Tuesday, 3 June 2025
GoodVoice

'เผ่าภูมิ' ปลื้ม 'ธนารักษ์' จัดเก็บ 1.4 หมื่นล้าน ทะลุเป้า 25% พุ่งขึ้น 58% สูงสุดในรอบ 91 ปี ตั้งแต่ก่อตั้ง

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการจัดเก็บรายได้ของกรมธนารักษ์ปีงบประมาณ 2567 ดังนี้

1. จัดเก็บรายได้ประจำปีงบประมาณ 2567 รวม 14,419 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 57.9% สูงกว่าประมาณการ 25.4% สูงที่สุดในรอบ 91 ปี สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดการประมูลที่ราชพัสดุทั่วประเทศ การต่อสัญญาผู้เช่ารายใหญ่อย่างมียุทธศาสตร์ การเพิ่มพื้นที่การจัดหาประโยชน์ รวมถึงค่าทดแทนเวนคืนที่ดินต่างๆ

2. มีจำนวนผู้เช่าที่ราชพัสดุ 225,820 ราย แบ่งเป็นเชิงสังคม 86% และเชิงพาณิชย์ 14% หากคิดเป็นสัดส่วนรายได้ กรมธนารักษ์มีรายได้จากเชิงพาณิชย์สูงถึง 98% และเชิงสังคม 2% ทั้งนี้กรมธนารักษ์ได้มอบค่าเช่าราคาต่ำให้แก่ที่ราชพัสดุเพื่อที่อยู่อาศัยและเพื่อประกอบการเกษตร เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์

3. กรมธนารักษ์ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่การจัดหาประโยชน์ในที่ราชพัสดุปีละ 9-10% โดยเร่งเรียกคืนที่ราชพัสดุในครอบครองของหน่วยงานรัฐ แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยในปีงบ 2567 ได้ดำเนินการแล้วเสร็จราว 24,000 ไร่ ซึ่งในส่วนนี้จะนำมาสู่การจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

4. ตั้งเป้ารายได้รวม 55,000 ในแผนระยะ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2566-2570 โดยเร่งเพิ่มค่าเช่าสำหรับเพื่อการพาณิชย์ของภาคเอกชนโดยมีเป้าหมาย ROA ที่ 3% แต่ยังคงดำเนินนโยบายค่าเช่าผ่อนปรนให้กับประชาชนที่เช่าในเพื่อที่อยู่อาศัยและเกษตรกรรม

5. ในปีงบประมาณ 2568 กรมธนารักษ์จะดำเนินโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ มอบสัญญาเช่าที่ดินที่ราคาต่ำให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เราตั้งเป้าทำให้ดีขึ้น เร็วขึ้น มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยและอาชีพให้ประชาชนที่มีรายได้น้อย

'พาณิชย์' ขานรับนโยบาย 'นายกฯ' ชูไทยเป็นคลังอาหารของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เสริมความมั่นคงทางอาหารโลก (Food Security) พร้อม ‘ผลิตสินค้า-เก็บรักษา-ส่งทันที 24 ชม.’ 

'นายพิชัย นริพทะพันธุ์' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุม ACD summit ครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แสดงบทบาทผู้นำของประเทศไทยอย่างยอดเยี่ยม และเป็นที่ชื่นชมของผู้นำต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งมีผู้นำหลายประเทศมาขอร่วมถ่ายภาพด้วย ล่าสุดติดอันดับ 100 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตของนิตยสาร TIME ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์ โดยเสนอว่าในภาวะที่ความไม่สงบและมีความผันผวนในบริเวณกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ที่อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นได้ จึงได้เสนอแนวคิดความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) 

โดยประเทศไทยจะเสนอเป็นประเทศที่จะผลิตอาหารเพื่อจำหน่าย อีกทั้งเก็บรักษาพร้อมส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางทันทีภายใน 24 ชม. หากมีความรุนแรงและความขาดแคลนในอาหารในกลุ่มประเทศดังกล่าว ซึ่งสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าประชาชนในกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางจะไม่ขาดแคลนอาหาร ซึ่งทำให้ประเทศต่างๆให้ความสนใจอย่างมาก เช่น UAE,  Qatar, Kuwait, Oman เป็นต้น โดยประเทศไทยจะสามารถขายสินค้าเกษตร และ อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานและเก็บรักษาในประเทศไทยพร้อมส่งมอบทันทีให้กับประเทศในตะวันออกกลาง

รมว.พาณิชย์ กล่าวต่อไปว่า ท่านนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์​ สานต่อความร่วมมือด้านการสร้างคลังอาหารกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเพื่อรับมือกับความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ต่อไปให้สำเร็จ โดยตนได้มีโอกาสหารือกับรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศโอมาน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและส่งเสริมโอกาสความร่วมมือการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งแสดงความพร้อมของไทยในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพเพื่อเป็นคลังอาหารให้แก่ทั้งสองประเทศเพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร

นอกจากนี้นายพิชัย ได้หารือกับดร.ธานี บินอาเหม็ด อัลเซ ยูดี (Dr. Thani Bin Ahmed Al Zeyoudi) รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยกล่าวว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของไทยในตะวันออกกลาง และไทยได้แสดงความพร้อมและศักยภาพที่จะเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จึงได้เชิญชวนมาลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและสินค้าเกษตรของไทย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังแสดงเจตนารมน์ที่จะสรุปผลการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ยูเออี ในโอกาสแรก

โดย รมว.พาณิชย์ ยังได้หารือกับ ดร. ซาอิด โมฮัมเหม็ด (Dr. Said Mohammed Al-Saqri) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจโอมาน เพื่อพูดคุยหารือแนวทางการขยายการค้าระหว่างกัน ทางฝ่ายโอมานได้ชื่นชมพัฒนาการด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจของไทย และเห็นว่าสองฝ่ายควรร่วมมือกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยฝ่ายโอมานแสดงความสนใจต่อบทบาทการเป็นคลังอาหารให้แก่โอมาน พร้อมทั้งเชิญชวนโอมานเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ฝ่ายโอมานแสดงความประสงค์ที่จะจัดทำความตกลงคุ้มครองการลงทุนระหว่างกันเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนอีกด้วย 

“กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของท่านนายกฯ ซึ่งได้เชิญชวน และแสดงความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นคลังอาหารให้กับประเทศตะวันออกกลาง โดยในการหารือทวิภาคีวงต่าง ๆ ระหว่างผมกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ก็ได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของไทยในการผลิตอาหารและการมีสินค้าฮาลาลคุณภาพสูง โดยประเทศต่าง ๆ มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทย และใช้ไทยเป็นคลังอาหารเพื่อจัดหาและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังประเทศในตะวันออกกลาง เพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร” นายพิชัยกล่าว

ปลัดกระทรวงพลังงาน เผย การประหยัดไฟคือภูมิคุ้มกันจากราคาพลังงานผันผวน กฟผ. เตรียมติดฉลากเบอร์ 5 เพิ่ม 3 ผลิตภัณฑ์ 'ตู้อบผ้า-ตู้แช่แข็ง-โคมไฟโซลาร์เซลล์'

(4 ต.ค. 67) ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาพื้นฐาน และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมลงนามความร่วมมือโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 พร้อมอบโล่โครงการที่ปรึกษาพลังงาน และโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ณ สำนักงานใหญ่ กฟผ. จ.นนทบุรี เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งสู่พลังงานสะอาดและความเป็นกลางทางคาร์บอน ตามเป้าหมายของประเทศ

ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า โครงการฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นโครงการที่ทั้งกระทรวงพลังงาน และ กฟผ. ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมา 29 ปีแล้ว เป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะด้านการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนและสังคม  และมีชื่อเสียงในระดับโลก 

ท่ามกลางสถานการณ์ Geopolitic ที่ผันผวน ซึ่งทำให้ราคาพลังงานไม่ว่าจะเป็นก๊าซและน้ำมันทั้งระดับโลกและประเทศไทยมีความผันผวน สิ่งที่เป็นภูมิคุ้มกันในการลดผลกระทบจากความผันผวนดังกล่าวได้ดีที่สุด คือการประหยัดพลังงาน 

ซึ่งมีมาตรฐานฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จะสามารถสร้างหรือเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมไทยได้ในอนาคต 

ด้านนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ. ได้ดำเนินงานจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า หรือ DSM ผ่านกลยุทธ์ 3 อ. เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลยุทธ์ 3 อ. ได้แก่ 

อ. ที่ 1 อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ซึ่งปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 แล้ว ทั้งหมด 26 ผลิตภัณฑ์ รวมมากกว่า 502 ฉลาก

อ. ที่ 2 อาคารและอุตสาหกรรมประสิทธิภาพพลังงานสูง

อ. ที่ 3 อุปนิสัยการใช้พลังงานคุ้มค่าและปลอดภัย เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา และภาคที่อยู่อาศัย ใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยมาตรการที่เหมาะสมและคุ้มค่า 

จากกลยุทธ์ในการดำเนินการดังกล่าวของ กฟผ. ส่งผลให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้กว่า 38,000 ล้านหน่วย คิดเป็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 21 ล้านตัน

นอกจากนี้ยังมีการลงนามความร่วมมือ 2 โครงการ คือ 

โครงการที่ 1 คือ โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ปี 2567 ระหว่าง กฟผ. กับผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาและยกระดับอุปกรณ์สู่มาตรฐานประสิทธิภาพสูง ช่วยลดค่าไฟฟ้า และตอบสนองนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ ทดสอบผลิตภัณฑ์เพื่อติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 รวม 40 ราย 3 ผลิตภัณฑ์ คือ 

เครื่องอบผ้า สำหรับอบเพื่อให้เสื้อผ้าแห้งสนิทด้วยความร้อน 

ตู้แช่แข็งฝาทึบ ตู้ที่ทำความเย็นทำให้วัตถุที่แช่แข็งมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง โดยทั่วไปจะทำอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -15 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า สำหรับเก็บรักษาอาหารที่ต้องการเก็บเป็นระยะเวลานาน เช่นไอศกรีม เนื้อสัตว์ หรืออาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง เป็นต้น 

และโคมไฟถนนแอลอีดีเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์ส่องสว่างประสิทธิภาพสูงที่ใช้แหล่งพลังงานจากแสงอาทิตย์สะสมพลังงานด้วยแบตเตอรี่ สำหรับส่องสว่างถนนหรือสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงกลางคืน

และโครงการที่ 2 คือ โครงการความร่วมมือด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษา (โครงการห้องเรียนสีเขียว) ระหว่าง กฟผ. กับ สพฐ. เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือในการส่งต่อองค์ความรู้ ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ แก่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียน มุ่งสู่สังคมแห่งการเรียนรู้สีเขียว (Green Learning Society) ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนในโครงการกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ 

ภายในงาน กฟผ. ได้มอบโล่แสดงความขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมโครงการกับ กฟผ.ในปี 2566 ที่ผ่านมา อาทิ องค์กรที่เข้าร่วมโครงการที่ปรึกษาพลังงาน ผู้เข้าร่วมโครงการบ้านและอาคารเบอร์ 5 ผู้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนเบอร์ 5 และผู้ประกอบการที่ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ใน 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย แผงเซลล์แสงอาทิตย์ โคมไฟถนน อินเวอร์เตอร์ที่ใช้กับระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่เชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศแบบหลายชุด แฟนคอยล์ (VRF)

นายจ้างไม่ปลื้มพนักงาน GenZ ‘ไม่พร้อมทำงาน-สื่อสารแย่’ แต่ยังมีมุมเด่น ‘เก่งดิจิทัล-อยากเป็นเจ้าของกิจการ-กล้าคิดกล้าพูด’

หนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยในโลกการทำงานสมัยนี้คือ วัยทำงานชาว Gen Z มักถูกโดนเหยียดอายุในที่ทำงาน นายจ้างบางบริษัทสะท้อนว่า การทำงานกับพนักงานรุ่นนี้ช่างยากเย็น และในที่สุดพวกเขาก็เลิกจ้างพนักงาน Gen Z ที่เพิ่งเรียนจบใหม่ หลังพวกเขาทำงานได้ไม่กี่เดือน

จากการสำรวจล่าสุดของ Intelligent แพลตฟอร์มช่วยเหลือด้านการทำงานอย่างมืออาชีพให้คนรุ่นใหม่ เปิดเผยความเห็น 6 ใน 10 ของนายจ้างกลุ่มตัวอย่าง ระบุว่า พวกเขาตัดสินใจไล่พนักงานกลุ่ม Gen Z ออกจากงาน ทั้งที่เพิ่งจ้างมาใหม่เมื่อต้นปีนี้ 

นอกจากนี้ 1 ใน 6 ของนายจ้างกลุ่มตัวอย่าง ระบุว่า พวกเขาลังเลที่จะจ้างงานเด็กจบใหม่ ขณะที่เจ้านาย 1 ใน 7 ยอมรับว่าพวกเขาอาจหลีกเลี่ยงไม่จ้างงานเด็กรุ่น Gen Z ที่จบใหม่ในปีหน้า (ผลสำรวจข้างต้นทำการสำรวจผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาเกือบ 1,000 คน) 

นายจ้างไม่ปลื้ม Gen Z เพราะ “ไม่พร้อมทำงาน และไม่เป็นมืออาชีพ” 
รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุถึงเหตุผลที่นายจ้างไม่พอใจพนักงานรุ่น Gen Z เป็นเพราะพวกเขามองว่า วัยทำงานรุ่นใหม่ในปัจจุบันขาดแรงจูงใจหรือความคิดริเริ่ม โดย 50% ของผู้บริหารองค์กรชี้ว่า สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้พนักงานรุ่นใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ยังมองว่าคนรุ่น Gen Z ขาดความเป็นมืออาชีพ ไม่มีระเบียบ และมีทักษะการสื่อสารที่ไม่ดี การมาทำงานและประชุมสายบ่อยครั้ง ไม่สวมเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับที่ทำงาน และการใช้ภาษาที่เหมาะสมกับสถานที่ทำงานฯลฯ สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบการการทำงานจนนายจ้างตัดสินใจไล่พนักงานกลุ่มนี้ออกจากงาน 

อีกทั้ง 50% ของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) กลุ่มตัวอย่าง ก็สะท้อนความเห็นว่า เด็กจบใหม่รุ่น Gen Z ไม่พร้อมสำหรับโลกของการทำงาน และอีกจำนวนหนึ่ง (20%) บอกว่า วัยทำงานรุ่นใหม่ไม่สามารถรับมือกับปริมาณงานได้ สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้เตรียมเด็กให้พร้อมก้าวเข้าสู่โลกการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเริ่มมีมหาวิทยาลัยบางแห่งมองเห็นถึงปัญหาดังกล่าว และได้เร่งแก้ไขด้วยการสอนให้นักศึกษาเตรียมพร้อมสู่การเป็นพนักงาน ตัวอย่างเช่นมหาวิทยาลัย Michigan State ได้เปิดคอร์สสอนนักศึกษาเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับบทสนทนาในการสร้างเครือข่ายด้านอาชีพการงาน รวมไปถึงวิธีการมองหาสัญญาณภาวะเบื่อหน่ายหมดไฟ และสัญญาณของการมองหาหางานใหม่ เป็นต้น

หาก Gen Z อยากมีโอกาสได้งานมากขึ้น ต้องปรับทัศนคติใหม่
นาย ฮุย เหงียน (Huy Nguyen) ที่ปรึกษาหลักด้านการศึกษาและการพัฒนาอาชีพของ Intelligent มีคำแนะนำให้วัยทำงานชาว Gen Z ที่เพิ่งจบใหม่ว่า ลองสังเกตและเรียนรู้วิธีการพูดคุย หรือการมีส่วนร่วมในการทำงานของพนักงานรุ่นพี่ ในที่ทำงาน เพื่อทำความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรในบริษัทที่พวกเขาอยากร่วมงานด้วย แล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม อีกทั้งควรให้ความสำคัญในการฝึกทักษะด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

“จงริเริ่มถามคำถามที่สร้างสรรค์ ขอคำติชม และนำไปใช้ในที่ทำงาน เพื่อแสดงให้หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานเห็นถึงแรงจูงใจที่อยากจะเติบโตในอาชีพการงานของคุณ อีกทั้งควรฝึกการมีทัศนคติเชิงบวก การปฏิบัติตามกำหนดเวลา และอาสาทำงานในโครงการต่างๆ แม้จะอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบโดยตรงของคุณก็ตาม สิ่งนี้จะช่วยให้คุณโดดเด่นและแข็งแกร่งในโลกการทำงาน” เหงียน กล่าวเสริม 
.
ผู้นำองค์กรบางคนยืนกรานว่าทัศนคติเชิงบวกในการทำงาน จะช่วยส่งเสริมอาชีพของคนงานรุ่นใหม่ได้มากกว่าการจบปริญญาตรี

ตามความเห็นของ แอนดี้ แจสซี (Andy Jassy) ซีอีโอคนล่าสุดของ Amazon เขามองว่า ความสำเร็จของหนุ่มสาวในช่วงวัย 20 ปีจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทัศนคติของคุณ เนื่องจากผู้บริหารหรือผู้จัดการในองค์กรส่วนใหญ่ มักชอบทำงานกับคนที่มีทัศนคติเชิงบวกมากกว่า ขณะที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของบริษัท Meta สะท้อนมุมมองว่า พรสวรรค์ในการทำงานและบุคลิกภาพที่เหมาะสม ทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า 

การไล่พนักงาน Gen Z ออก อาจเป็นเรื่องผิดพลาด! 
แม้นายจ้างบางส่วนอยากเลิกจ้างวัยทำงานชาว Gen Z แต่ในอีกมุมหนึ่ง การทำอย่างนั้นอาจเป็นเรื่องผิดพลาด โดย จอย เทย์เลอร์ (Joy Taylor) กรรมการผู้จัดการของบริษัทที่ปรึกษา Alliant อธิบายเรื่องนี้ผ่าน Newsweek ว่า นายจ้างยุคนี้จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับคนรุ่น Gen Z หากไล่พวกเขาออก “นั่นจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่” การดูแลเวิร์กโฟลว์ระหว่างพนักงานทุกรุ่นในองค์กรให้ราบรื่นนั้น มีความสำคัญต่อการรับมือความท้าทายทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2025 ตั้งแต่การวางแผนการสืบทอดตำแหน่ง ไปจนถึงการปรับแนวทางวัฒนธรรมองค์กร 

“ไม่ว่านายจ้างจะชอบหรือไม่ก็ตาม คนรุ่น Gen Z กำลังนำมุมมองแบบ Blue Ocean มาสู่วัฒนธรรมการทำงานยุคใหม่ และการต่อต้านความเปลี่ยนแปลงนี้ แทนที่จะยอมรับและปรับตัว ถือเป็นการทำร้ายบริษัทอย่างมาก ส่งผลให้ผู้นำกลุ่ม Gen X หรือ Baby Boomers จำนวนมากไม่สามารถจัดตั้งองค์กรให้ประสบความสำเร็จและมีความยืดหยุ่นในระยะยาวได้ อีกทั้งยังพลาดโอกาสในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของคนรุ่นใหม่” เทย์เลอร์กล่าว

เทย์เลอร์ บอกอีกว่า วัยทำงานรุ่น Gen Z มีพรสวรรค์บางอย่างที่นายจ้างสามารถเรียนรู้ได้ เช่น ความรู้ด้านดิจิทัล จิตวิญญาณของผู้ประกอบการ และความกล้าคิดกล้าพูด

อย่างไรก็ตาม เทย์เลอร์ มีข้อแนะนำถึงบริษัทต่าง ๆ ว่า การเรียนรู้ที่จะชื่นชมพรสวรรค์และความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของคนทุกเจเนอเรชัน จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ธุรกิจที่สามารถใช้ประโยชน์จากพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ได้ จะเป็นผู้ชนะของสนามธุรกิจในที่สุด

‘ดิ เอราวัณ กรุ๊ป’ ดึง Lapis Hospitality ร่วมทุน ‘ฮ็อป อินน์’ เตรียม Spin-off ธุรกิจ พร้อมลุยขยายโรงแรมเพิ่ม 3 ประเทศ

(5 ต.ค.67) ฮ็อป อินน์ ผู้นำโรงแรมระดับบัดเจ็ทที่ดำเนินงานอยู่ทั่วประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น พร้อมปรับกลยุทธ์เจาะตลาดใหม่ขยายฐานสร้างแบรนด์ระดับสากล ตอกย้ำมาตรฐานเดียวกันทุกที่ทุกประเทศ 'Consistency is Yours' เจาะตลาดนักเดินทางที่มองหาความคุ้มค่าทุกประเภททั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทสัญชาติไทยที่มีสาขามากกว่า 70 โรงแรม จำนวนห้องพักรวมมากกว่า 7,000 ห้อง ครอบคลุม 3 ประเทศ ภายใต้การพัฒนาและบริหารของบริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด ในเครือ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ตอบโจทย์นักเดินทางทุกประเภท ตั้งเป้าขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อย 3 ประเทศใหม่ ในเอเชียแปซิฟิก และเดินหน้าเป็นผู้นำเครือข่ายโรงแรมที่ครอบคลุมมากสุดในไทยมากกว่า 40 จังหวัด พร้อมแผนขยายสาขาในประเทศไทย ฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น เพื่อครองใจและเพิ่มฐานลูกค้า ตั้งเป้ารายได้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี(CAGR) มากกว่า 15% ปักธงในปี 2030 ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก

นางสาวพิชานันท์ บุญพร้อมกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพัฒนาธุรกิจ กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีที่ 10 ของโรงแรมฮ็อป อินน์ ตลอด 10 ปี เราสามารถทำได้ตามแผนทั้งการขยายและการรักษาคุณภาพการบริการ เราตั้งเป้าที่ใหญ่และสำคัญในปี 2030 จะขึ้นเป็นเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก เมื่อต้นปีที่ผ่านมาโรงแรมฮ็อป อินน์ ญี่ปุ่น เปิดให้บริการครบ 4 สาขา ในโตเกียวและเกียวโต โดยได้รับเสียงตอบรับที่ดีและเป็นการสร้างฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น จากหลายประเทศหลากหลายทวีป จึงทำให้เรามั่นใจว่าจะขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อยในอีก 3 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

"เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ฮ็อป อินน์ มีความพร้อมด้านการลงทุนตามแผนขยายระยะยาว แผนการ Spin-off ได้รับการอนุมัติโดยคณะกรรมการ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป  (ERW) มีการแยกส่วนบริหารงานและตั้งเป้าหมายแผนการทำงานของแต่ละปีอย่างชัดเจน ตอนนี้เราได้ Strategic partner คือ Lapis Hospitality Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่บริหารจัดการโดยกองทุน Lombard Asia V, L.P.

เข้าร่วมลงทุน 16.09% ที่ ฮ็อป อินน์ มูลค่า 700 ล้านบาท ซึ่งเป็น Partner ที่มีความสามารถประสบการณ์ด้านการลงทุนทั่วเอเชียแปซิฟิก เป็นการเสริมความพร้อมในการยกระดับโรงแรมฮ็อป อินน์ เพื่อก้าวสู่อันดับหนึ่งในเอเชียแปซิฟิก คาดการณ์ว่าจะยื่นเสนอบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2027 เพื่อให้สามารถนำหุ้นออกเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) เพื่อสนับสนุนแผนขยายงานระยะยาว ” คุณพิชานันท์ กล่าวเพิ่มเติม

ด้านนางสาวนลินี กฤษฎาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบริหารธุรกิจ กล่าวว่า “ฮ็อป อินน์ อยากทำให้ทุกการเดินทางของทุกคนง่ายขึ้น เราตั้งใจทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายทุกขั้นตอน หาง่าย จองง่าย พักสบาย ราคาเข้าถึงได้ เราให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องความสม่ำเสมอในทุกมิติ ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีทั้งก่อนและหลังเข้าพักให้กับลูกค้า เรามีนโยบายที่เป็นเจ้าของและบริหารโรงแรมทั้งหมดเอง เพื่อรักษาคุณภาพให้ได้ 100% ของทั้งเครือ โดย 95% เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ทุกโรงแรมมีความสม่ำเสมอ ทั้งด้านการออกแบบรูปลักษณ์ และมาตรฐานการบริการ ที่ไม่ว่าไปพักที่ประเทศใด สาขาไหน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่เพิ่งเปิด หรือเปิดบริการมา 10 ปี จะได้รับประสบการณ์เดียวกันทุกที่ ที่กล่าวมาข้างต้นมาจากความตั้งใจของทีมงานทุกคน ซึ่งสะท้อนคำมั่นสัญญาตลอด 10 ปี ที่มอบให้กับลูกค้า 'Consistency is Yours' หรือ 'ความสม่ำเสมอเป็นของคุณเสมอ' เราให้บริการลูกค้ามากกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี ทีมงานทุกคนขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่มาเข้าพักกับเรา ฮ็อป อินน์ มีความพร้อมที่จะมอบการบริการที่ดีมีคุณภาพในทุกประเทศที่เราไปขยายและมั่นใจว่าแบรนด์จะเป็นที่ยอมรับในระดับสากล” กล่าวทิ้งท้าย

‘เอกนัฏ’ ปิดช่องนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน สั่งการ!! สมอ.ร่วมกรมศุลฯ คุมเข้มสินค้า ‘กลุ่ม Exempt 5’

(5 ต.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้ามาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐานภายใต้นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมไทย โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดสั่ง สมอ. ร่วมกับกรมศุลกากร ปิดช่องทางการนำเข้าสินค้าที่ สมอ. ควบคุม ที่นำเข้ามาโดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการจำหน่ายและไม่เกินจำนวนที่กำหนด หรือ EXEMPT 5 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน 

นอกจากนี้ ได้เร่งรัดให้ สมอ. หารือกับกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายในการป้องกันและปราบปรามสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ตั้งแต่การนำเข้า ผลิต และจำหน่าย ให้ถึงมือประชาชนด้วยความปลอดภัย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ตนได้มอบให้หน่วยงานในสังกัดเดินหน้าปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย เพื่อรับโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของโลก

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สมอ. ได้ร่วมกับกรมศุลกากร ปิดช่องทาง EXEMPT 5 และเปิดเป็น 'ศูนย์เฉพาะกิจรับแจ้งการนำเข้า' ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเดิม EXEMPT 5 เป็นช่องทางที่อาจมีผู้นำเข้าอาศัยช่องว่างดังกล่าว ลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในประเทศ จึงต้องทำการปิดช่องทางนี้ และเปิดให้มายื่นขอบริการผ่านทางช่องทาง national single window (NSW) แทน ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะนำเข้าสินค้าควบคุมทั้ง 144 รายการ ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใด หรือนำเข้ามาจำนวนเพียงไม่กี่ชิ้นก็ตาม จะต้องยื่นคำขอผ่านระบบ NSW เพื่อแจ้งข้อมูลการนำเข้ากับ สมอ. ทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น สำหรับศูนย์เฉพาะกิจฯ มีผู้ประกอบการและประชาชนเข้ามารับบริการแล้วอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดต่อศูนย์เฉพาะกิจฯ ได้ที่ชั้น 1 สมอ. หรือ โทร. 0 2430 6815 ต่อ 3001 – 3003 ในวันและเวลาราชการ

“ฝากถึงผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ลักลอบนำสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจำหน่าย ไม่ว่าจะช่องทางใด หากตรวจพบ สมอ. จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ สำหรับคำแนะนำประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าให้สังเกตที่มีเครื่องหมาย มอก. คู่กับ QR Code ที่แสดงข้อมูลผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง อย่าดูที่ราคาถูกเพียงอย่างเดียวอาจได้สินค้าด้อยคุณภาพ” เลขาธิการ สมอ. กล่าว

‘ดาต้าเซ็ต’ ส่องความเห็นโซเชียล ปม 'แจกเงินหมื่น' พบชาวเน็ตเสียงแตก มีทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน

(5 ต.ค.67) ภายหลังโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปรับเปลี่ยนรูปแบบมาจาก 'ดิจิทัล วอลเล็ต' ได้ก่อให้เกิดประเด็นถกเถียงในสังคมออนไลน์ มีทั้งฝ่ายที่มองว่าเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิต ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าเป็นเพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นไม่ยั่งยืนพร้อมทั้งกังวลถึงผลกระทบระยะยาว โซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างคึกคัก สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจอย่างมากของผู้คนที่มีต่อนโยบายนี้

บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Listening) ในช่วงวันที่ 25 กันยายน - 1 ตุลาคม 2567 ถึงประเด็นเกี่ยวกับ “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ” พบว่ามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างคึกคักในโลกออนไลน์ โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย ทั้งการวิจารณ์ตัวนโยบาย และการแบ่งปันไอเดียการใช้เงินที่ได้รับว่าจะนำเงินไปใช้จ่ายกับอะไรบ้าง? สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างของประชาชนที่มีต่อมาตรการนี้

ส่องไอเดียโซเชียลใช้ 'เงินหมื่น' ไปกับอะไร ?
จากข้อมูลที่รวบรวมได้ในโซเชียลมีเดีย พบว่าประชาชนส่วนใหญ่วางแผนจะนำเงินไปใช้จ่ายค่อนข้างหลากหลาย โดยส่วนใหญ่จะนำเงินไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมากที่สุด รองลงมาคือนำเงินที่ได้รับไปชำระหนี้ การต่อยอดลงทุนโดยเฉพาะการซื้ออุปกรณ์ที่สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม และอื่น ๆ โดยสามารถแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายได้ดังนี้: 

1. สินค้าอุปโภคบริโภค: 47.8%
- อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ในครัวเรือน ข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องปรุง
- สินค้าเพื่อการเกษตร (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง อุปกรณ์การเกษตร พันธุ์พืช สัตว์เลี้ยง)
- เครื่องใช้ไฟฟ้า/อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- เสื้อผ้า/เครื่องแต่งกาย

2. ชำระหนี้สิน: 17.4%
- ใช้หนี้ จ่ายหนี้ ชำระหนี้ต่าง ๆ
3. ลงทุน: 9.6%
-   ซื้อทอง เก็บเงิน ลงทุนในอุปกรณ์ทำมาหากิน ซื้อสลากออมสิน
4. เงินสำหรับการรักษาและซ่อมบำรุง: 8.7%
-  ค่ารักษาพยาบาล ยา อุปกรณ์การแพทย์ ทำฟัน
-  วัสดุซ่อมแซมบ้าน
5. อื่น ๆ: 16.5%
-  ชำระค่าสาธารณูปโภค
-  ทำบุญ/บริจาค
-  ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา

ชาวโซเชียลคิดเห็นอย่างไร ? กับนโยบายแจกเงินหมื่น

ความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายนี้มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังและข้อกังวลที่มีต่อผลกระทบในระยะยาว โดยสามารถแบ่งความคิดเห็นออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย: 51.8%
• กังวลเรื่องภาระหนี้สาธารณะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลัง เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดผลิตภาพในระยะยาว อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและภาระทางการคลังแก่คนรุ่นต่อไป
• มองว่าการคัดกรองผู้ได้รับสิทธิ์ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้คนที่ไม่ได้เดือดร้อนจริงได้รับเงิน ในขณะที่คนที่เดือดร้อนไม่ได้รับ สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมและความล้มเหลวในการบริหารจัดการข้อมูล
• เห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน และอาจสร้างวัฒนธรรมการพึ่งพารัฐบาลมากเกินไป ทำให้ประชาชนขาดแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองและพึ่งพาตนเอง
• วิพากษ์วิจารณ์การใช้จ่ายเงินอย่างไม่เหมาะสมของผู้ได้รับ เช่น เล่นการพนัน ซื้อของฟุ่มเฟือย
• ต้องการให้นำงบประมาณไปใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือการลงทุนระยะยาวแทน เนื่องจากมองว่ามีความยั่งยืนต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า

กลุ่มที่เห็นด้วยกับนโยบาย: 33.2%
• มองว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนจริง ๆ เพราะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้มีรายได้น้อยและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตได้
• เห็นว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและร้านค้าท้องถิ่นได้รับประโยชน์ 
• เชื่อว่าเป็นการคืนภาษีให้ประชาชน และรัฐบาลมีความตั้งใจดีในการช่วยเหลือประชาชน แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในปัญหาและความต้องการของประชาชน
• มองว่าการให้เป็นเงินสดดีกว่า เพราะประชาชนสามารถนำไปใช้ได้ตามความจำเป็น ให้อิสระในการบริหารจัดการเงินตามสถานการณ์ของแต่ละครอบครัว
• สนับสนุนให้มีนโยบายแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน เพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่ตรงจุดและเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว

กลุ่มที่เป็นกลาง: 15.0%
• เข้าใจความจำเป็นในการช่วยเหลือผู้เดือดร้อน แต่เสนอให้มีการปรับปรุงระบบการคัดกรองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือผู้ที่ต้องการจริง ๆ และลดความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร
• มองว่าควรมีการติดตามและประเมินผลนโยบายอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยพิจารณาทั้งผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวต่อเศรษฐกิจและสังคม
• เสนอให้มีมาตรการควบคุมการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนโยบาย เช่น การกำหนดประเภทสินค้าและบริการที่สามารถใช้จ่ายได้ หรือการให้เป็นเครดิตสำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็นเท่านั้น
• แนะนำให้พิจารณาทางเลือกอื่น ๆ ในการช่วยเหลือประชาชน เช่น การสร้างงาน หรือการพัฒนาทักษะ ซึ่งอาจเป็นวิธีที่ยั่งยืนกว่าในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
• เห็นว่าควรมีการสื่อสารและให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและครอบครัว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความคิดเห็นต่อนโยบายนี้จะแตกต่างกัน แต่ยังมีประชาชนจำนวนมากที่รอคอยและหวังจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ และประชาชนยังให้ความสนใจเรื่องความโปร่งใสในการดำเนินนโยบาย การเปิดเผยข้อมูลผลการดำเนินนโยบายอย่างชัดเจน และการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงและพัฒนานโยบายให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง และส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

ผู้ผลิตเหรียญ $HIPPO เหรียญคริปโตมีมชื่อดัง บริจาค 5 ล้านบาทให้สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ก้าวแรกในการพัฒนาสวนสัตว์ในไทย ย้ำ! ขับเคลื่อนผ่านความรักที่มีต่อ ‘หมูเด้ง’

(6 ต.ค. 67) เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง’ ได้โพสต์ว่า 

ขอขอบคุณ $HIPPO สำหรับการมอบเงิน 5 ล้านบาท
นี่คือจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่น่าตื่นเต้นเพื่อสนับสนุนหมูเด้งและสวนสัตว์ไทย 
@hippo_cto!!

ด้าน @hippo_cto บัญชีอย่างเป็นทางการของผู้ผลิตเหรียญ $HIPPO หนึ่งในเหรียญมีม ได้มีการทวีตใน X ว่า 

เรามีความภูมิใจที่จะประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับองค์กรการกุศล
@KhaokheowZoo และเป็นเจ้าแรกที่ได้รับการรับรองจากบ้านของหมูเด้งเอง! 🦛

ก้าวเล็ก ๆ ของแผนใหญ่ในการมอบความช่วยเหลือด้านการกุศลระยะยาวให้กับสวนสัตว์ทั่วประเทศไทยเพื่อช่วยต่อสู้กับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

ขับเคลื่อนด้วยความรักที่มีต่อเจ้าหญิงหมูเด้งและความเชื่อของชุมชนในการสร้างความแตกต่าง

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น 💙

หนุ่มเจ้าของเพจคริปโตไทยชื่อดัง มอบบิตคอยน์เป็นสินสอดในงานวิวาห์ ส่งคริปโตจากยุค ‘To The Moon’ สู่ยุค ‘To The สินสอด’

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘The BIG Secret’ เฟซบุ๊กแฟนเพจที่อัพเดตข่าวสาร และความรู้เกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซี่ ได้โพสต์ว่า 

โฟกัสสินสอดที่ Bitcoiner มอบให้กับครอบครัวของคู่ชีวิต
ขอแสดงความยินดีกับน้องเพียวและเจ้าสาวด้วยครับ

พร้อมทั้งมีภาพประกอบงานวิวาห์ที่มีการมอบสินสอดจำนวน 1 BTC 

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า คุณเพียว เจ้าบ่าวนั้นคือเจ้าของเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘เหมียวกวักทรัพย์ - Cat Money’ อีกหนึ่งเพจที่อัพเดตข่าวสารและความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ 

ทั้งนี้บิตคอยน์ 1 BTC มีราคาประมาณ 2 ล้านบาทไทย

‘อัครเดช’ ออกลูกอ้อน ครม.-แบงก์ชาติ เร่งหารือสางปัญหาเงินบาทแข็งค่า หลังกระทบอุตสาหกรรมส่งออก หวั่นทำลายขีดความสามารถในการแข่งขัน

‘อัครเดช’ ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เสนอรัฐบาล-แบงก์ชาติ เร่งออกมาตรการสางปัญหาเงินบาทแข็งค่า หวั่นหากทิ้งไว้เรื้อรังทำเศรษฐกิจชะลอตัว ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมส่งออกถดถอยส่งผลกระทบทางลบเศรษฐกิจหลายมิติ

(7 ต.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎรได้แสดงถึงความห่วงใยต่ออุตสาหกรรมส่งออกจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่า ว่า 

จากที่ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลบาทไทยกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 33.33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเคยมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32.15 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา จากที่เคยอ่อนค่าที่สุดในช่วงเดือนเมษายน 2567 ที่อัตราแลกเปลี่ยน 37.17 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ 

การแข็งค่าของค่าเงินบาทเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากภายในระยะเวลาประมาณ 5 เดือนเท่านั้น และจากอัตราค่าเงินบาทแข็งค่านี้ตนได้รับทราบความเดือดร้อนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมส่งออก เนื่องจากด้วยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้การแลกเงินที่ได้รับจากการส่งออกกลับเป็นเงินบาทแลกได้น้อยลง 

ยกตัวอย่าง จากแต่เดิมส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง 1 กระป๋องราคา 100 ดอลลาร์ เมื่อค่าเงินบาทอ่อนที่สุดสามารถแลกเป็นเงินบาทได้ 3,717 บาท แต่เมื่อเงินบาทแข็งค่าที่สุดจะสามารถแลกเป็นเงินบาทได้เพียง 3,215 บาทเท่านั้น 

การที่รายได้ของผู้ประกอบการที่ลดน้อยลง ย่อมส่งผลกระทบในอุตสาหกรรมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพการแข่งขันที่ลดลงส่งผลการชะลอตัวของการจ้างงานในอุตสาหกรรม, การลดการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการตัดลดงบพัฒนาและวิจัย(R&D)ในอุตสาหกรรมลง ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในอนาคตลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และจากการที่การส่งออกเป็นหนึ่งใน 4 เครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทย การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเช่นนี้ย่อมทำให้เครื่องยนต์ส่งออกอ่อนกำลังลงอย่างชัดเจนส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงโดยเฉพาะการจ้างงานที่ลดลงจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจในประเทศทำให้ประชาชนขาดกำลังซื้อนอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมส่งออกอีกด้วย

ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมจึงขอส่งเสียงไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยผู้กำหนดนโยบายทางการเงิน ให้พิจารณาทบทวนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่เหมาะสมทั้งต่อเสถียรภาพทางเงินของประเทศ และลดผลเสียที่จะเกิดต่อระบบเศรษฐกิจไทย 

รวมถึงรัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายทางการคลังของประเทศต้องมีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อประคับประคองอุตสาหกรรมส่งออก ให้สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลได้ต่อไป และที่ดีที่สุดทั้งรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องเร่งหารือเพื่อหาทางออกของปัญหาค่าเงินแข็งตัวโดยเร็ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top