Saturday, 10 May 2025
Lite

1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนา ‘กิจการลูกเสือไทย’ .

วันนี้ เมื่อ 112 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงสถาปนากิจการลูกเสือไทยขึ้น จึงยึดถือเอาวันที่ 1 กรกฎาคม ของทุกปี เป็น ‘วันสถาปนาลูกเสือแห่งชาติ.
ลูกเสือได้กำเนิดครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2450 โดยท่านลอร์ดบาเดน เพาเวลล์ กิจการลูกเสือในยุคแรกมีจุดประสงค์เพื่อเตรียมคนไว้เป็นทหาร หลายประเทศที่ไม่มีพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร จึงได้จัดให้มีลูกเสืออย่างประเทศอังกฤษบ้าง หลังจากนั้นไม่นานกิจการลูกเสือก็ได้แพร่หลายเข้าไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา

ต่อมาใน พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกองเสือป่าขึ้น เพื่อให้ข้าราชการพลเรือนได้เข้ารับการอบรม โดยมีจุดประสงค์ที่จะมุ่งอบรมจิตใจให้คนไทยรู้จักรักชาติมีมนุษยธรรม มีความเสียสละ สามัคคี และมีความกตัญญู

เมื่อกิจการของเสือป่าเจริญก้าวหน้ามั่นคงดีแล้วพระองค์ จึงทรงพระราชดำริว่า ควรจะได้มีการอบรมของลูกเสือด้วย ดังนั้นในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 จึงมีพระบรมราชโองการจัดตั้งลูกเสือขึ้นในประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา จากนั้นนานาชาติในยุโรปจึงจัดตั้งกองลูกเสือของตนขึ้น ลูกเสือกลายเป็นองค์การสากลและมีความสัมพันธ์กันทั่วโลก เป็นสื่อผูกมิตรไมตรีกันโดยใช้กฎของลูกเสือ 10 ประการ ผูกสัมพันธ์กันไม่เว้นเชื้อชาติใด ศาสนาใดทั้งสิ้น ถือว่าลูกเสือทั่วโลกเป็นพี่น้องกันหมด

แม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงสวรรคตแล้วก็ตาม พระราชอนุสรณ์กิจการลูกเสือของพระองค์ท่านได้พัฒนารุ่งเรืองมาตามลำดับจน โดยปัจุบันกลายเป็นกิจการที่สร้างคุณประโยชน์สร้างชื่อเสียงของประเทศให้เป็นที่รู้จักของนานาประเทศทั่วโลก และเพื่อเป็นการระลึกถึงพระองค์ท่าน ทางราชการจึงได้กำหนดวันที่ 1 กรกฎาคมของทุกปีเป็น ‘วันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ’ หรือ ‘วันลูกเสือ’
 

นั่งเชียร์กีฬาแบบฉบับ ‘คนดังระดับโลก’ ถ้ากล้องจับ ‘โบกมือ-ยิ้มแล้วจบ’ ไม่หวงแสง

(30 มิ.ย.66) ภาพนักการเมืองหนุ่มพร้อมคณะเข้าไปชมการแข่งขันวอลเลย์บอลระหว่างทีมชาติไทยกับตุรกีเมื่อวันก่อน ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะภาพของคนรุ่นใหม่ถูกฉายทับกับการกีฬานั้น ไม่ว่ามองมุมไหนก็ต้องบอกว่า ‘งดงาม’

แต่ทว่า 'เขา' คนนั้นกลับแสดงออกจน ‘เกินงาม’

ในหมู่ประเทศที่กีฬาได้รับความนิยมมากๆ เช่น อังกฤษ หรือ สหรัฐอเมริกา การมีคนดังเข้าไปนั่งเชียร์ถึงริมขอบสนามคือเรื่องธรรมดาสามัญ (มาก) รักเชียร์ทีมไหน กีฬาประเภทใด ก็ตามแต่กำลังใจ กำลังทรัพย์ของท่าน (เอง) บางคนได้ตั๋วเชิญ บ้างก็ลงทุนซื้อตั๋วรายปีเพื่อสนับสนุนทีมรักของตนอีกทาง

แทบทั้งหมดล้วนมีฐานะ 'แฟนคนหนึ่ง' เช่นเดียวกับ 'แฟนานุแฟนทั้งหลาย'

เพราะในงานกีฬา ‘พระเอก-นางเอก’ ก็คือ ‘นักกีฬา’

ไม่ว่าคุณจะยิ่งใหญ่คับโลกระดับ สตีเวน สปีลเบิร์ก, เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่, แจ็ค นิโคลสัน, แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ หรือตัวมัม ริฮานนา กระทั่งอดีตและปัจจุบันประธานาธิบดี บารัก โอบามา & โจ ไบเดน ก็นั่งปะปนกับคนดูท่านอื่นข้างสนาม หรือเต็มที่ก็ริงไซด์ (แถวหน้า) กล้องจับขึ้นจอสนามก็โบกมือทักทายตามมารยาทสักที เท่านี้จบ ไม่มีวนรอบ 2 หรือ 3

ย้ำอีกทีว่าตัวเอกของทุก ๆ สเตเดียม คือ 'นักกีฬา'

ดารา นักร้อง นักแสดง นักการเมือง ต่างก็มีเวทีพร้อมแสงไฟสปอร์ตไลท์จับเป็นของตนเองอยู่แล้ว ตามธรรมเนียมปฏิบัติจึงไม่ควร 'หาซีน' แก่ตัว โดยช่วงชิงพื้นที่นักกีฬาผู้กำลังทำหน้าที่อย่างแข็งขัน

คนดูกีฬาก็เสมือนกำลังชมละครซึ่งปราศจากการแสดงนั่นเอง

หลายปีก่อนเคยมีนักร้องผิวสีคนหนึ่ง เข้าไปชมเกมบาสเกตบอลอย่างคนดูเกมปกติธรรมดา โดยเขาคนนั้นกำลังมีข่าวพัวพันเรื่องยาเสพติด แถมข้อหาทำร้ายร่างกายแฟนสาว โชคไม่ดีมีคนดูท่านอื่นจำ (เขา) ได้ เสียงโห่ไล่จนนักกีฬาหยุดเล่น สุดท้ายพ่อหนุ่มนักแรปรายนั้น ต้องเดินคอตกออกจากสนามไป...และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าไม่มีกล้องตัวใดในสนามจับภาพเขาคนนั้นเลย

พลังของแฟน (คนดู) สนับสนุนกีฬานั้นยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์เสมอ

เรื่อง: พรชัย นวการพิศุทธิ์
 

2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540  ไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท จุดเริ่มต้นสู่ ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’

วันนี้เมื่อ 26 ปีก่อน ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท หลังจากถูกโจมตีค่าเงินบาทอย่างหนัก ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนจาก 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ พุ่งขึ้นไปที่ 40 บาททันที

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 วันอีกหนึ่งวันที่คนไทยหลายคนยังจดจำไม่ลืม เมื่อรัฐบาลไทยในสมัย พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างหนัก จากอัตราแลกเปลี่ยน 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นไปทันทีที่ 40 บาท และไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึง 52 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลกระทบอย่างหนักกับหลายบริษัทที่ไปกู้เงินดอลลาร์สหรัฐมาลงทุน

จากภาวการณ์ลดลงของค่าเงินบาทได้ส่งผลต่อภาระหนี้ต่างประเทศเป็นอันมาก เพราะดอกเบี้ยที่ต้องชำระคืนเพิ่มสูงเป็นอันมาก (ก่อนเกิดวิกฤต กู้มาในอัตราเพียง 1 ดอลลาร์เท่ากับ 25 บาท) ในปี 2533 ประเทศไทยเป็นหนี้ต่างประเทศ 29,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มเป็น 82,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2539 และเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในปี 2540 ไทยเป็นหนี้ต่างประเทศสูงถึง 109,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำแนกเป็นหนี้ภาครัฐ 24,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หนี้ภาคเอกชน 85,200 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นภาครัฐเท่ากับร้อยละ 22.5 และหนี้ภาคเอกชนเท่ากับ 77.5 ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด

จากวิกฤตเศรษฐกิจ ในปี 2540 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและได้ขยายไปสู่ประเทศต่างในเอเชียอย่างรวดเร็ว จนถูกขนานนามว่า ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’ ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี

วิกฤตครั้งนั้น ยังส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยเป็นอันมาก โดยในช่วง 3 ปีแรกของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 – 2542) อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบคือ เท่ากับ –2.6 โดยที่ภาคเกษตรกรรมขยายตัวเท่ากับร้อยละ 0.8 และภาคอุตสาหกรรมเท่ากับร้อยละ 0.4 ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งมีผลให้รายได้ของคนไทยลดลงในปี พ.ศ. 2540 รายได้ประชาชาติต่อหัวต่อปีของคนไทยเท่ากับ 75,991 บาท และลดลงเท่ากับ 73,771 บาท ในปี 2542 

นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อได้เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงได้สร้างแรงกดดันให้ต้นทุนวัตถุดิบที่เป็นสินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น รวมทั้งค่าขนส่งและค่าบริการสาธารณูปโภคสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ในปี พ.ศ. 2540 อัตราเงินเฟ้อตลอดทั้งปีสูงขึ้นอยู่ในระดับร้อยละ 6 และเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 8.1 ในปี พ.ศ. 2541 มีคนว่างงานเนื่องจากการถูกปลดและบริษัทล้มละลายเกือบ 1 ล้านคน

เปิดประวัติ ความเป็นมา ‘อลงกรณ์ พลบุตร’ ผู้ผลักดันการปฏิรูป เข้มแข็งและกล้าหาญ บนจุดยืนประชาธิปไตยที่ชัดเจน

“อลงกรณ์”คือใคร เคยทำอะไร เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำการฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์ สถาบันการเมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศในยามที่พรรคตกต่ำถดถอยได้หรือไม่

เขาเป็นคนหนึ่งที่ผลักดันการ

ปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์และการปฏิรูปประเทศมาโดยตลอด คราวนี้ประกาศลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นคนแรก

ลองมาดูประวัติและผลงานโดยสังเขป ของนายอลงกรณ์ พลบุตร

เขามีความเป็นมาอย่างไรและทำอะไรมาบ้าง

>จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

>ได้รับประกาศนียบัตรชั้นสูงจากหลายประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ปอร์ตุเกส ฯลฯ

>เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเลขาธิการสหภาพแรงงานหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยคนแรกและกรรมการสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย(ปี2524-2528)เป็น1ในแกนนำต่อสู้เพื่อเสรีภาพปลดโซ่ตรวน ปร.42

>เคยเป็นหุ้นส่วนเจ้าของและผู้บริหารบริษัทนำเข้าส่งออก บริษัทคอมพิวเตอร์ บริษัทโฆษณา-สื่อมวลชน บริษัทเหมือนแร่ กิจการร้านอาหาร

>เป็น ส.ส.สมัยแรกในปี 2535และเคยเป็นกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรรมาธิการงบประมาณ กรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรหลายคณะเช่นการท่องเที่ยว,การพาณิชย์,การทหารฯลฯ

>เป็นเลขานุการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและเลขานุการนายกรัฐมนตรี(ชวน หลีกภัย) ปี 2539-2544

>ได้รับฉายา”มิสเตอร์เอทานอล”

ปี 2543-2544 ในฐานะประธานโครงการเอทานอลทำให้มีน้ำมันแก๊ซโซฮอลล์จำหน่ายทั่วประเทศ

>เป็น”ดาวเด่นแห่งปีของรัฐสภา”ปี 2546จากผลงานการปราบปรามคอรัปชั่น

>ได้รับรางวัล”คนดีสังคมไทย”และรางวัล”บุคคลดีเด่นประจำปี 2548-2549”และคนดีศรีเมืองเพชร”ปี2565

>เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และทำหน้าที่รมต.เศรษฐกิจอาเซียน ปี 2551-2554

>ได้รับการโหวตให้เป็นรัฐมนตรีที่มีผลงานดีเด่น2ปีซ้อน ปี 2552-2553

>ได้รับการคัดเลือกจากนิตยสารอังกฤษ”Intellectual Property Magazine ให้เป็น1ใน50ผู้ทรงอิทธิพลของโลกด้านการพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญา

>เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเคยเป็นเลขาธิการสภาพรรคการเมืองเสรีนิยมและประชาธิปไตยแห่งเอเชีย(CALD)

>เป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรรัฐสภาแห่งเอเชีย-แปซิฟิก(APPF:ASIA-Pacific Parliamentary Forum)

>เป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ

>เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติและรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ปี 2558-2560

>เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ที่ประชุมการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN-GFHS) ปี2660-2561

>สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยประกาศเกียรติคุณให้เป็น ”บุคลากรผู้ทรงคุณค่าต่อขบวนการสหกรณ์ในประเทศไทย “ปี 2563

>เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานคณะกรรมการกว่า10คณะเช่นประธานคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ.กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร4.0 และประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(AIC:Agritech and Innovation Center) ระหว่างปี2562-2566

>เป็นประธานมูลนิธิWorkdview Climate Foundation (2565-ปัจจุบัน)

>เป็นผู้ก่อตั้ง-ประธานและประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย

>เป็นหุ้นส่วนเจ้าของ-ผู้บริหารหลายบริษัทด้านการเกษตร รีสอร์ท และพัฒนาที่ดิน

>เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทวิสาหกิจเพื่อสังคม(Social Enterprise)ชื่อRFC(Read For Change)

> เป็นอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 4 สมัยและอดีตส.ส.เพชรบุรีและส.ส.บัญชีรายชื่อ6สมัย

>เป็นอดีตประธานสาขาพรรคประชาธิปัตย์เพชรบุรี(สาขาพรรคดีเด่น)

> เป็นคนที่อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ปี2534เพียงพรรคเดียว ไม่เคยสังกัดกลุ่มใดในพรรคจนได้รับการเรียกขานว่า”รองฯ.อิสระ”และ ไม่เคยย้ายพรรค

>เป็นผู้บรรยายพิเศษปริญญาเอก ปริญญาโทและปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง

>เป็นผู้บรรยายพิเศษหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงภาครัฐและเอกชนเช่น บยส. นธป.วตท. Tepcot สวปอ. นบส. วกส. วพน. วิทยาการตำรวจ สถาบันพระปกเกล้า ฯลฯหัวข้อหลัก การปฏิรูปประเทศไทย และอนาคตเศรษฐกิจดิจิตอล(The Future of Digital Economy)ฯลฯ.

>มีผลงานเขียนหนังสือ(pocketbook)4เล่มด้านต่างประเทศ วิทยาศาสตร์และการเมือง

“อลงกรณ์”กล่าวตอนหนึ่งในคำแถลงเปิดตัวลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า

“วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องการก้าวใหม่ของตัวเองและโอกาสใหม่จากประชาชนด้วยการแสดงออกถึงภาวะผู้นำที่เข้มแข็งและกล้าหาญบนจุดยืนประชาธิปไตยที่ชัดเจนเพื่อนำประเทศออกจากกับดักความขัดแย้งและวงจรอุบาทว์ด้วยหลักนิติรัฐและธรรมาภิบาลสู่เอกภาพและศักยภาพใหม่ของประเทศเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของทุกคน โลกเปลี่ยนเร็วและแข่งขันแรงทั้งการเมือง เศรษฐกิจและเทคโนโลยี ประเทศไทยต้องมีพรรคการเมืองที่ทันสมัยก้าวหน้าทันโลกทันเกมและก้าวใหม่ประชาธิปัตย์คือคำตอบ”

เขาจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่9ได้หรือไม่ วันที่ 9 กรกฎาคมนี้ คนประชาธิปัตย์จะเป็นผู้ให้คำตอบ

‘เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข’ ปลงผมเข้าพิธีอุปสมบท เพื่อทดแทนคุณบิดามารดา เพื่อน พี่น้อง ในวงการบันเทิงมาร่วมงาน ร่วมอนุโมทนาบุญกันเพียบ

หลังจากเดินสายขอขมาลาบวชกับผู้ใหญ่ที่เคารพในวงการบันเทิง ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (1 ก.ค.66) พระเอกชื่อดัง “เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข” ได้ปลงผมเพื่อเข้าพิธีอุปสมบทเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา โดยมีผู้ใหญ่ พี่น้องในวงการมาร่วมงาน ทั้ง เต้ย จรินทร์พร, เกรท วรินทร, เป๊ก เปรมณัช, ตู่ ปิยวดี ที่มาร่วมอนุโมทนาบุญ อีกทั้งยังมี “พระบอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” ที่บวชไปก่อนหน้านี้ได้มาปลงผมให้น้องชายคนสนิทด้วย

‘พีท กันตพร’ เล่นใหญ่ นั่งคุกเข่าขอ ‘แก้มบุ๋ม’ แต่งงาน  ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติก

เตรียมสละโสดอีกคู่แล้ว สำหรับว่าที่เจ้าบ่าวป้ายแดง พีท-กันตพร หาญพาณิชย์ ผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ล่าสุดคุกเข่าทำเซอร์ไพรส์ขอแฟนสาว แก้มบุ๋ม-ปรียาดา สิทธาไชย แต่งงานท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติก ที่เกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ซึ่งทั้งคู่คบหาดูใจกันมานาน 4 ปีแล้ว ก่อนจะวางแผนใช้ชีวิตคู่ด้วยการสร้างเรือนหอ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา งานนี้เรียกได้ว่าหนุ่มพีทจัดใหญ่สุดๆ เพื่อว่าที่เจ้าสาวคนสวย ทั้งจุดพลุ และสวมแหวนเพชรเม็ดใหญ่ตีตราจอง ท่ามกลางเพื่อนพ้องคนสนิท ร่วมแสดงความยินดีกับทั้งคู่อย่างล้นหลาม

คุณแม่น้องอินเตอร์ ขอแจง ส่งงานตรงเวลาทุกครั้ง  ตั้งใจและทุ่มเท เวลาพักในกองถ่าย คือเวลาทบทวนหนังสือ

โดนดรามาอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นทำให้คุณแม่ของ “น้องอินเตอร์ รุ่งลดา รุ่งลิขิตเจริญ” ดาราเด็กมากความสามารถ ออกมาโพสต์ชี้แจง หลังถูกชาวเน็ตจับผิดว่าน้องอินเตอร์หยุดเรียนบ่อย แต่กลับได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่น โดยคุณแม่น้องอินเตอร์ ชี้แจงประเด็นดังกล่าวในอินสตราแกรม inter_rungrada ระบุว่า

“ขอบคุณทุกๆ กำลังใจจากทุกคนที่มอบให้อินเตอร์มากๆ และเสมอมานะคะบอกกับลูกทั้ง 2 คนเสมอว่าถ้าทำอะไรให้ตั้งใจทำให้เต็มที่และทำให้ดีที่สุด สุดความสามารถทั้งเรื่องเรียนและทำงาน ผลลัพธ์ที่ได้จะดีหรือไม่อยู่ที่ตัวเราเอง ผลการเรียนปีที่ผ่านมาลูก 2 คนได้ใบ Certificate เรียนดีและอินเตอร์ก็ได้คะแนนรายวิชาสูงสุด 4 ใบ มาเป็นกำลังใจ

แต่ก็มีบางคนมาถามว่าได้มาได้ยังไง?...ขาดเรียนก็บ่อย บางคนพูดว่า ที่ได้ก็เพราะเป็นอินเตอร์ไง ก็เลยได้...ลูกมาเล่าให้ฟัง

พอได้ยินตัวเราเป็นพ่อเป็นแม่ แว๊บแรก ห่วงความรู้สึกของอินเตอร์มากที่สุด ถามว่าลูกรู้สึกยังไงที่มีคนมาถามแบบนั้น ลูกยอมรับว่าเสียใจกับคำพูดเหล่านั้น...แต่ก็อธิบายไป ว่าเขาต้องขยัน อดทน และพยายามในการอ่านหนังสือมากขนาดไหน แต่เหมือนคนถามไม่ได้ต้องการคำตอบ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะช่วยตอบให้ ใช่ค่ะ...อาจจะไม่ได้ไปเรียนทุกวันเพราะต้องไปถ่ายละครและทำงานที่เขารัก แต่เขาก็ตามงานกับเพื่อนๆ และคุณครูที่โรงเรียนทุกวัน และพยายามส่งงานตรงเวลาทุกครั้ง ช่วงสอบเก็บคะแนนและสอบปลายภาคก็อ่านหนังสือและทำแบบฝึกหัดเยอะมากๆ แม้แต่ช่วงใกล้สอบ เวลาพักในกองถ่าย คือเวลาทบทวนหนังสือ อินเตอร์ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำมากๆ จนวันนี้สิ่งที่เขาพยายาม

ตั้งใจและทุ่มเท มันก็ประสบความสำเร็จ เขาควรมีความสุข แต่ก็ต้องมาโดนกับพลังงานด้านลบ แบบนี้มันก็นอยด์นิดนึง คนเป็นพ่อแม่อดสงสารไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร คอยช่วยซัปพอร์ตจิตใจเค้า และบอกให้เขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองทำ ภูมิใจกับมัน และชื่นชมตัวเองมากๆ เราคงบอกให้คนอื่นเข้าใจในตัวเราทุกอย่างไม่ได้ แต่เรารู้ดีว่าเราทำอะไร แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสุดท้ายอยากบอกว่า

คุณอย่าสงสัยในความสำเร็จของคนอื่นเลย จงสนใจในความสำเร็จของเขาจะดีกว่า สนใจว่าว่าเขาทำยังไง ทำอะไรบ้างจึงสำเร็จ และถึงไม่ชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของเขา ก็อย่าใช้ความคิดด้านลบมาทำร้ายคนอื่นเลย มันบาป

กฎจักรวาล เถียงยังไงก็แพ้ทุกที แต่มีเคล็ดลับ  Happy Wife Happy Life ขอให้เมียมีความสุข แล้วชีวิตเราจะมีความสุข

ผู้ใช้ Instagram ที่ชื่อ srisiamzzz ได้โพสต์คลิปสั้น เกี่ยวกับ ‘เมีย’ โดยมีใจความว่า ...

ทำไมเวลาทะเลาะกับเมีย แล้วไม่เคยเถียงชนะเมียเลย ก็ไม่เห็นจะต้องงงนะ อันนั้นคือกฎของจักรวาล เถียงชนะกับเขาแล้วเราได้อะไร ถึงเวลาก็ต้องไปตามง้อเขาอยู่ดี ถ้าเถียงชนะเขาแล้วเขานอนหันหลังให้ หรือไม่ให้เราเข้าไปในห้องนอน แล้วเราจะทำอย่างไร มีเคล็ดลับที่สำคัญอยู่ข้อนึง ก็คือ Happy Wife Happy Life ขอให้เมียมีความสุข แล้วชีวิตเราจะมีความสุข แค่นั้นเอง นี่คือกฎจักรวาล

‘หมอธีระวัฒน์’ ชี้ภัย ‘สารเพิ่มหวาน’ ในเครื่องดื่มไร้น้ำตาล เสี่ยง!! ‘หัวใจวาย-อัมพฤกษ์’ เริ่มเจอแล้วในต่างประเทศ

(3 ก.ค. 66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ระบุว่า...

สารหวานในเครื่องดื่ม ไร้น้ำตาล เสี่ยงหัวใจวาย อัมพฤกษ์ (มีคำอธิบายว่าจะใช้หญ้าหวานได้หรือไม่ และมีคำอธิบายในเรื่องปริมาณขนาดที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของเลือดข้นและมีผลต่อเส้นเลือด มีคำอธิบายที่มาของการศึกษาที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่รายงานในปี 2013 จนมาถึงปัจจุบันนี้)

นับเป็น 10 ปีมาแล้วที่มีการใช้สารน้ำตาลเทียมเพิ่มหรือแทนความหวานที่ได้จากน้ำตาล ทั้งนี้เพื่อตอบสนองกับคนที่มี โรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่เรียกว่า เมตาบอลิก ซินโดรม (Metabolic syndrome) ที่เป็นกลุ่มอาการที่จะต่อติดต่อเนื่อง ตามกันมาจากอ้วน ดื้ออินซูลิน เบาหวาน ไขมันสูง มีภาวะเส้นเลือดผิดปกติและนำไปสู่โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ จนกระทั่งถึงมะเร็ง ด้วยการที่มีสารอักเสบก่อตัวในร่างกาย ทุกระบบและในสมอง จนเร่งสมองเสื่อมให้เกิดขึ้นเร็วและรุนแรง และพิสูจน์แล้วว่าเร่งความแก่ชราให้มากขึ้น 

...และสารทดแทนเหล่านี้ ได้มีการรับรองความปลอดภัยจากองค์กรกลางต่าง ๆ ที่ทำการประเมินและมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก

แต่กระนั้น การติดตามภาวะสุขภาพในคนที่ได้รับสารหวานเทียมเหล่านี้ เริ่มมีรายงานออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ในปี 2000 เป็นต้นมา ถึงผลที่อาจไม่พึงประสงค์ รวมทั้งแทนที่จะเกิดประโยชน์ กลับมีโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่สามารถอธิบายได้ โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับเส้นเลือดตีบ แต่เนื่องจากเป็นการศึกษาที่ไม่ทอดระยะเวลานานนัก และไม่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์หรือการเป็นสาเหตุได้ชัดเจน เนื่องจากมีตัวแปรและปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ข้อมูลยังมีความคลุมเครืออยู่

รายงานในวารสาร เนเจอร์ 27 กุมภาพันธ์ 2023 เป็นงานต่อเนื่องตั้งแต่การค้นพบความสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ในลำไส้ กับการอักเสบ และเส้นเลือดตันที่รายงานในวารสารนิวอิงแลนด์และเนเจอร์ในปี 2013 ที่ตอกย้ำพิสูจน์ว่าการกินเนื้อแดง และไข่แดงจะเชื่อมโยงกับจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียไม่ดีในลำไส้ ที่สกัดและผลิตสารอักเสบออกมาชื่อ TMA และ TMAO ทั้งนี้ การลดการกินเนื้อและไข่แดง โดยที่หนักผัก ผลไม้ กากใย ถั่ว จะระงับการอักเสบดังกล่าว และเริ่มพบว่าสาร polyols ก็มีความสัมพันธ์ร่วม

งานในปี 2023 นี้พบว่าสาร erythritol ซึ่งอยู่ในกลุ่ม polyol ทำให้เกล็ดเลือดไวขึ้น จนเพิ่มความเสี่ยงของเส้นเลือดตัน

การศึกษาเริ่มจากเป็น un targeted metabolomics ในคน 1,157 รายที่มาประเมินความเสี่ยงของเส้นเลือดหัวใจ (discovery cohort) โดยได้ทำการสวนเส้นเลือดหัวใจ จนพบว่าระดับของสาร polyol โดยเฉพาะ erythritol สัมพันธ์กับโรคหัวใจและอัมพฤกษ์มากขึ้นหลังจากติดตามสามปี จากการตรวจด้วย GC-MS แต่ทั้งนี้ บอกได้คร่าว ๆ และยังไม่สามารถเชื่อมโยงกับระดับปริมาณที่ชัดเจนได้

การศึกษาต่อมาเฉพาะเจาะจง targeted metabolomics คนอเมริกัน 2,149 ราย และคนในยุโรป 833 ราย (validation cohort) ที่มาตรวจประเมินความเสี่ยงของโรคหัวใจ โดยมีข้อมูลความรุนแรงและการติดตามก่อนหน้านั้นหลายปี โดยใช้ตัวอย่างเลือดในคนอเมริกันจากรายงานของปี 2013 และควบรวมกับคนในยุโรป พบความสัมพันธ์ชัดเจนระหว่างระดับของ erythritol กับความเสี่ยงที่สูงขึ้น จากการตรวจด้วย LC-MS (fourth versus first quartile adjusted hazard ratio (95% confidence interval), 1.80 (1.18-2.77) and 2.21 (1.20-4.07), respecti vely) และการทดสอบการทำงานของเกล็ดเลือดพบว่ามีการกระตุ้นเพิ่มขึ้น ทั้งในหลอดทดลองและเพิ่มการเกิดเส้นเลือดตันในหนูทดลองการศึกษาต่อมา (interven tion study) เฉพาะเจาะจงโดยที่มีอาสาสมัคร 8 ราย กิน erythritol 30 กรัม ที่เป็นขนาดปกติในเครื่องดื่มหรือในไอศกรีมคีโต พบระดับในเลือดสูง ลอยมากอยู่จนถึงสองวันถัดมา

ทั้งนี้ ในผลิตภัณฑ์อาหารที่พบอยู่ได้ทั่วไปนั้น จะมีปริมาณของสาร erythritol ในขนาดสูงมากกว่า 30 กรัมด้วยซ้ำ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความหวานให้มากขึ้น โดยที่อาจไม่ได้มีการระบุปริมาณที่ชัดเจนเนื่องจากถือว่าเป็นสารปลอดภัย ผลที่ได้จาก รายงานนี้ อาจต้องมีการหาความ สัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลเพิ่มขึ้น แม้ว่าการทดลองในราย งานนี้จะมีผลการศึกษาในหนูทดลองรวมกระทั่งถึงในอาสาสมัคร แม้ว่าจะมีจำนวนน้อยเพียง 8 ราย แต่การทดสอบของเกล็ดเลือดนั้นแสดงถึงปฏิกิริยาที่สูงขึ้นในระดับที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อเส้นเลือดได้

คณะผู้วิจัยได้จุดประเด็นที่ควรต้องทำต่อจากนี้ ก็คือการที่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นั้นควรที่จะแสดงปริมาณของสาร erythritol ทั้งนี้อาจจะเป็นสารเดี่ยวที่ใส่เข้าไปหรือใส่เข้าไปร่วมกับสารที่เสมือนมาจากธรรมชาติ เช่น จาก Monk fruit หล่อฮั่งก้วยและ Strevia หญ้าหวาน ที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 200 ถึง 400 เท่า และในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นั้นอาจเพิ่มเติม erythritol เพื่อให้สะดวกแก่การผลิตในรูปของการบริโภคสำเร็จ แต่จะรอให้มีการปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงในอนาคตจากข้อมูลในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 นี้ ซึ่งไม่ทราบว่าจะต้องรอเวลาไปอีกกี่เดือนหรือกี่ปี

ควรหรือไม่ ที่ผู้บริโภคอาจจะต้องเตรียม ตัวเอง ในการเลือกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มาจากธรรมชาติมากขึ้น ทั้งนี้ความหวานที่ได้จากผักผลไม้ ที่ต้องกินโดยที่เป็นในรูปของกากใยด้วย เป็นชิ้นเป็นผลเป็นเนื้อ โดยไม่ใช่คั้นเอาแต่น้ำและทิ้งกากใย ออกไป ในรูปลักษณะนี้ ความหวานที่ได้จะปลอดภัย และแม้ว่า erythri tol จะมีการสังเคราะห์ ขึ้นเองในร่างกายตามธรรมชาติ (endogenous) แต่ปริมาณที่เกิดขึ้นจะน้อยกว่าหรือต่ำกว่า ปริมาณที่มีผลกระตุ้นและทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นเลือดมาก

ความจำเป็นที่ต้องเข้าใกล้ธรรมชาติ เข้าใกล้มังสวิรัติ ลดแป้ง เนื้อสัตว์ แทนด้วยปลา และหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนด้วยสารเคมีและสารทดแทนเป็น เพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและไม่เป็นภาระต่อตนเองครอบครัว สังคม และประเทศ

‘โบกี้ไลอ้อน’ เปิดใจ ‘โรคจิตเวชรุมเร้า-เคยดีไซน์การตายตัวเอง’ แต่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ คือ ‘อยากตายแต่เสียดายจินตนาการ’

(3 มิ.ย. 66) รายการ WOODY INTERVIEW กับศิลปินสาวเสียงดีที่มาแรงแห่งยุค โบกี้-พิชญ์สินี วีระสุทธิมาศ หรือ โบกี้ ไลอ้อน ใครจะรู้ว่าเบื้องหน้าบนเวทีที่ดูสวยเป๊ะ แต่ลึกๆ นั้นเธอเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองอย่างมาก คิดว่าไม่สวยตั้งแต่เด็กจนโต อีกทั้งยังเป็นโรคทางจิตเวชรุมเร้า เคยคิดสั้นถึงขั้นอยากดีไซน์การเสียชีวิตด้วยตัวเอง เผยเรื่องเบื้องลึกชีวิตครอบครัว และความคลั่งรักถึงขั้นเคยขอแฟนแต่งงาน

>> ที่บอกว่าโบกี้มีปัญหาทางจิตเวชเป็นอะไรบ้าง

เป็นโรควิตกกังวล (Anxiety Disorder), โรคภาวะตื่นตระหนกเฉียบพลัน (Panic Disorder), โรคซึมเศร้า (Depress) และโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder)

>> สาเหตุเกิดจากอะไร เริ่มจากตรงไหน

เริ่มจากอาการนอนไม่หลับก่อน คือไม่สามารถพูดได้ว่าอันไหนคืออันแรก เพราะจริง ๆ น่าจะเป็นมาตลอดชีวิต แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เป็นมันคือโรค โบเป็นคนแบบว่าชอบซื้อของไว้เยอะ ๆ สมมติชอบอะไรอย่างหนึ่งก็จะย้ำอยู่แต่แบบนั้น เช่น วันนี้ฉันจะซื้อสบู่ ในหัววันนั้นก็จะคิดซื้อสบู่ๆ จะกดสบู่ไปเรื่อยๆ ซื้ออีกๆ ทำให้อะไรก็ตาม สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แม้กระทั่งต่างหูเสื้อผ้า จะมีซ้ำกันมากกว่า 10 ชิ้น ก็เราคิดว่าสิ่งนี้ปกติ ถ้าน้ำมันหมด หมดของคนอื่นอาจจะมีใกล้หมดจริงๆ ขีดแดง แต่หมดของโบคือเกินครึ่งถังแปลว่าหมด คือเป็นคนค่อนข้างล่วงหน้าอันนี้ก็คิดว่าเนี่ยอาจจะเป็นข้อดีของเราไหมเพราะว่าเราเป็นคนล่วงหน้ามากๆ แล้วก็เตรียมพร้อมไว้กับสถานการณ์ทุกอย่าง แต่ความจริงมันไม่ใช่มันเป็นโรค แล้วก็เรื่อง Depression ภาวะซึมเศร้า ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นหรืออะไร แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเองต่ำมาก ไม่สามารถหาข้อดีของตัวเองได้ตั้งแต่เด็กจนโต แล้วก็เวลาขึ้นเวทีส่องกระจกทีไร รู้สึกไม่สบอารมณ์ตลอดเลย เพราะรู้สึกว่าทำไมเราน่าเกลียดอย่างงี้ตั้งแต่เด็กจนโต หาข้อเสียของตัวเองเจอตลอดเวลา เราอาจจะคิดว่าเราร้องเพลงได้แต่ว่าเราก็ร้องเพลงไม่ได้ดีขนาดนั้น บางทีอาจจะคิดว่าเราสวยแต่ว่าเราสวยเพราะเราแต่งรูปอะไรแบบนี้ มันจะหาข้อโต้แย้งมาตลอด บวกถึงเรื่องการอยู่คนเดียวแล้วมีความรู้สึกแบบการคิดสั้น ไม่รู้ว่าเรียกว่าคิดสั้นได้หรือเปล่า อยากดีไซน์การเสียชีวิตด้วยตัวเองอะไรแบบนั้น รวมถึงอาการ Panic ก็คือกลัวอะไรบางอย่าง อย่างรุนแรง เช่น กลัวตัวเองเข้าโรงพยาบาล กลัวตัวเองป่วย แล้วก็อ่อนไหวกว่าชาวบ้าน จะเกิดอาการเมื่ออยู่ในที่แคบเข้าไปในลิฟต์แล้วติดลิฟต์บ้างหรือเข้าห้องน้ำแล้วเปิดประตูไม่ออก

>> Anxiety กับ Panic แยกกันไหม

สำหรับโบ ไม่ได้คล้ายขนาดนั้น แต่ก็มีตัวเชื่อมกัน Anxiety จะมาในชีวิตประจำวันโบเลยตั้งแต่เด็กจนโตโดยที่ไม่สังเกต สมมติวันนี้โบล็อกกรงหมาแล้วโบก็ออกจากบ้าน แล้วทั้งวันจะคิดอยู่แค่ล็อกกรงหมาหรือยัง ทั้งๆ ที่มันเห็นว่าล็อกแล้ว ซึ่งวิธีแก้ก็คือซื้อกล้องวงจรปิดมาดูเลย แต่บางทีมันก็ยังไม่มีความเชื่อตัวเองอยู่มันอาจจะเชื่อมกันหมดเลย ก็คือโรคอาจจะเป็นจิตเวชประเภทเดียวกัน แต่ว่าอาจจะมีความแตกต่างกันในลักษณะการเจอ น่าจะมาจากความไม่มั่นใจในตัวเอง ว่าได้ทำสิ่งนั้นสำเร็จจริงหรือเปล่าก็จะมีความย้ำคิดย้ำทำกับอะไรเดิมๆ เช่น ดูกระจกตลอดเวลา ซึ่งคาแร็กเตอร์การส่องกระจกบนเวทีไม่ได้มาจากความอยากเฟียซหรืออะไรทั้งนั้น มันมาจากความที่โบไม่สามารถรับได้จริงๆ คือไม่คิดว่าตัวเองสวยอยู่แล้วถ้าเลือกได้อยากเลือกเวทีที่มันเป็นกระจกรอบด้าน ในทีมผู้จัดการของโบมีอยู่ 4 คนต่างคนต่างก็จะมีหน้าที่พิเศษ เราก็จะเชื่อใจเขา เพราะว่าเราเชื่อใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง

>> ในวัยเด็กมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นใครบางคนอาจจะบอกเราว่า ไม่สวยพอ ไม่ดีพอ เราไม่ใช่

มีเยอะมาก มีทั้งสถานการณ์ในครอบครัว ไม่แน่ใจว่าที่บ้านอาจจะวางแผนมีลูกคนเดียวหรือเปล่า แล้วเราดันเป็นอีกคนที่ออกมาแล้วเราก็เกิดก่อนกำหนด มีความบกพร่องหลายๆ อย่างทางร่างกาย แล้วเราเองก็หน้าตาไม่ได้น่ารักตั้งแต่เด็ก ความไม่มั่นใจทางร่างกายก็อาจจะมีความพิเศษนิดหนึ่งก็คือ เคยโดนคนที่บ้านซ้อมตอนเด็กแล้วก็ทำให้ขาลาย เรื่องนี้ไม่ค่อยได้เล่าที่ไหนเพราะว่าตัวเองก็ไม่ได้โฟกัสเรื่องนี้ ไม่ได้อยากเรียกร้องความสงสารหรืออะไร เพราะมันผ่านมานานแล้ว แต่ว่าเราเพิ่งฉุกคิดได้ตอนโตว่าสิ่งนี้มันคือการซ้อม แล้วก็ร่องรอยตามขาตามตัวของเราที่ไม่มั่นใจในทุกวันนี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แผลบางอย่างทั้งทางร่างกายและจิตใจมันก็เป็นแผลเป็นมาถึงตอนโตเนอะ แล้วรู้สึกว่าก่อนหน้านี้สักประมาณ 2-3 ปี โบไม่ใช่ โบกี้ ไลอ้อนแบบนี้ โบเป็นคนที่ทำผมทรงเดิมๆ คือฟูๆ สิงโต แล้วเสื้อก็จะใส่แบบเดิมๆ กับกางเกงเอวสูง คือจะเป็นคนไม่ใส่กางเกงขาสั้นหรืออะไรสั้นเลย เพราะรู้สึกว่าหลังก็ต้องปิดเพราะมีรอยสิว ส่วนขาก็จะมีร่องรอยแผลเป็นเยอะมาก บางอย่างที่มันช้ำ มันก็ช้ำอยู่อย่างงั้นมาจนโต บางสิ่งที่มันหายไปแล้วบางทีก็อยู่ในใจเนอะ เรารู้สึกว่า ตอนนี้เรามีข้อบกพร่องหลายอย่างในตัว แล้วเรามองเห็นมันด้วย เราก็รู้สึกว่าปิดเถอะ

>> โมเมนต์ไหนบนเวทีที่ทำให้เรารู้สึกฟิน

ทุกตอนเลย บางวันหนูรู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ มันมีช่วงหนึ่งที่หนูรู้สึกว่าทำงานทุกวัน มันเป็นจุดที่ไม่ว่าเราจะขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกว่ามันอ้างว้างเหลือเกิน มันไม่ได้มีครอบครัวที่คอยภูมิใจในตัวเราขนาดนั้น เหมือนรู้สึกว่าวังเวงมากๆ นี่เราทำอะไรอยู่ แต่พอขึ้นเวทีไปความรู้สึกดาวน์ เศร้า หรือนอยด์ ทุกอย่างหายไปเลย แค่ได้ยินเสียงคนที่มารอดู พูดแล้วอาจจะดูเวอร์แต่ว่าทุกครั้งที่รู้สึกว่าไม่อยากอยู่บนโลกนี้ อย่างเดียวที่ยึดโบไว้ที่นี่คือ...“อยากตายแต่เสียดายจินตนาการ” เสียดายที่จะส่งต่อความรู้สึกของตัวเองผ่านบทเพลงให้คนอื่นต่อไป เสียดายที่จะอดฟังเสียงคนดูที่ร้องเพลงที่เราแต่งขึ้นมา โบรู้สึกขอบคุณโรคต่างๆ เหมือนกันนะ ตอนแรกโบก็ค่อนข้างเซ็งที่เราต้องเจออะไรแบบนี้สุดท้ายแล้วถ้าเราไม่เศร้า ถ้าเราไม่ย้ำคิดย้ำทำจนจดนู่นจดนี่ เราก็ไม่ได้มีเพลง

>> เป็นคนที่ตรงไปตรงมาในโซเชียลมีเดีย

ตรงค่ะ จริงๆ หนูตรงมากๆ เลย แต่ว่ามันไม่ใช่แค่ตรงอย่างเดียว เมื่อก่อนย้อนไปน่าจะ 5 ปี หนูค่อนข้างเป็นคนตลกไง แล้วหนูก็ใช้คำหยาบเยอะมากๆ แม่เตือน ทางค่ายก็เตือนว่าเป็นภาพลักษณ์ของเรา หนูก็คิดก็มันตลกอ่ะ บางทีมันมีอรรถรส พอเราโตขึ้นๆ เราก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงนะ มันตลกจริงแต่ในกลุ่มคนบางกลุ่มที่เสพไม่ใช่กลุ่มคนส่วนใหญ่ในประเทศ เพราะว่ายังมีคนหลากหลายช่วงอายุที่ติดตามเรา หนูยอมรับว่าหนูมาร้องเพลงไม่ได้มาเป็นตัวอย่างให้ใคร การกระทำมันก็เป็นส่วนของการกระทำแต่ผลงานก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่ได้เอาคำหยาบไปใส่ในผลงาน สุดท้ายการอยู่ตรงนี้ก็ยอมรับจริงๆ ว่าทุกคนบนโลกถ้าเขาชอบศิลปินหรือมีใครเป็นต้นแบบเขา เราก็ควรจะประพฤติตนให้มันเหมาะสมและวุฒิภาวะที่หนูอาจจะยังไม่ค่อยมี ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ บางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ก็จะไม่ตอบโต้

>> เลิกกับแฟนที่คบกันมา 6 ปี? ได้เขียนเพลงถึงเขาบ้างไหม

ใช่ค่ะ เรื่องที่เขียนมาจากเรื่องในชีวิตทั้งหมดเลยค่ะ มีเขียนถึงแฟนด้วย แล้วก็มีเขียนถึงอะไรก็ตามที่ผ่านมาในชีวิต

>> เป็นคนรักแฟนแบบไหน

หนูเป็นคนคลั่งรักนะ ใน 6 ปี มันไม่ได้มีอะไรที่แย่เลยค่ะ เราคบกันแทบไม่ได้มีการทะเลาะกัน ทะเลาะกันเรื่องเดียวคือเรื่องงาน แต่มันแค่มีความรู้สึกว่าเป้าหมายในชีวิตบางจุดไม่ตรงกัน นี่พูดตรงๆ เคยขอเขาแต่งงาน แล้วแฟนช่วงนั้นก็ไม่ได้พร้อม แต่เป็นช่วงที่เรารู้สึกจริงๆ ไม่พร้อมตอนนี้แล้วจะตอนไหน จริงๆ นี่เป้าหมายหลักในชีวิตนะ ไปเจอพ่อเขาก็ ป๊าคะ หนูอยากแต่งงานแล้วค่ะ หนูขอเลยได้ไหมคะ คุณแม่คะหนูขอได้เลยไหมคะ อะไรแบบนี้ แต่เขาก็น่าจะเป็นห่วงเราในเรื่องของอนาคตเรื่องการงาน เขาก็ไม่ได้เชิงปฏิเสธ แต่ก็อารมณ์แบบว่าสมมุติว่าเป็นปีนี้มันก็จะถูกเลื่อนๆ ไป เราก็เป็นคนที่ค่อนข้างหมุนตามโลกของเขา ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี แต่ว่าสุดท้ายโบก็โทษตัวเองนะ โบแค่รู้สึกว่าพอมันผ่านอะไรมาเยอะๆ แล้ว โบเองเป็นคนเลือกที่จะไม่ค่อยพูดกับเขาเท่าไหร่ พอไม่พูดมันกลายเป็นปมอะไรบางอย่างในใจ กลัวพูดแล้วเดี๋ยวจะผลกระทบแบบนี้ เสียอารมณ์กัน ก็เลยไม่มีการทะเลาะกัน ไม่มีการคุยกันด้วย เอาจริงๆ เขายังเป็นหนึ่งคนที่คอยสนับสนุนกันและกันเสมอ เขารู้จักเราในทุกจุดอ่อน ในทุกความกลัว ในทุกความฝัน เพราะฉะนั้นเราไม่เคยเกลียดแฟนเก่าเลย เราจะสนับสนุนเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีแฟนใหม่เราก็บอก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top