Wednesday, 14 May 2025
Lite

รัชกาลที่ 5 ทรงฯ สถาปนา ‘กรมไปรษณีย์’ จุดเริ่มต้นของการสื่อสารของไทย

วันนี้เมื่อ 140 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนา ‘กรมไปรษณีย์’ ก่อนที่จะถือเอาวันนี้ เป็น ‘วันสื่อสารแห่งชาติ’

จุดเริ่มต้นของการสื่อสารในสมัยก่อนนั้น เกิดจากการสร้างเส้นทางคมนาคมและเส้นทางการค้า โดยมีการติดต่อข่าวสารกันอย่างง่าย ทั้งผ่านทางพ่อค้า ใช้ม้าเร็ว จนถึงการจัดตั้งคนเร็วไว้ตามเมืองสำคัญ ก็ถือเป็นพัฒนาการทางการส่งข่าวสารอย่างง่ายอีกช่องทางหนึ่งและเป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือเป็นยุคแรกของ การไปรษณีย์ไทย ด้วยการจัดตั้งกรมไปรษณีย์ในประเทศไทย และการผลิต ‘แสตมป์ชุดโสฬส’ แสตมป์ชุดแรกของประเทศ รวมไปถึงจัดพิมพ์ไปรษณียบัตรครั้งแรก เพื่อรองรับกิจการไปรษณีย์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น

ปี พ.ศ. 2423 เจ้าหมื่นเสมอใจราช หัวหมื่นมหาดเล็กเวรสิทธิ์ ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายคำแนะนำให้เปิดบริการไปรษณีย์ขึ้นในประเทศไทย โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริเห็นชอบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้ทรงมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดส่งหนังสือพิมพ์รายวัน ‘ข่าวราชการ’ ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการกรมไปรษณีย์

เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงวางโครงการและเตรียมการไว้พร้อมที่จะเปิดบริการไปรษณีย์แล้ว ได้ประกาศเปิดรับฝากส่งจดหมายหรือหนังสือ เป็นการทดลองในเขตพระนครและธนบุรีขึ้น เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 มีที่ทำการตั้งอยู่ ณ ตึกใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนปากคลองโอ่งอ่าง ด้านทิศเหนือ (ปัจจุบันถูกรื้อเพื่อใช้ที่สร้างสะพานคู่ขนานกับสะพานพระพุทธยอดฟ้า) ที่ทำการแห่งแรกนี้ใช้เป็นที่ทำการไปรษณีย์สำหรับจังหวัดพระนคร ด้วยเรียกกันว่า ‘ไปรษณียาคาร’

ต่อมาในปี พ.ศ. 2441 เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการกราบบังคมทูลเสนอความเห็นว่าราชการของกรมไปรษณีย์และราชการของกรมโทรเลข ซึ่งตั้งขึ้นก่อนกรมไปรษณีย์แล้วนั้นเป็นงานในด้านสื่อสารด้วยกันควรรวมเป็นหน่วยราชการเดียวกันเสียเพื่อความสะดวกแก่การดำเนินงาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นเป็นการสมควรจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้รวมหน่วยงานทั้งสองเข้าด้วยกันเรียกว่า ‘กรมไปรษณีย์โทรเลข’

ต่อมาได้ย้ายไปใช้อาคารและที่ดินริมถนนเจริญกรุงเป็นที่ทำการและเรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘ที่ทำการไปรษณีย์กลาง’ การไปรษณีย์เป็นบริการสาธารณะ จำเป็นต้องมีระเบียบข้อบังคับเพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการและเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินบริการทราบและถือปฏิบัติ เมื่อเปิดการไปรษณีย์โทรเลขได้ประมาณ 2 ปีแล้ว รัฐบาลจึงได้ตรากฎหมายขึ้นในปี พ.ศ. 2428 เรียกว่า ‘พระราชบัญญัติการไปรษณีย์ไทย จุลศักราช 1248’

และเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงมีแก่กิจการไปรษณีย์ไทย คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2526 กำหนดให้ วันที่ 4 สิงหาคมของทุกปีเป็น ‘วันสื่อสารแห่งชาติ’ และจัดงานวันสื่อสารแห่งชาติ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 โดยจัดร่วมกับงานครบรอบ 100 ปี การสถาปนากรมไปรษณีย์โทรเลข และการเฉลิมฉลองปีการสื่อสารโลกของสหประชาชาติ

‘ตั๊กแตน ชลดา’ โทรขอโทษ ‘เอม’ แล้ว เผย คิดไปเองว่าน้องด่า รู้สึกผิดหวังกับตัวเอง ที่ใช้อารมณ์มากเกินไป สัญญาจะไม่ทำอีก

(3 ส.ค. 66) ตั๊กแตน ชลดา ได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่าตนรู้สึกผิดหวังกับตัวเองที่ใช้อารมณ์มากเกินไป ขอโทษเอมและทุกคนที่ทำให้ผิดหวัง โดยระบุว่า..

เมื่อคืนแตนแทบไม่ได้นอนเลย กดย้อนดูไลฟ์สดของตัวเอง อ่านความคิดเห็นของแฟนคลับ รวมถึงคนที่ผ่านเข้ามาดูไลฟ์แล้วเเตนก็รู้สึกผิดหวังกับตัวเองมาก มันก็จริงอย่างคนเขาว่าแหละ แตนใช้อารมณ์มากเกินไป วันนี้แตนเลยอยากมาขอโทษเอม ที่ไปคิดเองว่าน้องด่าแตน ทั้งๆ ที่ถ้ามีปัญหา ก็ควรจะถามน้องตรงๆ แตนเสียใจที่ทำให้คุณย่าเอมร้องไห้ แตนเพิ่งรู้ว่าเอมเป็นแฟนเพลงแตนและร้องเพลงแตนบ่อยๆ เรื่องมันจะไม่ลุกลามใหญ่โต ถ้าแตนเลือกที่จะลดอารมณ์ตัวเองและโทรคุยตรงๆ ตั้งแต่แรก 

แตนย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้ แต่แตนจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต วันนี้แตนได้โทรคุยและขอโทษเอมเป็นการส่วนตัวแล้ว น้องน่ารักมาก รับฟังและเข้าใจแตนทุกอย่าง แตนจึงอยากจะขอโทษเอมและขอโทษทุกคนด้วยที่ทำให้ผิดหวังค่ะ 

จากใจตั๊กแตน ชลดา

‘แจ๊ส ชวนชื่น’ รับทิปก้อนใหญ่จากแฟนคลับ ก่อนส่งให้น้องๆ เด็กเสิร์ฟ พร้อมบอก “เอาไปแบ่งกันนะ”

ได้ใจมาก! ปึกนี้ไม่รู้เท่าไร แจ๊ส ชวนชื่น ยกทิปทั้งก้อนให้เด็กเสิร์ฟ บอกเอาไปแบ่งกันนะ ขนาดคนให้ยังยืนปรบมือ

ไม่ว่าจะเล่นคอนเสิร์ตหรือโชว์ตัวที่ไหน เป็นต้องได้เสียงฮา สำหรับตลกชื่อดังอย่าง ‘แจ๊ส ชวนชื่น’ เป็นที่ชอบอกชอบใจของบรรดาแฟนคลับ โดยเฉพาะความเป็นกันเองและไม่เคยถือตัว

ล่าสุดวันที่ 2 ส.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิก TikTok @maysa53_band ได้โพสต์คลิปขณะที่ แจ๊ส ชวนชื่น พาคณะ แจ๊สสปุ๊คนิคปาปิยองกุ๊กกุ๊ก ไปเล่นคอนเสิร์ตที่ร้านแห่งหนึ่ง แล้วลูกค้าทิปเงินปึกใหญ่ แต่แจ๊ส ไม่เก็บไว้เอง แต่กลับทำอีกเรื่องที่เรียกว่าทำหัวใจพองโตเลยทีเดียว โดยระบุว่า “สุดยอดหัวใจ”

ซึ่งในคลิป แจ๊ส กำลังรับเงินปึกใหญ่จากลูกค้าที่หน้าเวที ที่มีเท่านั้นไม่ทราบได้ แต่ปึกใหญ่มาก ก่อน แจ๊ส จะหยิบขึ้นแล้วถือร้องเพลง พอเหลือบไปเห็นพนักงานเสิร์ฟของร้านที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เรียกเข้ามาหาแล้วส่งเงินปึกนั้นให้ทันที พร้อมกับบอกว่า “เอาไปแบ่งกันนะ”

หลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ไปก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก และยังชื่นชม แจ๊ส ชวนชื่น ที่มีน้ำใจกับน้อง ๆ พนักงานเสิร์ฟ ขณะที่ผู้โพสต์ก็เข้ามาตอบคอมเมนต์ว่า “คนที่ให้เขาก็ปรบมือยินดีและเต็มใจครับ ตอนที่แจ๊สเอาเงินให้เด็กเสิร์ฟ”

‘อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์’ โชว์ผลงานกำกับซีรีส์ 3 เรื่อง ภายใต้บ้านหลังใหม่ ‘MONO Original’

รายการ DNA TALK บุกคนต้นแบบ ในวันอาทิตย์นี้ (6 ส.ค.) พิธีกร ได๋-ไดอาน่า จงจินตนาการ พาผู้ชมไปบุกค้นหาดีเอ็นเอแห่งความสำเร็จของ อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ผู้กำกับฯ มือฉมัง กับนักเขียนบทละครโทรทัศน์ชั้นครู ยุ่น-ยิ่งยศ ปัญญา ในบทบาทใหม่กับตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตรายการ บริษัท โมโนเน็กซ์ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชายคา MONO Original (โมโนออริจินอล)

ซึ่ง อ๊อฟ เผยให้ฟังก่อนว่า “วันนี้เราทั้งคู่มาทำงานในโมโนออริจินอลครับ สำหรับพี่ยุ่นผมชอบจุดที่เขาถนัดทางด้านการดึงความเป็นมนุษย์ออกมา ส่วนมากบทละครที่เขาเคยเขียนให้ผม จะได้รับฟีดแบคจากคนดูค่อนข้างมาก ถ้าเป็นในยุคโซเชียลตอนนี้ก็จะได้รับคอมเมนต์ในลักษณะที่สร้างสรรค์เช่นกัน เพราะตั้งแต่ที่เราร่วมงานกันมาไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ทองเนื้อเก้า, ดงผู้ดี, รอยไหม เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตีแผ่คนทั้งนั้น เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการสร้างคอนเทนต์เดี๋ยวนี้ค่อนข้างกว้าง ในแง่การผลิตก็เช่นกัน คนเขียนบทหรือผู้กำกับฯ ก็จะต้องทำออกมาให้ดีด้วย ไม่ว่าผู้ชมจะดูผ่านจอทีวีหรือโทรศัพท์ แม้แต่จอโรงภาพยนตร์ ผมก็จะใส่ความเป็นวัฒนธรรมไทยลงไป เพื่อเพิ่มคุณภาพในเนื้อหาให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มากขึ้นครับ”

ด้าน ยุ่น ยิ่งยศ เสริมถึงการทำงาน และโปรเจกต์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ฟังว่า “ไม่ว่าจะเป็นละครหนังซีรีส์ ต่างมีหน้าที่ของมันต่อผู้ชม ซึ่งดีเอ็นเอของคนทำละครที่ฝังรากลึกอยู่ในการทำงานผ่านองค์ประกอบสำคัญ คือ เพลิดเพลิน เจริญปัญญาและนำพาสังคมไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ถือเป็นความท้าท้ายมาก เพราะสังคมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ผู้ชมสามารถเปิดหูเปิดตารับรู้ดูสื่อได้หลายรูปแบบทั่วโลก เพราะฉะนั้นโมโนออริจินอลคือกลุ่มก้อนการนำเสนอคอนเทนต์ในรูปแบบของละครหรือซีรีส์แบบไทย โดยไอเดียแรกที่จะนำเสนอสู่สายตาผู้ชมคือ ปลุก ปลอม เปลือก เราจะปลุกคนดูให้ตื่นขึ้นมา เพื่อให้มองคนอีกด้านผ่านซีรีส์เรื่อง ฟางเล่นไฟ ต่อด้วยคนปลอมกับภาพยนตร์ภาคต่อเรื่อง My Sexdoll l2 ยัยตุ๊กตาซ้อมรัก ยกกำลัง 2 และเปลือกที่ต้องให้คนดูกระเทาะให้ออกผ่านซีรีส์ HANGOUT ที่พี่อ๊อฟมาเป็นผู้กำกับฯ”

สุดเศร้า ‘ม้า อรนภา’ สูญเสียคุณแม่อันเป็นที่รัก เพื่อนร่วมวงการแห่ส่งกำลังใจอย่างเนืองแน่น

(3 ส.ค. 66) เป็นข่าวเศร้าอีกครั้งเมื่อพิธีกรชื่อดัง อ้วน รีเทิร์น ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเสียใจกับ ม้า อรนภา กฤษฎี นางแบบและพิธีกรชื่อดัง โดยระบุว่า คุณแม่ของม้า คือ คุณแม่ประมวล แสงสาธร ได้เสียชีวิตแล้วในวันนี้ 3 สิงหาคม 2566 “ขอแสดงความเสียใจ กับพี่ม้าด้วยค่ะ กราบลาคุณแม่ค่ะ”

ในขณะที่โซเชี่ยลของ ‘ม้า อรนภา’ ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่มีเพื่อนๆ เข้าไปโพสต์แสดงความเสียใจกับพี่ม้ากันเป็นจำนวนมาก

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน ภายหลังจากที่ ‘ม้า อรนภา กฤษฎี’ ได้โพสต์ข้อความเชิงวิจารณ์ด้วยข้อความที่ไม่เหมาะสม ทำให้ถูกปลดและขอลาออกจากการเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ไป 3 รายการ ก็เลยทำให้ ม้า อรนภา มีเวลาว่างมาช่วยคุณแม่ทำห่อหมกปลาช่อนขาย กับร้านที่ชื่อว่า ‘ห่อหมกแม่คุณม้าอรนภา’ ซึ่งก็สร้างรายได้ช่วงที่ไม่มีงาน และมีเวลาอยู่ใกล้ชิดดูแลคุณแม่อีกด้วย

ที่ ม้า เคยเล่าให้ฟังว่า “แม่ทำห่อหมกมาตั้ง 40 ปีแล้ว พิถีพิถันแม้กระทั่งการเลือกปลาช่อน การแร่เนื้อปลา แม่จะทำโดยที่ไม่มีก้างเลยนะ เอาที่ถอนคิ้วมาคอยดึงก้างออกซะด้วยซ้ำ ไม่คาว น้ำพริกก็ตำเอง มะพร้าวพี่ก็ต้องคั้นกันสดๆเลย ประณีตมาก กว่าจะได้ กว่าจะกวนในหม้อดิน แล้วก็ต้องขึ้นเป็นวุ้น มันถึงจะสามารถเอาไปห่อได้”

‘ห่อหมกแม่คุณม้าอรนภา’ ตั้งอยู่ที่ถนนเจริญรัถ หน้าร้านเสริมสวยพนิตนาฏ ใกล้ธนาคารกสิกรไทย ย่านวงเวียนใหญ่ แขวงและเขตคลองสาน กรุงเทพฯ โดยคุณแม่ประมวล แสงสาธร ที่จะมีอายุครบ 100 ปี ในปี 2567 ที่จะถึงนี้แล้ว มารดาของ ม้า อรนภา เป็นคนลงมือทำเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่แล่ปลา โขลกน้ำพริก ไปถึงกวนห่อหมก

โดยข้อมูลจากนิตยสาร Health and Cuisine เคยระบุว่า สูตรที่คุณแม่นำมาทำนั้น สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่เคยรับใช้เจ้านายในวังหลัง สมัยเจ้าพระยารัตนพิมพาภิบาล (ม.ร.ว.สวัสดี อิศรางกูร) มีจุดเด่นที่เนื้อสัมผัสเนียนเบาแบบชาววังโบราณ ลูกค้าสามารถเลือกส่วนของปลา และชนิดของผักให้เลือก และยังมีเมนูพิเศษ คือ ห่อหมกหัวปลา ห่อหมกพุงปลา ห่อหมกหน้าอกปลา หรือ ห่อหมกคางปลา ลูกค้าที่ทานอาหารรสจัดหรือเผ็ดมาก สามารถระบุความเผ็ดได้อีกด้วย

‘แจ็ค The Ghost’ แชร์ทริกสังเกต ‘สถานที่มีผี’ พร้อมเผย “เป็นคนกลัวผีมาก แต่ชอบฟังเรื่องผี”

(3 ส.ค. 66) พิธีกร และดีเจรายการเล่าเรื่องผีชื่อดัง ‘แจ็ค The Ghost Radio’ หรือ ‘แจ็ค-วัชรพล ฝึกใจดี’ เปิดหมดเปลือกสิ่งผิดพลาดที่สุดในชีวิต ฟังเรื่องหลอน ๆ มาทั้งชีวิตแต่เกิดมาไม่เคยเจอผีแม้แต่ครั้งเดียว และเรื่องเล่าลี้ลับในรายการคัดกรองยังไง อันไหนเรื่องจริงหรือแต่งใน WOODY FM ดำเนินรายการโดย วุฒิธร มิลินทจินดา

>> ผมไม่กล้าฟังรายการคุณเลยเพราะกลัวผีมาก?

แจ็ค The Ghost : ผมก็กลัวผีครับ

>> ทำไมคนกลัวผีถึงทำรายการผี อย่างพี่ป๋องก็กลัวผี ผมไม่เข้าใจ ?

แจ็ค The Ghost : ชอบครับ ชอบฟังเรื่องผี ชอบดูหนังผี ชอบดูว่าเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่ผีจะออกมา จากหนังที่ดูเราจะรู้สึกว่าเขาจะหลอกเรายังไง หรือฟังเรื่องผีก็เหมือนกัน ผีจะออกมาน่ากลัวแบบไหนที่ทำให้ตัวเองกลัว 

>> คุณชอบเทคนิคและการร้อยเรียงของเรื่อง ความน่าสนใจของการมาการไปแต่โดยรวมแล้วกลัว ?

แจ็ค The Ghost : ใช่ครับ กลัวมากครับ

>> ที่เคยเจอด้วยตัวเองเล่าให้ฟังได้ไหม ?

แจ็ค The Ghost : ผมไม่เคยเจอผีพี่วู้ดดี้ ทั้งชีวิตเกิดมาไม่เคยเจอผี 

>> ผีคืออะไร ?

แจ็ค The Ghost : คือคนที่เคยมีชีวิตอยู่หลังจากนั้นตายไป ทั้งหมดเลยมันเป็นความเชื่อที่ว่าคน ๆ นั้นตายไปแล้วก็จะกลายเป็นผี แล้วก็จะมีนิสัยเหมือนที่เคยมีชีวิตมาก่อน ผีคือสิ่งที่สามารถจะพึ่งพิงทางใจได้ ซึ่งบางคนเลือกที่จะไปพึ่งผี เช่นขอโน้นขอนั่นขอนี่ ทุกวันนี้คนขอผีเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอันดับ 1 ขอให้ถูกหวย ขอให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งก็เป็นความเชื่อที่ส่งต่อกันมา แล้วก็มีหลาย ๆ ที่ เพราะมีคนว่ากันว่าพอไปบนบานศาลกล่าวกับที่นี่แล้วจะได้ เขาก็จะออกมาบอกว่าเขาได้ แต่ความเป็นจริงเขาอาจจะไป 100 คนแล้วได้แค่คนเดียว ก็กลายเป็นกระแสฮือฮาที่คนจะไปบอกกันต่อ 

>> มีสิ่งที่คนอยากรู้มาก และนี่คือคำถามแทนใจพี่น้องชาวไทยทุกคนคือ คุณรู้ได้ยังไง คัดกรองยังไงว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องไม่จริง ?  

แจ็ค The Ghost : คำถามนี้มีคนถามผมเยอะมากพี่วู้ดดี้ แล้ววันนี้ผมก็จะตอบให้ชัด ๆ เลยว่า ผมไม่สนใจเลยว่าเรื่องที่โทรมาเล่าอันไหนคือเรื่องจริงอันไหนคือเรื่องแต่ง ทั้งหมดเลยคือการฟังเรื่องผีนอกจากสิ่งที่มันจะซ่อนอยู่ในเนื้อหามันคือความบันเทิง มันคือความตื่นเต้น คือความสนุก ผมจะบอกคนฟังของผมทุกคนว่าคุณไม่ต้องสนใจว่าเรื่องนั้นเขาจะแต่งมาเล่าหรือเขาจะเอาเรื่องจริงมาเล่า แค่ฟังแล้วคุณต้องการฟังเรื่องผีเพื่ออะไรก่อน คุณต้องการฟังเรื่องผีเพื่อความตื่นเต้น คุณอยากจะรู้ว่าผีจะออกมาหลอกยังไง คุณจะกลัวแบบไหน คุณจะลุ้นไปกับตัวละครที่เขาเล่าแบบไหนนั่นคือการฟังเรื่องผีที่สนุกที่สุด เมื่อไหร่ก็แล้วแต่เมื่อคุณเอากำแพงมาตั้งว่าเรื่องนี้มันจะต้องเป็นเรื่องจริง เรื่องไม่จริงมาเล่าได้ยังไงมันไม่สมเหตุสมผลเลย มันจะฟังเรื่องผีไม่สนุกครับ การฟังเรื่องผีที่ดีคือฟังให้จบแล้วได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง เช่นเรื่องของคติเตือนใจ เรื่องของบาปบุญคุณโทษที่ซ่อนอยู่ในเรื่อง 

>> คุณเชื่อเรื่องเซ้นส์ไหม ?

แจ็ค The Ghost : ผมเชื่อครับ ผมเชื่อแว๊บแรกของตัวเอง ผมฟังเรื่องผีมาเยอะ เวลาผมไปพักตามโรงแรม ผมจะมีแว๊บแรกก่อน จากโรงแรมที่เราเลือกเอาไว้หน้าปกมันสวยแต่พอเราเห็นแล้วมันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ผมก็ย้ายครับไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ผมกลัวที่จะเจอ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าวันหนึ่งที่เจอผีขึ้นมา ผมจะเป็นยังไง ผมไม่รู้ ผมกลัวจริง 

ผมฟังเรื่องผีมาเยอะ ผมจะรู้ว่าถ้าสมมุติโรงแรมที่เราเข้าไปพัก ประตูห้องครั้งแรกที่เราเปิดเข้าไปมันมีกลิ่นอับเข้ามาแว๊บเดียวผมจะไม่พักเลยครับ แสดงว่าห้องนั้นอาจจะทำความสะอาดมาไม่ดีหรือไม่เคยเปิดให้ใครพัก หรือการเข้าไปในห้องแล้วของต่าง ๆ จัดวางไว้แบบแปลก ๆ เช่นของบางอย่างที่ไม่ควรอยู่ในห้องถ้ามันมีผมก็จะไม่พัก เช่น กระถางธูป ดอกไม้ พวงมาลัย เหรียญ หรือแม้กระทั่งข่าวที่ออกมาล่าสุดศาลที่อยู่ตรงหลังห้อง 

มันไม่ควรที่จะอยู่ในห้องของโรงแรม ถ้าเจอพวกนี้ย้าย แล้วถ้าเรา Walk-in เข้าไปแล้วมันเต็มเราควรไปเลย ไม่ต้องยื้อไม่ต้องตื้อ เพราะตามสถิติเรื่องเล่า 90% จะเจอผีครับ หลาย ๆ โรงแรมมีห้องบางอย่างที่ไม่เปิดให้ใครเช่า สถิติห้องที่เจอผีบ่อยที่สุดคือห้องติดบันไดหนีไฟไม่รู้เหมือนกันเพราะอะไรแต่เป็นเรื่องเล่าที่ผมฟังมาเป็นหมื่น ๆ เรื่อง ห้องติดบันไดหนีไฟมักจะมีเรื่องเล่าแล้วจะอยู่ที่ชั้น 3 หรือไม่ก็ชั้น 4 แล้วก็ห้องที่เข้าไปปุ๊บโต๊ะกระจกเครื่องแป้งอยู่ปลายเตียงพอดีสถิติ 100% จะเป็นความเชื่อว่าผีหรือวิญญาณตอนกลางคืนเขาจะออกมาทางกระจก แล้วบางทีเราตื่นขึ้นมากลางดึกก็จะเห็นใครไม่รู้ยืนอยู่หน้ากระจกบ้าง เห็นใครไม่รู้หวีผมอยู่หน้ากระจกบ้าง สถิติจะเป็นอย่างงี้หมดครับ

>> แล้วที่ฟังมาสมมุติว่านอนอยู่ในห้อง ถ้าเราตื่นมากลางดึกจะทำยังไงต่อจากนี้ ?

แจ็ค The Ghost : สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลครับ เหมือนกับเขาต้องการแค่นั้นเพื่อให้คน ๆ นี้รู้ว่าเขามีอยู่จริง บางทีมีคนแกล้งหลับไม่สนใจ เขาจะมาทำให้สนใจ เช่น เรานอนอยู่แล้วเอามือมาผ่านแว๊บ ๆ หรือทำเสียงอะไรบางอย่างให้เราสนใจเขา

>> มีคนบอกว่าส่วนมากที่เจอผีเขาบอกว่าให้แช่ง ?

แจ็ค The Ghost : นั่นคือไม้ตายขั้นสุดคือการแช่ง เพราะเราคิดกันว่าผีน่าจะกลัวการแช่ง การแช่งที่น่ากลัวที่สุดของผีเราก็คิดกันว่าน่าจะเป็นคำว่า...ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด คนก็เลยเลือกที่จะแช่ง อันนี้ไม่ใช่ว่าไปเจอทุกครั้งแล้วแช่งทุกครั้ง เราก็ต้องดูสถานการณ์ด้วย 

>> เรื่องไหนที่เป็นสิ่งผิดพลาดที่สุดในชีวิต และเป็นบทเรียน ?

แจ็ค The Ghost : ผมคิดว่าตัวเองเจ๋ง ตอนที่เป็น แจ็ค สายสิญจน์ ตอนที่เอาหัวโขน แจ็ค สายสิญจน์ เข้ามาใส่ตัวเอง นั่นคือความผิดพลาดที่สุดในชีวิต ผมทำงานมาเยอะตั้งแต่เป็นเด็กปั้มโน้นนี่นั่นมา ช่วงระยะเวลาที่เราผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มามันคือประสบการณ์ชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่มันผิดพลาดคือเรื่องนี้คิดว่าตัวเองเจ๋งไม่ต้องไปสนใจใคร ไม่ต้องไปง้อใคร เพราะนี่คือมือขวาของ พี่ป๋อง-กพล ทองพลับ  

>> คุณก้าวผ่านจุดนั้นวางอีโก้ยังไง ?

แจ็ค The Ghost : วางอีโก้หลังจากที่ผมออกมาจากพี่ป๋องประมาณสัก 2 ปี ผมก็ไปเป็นพ่อค้าเร่ ผมก็ขายของอยู่ตามตลาดนัด พี่วู้ดดี้เชื่อไหมว่ามีแฟน ๆ รายการที่เขาจำผมได้ เขามาเจอผมแล้วเขาก็บอกว่าพี่ผมดีใจมากเลยที่เจอ ผมขอถ่ายรูปกับพี่หน่อย ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นอะไรแล้วนะครับ แล้วเขาก็พูดมาคำหนึ่งว่าพี่รู้ไหมว่าผมเคยไปหาพี่ที่ร้านหลายครั้งมาก ผมอยากเจอพี่มาก แต่พี่ไม่เคยออกมาหาผมเลย วันนั้นผมรู้เลยว่า อ๋อ! ตอนที่เรานั่งอยู่ในห้องหน้าคอมพิวเตอร์เล่นแต่เกมส์ ไม่ทำอะไร ไม่สนใจอะไร ไม่เคยออกมาหาลูกค้า ไม่เคยออกมาหาแฟนรายการ ตอนนั้นผมแบบไม่น่าเลย ณ วันนั้นเรามีโอกาสเจอเขา เขามาหาเรา เราไม่เคยไปสนใจ แต่วันนี้เราเป็นใครก็ไม่รู้ แล้ววันหนึ่งเขามาหาเรา มาตามหาเราจนเจอ มาหาเราจากที่เราโพสต์ Facebook ว่าวันนี้เราไปขายของที่ไหน เพื่อที่แค่อยากจะมาให้กำลังใจอยากจะมาขอถ่ายรูป ณ วันนั้นอีโก้ผมมันถูกวางลงไปเลยครับ เลิกตอนนั้นที่ผมไม่รู้ต่อไปด้วยนะว่าชีวิตผมจะเป็นยังไง ผมจะได้กลับมาทำงานตรงนี้อีกหรือเปล่าแต่รู้สึกว่าตัวเองต้องหยุดพฤติกรรมแบบนั้น ต้องเป็นคนที่ให้เกียรติคนอื่น

‘ลำไย ไหทองคำ’ ชี้แจง ปมแทรกคิว ‘จ๊ะ นงผณี’ ขึ้นแสดงคอนเสิร์ต หลังถูกมองเป็นต้นเหตุดรามา ยัน!! ไม่ได้รับการแจ้งใดๆ จากเจ้าของงาน

(4 ส.ค. 66) ต้องบอกว่าปมดรามา ‘แทรกคิว’ ขึ้นแสดง หลังจากที่ ‘จ๊ะ นงผณี’ ออกมาไลฟ์ชี้แจงโต้กลับโพสต์ของ ‘ตั๊กแตน ชลดา’ และกล่าวถึงดรามาการแทรกคิวขึ้นแสดงคอนเสิร์ต โดย ‘จ๊ะ นงผณี’ ระบุในบางช่วงบางตอนไว้ว่า…

“เจ้าภาพทักมาเมื่อวันที่ 6 เม.ย. เพื่อสอบถามว่า ถ้าเล่นกลางคืนวันที่ 8 เม.ย. มีคิวไหมคะ? เราก็ตอบเจ้าภาพไปว่า ไม่มีเลยค่ะพี่ฝน ไม่ทัน แล้วผู้จัดการก็โทรหาพี่ฝนซึ่งเป็นเจ้าภาพ พี่ฝนเลยบอกว่า งั้นให้เล่นกลางวัน แสดงเวลา 11.30 – 12.30 น. คอนเฟิร์มนะคะ จ๊ะไปถึงประมาณ 10 โมง เจ้าภาพเดินมาบอกว่า “ขอให้น้องลำไยขึ้นก่อนได้มั้ย เพราะน้องมีงาน 3 งาน” เราก็เลยบอกว่าได้พี่ ให้น้องขึ้นก่อนเลย ซึ่งคิวแรกคือจ๊ะ 11.30 น. พอลำไยขึ้นเสร็จ นักดนตรีเราจะไปเซ็ตต่อน้องลำไย เป็นเรื่องเป็นราวแต่ไม่มีการทะเลาะกันหลังเวที แล้วจ๊ะก็ไม่ได้เจอพี่แตน เพราะว่าจ๊ะไม่ได้อยู่หลังเวที จ๊ะรออยู่ในบ้านของเจ้าภาพ ไม่ได้เจอพี่แตนเลย เห็นแค่ตอนอยู่บนเวที

จ๊ะกำลังจะขึ้นวงที่ 2 เจ้าภาพเดินมาบอกว่า “พี่แตนจะขึ้นก่อน” พูดคำนี้เลย… จ๊ะบอกแล้วหนูจะไปงานทันไหม เพราะหนูมีเล่นต่อที่ชลบุรี จ๊ะเล่นที่ชลบุรีเที่ยงคืนจริงค่ะ แต่วันนั้น 8 เม.ย. เป็นวันแรกที่จ๊ะร้อง จ๊ะต้องไปซาวด์เช็กก่อน ต้องไปบล็อกกิ้งแดนเซอร์ ไปย้อนดูได้หมดเลย สิ่งไหนที่จ๊ะพูดไม่จริงเตรียมด่าฉันได้เลย เจ้าภาพบอกว่า “ตั๊กแตนจะขอขึ้นก่อน” เราก็บอกโอเคพี่ ให้พี่แตนขึ้นไปก่อนเลย ไม่เป็นอะไร เดี๋ยวถ้าพี่แตนเล่นชั่วโมงนึงหนูก็ต้องตัดเวลาของหนูออกแค่นั้นเอง… เราพูดแค่นี้จนเจ้าภาพสงสารเรานะ แล้วพูดบอกว่า “จ๊ะ เอางี้แล้วกัน นั่งกินไวน์เฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องร้อง แล้วเดี๋ยวกลับเลย” อันนี้พูดเรื่องจริงนะคะ แล้ววันนี้เจ้าภาพพูดกับผู้จัดการจ๊ะ ถ้ามันยังไม่จบเขาจะออกมาพูดเอง ว่าคิวแรกคือจ๊ะ ตัดปัญหานะคะ เรื่องคิวชัดเจนนะคะ จ๊ะไม่เคยแทรกคิวใครนะคะ คิวจ๊ะคือ 11.30 น. ถ้าจ๊ะจะแทรก คือจ๊ะต้องแทรกพระเท่านั้นแล้วตอนนั้น เพราะพระสวดถึง 11.00 น.”

ล่าสุด ลำไย ไหทองคำ ได้โพสต์ข้อความชี้แจง โดยระบุว่า…

“สวัสดีค่ะ เนื่องจากคิวงานวันที่ 8 เม.ย. ที่หนูได้ไปเล่นงานเดียวกับพี่จ๊ะและพี่แตนนะคะ หนูขออนุญาตชี้แจงรายละเอียดงานที่หนูได้รับจากผู้ประสานงานนะคะ เนื่องจากตอนนี้ข่าวตามเพจต่างๆ เริ่มมีการโพสต์ว่า ต้นเหตุเกิดจากการขอแทรกคิวของหนู หนูได้รับข้อมูลงานจากผู้ประสานงานว่าให้ขึ้นแสดงเวลา 11:30 น. หนูไปถึงงานตามเวลา ทีมงานหนูสแตนด์บายรอหลังเวทีก่อนเวลาแสดง พอเสร็จพิธีการเสร็จก็ขึ้นแสดง ส่วนเรื่องขอแทรกคิว ตัวหนูเองและทีมงานยืนยันว่า ไม่ได้มีการแจ้งเจ้าภาพหรือผู้ประสานงานว่าจะขอแทรกคิวพี่ๆ เลยค่ะ "

รูปปั้น ‘พญาครุฑน้อย’ ทำท่า ‘มินิฮาร์ท’ โดนใจนักท่องเที่ยว แม้แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็ยังอดใจไว้ไม่ไหว ต้องขอเข้าไป เซลฟี่

วันนี้ (4 ส.ค.66) ที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ยังคงมีบรรยากาศงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ประชาชนและนักท่องเที่ยว เดินทางมาชมขบวนต้นเทียนพรรษา จาก 6 คุ้มวัด ที่จอดไว้บริเวณถนนหน้าเทศบาลตำบลประโคนชัย เพื่อให้ได้ชมความสวยงามและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซึ่งส่วนใหญ่ก็จะแกะสลักเป็นตัวละครในพุทธประวัติอย่างงดงาม 

แต่ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจและพากันแห่ไปถ่ายรูป เซลฟี่ไม่ขาดสาย ก็คือต้นเทียนที่แกะสลักเป็นรูปปั้น 'พญาครุฑน้อย' จำลองทำท่า 'มินิฮาร์ท' พร้อมข้อความด้านล่างว่า “น่ารักอ่ะ” เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งก็มีวัยรุ่นหนุ่มสาวไปยืนทำท่ามินิฮาร์ท ถ่ายรูปคู่กับพญาครุฑน้อยกันอย่างต่อเนื่อง

แม้แต่นายกิติพัฒน์ กะวัง นายอำเภอประโคนชัย พร้อมนายกเทศมนตรีตำบลประโคนชัย  หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ ที่เดินเยี่ยมชมให้กำลังใจตามขบวนแห่ต่าง ๆ เมื่อเดินไปเห็นรูปปั้นพญาครุฑน้อยทำท่ามินิฮาร์ทสุดน่ารัก ก็อดใจไม่ไหวที่จะไปยืนทำท่ามินิฮาร์ทถ่ายรูปกับรูปปั้นพญาครุฑน้อยดังกล่าวด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าโดนใจกันทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่เลยทีเดียว 

5 สิงหาคม พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนนายร้อย

วันนี้ในอดีต 5 สิงหาคม พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานกำเนิด ‘โรงเรียนทหารสราญรมย์’ ต่อมาคือ โรงเรียนนายร้อย จปร.

โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า กำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กับ(กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์) โดยเริ่มจากการจัดตั้งทหารมหาดเล็กเด็กที่เรียกว่า ‘ทหารมหาดเล็กไล่กา’ จำนวน 12 คน ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาได้ขยายกำลังขึ้นโดยฝึกข้าหลวงเดิมให้เป็นทหารมหาดเล็กสมทบกับพวกมหาดเล็กไล่การวม 24 คน จึงเรียกทหารในชุดนี้ว่า ‘ทหาร 2 โหล’ และต่อมาได้เพิ่มจำนวนทหารมหาดเล็กเป็น 72 คน แต่งตั้งเป็นกองทหารมหาดเล็กสำหรับรักษาพระองค์อย่างใกล้ชิด

พ.ศ. 2414 โปรดเกล้าฯ ให้ขยายกองทหารมหาดเล็กออกเป็นกองร้อย เรียกว่า ‘กอมปานี’ (Company) ถึง 6 กองร้อย จัดตั้งเป็น ‘กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์’

พ.ศ. 2415 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสถานที่สอนวิชาการและระเบียบการขึ้นในกรมทหารมหาดเล็ก รวมทั้งให้มีการสอนวิชาภาษาอังกฤษและภาษาไทยด้วย เรียกสถานศึกษาว่า ‘คะเด็ตทหารมหาดเล็ก’ ส่วนนักเรียนเรียกว่า ‘คะเด็ต’ (Cadet)

พ.ศ. 2423 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมทหารหน้าขึ้น (ซึ่งต่อมาได้วิวัฒนาการเป็นกรมยุทธนาธิการ) จึงกำเนิด ‘คะเด็ตทหารหน้า’ ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ได้เร่งปรับปรุงกิจการทหารโดยลำดับ เมื่อเจริญกว้างขวางและเป็นแบบแผนขึ้นบ้างแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช จัดตั้งโรงเรียนสอนวิชาทหารสำหรับทหารบกทั่วไปขึ้น โดยให้ใช้พื้นที่บริเวณหลังพระราชวังสราญรมย์เป็นสถานที่ตั้ง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกรมแผนที่ทหาร) โดยรวมคะเด็ตทหารมหาดเล็ก คะเด็ตทหารหน้า นักเรียนแผนที่ และส่วนที่เป็นทหารสก๊อตเข้าด้วยกัน ใช้ชื่อรวมว่า ‘คะเด็ตสกูล’ สำหรับนักเรียนเรียกว่า ‘คะเด็ต’ มีนายพันเอกนิคาล วอลเกอร์ (Nical Walger) เป็นผู้บังคับการคนแรก

5 สิงหาคม พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมาทรงกระทำพิธีเปิดโรงเรียนคะเด็ตสกูล

14 มกราคม พ.ศ. 2431 ได้ตราข้อบังคับขนานนามโรงเรียนคะเด็ตสกูลเสียใหม่ว่า ‘โรงเรียนทหารสราญรมย์’

6 ตุลาคม พ.ศ. 2440 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กองโรงเรียนนายสิบมาสมทบด้วย เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น ‘โรงเรียนสอนวิชาทหารบก’

25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2441 ได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น ‘โรงเรียนทหารบก’ เปิดโอกาสให้รับบุคคลสามัญที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยได้ต่อมามีผู้สนใจเข้ารับการศึกษาเพิ่มมากขึ้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายนักเรียนนายสิบไปสังกัดกองพลทหารบกตามเดิม และ เมื่อ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2446 ได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น ‘โรงเรียนนายร้อยทหารบก’ เปิดการสอนใน 2 แผนก คือ โรงเรียนนายร้อยชั้นปฐม และโรงเรียนนายร้อยชั้นมัธยม

5 ปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าสถานที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกคับแคบไปแล้วไม่เพียงพอแก่การที่จะผลิตนักเรียนเพิ่มขึ้นทันกับความต้องการของสถานการณ์ในเวลานั้น ซึ่งขาดแคลนนายทหาร จึงโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินติดถนนราชดำเนินนอก เป็นเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่เศษ ดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนนายร้อยชั้นมัธยม (ส่วนโรงเรียนนายร้อยชั้นปฐมยังคงอยู่ ณ โรงเรียนทหารสราญรมย์เดิม) เสร็จแล้วพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงกระทำพิธีเปิดโรงเรียนเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2452

โรงเรียนนายร้อยชั้นปฐม และโรงเรียนนายร้อยชั้นมัธยมได้ดำเนินการมาด้วยดี ต่อมาเศรษฐกิจของชาติตกต่ำ กระทรวงกลาโหมจึงให้รวมโรงเรียนนายร้อยทั้งสองนี้เข้าด้วยกันเรียกชื่อว่า ‘โรงเรียนนายร้อยทหารบก’ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมยุทธศึกษาทหารบก

26 มีนาคม พ.ศ. 2471 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมาพระราชทานกระบี่แก่นักเรียนนายร้อยทหารบกที่จบการศึกษาชั้นสูงสุดเป็นครั้งแรก และจากนั้นเป็นต้นมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานกระบี่แก่นักเรียนนายร้อยที่จบการศึกษาขั้นสูงสุดทุกปี

พ.ศ. 2477 ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนเทคนิคทหารบกขึ้นในกรมยุทธศึกษาทหารบก เพื่อผลิตนายทหารบางเหล่าที่เป็นเหล่าสายเทคนิค

2 ธันวาคม พ.ศ. 2485 - 14 มกราคม พ.ศ. 2487 ได้มีการผลิตนักเรียนนายร้อยหญิงขึ้น 1 รุ่นจำนวน 28 คนและมีรุ่นเดียว

14 เมษายน พ.ศ. 2485 - พ.ศ. 2487 ได้มีการผลิตนักเรียนนายร้อยสำรองขึ้น 3 รุ่น และได้เปิดหลักสูตรอีกครั้งหนึ่งตั้งแต่ 30 เมษายน พ.ศ. 2499 อีก 6 รุ่น รวม 9 รุ่น

ในห้วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ประเทศไทยได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรไมตรีกับฝ่ายญี่ปุ่น เมื่อ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ในปี พ.ศ. 2486 ฝ่ายพันธมิตรได้ทำการโจมตีทางอากาศต่อที่หมายในกรุงเทพมหานครอย่างหนัก ทางราชการจึงคิดแผนการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ ณ สถานที่แห่งใหม่ในเขต จ.เพชรบูรณ์ ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2487 นักเรียนนายร้อยทุกหลักสูตรและทุกคน จึงได้ออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟสามเสน ไปลงที่สถานีรถไฟตะพานหิน จ.พิจิตร จากนั้นเดินเท้าต่อไปอีก 112 ก.ม. เข้าสู่หมู่บ้านป่าแดง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เปิดทำการสอนนักเรียนนายร้อยอยู่ไม่นาน พอต้นปี พ.ศ. 2488 ได้เคลื่อนย้ายมาอยู่ใน จ.พระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งสงครามสงบในเดือน กันยายน พ.ศ. 2488 โรงเรียนนายร้อยจึงได้กลับมาอยู่ ณ สถานที่ตั้งเดิม

พ.ศ. 2489 กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรของโรงเรียนนายร้อย เป็นหลักสูตรการศึกษา 5 ปีตามแบบอย่างโรงเรียนนายร้อยทหารบกของสหรัฐอเมริกา

1 มกราคม พ.ศ. 2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามโรงเรียนนายร้อยแทนชื่อเดิมว่า ‘โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า’

ต่อมาโรงเรียนนายร้อย พระจุลจอมเกล้า ณ ถนนราชดำเนินนอกอยู่ในสภาพแออัด ด้วยมีจำนวนนักเรียนนายร้อยเพิ่มขึ้น สถานที่ฝึกศึกษา เล่นกีฬา และสถานที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดสภาพสิ่งแวดล้อมสำหรับการเป็นโรงเรียนนายร้อยหลักของประเทศ ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริให้โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มีสถานที่ตั้งแห่งใหม่ ณ บริเวณเขาชะโงก อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก โรงเรียนนายร้อยแห่งนี้ได้กระทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2524 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพลเอกหญิงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (ขณะดำรงพระยศพันเอก) ได้เสด็จฯ มากระทำพิธี

5 สิงหาคม พ.ศ. 2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก ถือเป็นการเปิดโรงเรียนนายร้อยแห่งใหม่อย่างเป็นทางการ และได้ดำเนินการสอนมาจนถึงปัจจุบัน

‘ปั้นจั่น ปรมะ’ ประกาศล้างมือในอ่างทองคำ พร้อมถอดเขี้ยวเล็บ เพื่อดูแลรักครั้งใหม่ให้ดีที่สุด

(4 ส.ค. 66) หลังจากเป็นโสดมาพักใหญ่ ล่าสุด ‘ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย’ นักแสดง นักร้อง นายแบบ พิธีกรชาวไทย ประกาศพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่โสดแล้วครับ”

นักแสดงหนุ่มซึ่งไปร่วมงานบวงสรวงละครเรื่อง ‘บุหงาส่าหรี’ ที่ช่องวัน 31 จัดขึ้นในวันนี้ (4 ส.ค. 66) ที่อาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ บอกด้วยว่า “กับรักครั้งนี้ก็เหมือนก่อนๆ ที่อยากให้ออกมาดี และครั้งนี้ดูจะดีที่สุดแล้ว เพราะเราพร้อม หมดสภาพแล้ว (หัวเราะ) ถ้าหลุดคนดีๆ ไปอีกก็คงไม่มีแล้วแหละ”

“ที่จริงตอนนี้ชีวิตมันเป็นปกติแล้ว ซ้อมกีฬา ถ่ายละคร กลับบ้าน อยู่กับครอบครัว มีแค่นี้ ไม่ได้หวือหวาอะไรแล้ว มีไปเจอเพื่อนนิดหน่อย”

เรียกว่าครั้งนี้ล้างมือในอ่างทองคำเลยไหม? คำถามนี้เจ้าตัวบอก “ล้างมือในอ่างทองคำแล้ว แต่ถ้าใครไปเจอนั่นไม่ใช่ตัวจริง” พูดแล้วก็ยิ้ม

เมื่อถามถึงเขี้ยวเล็บต่างๆ ปั้นจั่นตอบ “ถอดแล้วแหละ แต่มนุษย์เนอะ อาจจะมีพลาดบ้างก็ได้ แต่ไม่พลาดดีที่สุด”

เมื่อถามถึงความรักครั้งนี้ ปั้นจั่นเล่าว่าเจอกับ ‘โจมิ’ ที่สนามกอล์ฟ “ตอนแรกก็เห็นผ่านๆ รู้จักกัน แต่ไม่ได้คุย” ปั้นจั่น กล่าว พร้อมเล่าว่าที่ผ่าน ๆ มา เขาจะเป็นประเภทเริ่มต้นด้วยการชอบมาก ๆ จาก 100 แล้วก็ค่อยๆ ลด ด้วยความไม่เข้ากัน ด้วยองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง

เมื่อถามว่า หากครั้งนี้แตกต่าง?

“ครั้งนี้เริ่มจากคนที่เคยเห็นกันมาก่อน และรู้จักกันจากคนรอบ ๆ และก็เริ่มคุย แต่เขาเป็นคนน่ารักอยู่แล้ว เจอครั้งแรกเขาก็ดูน่ารัก ดูดี สวย พอรู้จักไปเรื่อย ๆ มันก็ค่อย ๆ เติม และเขามีน้ำใจกับผมมาก คอยดูแล ใส่ใจความรู้สึกมากๆ เราก็พยายามปรับตัวเข้าหากัน เพราะเราก็มาจากความไม่เพอร์เฟ็คต์ทั้งคู่ในเรื่องของความรู้สึก ทุกคนมีเรื่องราวที่ผ่านมา ผมเองก็อยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นอยู่แล้ว ก็มาคุยกันแบบเปิดอก แบบผู้ใหญ่ มีข้อเสียแบบนี้นะ ถ้าอะไรผิดพลาดไปก็ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปนะ แต่เราจะไม่ปล่อยมือกันนะ” ปั้นจั่น กล่าว

“ผมว่าเราถามหาความเพอร์เฟกต์จากความรักไม่ได้หรอก แต่มันคือการเรียนรู้กันไปทุก ๆ วัน และทำให้ดีที่สุด แต่ถ้าวันนึงความรักมันลดลง พอมันไม่เท่ากัน ปล่อยมือกัน ก็ต้องตามนั้น”

ปั้นจั่นยังบอกด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกว่าโจมิน่ารักมาก คือการไม่ตัดสินเขาจากข่าว

“เขาไม่ได้ตัดสินผม จากเรื่องราวที่ผ่านมา และผมก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างแฟร์ และเป็นการให้ผมพิสูจน์ตัวเอง จริง ๆ เราไม่ได้พิสูจน์ฝ่ายเดียว มันต้องพิสูจน์กันและกัน”

ความสัมพันธ์ครั้งนี้ ปั้นจั่นบอกว่า คบเกือบจะ 1 ปีแล้ว อย่างไรก็ดีรู้จักกันมาก่อนหน้านั้น

ปั้นจั่นยังบอกอีกว่า ตอนนี้เขาอายุ 30 กว่าแล้ว ขณะที่ฝ่ายหญิงอ่อนกว่าเขา 5-6 ปี โดยส่วนตัวเขาจึงมองเรื่องอนาคตไว้เหมือนกัน พร้อมกล่าว่า เรื่องผู้หญิงนั้น หลัง ๆ เขาตั้งใจจะไม่ระบุสเปกที่ชอบ

“ก็พยายามไม่มีแนวนะ แต่สุดท้ายก็มาตายสาวหมวย ก็น่ารัก คนอื่นผมไม่รู้นะ แต่สำหรับผมคิดว่าสวย” ปั้นจั่น กล่าว

ขณะที่ฝั่งโจมิถูกใจเขาตรงไหน ปั้นจั่นก็ว่า “ส่วนใหญ่คนที่เคยคุยมาจะบอกว่าคบคนในวงการมันยาก ไม่อยากคบคนในวงการหรอก แต่ของแบบนี้พอมันเดินเข้ามา ก็ห้ามไม่ได้ พอเจอกัน แล้วถูกใจ คุยกันรู้เรื่องก็ห้ามไม่ได้ แต่ผมว่าผมก็พยายามเป็นพี่ที่จะดีขึ้น นิ่งขึ้น เพราะเราอายุเยอะกว่าเขา” ความรักครั้งนี้ในความรู้สึกเขาจึงเป็นเรื่งราวดีๆ

“มันทำให้ผมรู้สึกว่าการที่เราอยากจะดีจากตัวเอง แต่การมีคนข้างๆ คอยปรึกษา เทคแคร์ ดูแลกัน คอยไว้ให้ระบาย บ่น ส่วนใหญ่ก็เรื่องง่าย ๆ รถติด ฝนตก อากาศร้อน เม้าท์กัน คุยเรื่องชีวิตประจำวัน แค่นี้ก็สนุกแล้ว” ปั้นจั่น กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top