Friday, 16 May 2025
Lite

‘นนกุล’ ยิ้มรับกระแสจิ้น ‘แอฟ ทักษอร’ ลั่น!! เป็นพี่สาวที่สนิทที่สุด ส่วนโอกาสพัฒนาเป็นเรื่องอนาคต ถ้าเป็นคู่จริงเมื่อไหร่จะมาอัปเดต

(14 ก.ย.66) หลังจากที่ถูกจับตามองเรื่องความสัมพันธ์มาพักใหญ่ สำหรับ ‘นนกุล ชานน’ กับนางเอกสาวรุ่นพี่ ‘แอฟ ทักษอร’ ว่าเป็นเพียงคู่จิ้นหรือคู่จริงที่กำลังพัฒนาความสัมพันธ์กันอยู่ จะใช่หนึ่งเดียวในใจที่สาวแอฟเคยได้ให้สัมภาษณ์ถึงอยู่บ่อยครั้งแต่ยังไม่มีการเปิดตัวหรือไม่ ล่าสุด ‘นนกุล’ ก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้อีกครั้งว่า 

>> แฟนๆ รอดูซีรีส์เรากับพี่แอฟ?
“ผมยังไม่รู้ออนแอร์เมื่อไหร่ คิดว่าพฤศจิกายน–ธันวาคมนี้ น่าจะได้ดูกันครับ แฟนๆ ก็ถามถึงเยอะ เป็นกระแสใหญ่ๆ มาสองรอบแล้ว เหมือนได้ยินมาว่าทางประเทศจีนอยากออนพร้อมกับประเทศไทย ก็เลยน่าจะเป็นการทำงานประสานงานกันทั้งสองฝ่ายด้วยครับ ผมก็อยากดูเหมือนกันครับ”

>> คิดว่าทำไมแฟนๆ ถึงอยากดูซีรีส์ของเรากับพี่แอฟ?
“เพราะว่ากระแสที่มันเกิดขึ้น แล้วก็เนื้อเรื่องที่มันน่าสนใจ ประกอบกับรีเมกจากซีรีส์ที่โด่งดังมากๆ ในประเทศจีน ก็เลยคิดว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายๆ คนติดตามกัน ก็ถ่ายมาเกินปีนึงแล้ว ถ่ายเสร็จประมาณสิงหาคมปีที่แล้ว”

>> ถ้าละครออนแอร์กระแสความจิ้นจะเพิ่มไหม?
“ก็เป็นไปได้ครับ (ยิ้ม) (ในเรื่องมีความกุ๊กกิ๊ก?) มีอยู่แล้วครับ เนื่องจากเป็นซีรีส์แนวโรแมนติกคอมเมดี้ จะมีความน่ารักไม่เครียดมาก”

>> ถามถึงคอมเมนต์ ‘อื้อหือ’ ที่เข้าไปคอมเมนต์ไอจีพี่แอฟ?
“ก็ชมพี่เขาครับ เขาสวยมากๆ”

>> พิมพ์สั้นๆ แค่นั้น?
“(หัวเราะ) ก็อยากพิมพ์ต่อครับ แต่ว่าเราเคยชมพี่เขาไปแล้ว นี่ก็เปลี่ยนคำไปเรื่อยๆ เปลี่ยนวิธีชมไปเรื่อยๆ ครับ (พี่แอฟเข้ามาคอมเมนต์ตอบ?) ก็ได้ เดี๋ยวคราวหน้าผมคอมเมนต์ตรงๆ เลย สวย สวยมากเลยครับ”

>> แฟนๆ จิ้นรู้สึกยังไง?
“ดีใจอยู่แล้วครับ ผมมองว่ายิ่งเราจะมีซีรีส์ด้วยกันด้วย ก็ยิ่งเป็นผลดีกับการที่มีแฟนๆ รอติดตามกระแสจิ้น”

>> คนเชียร์ให้คู่จิ้นเป็นคู่จริง?
“ถ้าในอนาคตมันพัฒนายังไง เดี๋ยวเป็นเรื่องของอนาคตครับ คำตอบดารามาก แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แหละ”

>> ตอนนี้พัฒนาไหม?
“ก็เป็นพี่ที่สนิทมากๆ คนนึงครับ (ที่สุดครับ?) ที่สุดครับ”

>> โอกาสพัฒนามีเยอะ?
“อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ครับ”

>> อยากพัฒนาไปเรื่อยๆ ถ้ามีโอกาส?
“มันไม่ใช่เรื่องของผมคนเดียว ถ้าเกิดในอนาคตมันเกิดอะไรขึ้นก็เป็นเรื่องของอนาคตครับ เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถกำหนดได้อยู่แล้วครับ”

>> เห็นไหมกระแสเชียร์แรง?
“ใช่ครับ หวังว่าทุกคนจะรอติดตามนะครับ”

>> คนเชียร์เป็นคู่จริง?
“อ๋อ (หัวเราะ) (ดูเขิน?) เขินๆ ครับ พี่เขาเป็นคนสวย น่ารักอยู่แล้ว การที่มีคนจับคู่เรากับพี่เขามันก็เป็นสิ่งที่ดีครับ”

>> มีคุยกระแสจิ้นกับพี่แอฟไหม?
“มีครับ มีคุยกับพี่แอฟอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้วครับ พี่เขาก็แฮปปี้ครับ สุดท้ายมันเป็นไปในเชิงบวกก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วครับ”

>> กระแสบวกเยอะ?
“จริงๆ มีทั้งลบทั้งบวก แต่ว่าเราพร้อมรับฟังทุกคอมเมนต์”

>> เป็นไปได้ไหม คู่จริง?
“ก็ถ้าเป็นคู่จริงเมื่อไหร่ เดี๋ยวเรามาอัปเดตกันก็ได้ครับ (ยิ้ม)”

15 กันยายน ของทุกปี วัน ‘ศิลป์ พีระศรี’ บิดาแห่งวงการศิลปะร่วมสมัยไทย

15 กันยายน ของทุกปี เป็นวัน ‘ศิลป์ พีระศรี’ บิดาแห่งวงการศิลปะร่วมสมัยไทย ผู้บุกเบิกวงการศิลปกรรมของไทยให้ก้าวหน้าสู่สากล และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร

ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เดิมชื่อ คอร์ราโด เฟโรชี (Corrado Feroci) เป็นชาวอิตาลีสัญชาติไทย เกิดเมื่อวันที่ 15 ก.ย.2435 ในเขตซานโจวานนี (San Giovanni) เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เป็นบุตรของ อาตูโด เฟโรชี และซานตินา เฟโร มีบุตร 2 คน ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2505 รวมอายุได้ 69 ปี 7 เดือน 29 วัน

เป็นบุคคลที่มีใจรักในศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ท่านก็สามารถส่งเสียตัวเองจนเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับที่ 1 และสามารถสอบเข้าเป็นศาสตราจารย์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นประติมากรจากเมืองฟลอเรนซ์ที่เข้ามารับราชการในประเทศไทยตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2466 เข้ารับราชการในตำแหน่งช่างปั้น กรมศิลปากร กระทรวงวัง

ศาสตราจารย์ ศิลป พีระศรี ถือเป็นปูชนียบุคคลคนหนึ่งของไทยที่ได้สร้างคุณูปการในทางศิลปะและมีผลงานที่เป็นที่กล่าวขานจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งและอาจารย์สอนวิชาศิลปะที่โรงเรียนประณีตศิลปกรรม ซึ่งภายหลังได้รับการยกฐานะให้เป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยดำรงตำแหน่งคณบดีคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์คนแรก มีความรักใคร่ ห่วงใยและปรารถนาดีต่อลูกศิษย์อยู่ตลอดจนเป็นที่รักและนับถือทั้งในหมู่ศิษย์และอาจารย์ด้วยกัน

ศาสตราจารย์ ศิลป พีระศรี เป็นผู้วางรากฐานที่เข้มแข็งให้แก่วงการศิลปะไทยสมัยใหม่จากการที่ได้พร่ำสอนและผลักดันลูกศิษย์ให้ได้มีความรู้ความสามารถในวิชาศิลปะทั้งงานจิตรกรรมและงานช่าง มีจุดประสงค์ให้คนไทยมีความรู้ความเข้าใจในศิลปะและสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะได้ด้วยความสามารถของบุคลากรของตนเอง การก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรจึงเปรียบเสมือนการหว่านเมล็ดพันธุ์ให้แก่คนไทยเพื่อที่จะออกไปสร้างศิลปะเพื่อแผ่นดินของตน

แม้จะริเริ่มรากฐานของความรู้ด้านศิลปะตะวันตกในประเทศไทย แต่ในขณะเดียวกันศาสตราจารย์ ศิลป พีระศรี ได้ศึกษาศิลปะไทยอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากต้องการให้คนไทยรักษาความงามของศิลปะไทยเอาไว้ จึงได้เกิดการสร้างลูกศิษย์ที่มีความรู้ทั้งงานศิลปะตะวันตกและศิลปะไทยออกไปเป็นกำลังสำคัญให้แก่วงการศิลปะไทยเป็นจำนวนมาก และเกิดรูปแบบงานศิลปะไทยสมัยใหม่ในที่สุด

จึงได้รับการยกย่องให้เป็นปูชนียบุคคลของมหาวิทยาลัยศิลปากรและของประเทศไทย โดยเฉพาะในงานประติมากรรมที่ได้มีผลงานที่โดดเด่นมากมายที่สร้างไว้แก่ประเทศไทย ได้แก่ พระพุทธรูปประธานที่พุทธมณฑล, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และรวมไปถึง พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่วงเวียนใหญ่, พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช, อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และพระบรมราชานุสาวรีย์ของกษัตริย์ไทยอีกหลายพระองค์ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ศาสตราจารย์ศิลป จึงได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งศิลปะร่วมสมัยของไทย และเป็น ผู้วางรากฐานมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยในวันที่ 15 กันยายน ของทุกปีจะถือเป็นวันศิลป พีระศรี ซึ่งมหาวิทยาลัยศิลปากรจะจัดงานรำลึกขึ้นทุกปีเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีที่มีต่อมหาวิทยาลัยและประเทศไทยนานัปการ

16 กันยายน พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานที่ดินหวงห้ามที่สัตหีบให้ใช้เป็นฐานทัพเรือ

วันนี้ เมื่อ 101 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานที่ดินหวงห้ามที่สัตหีบให้ใช้เป็นฐานทัพเรือ ตามที่นายพลเรือเอก กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ได้ขอพระราชทาน

ย้อนไป เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2465 หรือ 101 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานที่ดินหวงห้ามที่สัตหีบให้ใช้เป็นฐานทัพเรือ ตามที่นายพลเรือเอก กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ได้ขอพระราชทาน และกองทัพเรือสร้างฐานทัพเรือที่สัตหีบ ตามพระราชประสงค์ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ

ฐานทัพเรือสัตหีบ เริ่มก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2457 ขณะที่เสด็จประพาสทางชลมารคเลียบฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย โดยเรือพระที่นั่งมหาจักรี พระองค์ได้เสด็จฯ มาประทับในอ่าวสัตหีบ เพื่อทอดพระเนตรการซ้อมรบของกองทัพเรือด้วย

ในการเสด็จคราวนั้นพระองค์ได้ทอดพระเนตรหมู่บ้านสัตหีบ เห็นว่า เป็นชัยภูมิอันเหมาะที่จะตั้งเป็นฐานทัพเรือ จึงได้มีพระบรมราชโองการด้วยพระโอษฐ์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2457 แก่พระยาราชเสนาผู้แทนสมุหเทศาภิบาล มณฑลจันทบุรี และพระยาประชาไศรยสรเดช ผู้ว่าราชการเมืองชลบุรี

ขณะทรงประทับอยู่ในเรือพระที่นั่งว่า มีพระราชประสงค์ที่ดินฝั่งตำบลสัตหีบ และที่ใกล้เคียงตลอดทั้งเกาะใหญ่น้อยบรรดาที่มีอยู่ริมฝั่งน้ำ อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับใบเหยียบย่ำ หรือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินบนฝั่ง หรือเกาะที่สงวนไว้แล้วนั้นเป็นอันขาด

กันยายน พ.ศ. 2465 พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขณะที่ดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ได้มีหนังสือไปกราบถวายบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานที่ดินตำบลสัตหีบที่ทรงสงวนไว้เพื่อจัดเป็นฐานทัพเรือ โดยทรงเน้นให้เห็นคุณและโทษ ของการจัดสัตหีบเป็นฐานทัพเรือไว้

ต่อมาทางกองทัพเรือจึงได้ก่อสร้างฐานทัพเรือ จนมาเป็นฐานทัพเรือสัตหีบ จวบจนถึงปัจจุบัน

'เอกชัย' เห็นด้วยกับ 'ยุ้ย ญาติเยอะ' ชี้!! เพลงดังก็แค่เพลง อย่า ปสด.

หลังจากกรณี 'เพลงคนจนมีสิทธิ์ไหมคะ' ที่ในเนื้อหามีคำไม่เหมาะสม จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และกลายเป็นดรามาเลือกฝั่ง แบ่งคนเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยออกมาอย่างชัดเจนนั้น

ล่าสุด เอกชัย ศรีวิชัย เป็นอีกคนที่ออกมาเห็นด้วยกับ ความคิดเห็นของยุ้ย ญาติเยอะ เรื่องเพลงดัง คนจนมีสิทธิ์ไหมคะ ที่เอามาแปลงเนื้อ มีคำหยาบชัดเจน โดย ยุ้ย มีการแสดงความเห็นไว้ ว่า...

"เพลงมันก็แค่เพลงค่ะ หยาบคายยังไง มันก็แค่เพลง ก็เป็นกระแสแค่นั้น งงอะไร กลัวลูกหลานฟังไม่ได้ นี่เปิดให้ลูกฟังเลยค่ะ แล้วอธิบายสอนลูกไปด้วย ว่าอย่าร้องตามลูกไม่ใช่อะไรเดี๋ยวติดปาก ยายเขาร้องไว้นานแล้ว สมัยก่อนสมัยนี้ ก็บอกไปว่ามันคืออะไร แต่ให้พูดไม่ได้ ก็สอนไปซิมีหน้าที่พ่อแม่มัวมองโลกสวย ไม่มองโลกจริง ๆ ระวังลูกไม่มีภูมิ เจอเพลงแค่นี้ ปสด."

‘บ้านตานิด’ ร้านอร่อยชื่อดังริมน้ำเจ้าพระยา กลิ่นอายพื้นบ้าน บรรยากาศดี อาหารเด็ด เดินทางสะดวกทั้งทางเรือ-ทางบก

อยากอร่อยกับเมนูไทยพื้นบ้าน เหมือนที่เคยลิ้มลองในวัยเด็ก สัมผัสบรรยากาศริมน้ำ กลิ่นอายวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยก่อนที่อาศัยการคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก ให้มาที่ ร้านบ้านตานิด ร้านอาหารไทยชื่อดังแห่งอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเดิมคือบ้านพักอาศัยของครอบครัวเจ้าของร้าน อีกทั้งยังเคยเป็นปั๊มน้ำมันเรือทางน้ำ (ปั๊มเชลล์) สมัยที่ยังไม่มีถนนตัดผ่านย่านนี้เลย

การมาร้านบ้านตานิดในปัจจุบันนี้ ยังคงมาได้ทั้งทางเรือส่วนตัวและทางบก จากกรุงเทพฯ ให้ขึ้นทางด่วนขั้นที่ 2 (ศรีรัช) ต่อด้วยทางพิเศษอุดรรัถยาหรือทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด มาลงที่ทางออก ถนนสาย 346 (บางพูน-รังสิต) เลือกไปทาง ปทุมธานี จากนั้นให้ข้ามแม่น้ำมาตามทางในกูเกิลแมพอีก 10 กม. จนเข้าถนนสาย 4004 หรือถนนเทศบาล 1 (ให้ค้นในกูเกิลแมพว่า ร้านบ้านตานิด) ไปสุดทางที่ริมน้ำตรงตำบลกระแชง อำเภอสามโคก ซึ่งจะมีลานจอดกว้างๆ ให้ถามคนโบกได้เลยว่าร้านบ้านตานิดจอดตรงไหน หรือถ้าอยากเห็นบ้านเรือนและชุมชนใกล้ริมน้ำ สามารถลัดเลาะมาตามถนนเส้นเล็กๆ จากตัวจังหวัดปทุมธานีอีกเส้นทางหนึ่งได้ด้วย

ร้านบ้านตานิดอยู่ในบ้านไม้เก่าแก่ทาสีเขียวที่รักษาสภาพไว้เป็นอย่างดี ส่วนที่นั่งกินข้าวจะอยู่ตรงชานบ้านด้านนอกมีหลังคาคลุมและริมท่าน้ำ ซึ่งจะมีท่าจอดเรือส่วนตัวด้วย โดยก่อนเข้าร้าน ลูกค้าจะต้องถอดรองเท้าและสวมรองเท้าแตะที่จัดไว้ให้เดินเข้าไปอีกที

ก่อนอื่นขอบอกว่ามาร้านบ้านตานิดต้องโทรจองโต๊ะล่วงหน้า เพราะได้รับความนิยมมาก ยิ่งถ้ามาวันสุดสัปดาห์ให้โทรจองก่อนหลายๆ วันเลย

เจ้าของร้านนั้นคือเพื่อนของพี่รอบิ้นรุ่นพี่ของปิ่นโตเถาเล็กเองชื่อว่า พี่มด ซึ่งนำบ้านพักอาศัยของครอบครัวมาทำเป็นร้านอาหาร แต่ก่อนนั้นนอกจากจะเป็นปั๊มน้ำมันเรือแล้ว ยังเป็นร้านขายเครื่องอุปโภคบริโภครวมถึงสินค้าต่างๆ เช่นน้ำมันยาง ชัน ปูนขาวอีกด้วย พอมีการตัดถนนจึงเลิกกิจการเปลี่ยนเป็นบ้านอยู่อาศัยอย่างเดียว

จากนั้นคุณแม่พี่มดก็หันมาทำพริกแกงขายโดยใช้ชื่อว่า บ้านพริกแกง ที่ร้านนี้จึงเก่งเรื่องแกงต่างๆ เพราะทำพริกแกงเอง ใช้วิธีการบดและตำด้วยมือ

จนกระทั่ง พ.ศ. 2559 พี่มดกับน้องสาวจึงได้ดัดแปลงบ้านเป็นที่พักเล็กๆ สำหรับคนที่จะมาเรียนศิลปะ ขายอาหารเฉพาะคนที่จองมาเท่านั้น เป็นเมนูซึ่งพี่มดชอบกินเองที่บ้านอยู่แล้ว พอมีเพื่อนฝูงลูกค้าบอกต่อเยอะจึงหันมาทำร้านอาหารเป็นหลัก (แทบไม่ได้ทำเรื่องห้องพักแล้ว) นำชื่อวาณิชย์ของคุณพ่อมาตั้งเป็นชื่อร้านบ้านตานิด

ผมชอบของกินร้านนี้มาก เพราะเป็นอาหารไทยพื้นบ้านที่คนกรุงเทพฯรุ่นผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เมนูห้ามพลาดมีมากมาย อย่างเช่น ต้มกะทิสายบัวปลาสลิด (240 บาท+) พี่มดบอกว่าเป็นคนไม่ชอบกินปลาทู จึงใส่ปลาสลิดแทน เคล็ดลับความเค็มหอมมาจากการใช้ปลาเค็มแทนกะปิ เมนูนี้ต้องรีบกินตอนร้อนๆ จะอร่อยมาก

ถ้าชอบรสเผ็ดหน่อยให้สั่ง แกงส้มชะอมไหลบัวกุ้งสด (260-320 บาท+) พริกแกงทำเองรสเข้มข้นครบทุกรสเหมือนที่กินตอนเด็กจริงๆ พี่มดจะต้มกุ้งแล้วนำไปบดใส่ในน้ำแกงจนน้ำข้นคลั่ก โดยเลือกใช้กะปิบังดาษจากเมืองตรังหอมอร่อย

อีกเมนูที่สุดยอดมากๆ คือ ผัดสามเหม็น (240-280 บาท+) ผัดวุ้นเส้นใส่ชะอม สะตอ และกระเทียมดอง กลิ่นหอมฟุ้งเป็นพิเศษเพราะมีเคล็ดลับคือจะซอยเครื่องกระเทียม หอมและพริกสดเมื่อลูกค้าสั่งเท่านั้นทุกๆ จาน

ของไม่เผ็ดต้อง พะโล้ไข่เค็ม (220-280 บาท+) อร่อยไม่ซ้ำใคร ใส่เครื่องสามเกลอ (รากผักชี กระเทียม พริกไทย) เยอะๆ และมีอบเชยกับเครื่องยาจีนด้วย ทำรสหวานนำ แต่จะได้ความเค็มอร่อยลงตัวจากไข่เค็มมาผสมกัน ซึ่งต้องซื้อจากเจ้าประจำในตลาด อ.ต.ก.เท่านั้น (ไม่เค็มเกินไป) นำมาต้มค้างคืน

ส่วนผัดผักที่ห้ามพลาดคือ ผักบุ้งไทยผัดกะปิกุ้งกรอบ (220 บาท+) กุ้งทะเลสดกรอบสมชื่อ พี่มดซื้อจากเจ้าประจำที่ตลาดสามโคก ซื้อเช้าขายบ่าย ซื้อบ่ายขายเย็น และผัดผักบุ้งไทยได้รสชาติถึงใจ เนื่องจากพอผัดเสร็จจะหยอดน้ำพริกกะปิเพิ่มความหอมเข้มอีก 1 ช้อนลงไป

ส่วนถ้าเป็นเครื่องจิ้มต่างๆ ให้สั่ง หลนปลากุเลาหอม (260-340 บาท+) ซึ่งพี่มดทำแบบโบราณใส่ข้าวหมากเพิ่มความหอม โดยจะใช้ทั้งปลากุเลาให้ความหอมและปลาอินทรีให้ความเค็ม นอกจากนี้ ก็มี น้ำพริกกะปิกุ้งสด (280-380 บาท+) อีกเมนูโบราณที่ใส่น้ำพริกกะปิก็คือแกงรัญจวนเนื้อ (260-320 บาท+) ใส่เนื้อน่องลายตุ๋นและแตงโมอ่อนด้วย ไม่กินเนื้อก็มีแกงรัญจวนหมูอีกอย่าง

ของไม่เผ็ดมีหลากหลาย เมนูยอดนิยมคือหมูกรอบคั่วพริกเกลือ (280-380 บาท+) ใส่พริกไทยอ่อน คั่วถึงเครื่องพริกขี้หนูหอมๆ อีกทั้ง ปลาเนื้ออ่อนทอดราดกระเทียม (380-480 บาท+) ตัวเล็กๆ ทอดราดน้ำปลาผสมน้ำตาล ซึ่งกระเทียมที่ร้านจะเจียวเอง เวลากินให้จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด เนื้อย่างจิ้มแจ่ว (240-320 บาท+) ใส่มะขามเปียก สันคอหมูย่าง (240-320 บาท+) และ หนำเลี้ยบหมูสับคั่วพริกแห้ง (220-280 บาท+) มีแม้กระทั่ง กุ้งแม่น้ำเผา (สอบถามขนาดและราคาได้เลย) ส่วนเครื่องดื่มถ้ามาวันเสาร์-อาทิตย์ให้สั่ง น้ำมะยงชิดปั่น กระท้อนปั่น และ มะม่วงปั่น (145 บาท+ ทุกอย่าง)

ลืมบอกไปว่าที่ร้านบ้านตานิด ถ้ามาวันธรรมดาจะคิดค่าบริการเพิ่ม 5% แต่ถ้ามาวันเสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์จะคิดค่าบริการ 10%

ขอย้ำว่าเนื่องจากร้านบ้านตานิดคือร้านดังที่ได้รับความนิยมมาก ก่อนไปหลายๆ วันต้องโทรไปจองโต๊ะไว้ล่วงหน้าดีที่สุด มิฉะนั้นอาจจะต้องรอโต๊ะนานเป็นชั่วโมง ร้านบ้าน

ตานิดเปิดบริการตามช่วงมื้ออาหาร กลางวัน 11 โมงครึ่งถึงบ่าย 3 โมง ส่วนมื้อเย็นเปิดตอน 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม หยุดทุกวันอังคาร โทรจองโต๊ะได้ที่ 08-1835-0660

‘โทนี่ จา’ รับบทนักแสดงนำคู่ ‘เจสัน สเตแธม’ ในหนัง ‘Expendables 4 โคตรคนทีมมหากาฬ 4’ 

เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของชาวไทยสำหรับนักแสดงสายบู๊ ‘จาพนม’ หรือ ‘โทนี่ จา’ ที่ล่าสุดโดดรับบทนำคู่ ‘เจสัน สเตแธม’ ใน ‘Expendables4 โคตรคนทีมมหากาฬ4’ บอกเลยว่าฉากต่อสู้เยอะสุด มันส์ที่สุดกว่าเรื่องที่ผ่านมา และสดที่สุดคนไทยได้ดูก่อนอเมริกา

พลาดไม่ได้จริง ๆ สำหรับภาพยนตร์เรื่อง ‘Expendables4 โคตรคนทีมมหากาฬ4’ ภาคล่าสุดของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ทำเงินทั่วโลก ไปมากถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยภาคนี้ ทีม Expendables กลับมารวมตัวทำภารกิจกันอีกครั้ง โดยใช้ทุนสร้างกว่า $100 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้นักแสดงนักบู๊ขวัญใจชาวไทย ‘โทนี่ จา’ หรือ ‘จา พนม’ ร่วมแสดงนำ ซึ่ง จา พนม ประกบคู่ ‘เจสัน สเตแธม’ บู๊เคียงบ่าเคียงไหล่กันอย่างเต็มอิ่มแน่นอน

ซึ่งภาคนี้จะได้เห็นฉากบู๊ที่แตกต่าง โดยมีทีมสตันท์ของ แจ็กกี้ชาน (เฉินหลง) เป็นผู้ออกแบบคิวบู๊ต่าง ๆ  พร้อม จา พนม ร่วมออกแบบการต่อสู้ในรูปแบบ Martial Arts ที่ดุดันตามสไตล์ จา พนม เพิ่มไปอีก ทำให้ได้รับชมฉากต่อสู้ที่เยอะและมันส์ที่สุดกว่าเรื่องที่ผ่าน ๆ มาอีกด้วย

โดย จา พนม ได้เผยถึงการทำงานเรื่องนี้ว่า.... “ในเรื่องนี้เล่นเป็น เดชา เป็นหน่วยรบพิเศษ ตอนนี้ออกจากวงการแล้ว มาเป็นกะลาสี มีเรือประจำตำแหน่งชื่อเรือจินตหรา ในเรื่องเกิดขึ้นที่ประเทศไทย ตอนแรกจะถ่ายทำที่ประเทศไทยด้วย แต่เผอิญมีการปรับเปลี่ยนโน่นนี่นั่นเลยไปถ่ายทำที่ บัลแกเรีย เขาเซ็ตฉากให้เป็นพัทยา ซึ่งออกมาแล้วก็เหมือนประเทศไทยอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ถ่ายทำกันในลอนดอน, บัลแกเรีย และกรีซ ครับ ตอนถ่ายทำอากาศหนาวมาก แต่ต้องใส่เสื้อผ้าแบบเมืองร้อน พอคัทปุ๊ปรีบเอาผ้าห่มมาห่มกันเลย”

“ส่วนคาแรคเตอร์เราได้มีการแชร์ประสบการณ์กับผู้กำกับฯ ว่า มันต้องมีแบคกราวน์ด้วยนะตัวละครตัวนี้ คือ เดชา นี่เขาเป็นหน่วยรบพิเศษที่เก่งมาก แต่ไม่อยากไปรบแล้ว เลยออกจากวงการไปบวชมาและเป็นกะลาสี ทางผู้กำกับเขาก็เลยให้ตัวละคร เดชา เป็นบุคคลิกระหว่าง แจ็ค สแปร์โรว์ และ แรมโบ้ ไปเลย”

“ทางด้านผู้กำกับคิวบู๊ก็มาจาก JC team (แจ๊กกี้ ชาน ทีม) เขาก็มาคุยกันว่า คิวบู๊ โทนี่ จา ต้องเป็นแบบองค์บากนะ แล้วเขาก็เอาอาวุธทั้งหลายมาโชว์ให้ดู พวกปืนผาหน้าไม้ ระเบิด อะไรประมาณนี้ แล้วเขาก็บอกว่า ยูไม่ต้องใช้ เพราะยูมีอาวุธอยู่แล้ว คือ มือเท้าเข่าศอก ยูเอามีดไปเล่มเดียว จะได้โชว์แม่ไม้มวยไทยได้อย่างเต็มที่ และมีการทำเวิร์กช็อปกัน ผู้กำกับคิวบู๊เขาให้ดูไลน์แอ็กชัน ทีนี้เราจะใส่อะไรลงไป ก็อยู่ที่เรา เราก็ใส่ศิลปะการต่อสู้แบบไทยลงไป เป็นการนำเสนอ เป็นการแชร์ไอเดียกัน ของไทยเราก็อัดกันดิบ ๆ ไปเลย ของฝรั่งก็มีมุมกล้อง มีซีจีมาเสริม เพราะตัวละครมีหลายตัว เราก็ต้องแชร์กัน อย่างผมเข้าไลน์กับ เจสัน สเตแธม ทำอย่างไรที่จะให้ทั้งคู่ไปด้วยกันได้ เข้าคู่กันอย่างกลมกลืน”

“สำหรับ Expendables ต้องบอกเลยว่า คุณได้ดูภาคที่ระเบิดภูเขาเผาโลกกันมามากแล้ว มาภาคนี้เขากลับมาถึงจิตวิญญาณแห่งเอเซีย ก็ได้ไปช่วยเขาออกแบบคิวบู๊ เป็นสีสันที่ตลาดต้องการ ไม่ใช่แอ็กชันแบบยิงกันอย่างเดียว เพราะคนยิงกันก็เห็นมาหมดแล้ว สิ่งที่สำคัญต้องหาอะไรที่ทำให้คนเขาตื่นตาตื่นใจ ซึ่งตรงนี้ผมว่า Expendables4 โคตรคนทีมมหากาฬ 4 จัดเต็ม อย่างไรก็ฝากไปดู ไปให้กำลังใจกันด้วยครับ”

‘Expendables 4 โคตรคนทีมมหากาฬ 4’ กำกับภาพยนตร์โดย สก็อตต์ วาก์ (Scott Waugh) ผู้กำกับจาก ซิ่งเต็มสปีดแค้น (Need for Speed), หน่วยพิฆาต ระห่ำกู้โลก ( Act of Valor), Hidden Strike นำแสดงโดย เจสัน สเตแธม, ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน, ฟิฟตี้เซนต์, เมแกน ฟอกซ์, ดอล์ฟ ลันด์เกรน, โทนี่ จา (จา พนม), แรนดี้ โคเทอร์, แอนดี้ การ์เซีย และ อิโก อูไวส์  พร้อมนักแสดงชั้นนำจากฮอลลีวู้ดอีกคับคั่ง ที่สำคัญสดใหม่ คนไทยได้ดูก่อนอเมริกา 20 กันยายนนี้ แน่นอน! พร้อมเดือด มันส์ เกินพิกัด ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ

หุ้น ‘YG’ ดิ่ง 9% รุนแรงที่สุดในรอบปี หลัง ‘ลิซ่า’ ปฏิเสธข้อเสนอต่อสัญญา

ขึ้นแท่นเป็นตัวท็อปของวงการเคป็อป และวงการเพลงระดับโลกไปแล้วสำหรับสาวๆ BlackPink ที่ล่าสุดสาวไทยหนึ่งเดียวอย่าง ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ ดูจะเป็นสมาชิกหนึ่งเดียวของวงที่แฟนๆยังคงลุ้นกันแบบตุ้มๆต่อมๆว่าจะต่อสัญญากับค่ายเดิมอย่าง YG Entertainment หรือไม่?

ตามรายงานจาก Star News ระบุว่า ลิซ่า เป็นสมาชิกวงที่ถูกค่ายเพลงต่างๆ จากทั่วโลกพากันยื่นข้อเสนอให้อย่างมากมาย พร้อมกับสัญญาที่จะทำให้เธอได้รับเงินมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงค่ายเพลงจากประเทศไทยด้วย

มีรายงานว่า ทาง YG Entertainment ก็ได้ยื่นเสนอสัญญาให้กับ ลิซ่า ถึง 2 ฉบับด้วยกัน แต่ก็โดนปัดตกหมด

อย่างไรก็ตาม หลังมีรายงานว่า ลิซ่า ปฏิเสธข้อเสนอการต่อสัญญา ส่งผลกระทบให้หุ้น YG Entertainment บริษัทต้นสังกัดศิลปินเคป็อป (K-pop) ร่วงลงเกือบ 9% ในวันนี้ (15 ก.ย.)

ทั้งนี้ ราคาหุ้นของ YG ร่วงลงในรอบ 1 วัน รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2565

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น นิวเซน (Newsen) สื่อของเกาหลีใต้ยังรายงานด้วยว่า YG ได้เปิดเผยว่า บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาต่อสัญญากับลิซ่า แต่รายงานจากหนังสือพิมพ์มุนฮวา อิลโบระบุว่า ทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก

โดยล่าสุด ได้มีการยื่นขอเสนอให้มากถึงเกือบ 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณเกือบ 1.4 พันล้านบาท แต่ดูท่าว่าไอดอลสาวจะปฏิเสธไปแล้ว

“มีข่าวลือว่า ลิซ่า ได้ปฏิเสธสัญญาฉบับแรกกับทาง YG Ent. ไปแล้ว และไม่นานมานี้ก็เพิ่งปฏิเสธข้อเสนอสัญญาฉบับที่ 2 ส่วนสัญญา คาดว่ามีจำนวนมากถึง 37.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1.35 พันล้านบาท”

17 กันยายน พ.ศ. 2403 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ประกาศใช้เงินเหรียญบาทครั้งแรกในประเทศสยาม

วันนี้ เมื่อ 163 ปีก่อน สยาม ประกาศใช้เงินเหรียญบาทเป็นครั้งแรก โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดฯให้ผลิตขึ้นโดยเครื่องจักรที่สั่งจากประเทศอังกฤษ เพื่อใช้แทนเงินพดด้วง เป็นตราพระมหามงกุฎ-ช้างในวงจักร

ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงกระสาปน์สิทธิการ โรงกษาปณ์แห่งแรกของไทย ภายในพระบรมมหาราชวังบริเวณที่เคยเป็นโรง ทำเงินพดด้วงเดิม ด้านหน้าพระคลังมหาสมบัติ บริเวณมุมถนนใกล้กับทางออกประตูสุวรรณบริบาลด้านทิศตะวันออก และติดตั้งเครื่องจักรผลิตเหรียญกษาปณ์ขับเคลื่อนด้วยแรงดันไอน้ำเป็นเครื่องแรก ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่สั่งจากประเทศอังกฤษ

วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2403 รัชกาลที่ 4 ได้ออกประกาศพิกัดราคาเงินเหรียญบาทและเงินแป โดยให้นำเงินเหรียญอย่างใหม่ซึ่งเป็นเงินแบนที่ผลิตได้จากโรงกระสาปน์สิทธิการ นำออกใช้แทน เงินพดด้วง เหรียญดังกล่าวนั้น ด้านหน้าเป็นรูปพระมหามงกุฎ มีฉัตรกระหนาบทั้ง 2 ข้าง ด้านหลังเป็นรูปช้าง อยู่กลางพระแสงจักร เหรียญเนื้อเงินแท้ ราคา ๑ บาท น้ำหนัก 15.33 กรัม เส้นผ่าศูนย์กลางเหรียญ 31 มิลลิเมตร

และเหรียญชนิดต่าง ๆ ประกอบด้วยเหรียญเงินราคา 1 บาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง กึ่งเฟื้อง และเหรียทองพัดดึงส์อีกจำนวนหนึ่ง นับเป็นการปฏิวัติระบบเงินตราครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของไทย

อนึ่ง โรงกษาปณ์แห่งนี้ ภายหลังจากการสร้างโรงกษาปณ์แห่งที่ 2 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นโรงหมอตอนหนึ่ง และเป็นคลังราชพัสดุอีกตอนหนึ่ง และต่อมาในปี พ.ศ. 2440 เกิดไฟไหม้หมดทั้งหลัง

18 กันยายน พ.ศ. 2505 ประกาศให้ ‘เขาใหญ่’ เป็นอุทยานแห่งชาติ นับเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย

วันนี้ เมื่อ 61 ปีก่อน ผืนป่าเขาใหญ่ได้รับการประกาศให้เป็น ‘อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่’ นับเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย 

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีพื้นที่ 2,168 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัดคือ นครนายก นครราชสีมา ปราจีนบุรี และสระบุรี ประกอบด้วยป่าหลายประเภท ทั้งป่าดงดิบชื้น ป่าดงดิบแล้ง ป่าดงดิบเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ทุ่งหญ้า และป่าที่กำลังฟื้นตัวหลังถูกทำลาย 

ในอดีตป่าผืนนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของป่าดงพญาไฟ มีการสำรวจพบพืชพรรณ 2,000-2,500 ชนิด นก 340 ชนิด ผีเสื้อ 189 ชนิด และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 67 ชนิด เช่น ช้าง เสือโคร่ง กระทิง ชะนี เก้ง กวาง หมูป่า ฯลฯ ผืนป่าเขาใหญ่เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำและลำธารใหญ่น้อยหลายสาย มีน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงามหลายแห่ง อาทิ น้ำตกสาริกา น้ำตกนางรอง น้ำตกเหวนรก น้ำตกผากล้วยไม้ ฯลฯ 

ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่าเขตร้อนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในแถบเอเชียอาคเนย์ ในที่สุดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2548 คณะกรรมการมรดกโลก แห่งองค์การยูเนสโกได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ผืนป่าดงพยาเย็น-เขาใหญ่ ขึ้นบัญชีเป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก นับเป็นแห่งที่ 2 ของไทยต่อจากเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง 

‘My Mate Nate’ เตรียมขึ้นสังเวียน ‘influencer boxing’ ครั้ง 2 กร้าว!! แม้สายเลือดอเมริกัน 100% แต่ขอสู้เพื่อชาวไทย

ถึงแม้จะมีสายเลือดอเมริกันแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่มองประเทศไทยเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 เลยก็ว่าได้ สำหรับ ยูทูบเบอร์ดัง ‘My Mate Nate’ หรือ ‘เนท นาธาน บาร์ทลิ่ง’ ล่าสุดได้กำหนดขึ้นชกบนเวที ‘influencer boxing’ ที่ประเทศอังกฤษ รอบที่สองเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับประกาศตัวคู่ชกเป็นดาราดังที่สุดใน บราซิล เขาชื่อ Whindersson ผู้ติดตามใน ยูทูบกว่า 44 ล้าน และในอินสตาแกรมเกือบ 60 ล้านฟอล

สำหรับในการขึ้นชกรอบนี้ เนท My Mate Nate ได้ซุ่มฟิตซ้อมอย่างหนักหน่วง เพื่อเป็นตัวแทนคนไทย ขึ้นชกมวยบนเวที influencer boxing เพราะเป้าหมายของเขา คือ คว้าชัยขนะให้กับชาวไทยเท่านั้น

“สำหรับการขึ้นชกครั้งนี้ผม MyMateNate from Thailand ถึงแม้ผมจะเป็น American 100% แต่ผมภูมิใจจริง ๆ ที่ได้เป็นตัวแทนชื่อประเทศไทยในการแข่งครั้งนี้ ไทยคือประเทศที่เป็นบ้านของผม ผมมีคนรักที่นี้ มีทีมงาน มีบริษัท และผมเริ่มสร้างตัวก็มาจากประเทศไทย ผมมีทุกวันนี้ได้ขอบคุณแฟนคลับ 13 ล้านคน ที่เชียร์ผมและอยู่ข้าง ๆ ผมเสมอมาตลอด รวมถึงแฟนน้องเอวาคนสวยของผม ที่อยู่ข้าง ๆ ผมเสมอ ตอนนี้ประเทศไทยคือบ้านของผม นี่คือปีที่ 11 ที่ผมอยู่ไทย เท่ากับครึ่งหนึ่งของชีวิตของผมแล้วจริง ๆ ผมโชคดีและรักประเทศไทยเป้าหมายครั้งนี้ในวันที่ 14 ตุลาคม ที่ผมขึ้นชก ผมจะสู้เพื่อคว้าชัยขนะให้กับชาวไทยครับ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top