Tuesday, 3 June 2025
GoodVoice

‘ไอออน’ ชูยุทธศาสตร์ดันไทยฮับฐานผลิตอีวี ‘อาเซียน’ เดินหน้าเร่งผลิตรุ่นใหม่ ขยายโชว์รูม - สถานีชาร์จ

(8 ต.ค.67) ‘ไอออน’ ยักษ์ใหญ่อีวีจีน ประกาศยุทธศาสตร์ขยายตลาดไทย ชูเป็นฮับหลักผลิตรถยนต์อีวีในภูมิภาค เดินหน้าเร่งเครื่องการผลิต เล็งเปิดตัว 2-3 รุ่นใหม่ วางโรดแมปขยายโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครบ 200 แห่ง เพิ่มซูเปอร์ชาร์จให้ครบ 1,000 จุด ใน 2570 มุ่งสร้างบุคลากรอีวีไทยแข็งแกร่ง

นายโอเชี่ยน หม่า ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (AION) กล่าวในงานสัมมนา ASEAN Economic Outlook 2025:The Rise of ASEAN, A Renewing Opportunity ซึ่งจัดโดย กรุงเทพธุรกิจว่า ตลาดอาเซียนมีพลวัตและมีแนวโน้มที่ดีสุดในโลก รวมถึงดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลก 

สำหรับไทยเป็นผู้ผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่สุดในอาเซียน และเป็นตลาดขนาดใหญ่อันดับ 2 มีอีโคซิสเต็มอุตสาหกรรมยานยนต์ขยายตัว รวมถึงมีภาครัฐบาลได้ร่วมสนับสนุนรถยนต์พลังงานใหม่และมาตรการทางภาษีในด้านต่างๆ อย่างครอบคลุม พร้อมมีแผน 30@30 ในการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้ 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573

ทั้งนี้บริษัทได้วางยุทธศาสตร์ลงทุนและขับเคลื่อนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระยะยาวในประเทศไทย ที่มีความสอดคล้องกับแผนของภาครัฐ ทำให้บริษัทได้มีการสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และเป็นโรงงานแห่งแรกในต่างประเทศ เพื่อร่วมยกระดับภาคอุตสาหกรรมพลังงานใหม่กับยานยนต์ไฟฟ้าและร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ขยายตัว

สำหรับโรงงานประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค.2567 ในโรงงานที่ระยอง อยู่ในพื้นที่อีอีซี โดยเป็นฐานการผลิตในระดับโลก และถือว่าไทยเป็นฐานผลิตหลักในภูมิภาคอาเซียน รองรับการทำตลาดในประเทศไทย ส่งออกไปในภูมิภาคและขยายตลาดประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ขณะเดียวกันโรงงานในไทย ได้ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับเดียวกับประเทศจีน ที่เป็นเทคโนโลยีอัจฉริยะ และมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทยสัดส่วน 45% พร้อมมุ่งส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวรถยนต์ เข้ามาทำตลาดประเทศไทยแล้ว โดยมีรุ่นเรือธง ได้แก่ AION Y PLUS, AION ES และ Hyper HT ที่เป็นรุ่นพรีเมียม ซึ่งรถยนต์ที่ได้เปิดตัวในรุ่นต่างๆ ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในประเทศไทย พร้อมกันนี้มีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในไทย จำนวน 2-3 รุ่น เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างต่อเนื่องในทุกปี

เร่งแผนขยายโชว์รูม 100 แห่งในปี 2568
ขณะเดียวกันหลังเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยกว่าหนึ่งปีแล้ว มีแผนขยายช่องทางจำหน่าย ผ่านการมีตัวแทนจำหน่าย โดยปัจจุบันมีโชว์รูมและบริการหลังการขายประมาณ 50 แห่ง และในปี 2567 พร้อมขยายเป็น 70 แห่ง ส่วนในปี 2568 มุ่งขยายให้ครบ 100 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค เพื่อทำให้กลุ่มลูกค้าคนไทยได้รับประสบการณ์ที่ดี และได้รับความสะดวก เข้าถึงมากยิ่งขึ้น

สำหรับสถานีชาร์จความเร็วสูง โดยบริษัทเป็นแบรนด์เดียวได้ที่พัฒนาในด้านนี้ โดยได้มีการลงทุนสร้างไปแล้ว 8 แห่ง พร้อมวางแผนไว้ในปี 2567 จะก่อสร้างแล้วเสร็จได้ครบจำนวน 25 แห่ง รวมถึงประเมินระยะยาว ภายในปี 2570 จะขยายเพิ่มสถานีชาร์จให้ได้ 200 แห่ง และมีหัวชาร์จรวม 1,000 จุด ครอบคลุมรวม 100 เมือง ทั่วประเทศ เพื่อทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกมากขึ้น

“แผนในระยะต่อไป บริษัทมีความสนใจขยายการลงทุนใหม่ในไทยเพิ่มขึ้น รองรับการขยายรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้นในอนาคต”

มุ่งสร้างศูนย์พัฒนาวิจัย-บุคลากรอีวีในไทย 
พร้อมกันนี้ ยังมุ่งมั่นพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในไทย โดยส่งมอบรถยนต์ฝึกอบรมให้สถาบันการศึกษา 2 แห่ง ในไทย พร้อมฝึกอบรมพนักงานในพื้นที่จำนวนมาก เพื่อร่วมส่งเสริมการจ้างงาน ร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทำให้ประเทศไทยมีบุคลากรในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม

อีกทั้งบริษัทได้ให้ความสำคัญในการลงทุนวิจัยและพัฒนาในไทยและในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมส่งเสริมการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ล้ำหน้า พร้อมร่วมสร้าง สังคมคาร์บอนต่ำในภูมิภาคอาเซียน และทำให้ในภูมิภาคอาเซียนมีโซลูชันพลังงานสีเขียวที่มีความยั่งยืน ทั้งหมดสอดรับกับนโยบายของบริษัทที่มุ่งมั่นเป็นผู้นำในระดับโลกในด้านนี้

“ตลอดการลงทุนสร้างโรงงานในไทย ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล พันธมิตร และภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม ซึ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นว่าการลงทุนและการพัฒนาในประเทศไทยเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด พร้อมร่วมทำงานขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและยกระดับอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ของประเทศไทยต่อไป และมีส่วนสนับสนุนต่อความก้าวหน้าทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ”

อย่างไรก็ตาม สำหรับแบรนด์รถยนต์อีวี "ไอออน (AION) ก่อตั้งขึ้นปี 2560 ในจีน โดยภาพรวมตลาดโลกครองตำแหน่งแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 2 ของจีนและอันดับที่ 3 ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าโลก 

พร้อมกันนี้สร้างสถิติการผลิตและขายรถยนต์ 1 ล้านคันเร็วที่สุดในโลก ด้วยใช้เวลา 4 ปี 8 เดือน รวมถึงบริษัทติดอันดับ Fortune Global 500 ส่วนในไทยพบว่ากลุ่มจีเอซี กรุ๊ป (GAC Group) บริษัทแม่จากจีน ประกาศแผนลงทุนผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามูลค่า 6,400 ล้านบาทในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) พร้อมมีแผนตั้งสำนักงานในไทยอย่างเป็นทางการ

ราคาน้ำมันดิบ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลาง

(8 ต.ค.67) หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานสถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 30 ก.ย. – 4 ต.ค. 67 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 7 – 11 ต.ค. 67 โดยระบุราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจากสถานการณ์การต่อสู้ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง

วันที่ 1 ต.ค. 67 อิหร่านระดมโจมตีบริเวณเมือง Tel Aviv ในอิสราเอลด้วยมิสไซล์กว่า 180 ลูก ซึ่งเป็นการโจมตีเพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลสังหารผู้นำกลุ่ม Hezbollah ทำให้ตลาดวิตกว่าอิสราเอลจะตอบโต้อิหร่านหรือไม่ ขณะเดียวกัน อิสราเอลยังคงโจมตีกลุ่ม Hezbollah อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดวันที่ 5-6 ต.ค. 67 กองทัพอากาศอิสราเอลโจมตีเขตชานเมือง Beirut เมืองหลวงของเลบานอนอย่างหนัก โดยทางการอิสราเอลกล่าวว่าการโจมตีกำหนดเป้าหมายไปที่คลังเก็บอาวุธของกลุ่ม Hezbollah ทั้งนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมในเลบานอนตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 67 มากกว่า 2,000 ราย

วันที่ 1 ต.ค. 67 United Kingdom Maritime Trade Operations (UKMTO) รายงานกลุ่ม Houthi ในเยเมนใช้เรือผิวน้ำไร้คนขับ (Uncrewed Surface Vessel) และมิสไซล์โจมตีเรือขนส่งน้ำมันดิบ Cordelia Moon (ชนิด Suezmax ปริมาณบรรทุก 1 ล้านบาร์เรล) ติดธงสัญชาติปานามา และเรือขนส่งสินค้า Minoan Courage (ชนิด Panamax ปริมาณการบรรทุก 500,000 บาร์เรล) ติดธงสัญชาติไลบีเรีย ขณะแล่นผ่านทะเลแดง อย่างไรก็ดี เรือทั้ง 2 ลำไม่ได้รับความเสียหายรุนแรงและสามารถเดินทางต่อได้

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ในเดือน ก.ย. 67 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 254,000 ราย (Reuters Poll คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 140,000 ราย) สูงสุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่อัตราว่างงาน (Unemployment Rate) ลดลงจากเดือนก่อน 0.1% อยู่ที่ 4.1%

วันที่ 2 ต.ค. 67 ที่ประชุม Joint Ministerial Monitoring Committee (JMMC) มีมติให้กลุ่ม OPEC+ คงแผนเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบในเดือน ธ.ค. 67 ที่ระดับ 189,000 บาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ OPEC+ (18 ประเทศ) ผลิตน้ำมันดิบในเดือน ส.ค. 67 อยู่ที่ 34.09 ล้านบาร์เรลต่อวัน (โควตาการผลิตอยู่ที่ 33.76 ล้านบาร์เรลต่อวัน) นอกจากนี้ ที่ประชุมขอความร่วมมือให้อิรักและคาซัคสถานลดการผลิตที่เกินโควตาจากทั้ง 2 ประเทศ ประมาณ 150,000 บาร์เรลต่อวัน ในเดือน ต.ค. 67

‘เอกนัฏ’ ตรวจเยี่ยมศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล ชี้!! ต้องนำงานวิจัยมาต่อยอดให้อุตสาหกรรมฮาลาล

เมื่อวานนี้ (7 ต.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำทีมผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศวฮ.) โดยมีนางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายกฤศ จันทร์สุวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเยี่ยมชม และมี รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการ ศวฮ. ให้การต้อนรับ 

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ขอขอบคุณทาง ศวฮ. ที่ได้ให้ความรู้ และนำเสนอผลการดำเนินงานการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล 

ตนได้มอบนโยบาย 'การปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่' ให้กับข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม คือ ปฏิรูปที่ 1 'การจัดการกาก สารพิษ ที่ทำร้ายชีวิตประชาชน' โดยปรับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบ แก้ไขกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืน การเพิ่มโทษอาญา ปฏิรูปที่ 2 'Save อุตสาหกรรมไทย' สร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SMEs บังคับใช้กฎหมายกับสินค้าต่างชาติที่ไม่ได้มาตรฐาน ยกระดับขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ ปฏิรูปที่ 3 'การสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่' รองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ปรับเปลี่ยนสายการผลิตและเทคโนโลยีในประเทศ ยกระดับผลิตภาพการผลิตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมอุตสาหกรรมให้ก้าวทันโลก ยกระดับผลิตภาพด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ 

“ความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของโลกต่อจากนี้ คือวิกฤตที่ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเผชิญ และยังถือเป็นโอกาสที่สำคัญและเรามีความได้เปรียบในด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และความรู้ในอุตสาหกรรมฮาลาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมสนับสนุนเพื่อให้นำวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม งานวิจัย มาทำประโยชน์แก่ภาคอุตสาหกรรม ภาคผลิตให้มากที่สุด และกระทรวงจะช่วยสื่อสารและสร้างความเชื่อมั่นให้คนไทยและประชาคมโลกทราบถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของไทย“

ทั้งนี้ศวฮ. เป็นศูนย์พัฒนางานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีฮาลาล โดยมีการพัฒนาระบบมาตรฐานฮาลาล ประยุกต์ใช้นวัตกรรมในหลายขั้นตอนผ่านกระบวนการมาตรฐานฮาลาล HAL-Q การใช้นวัตกรรม H number น้ำยาดินชำระล้าง งานนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล วางระบบในโรงงานอุตสาหกรรม 1,112 โรงงาน ครอบคลุม 158,823 คน ตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์กว่า 188,731 ตัวอย่าง นำไปสู่การพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การสร้าง Big Data การพัฒนาระบบ 'ฮาลาลบล็อกเชน' เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคในกระบวนการทวนสอบย้อนกลับผ่านแอปพลิเคชันในรูป Thailand Diamond Halal Blockchain และเพื่อให้ก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล 

ศวฮ. ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์ม THAIs หรือ Thailand Halal Trustworthy A.I. เพื่อสร้างความไว้วางใจต่อผลิตภัณฑ์ ผ่านการประยุกต์ใช้ AI ที่ 1 Actual Implementation ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานด้วยมือและสมองของมนุษย์  AI ที่ 2 Artificial Intelligence โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อช่วยให้ภาคอุตสาหกรรม ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์ฮาลาลของไทย เป้าหมายเพื่อลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน แก่ผู้ประกอบการเพื่อการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืน

'ฟอร์จูน' จัดอันดับ 100 สตรีทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย 'หญิงไทย' ติดโผ 14 คน!! มากสุดเป็นรองแค่จีน

'ฟอร์จูน' เผยผลจัดอันดับ 100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย ผู้บริหารหญิงของ 'ไทย' ผงาดติด 14 อันดับ มากสุดในภูมิภาคเป็นรองแค่จีน

นิตยสารฟอร์จูน (FORTUNE) ได้ประกาศรายชื่อ '100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย' ประจำปี 2567 ในวันนี้ (8 ต.ค.67) โดยมีหญิงเก่งจากจีนแผ่นดินใหญ่ 20 คน ประเทศไทย 14 คน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และฮ่องกง แห่งละ 9 คน อินเดีย 8 คน เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ ประเทศละ 7 คน ออสเตรเลีย 6 คน มาเลเซีย 4 คน เวียดนาม 3 คน อินโดนีเซีย 2 คน และที่เหลือจากประเทศอื่นๆ

ผลการจัดอันดับดังกล่าวมีขึ้นเพื่อเชิดชู 'สตรีผู้นิยามความเป็นผู้นำในรูปแบบใหม่' ทั้งด้วยการพลิกโฉมบริษัทของตนเอง และอุตสาหกรรมต่าง ๆ และขับเคลื่อนการเติบโต การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ และความเป็นเลิศทางธุรกิจ พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้นำรุ่นต่อไป โดยประกอบด้วยซีอีโอ 53 คน ประธานบริษัท 26 คน และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน 11 คน

สำหรับสตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย 3 อันดับแรกประจำปีนี้ ได้แก่ เกรซ หวัง ประธานและซีอีโอ บริษัท ลักซ์แชร์ พรีซิชัน อินดัสทรี (Luxshare Precision Industry) ตามมาด้วย เฮเลน หว่อง ซีอีโอกลุ่มธนาคารโอเวอร์ซี-ไชนีส แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (OCBC) และ มากิโกะ โอโนะ ประธานและซีอีโอ บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (Suntory Beverage and Food)

ส่วนหญิงเก่งของ 'ประเทศไทย' ที่มีชื่ออยู่ในผลการจัดอันดับปีนี้มี 14 คนด้วยกัน ได้แก่

อันดับ ที่ 22 เสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร และประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน)

อันดับที่ 30 ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย

อันดับที่ 42 พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)

อันดับที่ 47 ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)

อันดับที่ 59 สุจิตรา โลเฮีย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)

อันดับที่ 72 ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์

อันดับที่ 78 ภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

อันดับที่ 79 จันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)

อันดับที่ 81 ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป

อันดับที่ 84 วัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)

อันดับที่ 90 เอมอร ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์

อันดับที่ 96 อริศรา สกุลการะเวก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)

อันดับที่ 97 พิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

อันดับที่ 100 ณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

‘กบ ไมโคร’ แฉเดือด ‘ธุรกิจเครือข่ายดัง’ ยอมรับ!! โง่ - ไม่ทันเกม ทำสูญเงินนับล้าน

(9 ต.ค. 67) กบ ไมโคร เดือดปม ธุรกิจเครือข่ายดัง แทบเจ๊งสูญนับล้าน ลั่นรู้อยู่แก่ใจ ชี้อันตรายมากกว่าธุรกิจ 18 มงกุฎ

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา นายไกรภพ จันทร์ดี หรือ กบ ไมโคร นักร้องรุ่นใหญ่ออกมาโพสต์ระบุข้อความว่า ดูเหมือนจะมีคนบาดเจ็บรวมกันในนี้ไม่น้อย เกาะกลุ่มแอดเพื่อนเอาไว้นะครับ เผื่อกระจัดกระจายแล้วจะรวมตัวกันยาก

ผมอยากบอกว่า “ผมโง่เอง ไม่ทันเกมเอง” ไม่เคยค้าขายเลยไม่เข้าใจรูปแบบธุรกิจ กว่าจะต่อภาพจบก็ทำไปปีครึ่ง ผมเข้าไปช่วงพีเรียดสุดท้ายก่อนหมดโควิด (ในช่วงที่หางานที่สองทำ) ผมไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์หรือรับค่าจ้างใดๆ ทั้งสิ้น

ผมกับภรรยาเปิดบิลไป 7 ดีลเลอร์ (คูณสองแสนกว่า) กับลงขันยิงแอดด้วยประมาณล้านนึง สุดท้ายเลิกทำเพราะได้คุยกับ ผู้สูงวัยหลาย ๆ คนที่เอาเงินก้อนสุดท้ายมาลง เอาบ้านรถที่ดินไปเปลี่ยนเป็นเงินมาลง จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว มีมากมายที่เครียดจนสโตรค สามีขอเลิก ลูกไม่คุยด้วย ครอบครัวแตกแยก ผมทำใจไปต่อไม่ได้จริงๆ (คนพวกนี้รอส่งเสียงให้สังคมได้ยินอยู่นะครับ)

ถึงตรงนี้บอกเลยว่าไม่มีใครเอาผิดเขาได้หรอก ผมเองก็ไม่สามารถเอาผิดเขาได้ เพราะเขาสร้างเงื่อนไขไว้รัดกุมมาก เลยได้แต่บอกว่า “เขาไม่ผิดหรอก-ผมมันโง่เอง” หากวันนั้นรู้ว่าเปิดบิลสองแสนห้า แล้วพูดมาตรงๆ ว่าเตรียมค่าลงขันยิงแอดอีกห้าแสน คงไม่มีใครเปิดแน่ แต่การบิ้วให้เป็นแบบนี้มันเกิดหลังการเข้าไปอยู่ข้างใน เมื่อเขาเช็ค DNA เราจนมั่นใจ เขาถึงจะ “คายตะขาบ” กว่าจะเข้าใจก็มีคนตามไปหมดตัวไม่รู้กี่พันคน (เอาแค่คูณด้วยสองแสนก็พอนะ)

ถ้าพวกเราออกมาพูดได้ ไม่ได้พูดว่าเขาผิดอย่างไร แค่พูดว่าเราบาดเจ็บแค่ไหน แค่นี้ก็น่าจะช่วยให้คนอีกมากมีโอกาสพูด และคนอีกมหาศาลที่ไม่ต้องล้มละลาย และช่วยให้สังคมไทยเข้าใจมากขึ้นว่า ธุรกิจที่ไม่ผิดกฎหมายอะไรเลยแต่กลับมีคนสูญเสียมากมายนั้น อันตรายมากกว่าธุรกิจ 18 มงกุฎ และที่ไม่มีสื่อหรือหน่วยงานใดโฟกัสเรื่องนี้

เพราะคนผิดที่แท้จริงนั้นคือเจ้าทุกข์ที่ไม่ทันเกมที่เรียกว่า “ขายออนไลน์” เอง ผมรู้ว่าคนของพวกบอสเห็นคอมเมนต์ของผม ฝากไปบอกว่าบุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป เอามาทดแทนกันไม่ได้ อะไรที่ทำแล้วดีก็ขอให้รุ่งเรือง อะไรที่เลวร้ายที่รู้อยู่แก่ใจ ขอให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม

THE STATES TIMES สำรวจความหมาย ‘แชร์ลูกโซ่’ พบระหว่างปี 57-63 เสียหายรวม 3 แสน 9 หมื่นล้าน

(9 ต.ค. 67) แชร์ลูกโซ่ คือหนึ่งในการหลอกลวงที่พบเห็นได้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่แชร์แม่ชม้อยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน The States Times ขอพาผู้อ่านสำรวจถึงความหมาย และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการคดโกงที่เรียกว่า ‘แชร์ลูกโซ่’

แชร์ลูกโซ่ คือ การหลอกให้คุณนำเงินไปร่วมลงทุนกับธุรกิจหรืออะไรก็ตามโดยขายฝันความร่ำรวยที่เกินจริงด้วยวิธีการต่างๆ ที่ซับซ้อน เช่น 

- การเปิดระดมทุนไม่อั้น และชวนทุกคนมาร่วมลงทุนด้วย
- บอกว่าผลกำไรในการลงทุนนั้นสูงมาก แต่ตรวจสอบข้อมูลการลงทุนไม่ได้ 
- ถูกคะยั้นคะยอให้รีบตัดสินใจลงทุน
- มีการจัดอบรมสัมมนาใหญ่โต พร้อมทั้งอ้างคนที่มีชื่อเสียงมาร่วมลงทุนเพื่อหว่านล้อมเราอีกด้วย เป็นต้น

ด้านกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ได้เผยแพร่ผลการวิจัยเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ซึ่งพบว่า ผู้เสียหายในคดีแชร์ลูกโซ่ส่วนใหญ่ ร้อยละ 85 รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าเป็นลงทุนแชร์ลูกโซ่ แต่ก็ยังลงทุนเพราะผลประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับนั้นสูงมาก มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น ที่ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าที่ตนเองนำเงินไปลงทุนนั้นเป็นการลงทุนในธุรกิจแชร์ลูกโซ่

สำหรับความเสียหายที่เกิดจากแชร์ลูกโซ่นั้น สำนักงานกิจการยุติธรรม ได้มีการเผยแพร่สถิติ I ปี 2563 ไว้ว่า 

สถิติระหว่าง 2557 - 2563
- มีเรื่องมากกว่า 1,290 เรื่อง 
- จำนวนผู้เสียหายกว่า 38,800 คน 
- รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 3 แสน 9 หมื่นล้านบาท

‘มนพร เจริญศรี’ เผย พิจารณาใช้ประโยชน์ที่ดินท่าเรือคลองเตย ขณะนี้ไม่มีแผนผุด ‘Entertainment Complex’ กลางนคร

(9 ต.ค. 67) นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ความคืบหน้าหลังจากที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) โดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานแล้วนั้น ขณะนี้ นายสุริยะอยู่ระหว่าง จัดสรรกำหนดการประชุมครั้งแรกให้ได้ภายในเดือน ต.ค. 2567 นี้

ทั้งนี้ เบื้องต้น คณะกรรมการพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ท่าเรือคลองเตยฯ ได้เตรียมจัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านบริหารพื้นที่, ด้านการใช้ประโยชน์พื้นที่, ด้านการดูแลชุมชน  เพื่อทำหน้าที่ดูรายละเอียดในแต่ละเรื่อง นำมาประกอบการพิจารณา

นางมนพรกล่าวว่า ประเด็นสำคัญในตอนนี้คือ ในพื้นที่ของท่าเรือคลองเตย ทางกรมศุลกากรได้นำไม้พะยูงที่ตรวจยึดจากคดีความต่างๆ มาขอใช้พื้นที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ประมาณ 20 ไร่ ซึ่งทางกระทรวงคมนาคมเห็นว่า ทางกรมศุลกากรควรขนย้ายออกไปใช้พื้นที่อื่น เนื่องจาก กทท.และกระทรวงเห็นว่า ควรนำพื้นที่ดังกล่าวมาทำประโยชน์ด้านอื่น

ผู้สื่อข่าวถามว่าในการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือคลองเตย มีเอกชนรายใดสนใจที่จะเข้ามาลงทุนการทำสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) หรือไม่ นางมนพรกล่าวว่า ยืนยันว่ารัฐบาลยังไม่มีแผนที่จะทำสถานบันเทิงครบวงจรในขณะนี้ ท่าเรือคลองเตยมีแผนพัฒนาให้เป็นท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Port) เท่านั้น ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดรวม 2,300 ไร่ แต่ยอมรับว่า ในพื้นที่นี้มีแผนจะจัดสรรบางส่วนพัฒนาเชิงพาณิชย์ เป็นโครงการแบบ Mixed Use  ซึ่งก็มีกลุ่มเอกชนที่สนใจ เช่น  กลุ่มธุรกิจเครือเซ็นทรัล ซึ่งทางเซ็นทรัลเคยทำผลการศึกษาพื้นที่นี้มาก่อน

ส่วนการบริหารจัดการพื้นที่ชุมชนคลองเตย นางมนพรกล่าวว่า กระทรวงคมนาคมไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงในการจัดสรรที่อยู่อาศัยให้คนกลุ่มนี้   ในเบื้องต้นจะไม่เข้าไปยุ่งโดยตรง แต่ในแผนพัฒนาพื้นที่ท่าเรือคลองเตย ก็มีแผนที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยให้อยู่แล้ว  โดยสั่งการนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ดูต้นแบบการพัฒนาแฟลตดินแดงใหม่ของการเคหะแห่งชาติ ว่าแนวคิดมีกระบวนการอย่างไร ซึ่งเป็นประเด็นที่จะหารือในการประชุมครั้งแรกนี้ด้วย

สำหรับพื้นที่คลังเก็บน้ำมันของ บจ.เชลล์แห่งประเทศไทย, บมจ.ปตท. และบมจ.บางจากคอร์ปอเรชั่น นั้น นางมนพรกล่าวว่า การย้ายคลังน้ำมันออกจากพื้นที่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องดูก่อนว่าระยะเวลาเช่าพื้นที่เหลืออีกเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ได้ให้กทท.เร่งงานถมทะเล เพื่อก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ด้วย เพราะกรณีที่จำเป็นต้องย้ายคลังน้ำมันออกจากท่าเรือคลองเตย ก็น่าจะไปที่แหลมฉบัง ซึ่งต้องมีการพิจารณาแผน ว่าจะจัดเตรียมพื้นที่รองรับอย่างไร และรัฐบาลต้องสนับสนุนอะไรหรือไม่

เปิดใจครั้งแรก บอสพอล The iCon หลังกระแสดราม่าถาโถมหนัก

(9 ต.ค. 67) นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ อาณาจักรธุรกิจออนไลน์ ดิไอคอนกรุ๊ป (The iCon Group) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า

สวัสดีทุกท่านครับ
ผมขอเรียนชี้แจง
ผ่านทางช่องทางนี้นะครับ

ตลอดระยะเวลาที่ผมทำธุรกิจ
ขายปลีก-ขายส่ง ผ่านระบบตัวแทน
ภายใต้ บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป
มาเป็นระยะเวลา 6 ปีกว่าแล้ว

ผมเชื่อมั่นว่า…
ผมดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใส
มาโดยตลอด

แต่จากเหตุการณ์
ที่เกิดเป็นกระแสสังคมขึ้น ณ ขณะนี้
ผมติดตามข้อมูลต่อเนื่องมา
และรู้สึกเสียใจอย่างมาก
ที่เกิดเหตุว่า…
มีผู้เสียหายเกิดขึ้น
เนื่องจากการทำธุรกิจ
กับบริษัทของผม

ผมได้ให้ทีมงานตรวจสอบข้อมูล
ปรากฏมีหลายเคส
ตามที่เกิดดราม่า
ที่ออกมา ต่อว่า ด่าทอบริษัท
กลับไม่ได้เป็น ตัวแทนจำหน่ายของผม
แบบที่เค้ากล่าวอ้างเลย
และมีอีกหลายเคส
ที่ ขายของ กับบริษัทผม
แล้วได้เงินกำไรไปจำนวนมาก
แต่ก็กลับมาต่อว่า ด่าทอ
ในโลกโซเชียลเช่นเดียวกัน

ผมยอมรับตรงๆว่าผม
งง และ สับสนมากครับ
พยามตั้งสติ 
พยามติดตาม ดูข้อมูล
ว่าอันไหนเป็นข้อมูลจริง 
อันไหน เป็นการกลั่นแกล้ง 
ใส่ความ ปลุกปั่น
บ้างก็ด่าเอามัน เอาสะใจ 
โดยมีข้อมูลถึงขั้นที่ว่า
ทำธุรกิจกับบริษัทของผม
แล้วฆ่าตัวตาย
อันนี้คือประเด็นใหญ่ที่สุด
ที่ผมเองไม่เคย ได้รู้มาก่อนเลยครับ

และยังคงสงสัยอยู่ว่า
ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้
แล้วทำไม ?
ถึงไม่มีใครในองค์กร
รู้มาก่อนบ้างเลย

อย่างไรก็ตาม
ถ้าเป็นเรื่องจริง
ผมคงรู้สึกเสียใจมาก
และอยากที่จะ ช่วยเหลือ เยียวยา
ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย อย่างเต็มที่ครับ
ขอเพียง ท่านติดต่อกลับมา ที่บริษัท
แต่ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า
ผมไม่เคยทราบข้อมูลมาก่อนจริงๆ

ส่วนที่ถามว่าทำไม
ผมถึงยังไม่ออกมาพูดอะไร
ผมขอตอบตรงๆว่า
เมื่อไตร่ตรองโดยสติแล้ว
ผมคิดว่า…
ไม่ว่าจะตอบ อะไร ออกมา
ในช่วงที่กระแสสังคม
เปรียบเหมือนน้ำเชี่ยว
จากการรับข้อมูล “ทางเดียว” ในตอนนี้
ยิ่งจะเป็นการทำให้สถานการณ์
ที่หนักอยู่แล้ว หนักยิ่งขึ้น

ผมจึงใช้เวลาทั้งหมดในการเตรียม
ข้อมูล ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง 
รวมทั้งหลักฐานต่างๆ
ที่จะชี้แจงให้ทราบ
ผ่านกระบวนการยุติธรรม ทางกฎหมาย
ผมพร้อมเข้าสู่กระบวนการ
เพราะผมเชื่อว่า…
เราต่างเป็นสุจริตชน
ที่อยู่ภายใต้ “กฎหมาย”
ไม่ใช่การใช้ “กฎหมู่” 
หรือกระแสสังคม ในการทำลายกัน
ผมพร้อมจะเข้าไป แสดงตัว 
”มอบตัวกับตำรวจ“
ตามที่ตำรวจจะแจ้งให้ทราบทุกเมื่อ
ผมรอพิสูจน์ความจริง อยู่ตรงนี้
ไม่หนีไปไหน แน่นอนครับ!!!
และพร้อม นำข้อเท็จจริง
และหลักฐานทั้งหมด
เข้าชี้แจงผ่าน “กระบวนการยุติธรรม”
ทุกท่านอดใจรอหน่อยนะครับ 
เดี๋ยวความจริงก็จะเปิดเผยออกมา
ให้ทุกท่านทราบ…
ถ้าผมทำผิด ตามที่ถูกกล่าวหา
ผมย่อมจะต้องได้รับโทษทางกฎหมาย
อย่างถึงที่สุด แน่นอนครับ
เมื่อถึงวันนั้นค่อยด่าทอ 
ประณาม เหยียบย่ำ
ผมได้เลยครับ 
เชื่อว่า… ไม่ช้าเกินไป
แต่วันนี้ ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ครับ
และผมเชื่อ ในความบริสุทธิ์ ของผม
ผมส่องกระจกดูตัวเองแล้ว
ผมยังสามารถ สบตาตัวเองได้
“อย่างเต็มตา”
ในขณะเดียวกัน
ผมก็สลดใจ ที่ตัวเอง และ องค์กร
ต้องมาถูกเหยียบย่ำ ทำลาย ต่างๆ นาๆ
ในขณะที่ยังไม่ได้มีการตัดสิน
จากกระบวนการยุติธรรม
ที่พวกเรา เชื่อมั่น เชื่อถือ
ผมอยาก ขอร้อง วิงวอนให้ทุกท่าน 
โปรดให้โอกาสผมและองค์กร
ได้พิสูจน์ตัวเอง
ผ่านกระบวนการยุติธรรม
ก่อนที่จะด่วนตัดสินกัน นะครับ
ขอบคุณครับ

‘รองนายกฯประเสริฐ’ เดินหน้าสร้างโอกาสใหม่ประเทศไทย วางกลไกส่งเสริม ‘อุตสาหกรรมอีสปอร์ต-เกม-แอนิเมชันและคาแรกเตอร์’ ปูทางอาชีพคนรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคต

เมื่อวานนี้ (9 ต.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี)  เปิดเผยถึงการเดินหน้าสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทย เร่งวางกลไกส่งเสริมอุตสาหกรรมอีสปอร์ต เกม และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องผ่านนโยบาย Esports Games 2025: Overcoming the Thailand’s Challenges ‘แก้ปัญหาสู่โอกาสใหม่ประเทศไทย’ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมเกม คาแรกเตอร์ แอนิเมชัน และอีสปอร์ตทั้งระบบ คาดช่วยขับเคลื่อนมูลค่าอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์แตะ 1 แสนล้านบาทในอนาคต ว่าหนึ่งในแผนงานสำคัญภายใต้นโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกระทรวง หรือ The Growth Engine of Thailand คือการสร้างให้ประเทศไทยเป็นโลกใหม่ของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (New World of Digital Content) ทั้งเกม คาแรกเตอร์ แอนิเมชัน และอีสปอร์ต อีกทั้งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมตลอดทั้งห่วงโซ่ โดย กระทรวงดีอี มองว่า อุตสาหกรรมอีสปอร์ต เกม และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องคือ ‘โอกาสใหม่ของประเทศไทย’

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า จึงได้กำหนดนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมอีสปอร์ต เกม และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในชื่อ Esports Games 2025: Overcoming the Thailand’s Challenges ‘แก้ปัญหาสู่โอกาสใหม่ประเทศไทย’ เพื่อเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมเกม คาแรกเตอร์ แอนิเมชัน และอีสปอร์ตทั้งระบบ โดยภาครัฐจะเร่งต่อยอดความสนใจ พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่ โดยวางรากฐานการพัฒนากำลังคนรุ่นใหม่ผ่านการเสริมทักษะและความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ให้พร้อมรองรับความต้องการภายในประเทศและต่างประเทศ ออกแบบระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงระเบียบและข้อบังคับที่สนับสนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอีสปอร์ต เกม และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมเปิดรับความคิดเห็นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยในเวทีโลกอย่างเป็นรูปธรรม 

ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า นโยบาย Esports Games 2025: Overcoming the Thailand’s Challenges “แก้ปัญหาสู่โอกาสใหม่ประเทศไทย” ถือเป็นแนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม คาแรกเตอร์ แอนิเมชัน และอีสปอร์ต ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดย ดีป้า พร้อมดำเนินการตามแนวทางที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี มอบหมาย โดยจะต่อยอดแรงบันดาลใจ พร้อมชี้ช่องทางประกอบอาชีพใหม่แก่เด็ก เยาวชน ผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกม นักศึกษาจบใหม่ และบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมผ่านกลไกการยกระดับทักษะความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนานักกีฬาอีสปอร์ต โค้ช หรือแม้แต่ผู้จัดการแข่งขันในอุตสหากรรมอีสปอร์ต รวมถึงบุคลากรในอาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งนักออกแบบคาแรกเตอร์ นักพัฒนาแอนิเมชัน แอนิเมเตอร์ นักออกแบบสตอรี่ นักพัฒนาเกม ผู้ผลิตเกม ผู้จัดจำหน่ายเกม แอนิเมชัน และคาแรกเตอร์ เป็นต้น

กระทรวงดีอี โดย ดีป้า พร้อมเป็นเจ้าภาพจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ผู้ผลิตและผู้พัฒนาเกม รวมถึงผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่จำหน่ายเกมในประเทศไทย ตลอดจนกำกับดูแลอุตสาหกรรมเกมไทยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการส่งเสริมอุตสาหกรรมอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับยุคสมัยและครอบคลุมในทุกมิติ โดย พ.ร.บ. ดังกล่าวจะช่วยปลดล็อคอุตสาหกรรม สร้างโอกาสใหม่ในการเป็นศูนย์กลางด้านการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมเกมระดับภูมิภาค ซึ่งเกมนับเป็นหนึ่งใน 11 อุตสาหกรรมเป้าหมายซอฟต์พาวเวอร์ที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เร่งผลักดัน ดังนั้น พ.ร.บ.ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกมจะเป็นกฎหมายของประชาชน เป็นกฎหมายสำหรับอนาคตของเยาวชน และเป็นกฎหมายสำหรับโอกาส โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568

นอกจากนี้ กระทรวงดีอี โดย ดีป้า พร้อมสร้างบรรยากาศการลงทุนในอุตสาหกรรมเกม อีสปอร์ต และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างอาคาร Digital Edutainment Complex บนพื้นที่ 20,000 ตารางเมตรในโครงการ Thailand Digital Valley ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี อาคารที่ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ทดสอบทดลองนวัตกรรมดิจิทัล และเป็นระบบนิเวศที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอีสปอร์ต และอุตสาหกรรมเกมไทย และดำเนินการตามแผนพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับคนไทย (Digital Skill Roadmap) โดยเร่งส่งเสริมทักษะดิจิทัลสำหรับอาชีพใหม่แห่งโลกอนาคตผ่านแผนงานทักษะดิจิทัลสำหรับอาชีพยุคใหม่ (Digital-driven Career)

ทั้งนี้ กระทรวงดีอีโดยดีป้า ยังเตรียมจัดทัวร์นาเมนต์อีสปอร์ตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายนนี้ในชื่อ ‘depa ESPORTS TOURNAMENT’ ภายใต้โครงการ depa ESPORTS โดยจะแบ่งการแข่งขันออกเป็นรอบคัดเลือกระดับภูมิภาคใน 8 ภาคทั่วประเทศ และรอบชิงแชมป์ประเทศไทยที่กรุงเทพฯ ด้วยเหตุนี้ กระทรวงดีอี โดย ดีป้า จึงได้ประเมินว่า ภายในระยะเวลา 1 ปีของการดำเนินนโยบายผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมเกม คาแรกเตอร์ แอนิเมชัน และอีสปอร์ต จะช่วยยกระดับสถานศึกษาทั่วประเทศ 55 แห่ง Upskill และ Reskill ทักษะด้านเกม แอนิเมชัน คาแรกเตอร์ และอีสปอร์ตแก่ประชาชนกว่า 1.5 แสนคน เพิ่มความเชี่ยวชาญเพื่อต่อยอดอาชีพขั้นสูงแก่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรมมากกว่า 500 คน ทำให้เกิดการจ้างงาน 30,000 คน กระตุ้นให้เกิดการลงทุนในธุรกิจเกม แอนิเมชัน คาแรกเตอร์ และอีสปอร์ต ทั้งในประเทศและต่างประเทศราว 3,500 ล้านบาท อีกทั้งส่งเสริมธุรกิจเกม แอนิเมชัน คาแรกเตอร์ และอีสปอร์ต 150 บริษัท พร้อมกันนี้ยังประเมินว่า อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านบาทจะขยายตัวต่อเนื่อง และจะขยับสู่ 1 แสนล้านบาทในอนาคต 

'ดีอี' เดินหน้า 4 ภารกิจขับเคลื่อน 'นโยบายเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล' ผลักดันไทยสู่ Digital Hub เร่งวางระบบ e-Document หน่วยงานภาครัฐ อำนวยความสะดวก-ดูแลประชาชน

(10 ต.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจคถและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงดีอี (Top Executives) ครั้งที่ 12/2567 โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดีอี นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัล เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และผ่านระบบ Video Conference

นายประเสริฐ กล่าวว่า จากการหารือร่วมกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงดีอี ดำเนินการขับเคลื่อนการใช้งานระบบ e-Document ในหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกด้านการให้บริการประชาชน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงดีอี ได้ดำเนินการบูรณาการการใช้งานระบบ e-Document ร่วมกับหน่วยงานรัฐในหลายภาคส่วนด้วยกัน 

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้หน่วยงานต่างๆ ให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ ให้กับประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย ซึ่งในส่วนของกระทรวงดีอี ขอให้กรมอุตุนิยมวิทยาดูแลเรื่องของการแจ้งเตือนภัย และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดูแลเรื่องของสัญญาณการสื่อสารให้สามารถใช้งานได้ปกติในทุกพื้นที่ ซึ่งขณะนี้ขอให้เฝ้าระวังเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ที่กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูมรสุม 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการเตรียมความพร้อมและพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน 'ทางรัฐ' เพื่อใช้เป็นแอปพลิเคชันหลัก (ซุปเปอร์แอปฯ) รองรับการให้บริการต่างๆ ที่ภาครัฐจะให้บริการกับประชาชนอย่างครอบคลุม อาทิ การใช้งานด้านสิทธิสวัสดิการต่างๆ หรือการใช้งานตามมาตรการเยียวยาในสถานการณ์อุทกภัยหรือเหตุการณ์ต่างๆ 

ทั้งนี้ในการประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารกระทรวงดีอี มีวาระสำคัญในการร่วมพิจารณา 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.ความพร้อมการเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล (ADGMIN) ประเทศไทยจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล (ASEAN Digital Ministers Meeting: ADGMIN) ครั้งที่ 5 ในช่วงวันที่ 13 - 17 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน ประกอบด้วยประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ สำนักเลขาธิการอาเซียน ร่วมด้วยติมอร์-เลสเต ในฐานะผู้สังเกตการณ์ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านดิจิทัล การดำเนินการตามแผนแม่บท ASEAN Digital Masterplan 2025 

นอกจากนี้ยังมีการประชุม ADGMIN ร่วมกับคู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา อินเดีย และสหภาโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นที่สำคัญด้านความร่วมมือด้านดิจิทัล การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่เพื่อสนับสนุนด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล 

2. การเชื่อมโยงระบบข้อมูลสุขภาพโครงการ '30 บาท รักษาทุกที่' ในพื้นที่ กทม. โดยสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เป็นผู้ดำเนินการในการพัฒนาและขับเคลื่อนแพลตฟอร์มกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างหน่วยงาน ผ่านแพลตฟอร์ม Health Link เพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประชาชนที่ใช้บริการในหน่วยบริการของกทม. หน่วยบริการในสังกัด สปสช. ร้านยา และคลินิกชุมชน จำนวน 1,564 แห่ง สอดรับกับนโยบายรัฐบาล '30 บาทรักษาทุกที่'  ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว

สำหรับการเชื่อมโยงระบบระหว่างหน่วยงานให้บริการสุขภาพดังกล่าวทจะสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของประชาชน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการให้บริการประชาชน เพิ่มความแม่นยำในการตรวจวินิจฉัยรักษาโรคของแพทย์ การจ่ายยารักษาโรคที่ตรงตามใบสั่งยาจากแพทย์ ปัจจุบันหน่วยงานที่สังกัด สปสช. ส่วนใหญ่มีการเชื่อมโยงระบบ Health Link สำเร็จแล้ว 

3.โครงการแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านท่องเที่ยวแห่งชาติ (National Tourism Intelligent Data Platform: Travel Link) โดยสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ได้ดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ เชื่อมโยงข้อมูล ตลอดจนวิเคราะห์ข้อมูลด้านการท่องเที่ยว และแสดงผลข้อมูลเชิงลึกในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้ประโยชน์ข้อมูลในการวางแผนนโยบายด้านการท่องเที่ยวของภาครัฐ และการตัดสินใจทางธุรกิจและการตลาดด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยมี 4 พื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดพังงา และพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบว่า ความต้องการของภาครัฐและภาคธุรกิจ ต้องการมากที่สุด คือ พฤติกรรมการเคลื่อนตัวของนักท่องเที่ยว 

ทั้งนี้โครงการ Travel Link ได้ดำเนินวิเคราะห์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวจากข้อมูลเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เพื่อเผยแพร่ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการใช้ผลการวิเคราะห์สำหรับงานด้านนโยบาย ผ่านการแสดงผลในรูปแบบรายงาน (Report) ที่จะทำให้เกิดการใช้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศ โดยปัจจุบันได้มีการนำข้อมูลเสาสัญญาณมือถือในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดพังงา มาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลประชากรที่เข้ามาในพื้นที่ ซึ่งทำให้สามารถวิเคราะห์ผลการกระจายตัว การเดินทาง ระยะเวลาการอยู่หรือพำนักในพื้นที่ การท่องเที่ยวเมืองรอง ของนักท่องเที่ยวที่มาจากจังหวัดอื่น ๆ นอกพื้นที่ที่สนใจได้ในระดับรายวัน ก่อนขยายผลไปในระดับชั่วโมง โดยขณะนี้เริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมแล้วใน 2 จังหวัดคือ นครราชสีมาและพังงา

4. ความคืบหน้าการเตรียมจัดงาน The Global Forum on the Ethics of Artificial Intelligence in 2025 รัฐบาลไทย โดย กระทรวงดีอี (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต..) และ ยูเนสโก (UNESCO) เตรียมความพร้อมเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดงาน ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณเดือนมิถุนายน 2568 โดยในเดือนตุลาคม 2567 นี้จะมีการเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบให้มีการลงนาม Host Country Agreement

สำหรับงาน The Global Forum on the Ethics of AI in 2025 ประเทศไทย จัดขึ้นภายใต้แนวคิด 'AI Governace in Action' เพื่อต่อยอดแพลตฟอร์ม และข้อเสนอแนะ AI Ethics Recommendation ของยูเนสโก ไปสู่การปฏิบัติ โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพของบุคลากร AI โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งคาดว่าภายในงานจะมีรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จาก 70 ประเทศ กว่า 800 คนเข้าร่วม 

“การประชุมผู้บริหารฯ ได้ครั้งนี้ เป็นการติดตามภารกิจการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของกระทรวงดีอี ทั้งในระดับโลก ภูมิภาคอาเซียน และภายในประเทศ เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การพัฒนาทักษะทรัพยากรบุคคลดิจิทัล ด้าน AI การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อใช้สนับสนุนในภาคธุรกิจเศรษฐกิจดิจิทัล การใช้งานและการสร้างความเชื่อมั่นในการใช้งานดิจิทัลในชีวิตประจำวันของประชาชน ซึ่งเป็นไปตามการมุ่งมั่นส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของรัฐบาล เพื่อการก้าวสู่การเป็น Digital Hub ของภูมิภาค ” นายประเสริฐ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top