่ขอจองหนูนะครับ #ขอให้น่ารักแบบนี้ตลอดไป #อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ นะครับ 29/10/66 ขอบคุณนิกกี้เพื่อนรัก ขอบคุณพี่เบียร์ใบหยก ขอบคุณพี่ยศ ขอบคุณพี่จตุรงค์ ขอบคุณพี่โน๊ตจูเนียร์ ขอบคุณพี่โย ขอบคุณพี่เฟย ขอบคุณพี่เป้ ขอบคุณแม่กุ้ง ขอบคุณโอมและผจก.โอม และทีมงานทุกคน

จริง ๆ มาถ่ายหนัง 20 วันที่ญี่ปุ่น โคตรเหนื่อยเลยแต่วันนี้หายเหนื่อย #รอดูแมนยูต่อครับ 5555555555"

จากนั้น ‘ใบหม่อน’ ก็ได้เผยความในใจไว้ว่า "I said, Yaaaassss! 29/10/2023 วันเกิดปีนี้มีความสุขมาก ขอบพระคุณทุก ๆ คน ที่ร่วมsurpriseครั้งนี้ ทุกคนน่ารักมาก ๆ ค่ะ ขอบคุณพี่แจ็คคนดีของหนู ตั้งแต่เจอพี่ หนูมีความสุขทุกวัน รักนะคะ"

31 ตุลาคม พ.ศ. 2543 ห้างไทยไดมารู เลิกกิจการห้างแห่งแรก่ในไทยาร ปิดตำนานที่มีบันไดเลื่อน

วันนี้ เมื่อ 23 ปีก่อน ‘ไทยไดมารู’ ห้างสรรพสินค้าจากญี่ปุ่น ประกาศปิดกิจการ หลังเปิดให้บริการในไทยมายาวนานถึง 36 ปี ปิดตำนาน ห้างแห่งแรกในไทยที่มีบันไดเลื่อน

ไทยไดมารู เป็นห้างสรรพสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าราชประสงค์ หรือ เซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน ต่อมา ห้างก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ราชดำริอาเขต ที่ตั้งปัจจุบันคือบริเวณบิ๊กซี ราชดำริ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2507 ถือเป็นห้างสรรพสินค้าที่ประสบความสำเร็จแห่งหนึ่งในสมัยนั้น มีแนวความคิดแบบห้างสรรพสินค้าจากญี่ปุ่นที่เปิดขึ้นเพื่อรองรับชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ในบริเวณราชดำริที่มีสำนักงานบริษัทข้ามชาติญี่ปุ่นจำนวนมาก 

ทั้งนี้ ไทยไดมารู ยังเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีบันไดเลื่อนแห่งแรกของไทย รวมถึงเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของไทยด้วยที่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศอีกด้วย จากนั้น ไทยไดมารู ยังได้เปิดสาขา 2 ย่านพระโขนง เมื่อปี พ.ศ. 2524

ในแง่ของประวัติศาสตร์ ห้างไทยไดมารู เคยเป็นจุดที่นิสิตนักศึกษา ใช้เป็นจุดรณรงค์ต่อต้านสินค้าจากต่างประเทศในช่วงปี พ.ศ. 2516 ก่อนที่จะขยายตัวเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย จนเกิดความรุนแรงในวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม

ในปี พ.ศ. 2537 เมื่อไทยไดมารู ที่อยู่บริเวณศูนย์การค้าราชดำริ อาเขต หมดสัญญาลงได้ย้ายมาอยู่ที่ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ ถนนศรีนครินทร์ ปัจจุบันคือ พาราไดซ์ พาร์ค ดำเนินการในนาม บริษัท ไทยดีเอ็มอาร์ รีเทล จำกัด มีบริษัทไดมารู ไอเอ็นซี จากญี่ปุ่น เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ย่านนี้มีคู่แข่งจำนวนมาก โดยเฉพาะซีคอนสแควร์และเซ็นทรัลพลาซา บางนา ห้างไทยไดมารูที่เสรีเซ็นเตอร์ จึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

หลังจากที่ประเทศไทยประสบกับปัญหาเศรษฐกิจ จากการลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อปี พ.ศ. 2540 ในปี พ.ศ. 2541 ไดมารู ไอเอ็นซี (The Daimaru, Inc.) จากญี่ปุ่นตัดสินใจขายหุ้นบริษัทไทยดีเอ็มอาร์ รีเทล ให้กับผู้ลงทุนชาวไทย คือ กลุ่มพรีเมียร์ ในเครือโอสถานุเคราะห์ แต่ให้สิทธิ์ชุดผู้บริหารให้ใช้ชื่อ ไดมารู ได้ แต่หลังจากนั้น 2 ปี การดำเนินการยังไม่ดี กลุ่มพรีเมียร์จึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญาอีกต่อไป เพื่อเปิดห้างสรรพสินค้าใหม่ ในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2543 ปิดตำนานห้างแห่งแรกที่มีบันไดเลื่อนและเครื่องปรับอากาศ ดังนั้น ในปัจจุบัน จึงไม่มีชื่อ ไทยไดมารู อยู่ในประเทศไทย

‘แบมแบม’ ลั่น!! ภูมิใจที่ได้เกิดเป็น ‘คนไทย’ แม้ใครจะดูถูกยังไง ก็ไม่แคร์ เพราะประเทศเรามีดี

(30 ต.ค. 66) จากเฟซบุ๊ก ‘Jo Montanee’ โดยคุณโจ มณฑานี ตันติสุข นักเขียนและวิทยากรการเงิน ได้โพสต์คลิปช่วงหนึ่งในคอนเสิร์ต 2023-2024 BamBam THE 1ST WORLD TOUR [AREA 52] in BANGKOK ของไอดอลหนุ่มชื่อดังอย่าง ‘แบมแบม’ ที่ได้เปิดใจว่าตนนั้นรักชาติ และภูมิใจแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นคนไทย โดยระบุว่า ‘ประเทศไทยเป็นบ้านเกิดผมครับ…ไม่มีสักวันที่ผมไม่รู้สึกภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย และถึงแม้เวลาไปต่างประเทศอาจจะมีการดูถูกกันบ้าง แต่ผมก็ไม่สนใจ เพราะประเทศไทยเรามีของดี และเป็นประเทศที่สวยงาม ที่เต็มไปด้วยความสุข และรอยยิ้ม เพราะฉะนั้นผมว่าโอเคนะครับ…’

ซึ่ง ‘คุณโจ’ ได้เขียนแคปชัน โดยระบุว่า “ดูแล้วน้ำตาซึม ตื้นตัน และภาคภูมิใจแทนคุณพ่อคุณแม่ที่สอน ‘แบมแบม’ มาดีเหลือเกินลูกน้องใช้โอกาสวันคอนเสิร์ต Solo ของตัวเองประกาศกลางเวทีอย่างสุดสตรองว่ารักและภาคภูมิในชาติ เชิดชูว่าชาติไทยเรามีดี ใครจะดูถูกอย่างไร น้องไม่แคร์

นี่คือคนรุ่นใหม่ที่สมกับเป็น #พลังแผ่นดิน จริง ๆ ให้คนรุ่นเก่าอย่างเราฝากฝังประเทศชาติไว้ได้แบบนอนตายตาหลับเลยค่ะ ภูมิใจแทนครอบครัวน้อง #แบมแบม ภูมิใจแทน #อากาเซ่ ที่เลือกรักคนถูกจริง ๆ

ไม่ว่าอาชีพการงานของน้องจะเติบโตไปมากแค่ไหน ป้าโจขออวยพรให้แบมแบม รักษาคุณงามความดีนี้ไว้นะลูก

และป้าขอให้หนูมีแต่ความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป สุขภาพแข็งแรงยืนยาว ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ มีแต่คนรักใคร่ทั้งโลก ได้พบเจอผู้คนที่ดี คอยโอบอุ้มช่วยเหลือตลอดอายุขัย และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองแผ่นดินไทย ปกปักรักษาหนูให้รอดพ้นคนพาลและภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด

UPDATE จากการอ่านคอมเมนต์นะคะ

หลายคนชมเชยว่าน้องน่ารักมาก พี่โจขอเพิ่มค่ะว่า น้องแบมแบมไม่ใช่แค่น่ารัก แต่น้องกล้าหาญด้วยค่ะ #ความกล้าหาญคือคุณสมบัติของยอดคน”

‘ต้องเต’ แต่งหญิงทาปากแดง พาทีมงานรำแก้บน หลัง ‘สัปเหร่อ’ ทะยาน 700 ล้าน คนแห่ร่วมงานนับพัน

เมื่อวานนี้ (30 ต.ค.66) หลัง ‘สัปเหร่อ’ ภาพยนตร์ลำดับที่ 6 ของจักรวาลไทบ้านเดอะซีรีส์ กวาดรายได้รวมทั่วประเทศไปถึง 700 ล้านบาท จนขึ้นแท่นเป็นหนังไทยที่ทำรายได้สูงสุดในรอบ 10 ปี ล่าสุดผู้กำกับมาดเซอร์อย่าง ‘ต้องเต ธิติ ศรีนวล’ ก็ได้พาทีมนักแสดง มาทำตามสัจจะวาจาที่เคยพูดไว้ ว่าหากหนังประสบความสำเร็จ จะทำพิธีบวงสรวงและรำถวายท่าน ที่สวนป่า ณ โพนปู่ทองคำ ปู่ย่าที่อีหลีน่าคาเฟ่ จ.สกลนคร บ้านของนักร้องหนุ่ม ‘ก้อง ห้วยไร่’ ผู้เป็นพ่องานในวันนี้

โดย ‘ก้อง ห้วยไร่’ บนไว้ 100 ล้าน ส่วน ‘ต้องเต’ บนไว้ 50 ล้าน วันนี้เจ้าตัวก็เลยแต่งหญิงสวมชุดไทยตามที่บนบาน พร้อมมาเป็นนางรำร่วมกับชาวบ้านกว่า 200 ชีวิต ท่ามกลางผู้เข้าร่วมงานกว่า 1 พันคน ซึ่งบรรยากาศระหว่างพิธีบวงสรวงนั้น ก็มีลมพัดแรงเป็นช่วงๆ ทำเอาขลังและขนลุกไปตามๆ กัน แต่ในขณะเดียวกันก็ม่วนจอยกันหนักมาก หลังเสร็จสิ้นพิธีบวงสรวง

และงานนี้ผู้กำกับอย่าง ‘ต้องเต’ ก็ถึงกับมีน้ำตา ระหว่างพูดขอบคุณทีมงานและผู้ชม ที่ทำให้หนังไทบ้านอย่าง ‘สัปเหร่อ’ ประสบความสำเร็จและกวาดรายได้ถล่มทลายขนาดนี้ และคาดว่าอีกไม่กี่อึดใจ ก็คงจะทะลุ 1,000 ล้านได้อย่างไม่ยาก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top