Tuesday, 3 June 2025
GoodVoice

‘EA’ เคลียร์หนี้ระยะสั้นได้ หลังผู้ถือหุ้นกู้รุ่น EA249A โหวตผ่าน 99% เผยรายได้ครึ่งปีแรกกว่า 1 หมื่น ลบ.พร้อมเดินหน้าหาแหล่งเงินทุนใหม่

แผนเคลียร์หนี้ชัด! ผลงานครึ่งแรกปี 67 มีรายได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 1.43 พันล้านบาท ผู้ถือหุ้นกู้-สถาบันการเงิน เชื่อมั่นธุรกิจเดินหน้า ล่าสุดผู้ถือหุ้นกู้ EA รุ่น EA249A วงเงิน 4,000 ล้านบาท โหวตหนุนด้วยเสียง 99.20% ยืดหนี้ออกไปอีก 9 เดือน 1 วัน รับดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 5% เพิ่มหลักประกัน หลังหุ้นกู้ รุ่น EA248A ได้รับการโหวตอนุมัติเมื่อวันที่ 9 ส.ค. และมติสถาบันการเงิน 9 แห่ง ปล่อยกู้รีไฟแนนซ์ เป็นเงินกู้ระยะเวลา 3 ปี พร้อมเดินหน้าหาแหล่งเงินทุนใหม่

(23 ส.ค. 67) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ได้มีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ รุ่น EA249A วงเงิน 4,000 ล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ 29 กันยายน 2567 โดยการประชุมในวันนี้นับเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ต้องเลื่อนครั้งก่อนเหตุไม่ครบองค์ประชุม โดยในครั้งนี้ผู้ถือหุ้นกู้ 99.20% ได้ลงมติอนุมัติขยายวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ไปอีก 9 เดือน 1 วัน และมีเพียง 0.80% ไม่เห็นด้วย

นายวสุ กลมเกลี้ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน (CFO) ของ EA กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศทั้ง 9 แห่งได้ยืนยันอนุมัติปล่อยเงินกู้ให้กลุ่ม EA จำนวน 8,000 ล้านบาท รวมถึงหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในปีนี้จำนวน 2 รุ่นโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่นก็ได้อนุมัติเลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนออกไปเช่นกัน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง ส่งผลให้ในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้าบริษัทฯจะไม่มีปัญหาในด้านการจ่ายหนี้ ในขณะที่บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ ผู้บริหารชุดใหม่มั่นใจขับเคลื่อนบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 รับรู้รายได้รวม 10,368.81 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,430.44 ล้านบาท” 

บริษัทได้เปิดเผยแหล่งที่มาของเงินทุนที่ใช้ในการชำระหนี้หุ้นกู้และดอกเบี้ยมาจากกระแสเงินสดจากรายได้ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน จากเงินทุนที่ได้รับจากการเข้าร่วมทุนกับผู้ร่วมทุนรายใหม่ (Strategic Partner) ที่สนใจร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาในโครงการต่างๆ ของบริษัทซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาทั้งจากนักลงทุนภายในและต่างประเทศ  และจากการจำหน่ายสินทรัพย์ของบริษัทฯให้กับนักลงทุนที่ให้ความสนใจรวมถึงการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) 

“บริษัทยังดำเนินธุรกิจตามปกติ มีกระแสเงินสดจากธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจไบโอดีเซล และจะเร่งเดินหน้าธุรกิจขนส่งเชิงพาณิชย์ ในการส่งมอบรถหัวลากไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้า พร้อมผลักดันธุรกิจใหม่ น้ำมันอากาศยานยั่งยืน  (Sustainable Aviation Fuel : SAF) สนับสนุนธุรกิจขนส่งไร้มลพิษตามพันธกิจของบริษัท Mission No Emission” นายวสุกล่าวทิ้งท้าย

เคราะห์ซ้ำ น้ำซัด!! 'เศรษฐกิจไทย' กำลังปรับตัวดี แต่เจอน้ำท่วมสกัด โจทย์สุดหินต้อนรับ 'นายกฯ หญิง' ที่ต้องพา ศก.-คนไทย รอดไปพร้อมๆ กัน

(8 ก.ย. 67) "ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจประเทศไทย อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนในหมวดอาหารสด และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน โดยหมวดอาหารสดเพิ่มขึ้นจากผลของฐานต่ำในปีก่อนและจากราคาผลไม้ที่เพิ่มขึ้นตามผลผลิตที่ลดลง...

"ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากหมวดอาหารสำเร็จรูป สำหรับอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานลดลงจากผลของฐานราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินที่สูงในปีก่อน...

"ด้านตลาดแรงงานปรับดีขึ้นสะท้อนจากการจ้างงานในระบบประกันสังคมทั้งในภาคการผลิตและบริการ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานต่อจำนวนผู้ประกันตนรวมที่ปรับเพิ่มขึ้น...

"สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงจากดุลการค้า ตามมูลค่าการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ขณะที่ดุลบริการ รายได้ และเงินโอนขาดดุลใกล้เคียงกับเดือนก่อน..."

นี่คือแถลงข่าวเศรษฐกิจและการเงิน เดือนกรกฎาคม 2567 จากธนาคารแห่งประเทศไทย เหมือนมีข่าวดีเล็ก ๆ จากการจ้างงานที่มีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีแรงงานที่แจ้งขอรับสิทธิว่างงานเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง ซึ่งเศรษฐกิจไทยโดยรวมปรับดีขึ้นหลังชะลอลงในเดือนก่อน

แต่เหมือน ‘เคราะห์ซ้ำ น้ำซัด’ ปลายเดือนสิงหาคม กับข่าวน้ำท่วมใหญ่ ไล่จากภาคเหนือ ตั้งแต่ จังหวัดเชียงราย พะเยา ลงมาเรื่อย สถานการณ์ปัจจุบันฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง จังหวัดอ่างทอง อยุธยา แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มสูงขึ้น เขตปริมณฑล นนทบุรี แถบ บางบาล-ตลาดขวัญ ต้องเฝ้าระวัง 

ข้ามไปทาง พัทยา ก็เจอพายุฝนถล่มหนัก น้ำท่วมในบางพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ไม่น้อยหน้า แถบร้อยเอ็ด ยโสธร ศรีสะเกษ เจอพายุฝนกระหน่ำ ลำน้ำชี น้ำขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องคอยเฝ้าระวัง

เหมือนพายุฝนเตรียมต้อนรับ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ของนายกรัฐมนตรีหญิง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หลังปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 พร้อมงานใหญ่ ที่ต้องช่วยผู้ประสบอุทกภัย โดยอย่างยิ่งในพื้นที่ฐานเสียงหลัก ถึงแม้หลายฝ่ายจะคาดการณ์ว่า น้ำคงไม่ท่วมหนักเหมือนช่วงปี 2554 แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ที่สภาพเศรษฐกิจไทย 'ยังคงย่ำแย่' เจอน้ำท่วมในหลายจังหวัด การเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ คงเป็นงานหินพอสมควร

มาตรการสินเชื่อโครงการ Financing the Transition มุ่งหน้าสู่การปรับตัวอย่างยั่งยืนของภาคธุรกิจ (Soft Loan) ที่ออกมาช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เหมือนจะยังไม่ตอบโจทย์ ตรงประเด็นเท่าใดนัก เพราะจำกัดประเภทของธุรกิจที่สามารถเข้าถึงสินเชื่อนี้ ที่ต้องการให้ภาคธุรกิจเอกชน ปรับตัวเป็นธุรกิจสีเขียว เพื่อความยั่งยืน แต่ตอนนี้ SME หลาย ๆ ราย คงขอเอาตัวรอดให้ได้ก่อน

ตอนนี้ คงต้องเอาใจช่วยไปก่อน เพราะเศรษฐกิจไทย กำลังโดนโจมตีหลายด้าน ภาวะการอุปโภคบริโภคของประชาชนยังไม่ฟื้นตัว ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) แพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ที่จะเข้ามาโกยรายได้จากคนไทย และไปกระทบต่อกับธุรกิจคนไทยด้วยกัน พร้อมผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยน้ำท่วม เอาใจช่วยคนไทย เป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัย ทั้งน้ำท่วม และเศรษฐกิจ...

📌‘ภูมิธรรม’ โชว์ผลงาน 1 ปี ส่งท้ายเก้าอี้ รมว.พาณิชย์ สำเร็จตามเป้า

1 ปี บนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของ ‘นายภูมิธรรม เวชยชัย’ ก่อนจะลุกไปครองเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม ก็ได้สร้างภาพจำไว้ได้ไม่น้อย 

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย ได้เดินทางเข้ากระทรวงฯ เพื่ออำลาตำแหน่ง และแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี ถือเป็นภารกิจสุดท้าย ในฐานะเจ้ากระทรวงฯ โดยมี 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการ นภินทร ศรีสรรพางค์ และ สุชาติ ชมกลิ่น คณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนถึง พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศและทูตพาณิชย์ที่ร่วมรับฟัง ทั้งในห้องประชุม และผ่านทางระบบ ZOOM  

นายภูมิธรรม ได้กล่าวถึงผลงานในรอบ 1 ปี ว่า ได้กำหนดนโยบายในการทำงานในช่วงบริหารงานกระทรวงพาณิชย์ไว้ 7 ด้าน ได้แก่ 

1.ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส 
2.บริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกร ผู้ประกอบการ 
3.ทำงานเชิงรุกระหว่างพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ 
4.แก้ไขข้อจำกัดของกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายที่เก่าล้าสมัย 
5.ร่วมขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต 
6.เร่งผลักดันส่งออกจากติดลบให้เป็นบวก 
7.ผลักดันการใช้ประโยชน์จาก FTA 

ซึ่งปรากฏผลการทำงานประสบความสำเร็จในทุกด้าน สามารถดูแลตั้งแต่เกษตรกร ที่เป็นคนฐานรากของประเทศ ดูแลประชาชนผู้บริโภคให้มีภาระค่าครองชีพลดลง และดูแลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วยเพิ่มรายได้

นอกจากนี้ ยังได้ตั้งคณะอนุกรรมการ ‘ทีมพาณิชย์’ เพื่อบูรณาการการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ 9 คณะ ได้แก่ 

1. ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรเพื่อการพาณิชย์ 
2.ส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย 
3.ส่งเสริมและขับเคลื่อนการค้าและเศรษฐกิจเชิงรุกไทย-จีน-อาเซียน 
4.ขับเคลื่อนการทำงานเพื่อบูรณาการตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์  
5.ขับเคลื่อนนโยบายโลจิสติกส์ทางการค้า 
6.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ Big data และอินฟลูเอนเซอร์เพื่อการค้า 
7.พัฒนากฎหมายกระทรวงพาณิชย์ 
8.พัฒนาการค้าตามระเบียบการค้าโลกใหม่ 
9.สร้างการรับรู้และภาพลักษณ์กระทรวงพาณิชย์ 

นอกจากนี้ยังเน้นการทำงานเชิงรุก โดยพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ต้องรู้จักสินค้า เข้าใจความต้องการตลาด เข้าถึงช่องทางการค้ายุคใหม่ บริหารจัดการประโยชน์ของทุกกลุ่มทุกภาคส่วนให้มีความสมดุล ทั้งเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ และ ผู้บริโภค 

สำหรับนโยบายเพิ่มรายได้ สามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้นเกือบ 2 แสนล้านบาท จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาพืชผลทางการเกษตร โดยพืชหลัก ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มัน ปาล์ม ยางพารา ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 8 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตเกือบ 90 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายข้าวเปลือกเจ้าได้สูงสุดในรอบ 20 ปี พืชรอง ได้แก่ ผลไม้ พืช 3 หัว และผัก ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 1.5 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตกว่า 8 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายสับปะรด กระเทียม หอมแดง สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 

ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการชุมชน และ SME โดยผลักดันการค้า E-Commerce ทั้งในและต่างประเทศ เกิดมูลค่าการซื้อขาย 2,347.70 ล้านบาท อาทิ ทำ MOU กับ Rakuten ญี่ปุ่น เพื่อจำหน่ายสินค้าไทย ร่วมมือกับ Amazon ขายออนไลน์ นำสินค้าไทยขายบน Shopee มียอดขาย 71.44 ล้านบาท เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับตลาดต้องชม 251 แห่ง เพิ่มรายได้ 1,987 ล้านบาท พัฒนาหมู่บ้านทำมาค้าขาย เพิ่มรายได้ 185 ล้านบาท ผลักดันเพิ่มมูลค่าสินค้า GI สร้างรายได้ 71,000 ล้านบาทต่อปี ใช้ร้านอาหาร Thai SELECT ในต่างประเทศเป็นโชว์รูม เพื่อเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการและผลักดัน Soft Power ทั้งอาหาร ดนตรี เชื่อมโยงร้านอาหาร Thai SELECT กับการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้ และเพิ่มรายได้ให้ร้านธงฟ้า จัดไปรษณีย์@ธงฟ้า อำนวยความสะดวกผู้ค้าออนไลน์ และประชาชน ให้บริการ Drop Off ให้บริการรับพัสดุแล้วกว่า 1 แสนชิ้น 

จัดกิจกรรมฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผ่านการจัดตลาดพาณิชย์ทั่วประเทศ โดยประสานพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ในช่วง 1 ส.ค.-30 ส.ค. จำนวน 318 ครั้ง มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 4,683 ราย สร้างรายได้ 373 ล้านบาท ตั้งเป้าจัดตลาดพาณิชย์ 935 ครั้ง ในช่วง ส.ค.-พ.ย.67 คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เป็นจำนวนมาก และยังเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า อาทิ HoReCa 2024, THAIFEX - Anuga Asia 2024 และ STYLE Bangkok 2024 สร้างมูลค่าซื้อขายกว่า 1 แสนล้านบาท จัด Thailand SME Synergy Expo 2024 สร้างมูลค่าการค้ากว่า 200 ล้านบาท 

ส่วนนโยบายลดรายจ่าย ได้จัดโครงการ ‘พาณิชย์สั่งลุย...ลดราคา’ ลดราคาสินค้าจำเป็น ช่วงเทศกาลสำคัญ ปีใหม่ ตรุษจีน กินเจ ก่อนเปิดภาคเรียน ลดสูงสุด 60-85% รวม 8 กิจกรรม ลดค่าครองชีพได้ 8,060 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 13,400 ล้านบาท จัด ‘โครงการธงฟ้าราคาประหยัด ลดค่าครองชีพประชาชน’ จำหน่ายสินค้าจำเป็นราคาต่ำกว่าท้องตลาด 20-40% รวม 1,134 ครั้ง ลดค่าครองชีพ 130 ล้านบาท 

จัดจำหน่ายสินค้าผ่านรถโมบายในแหล่งชุมชน 450 จุด ลดค่าครองชีพ 122.09 ล้านบาท จัดโครงการร้านอาหารธงฟ้า มีจำนวน 5,607 ร้าน ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนประมาณวันละ 2.63 ล้านบาท หรือ 960 ล้านบาท จัดพาณิชย์สั่งลุยราคาปุ๋ย ลดต้นทุนให้เกษตรกร 102 ล้านบาท ลดต้นทุนให้ร้านค้า ผู้ประกอบการ 14,000 ราย มูลค่า 53 ล้านบาท ด้วยการงดจัดเก็บค่าเช่าพื้นที่ในกระทรวง และขอความร่วมมือตลาดในสังกัด กทม.ไม่เก็บด้วย งดการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ผู้ประกอบการใช้เพลงที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง ฟรี 3 เดือน ตั้งแต่ ธ.ค.66-มี.ค.67 และมอบส่วนลดค่าลิขสิทธิ์เพลง 50–55% ต่อเนื่องอีก 1 ปี ลดต้นทุนผู้ประกอบการ SME ที่ใช้งานเพลง 400,000 ราย มูลค่า 3,300 ล้านบาท และขอฝากกรมการค้ารวบรวมร้านค้า เพื่อเข้าสู่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 

สำหรับการขยายโอกาสทางการค้า ได้เดินหน้าเจาะตลาดหลัก โดยจีน นำเข้าผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน CAEXPO สหรัฐฯ นำเอกชนลงนาม MOU ซื้อขายข้าวและอาหาร ญี่ปุ่น ผลักดันอาหาร ผลไม้ ผ้าไทย ซีรีส์วายในงาน Thai Festival Tokyo ฝรั่งเศส นำเอกชนเข้าร่วมงาน Cannes Film Festival 2024 คาดมูลค่าเจรจาการค้ากว่า 11,000 ล้านบาท ใช้แคมเปญ Think Thailand Next Leve ในการบุกตลาดอินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย และแอฟริกาใต้ รวมทั้งผลักดันการค้าชายแดน และแก้ไขอุปสรรคทางการค้า โดยเฉพาะการเจรจาเปิดด่าน เพื่อรองรับฤดูกาลผลไม้ไทย 

การลงนาม FTA ไทย-ศรีลังกา ผลักดันการเจรจา FTA ไทย-EFTA ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 เปิดเจรจา FTA ใหม่ อาทิ ไทย-เกาหลีใต้ ไทย-ภูฏาน และไทย-บังกลาเทศ การรุกตลาดเมืองรอง โดยต่อยอด MOU ที่ลงนามไปแล้ว สร้างมูลค่าการค้ากว่า 5,500 ล้านบาท อาทิ ความร่วมมือกับมณฑลกานซู่ ปูซาน โคฟุ โดยนายภูมิธรรม ได้ฝากให้ รมช.พาณิชย์ทั้งสองท่าน และปลัดกระทรวงพาณิชย์ สานงานต่อด้วย 

และยังได้เพิ่มโอกาสทางการค้าผ่านกลยุทธ์ตลาดแนวใหม่ โดยใช้ซีรีส์วาย ซีรีส์ยูริ ดึงมาย-อาโป ฟรีน-เบ็คกี้ ยกระดับสินค้าชุมชน อาทิ สมุนไพร สุราชุมชน ขนมขบเคี้ยว Tie-in เข้าสู่ตลาดโลกผ่านซีรีส์ และนำเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่ฮ่องกง เวียดนาม ฝรั่งเศส เกิดการจับคู่ธุรกิจ 756 คู่ มูลค่า 4,102 ล้านบาท ใช้เครือข่าย KOL จีนไลฟ์สดขายสินค้าและบริการไทย เพื่อสร้างรายได้ให้คนตัวเล็ก กำหนดจัดวันที่ 25-29 ก.ย.67 คาดการณ์มูลค่า 1,500 ล้านบาท 

และได้จัดทำ MOU กับ Sinopec นำสินค้าไทยจำหน่ายใน Easy Joy ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน คาดการณ์มูลค่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี การเจรจาธุรกิจออนไลน์ (OBM) เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ฮาลาล สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น คาดการณ์มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท และยังทำงานเชิงรุกทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัด ขายกล้วยหอมเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น ขายลำไยเข้าสู่ตลาดจีน ขายมังคุดไปจีนและญี่ปุ่น และเปิดตลาดผ้าไทยในญี่ปุ่น เป็นต้น รวมไปถึงการช่วยสร้างโอกาสทางการค้า จากการใช้ประโยชน์จาก Big Data คิดค้า.com เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ มีสินค้าเกษตร 13 ชนิด เศรษฐกิจการค้ารายจังหวัด และเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น มีผู้ใช้งานกว่า 220,000 คน เฉลี่ย 22,000 คนต่อเดือน

“1 ปีที่ผ่านมา ผมได้วางรากฐานการทำงานเป็นทีม การคิดนอกกรอบเพื่อสร้างสรรค์งานในเชิงรุก การบริหารจัดการประโยชน์ที่ให้ความสำคัญกับคนตัวเล็ก และผมขอฝาก อนาคตกระทรวงพาณิชย์ใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ 1. เข้าถึง เครือข่ายเพื่อร่วมผลักดันการค้า 2.ขับเคลื่อน โดยทีมพาณิชย์บูรณาการร่วมกับทีมประเทศไทย และ 3. เคียงข้างไปด้วยกัน คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก เพื่อขับเคลื่อนพลังคนรุ่นใหม่” นายภูมิธรรม กล่าว 

นอกจากนี้ยังได้ย้ำถึง โครงการเงิน ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า รัฐบาลยืนยันเดินหน้าโครงการซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและวางรากฐานนำประเทศเข้าสู่ระบบดิจิทัล แน่นอน โดยจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.นัดแรก ในวันที่ 17 ก.ย.นี้ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หลังจากรับฟังความเห็นแล้ว เพื่อให้ทุกคนสบายใจ ในรอบแรกจะเป็นกลุ่มเปราะบาง ประมาณ 14 ล้านคนก่อน ด้วยงบประมาณปี 2567 โดยแจกเป็นเงินสด 10,000 บาท โอนเข้าบัญชีที่มีอยู่แล้ว และจะสามารถนำไปใช้ที่ไหนก็ได้ และไม่มีการจำกัดร้านค้าและชนิดสินค้า ตามเป้าหมายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อ ครม.อนุมัติแล้ว คาดสามารถแจกเงินได้ทันทีภายในเดือนกันยายนนี้

ส่วนที่เหลือ กลุ่มคนที่ลงทะเบียนในระบบไปแล้ว และไม่ใช่กลุ่มเปราะบาง หลังผ่านเดือนกันยายนไปแล้ว จะแจกเป็นล็อตที่ 2 โดยใช้งบประมาณปี 2568 โดยจะแจก 5,000 บาทก่อน ถ้าระบบดิจิทัลทัน ก็แจกเป็นระบบดิจิทัล และส่วนที่เหลืออีก 5,000 บาท จ่ายภายในปี 67 หากรัฐบาลวางระบบดิจิทัลได้ทันอาจจะแจกเป็นเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่หากไม่ทันอาจจะแจกเป็นเงินสดเช่นกัน ส่วนอีก 5,000 บาท จะพยายามแจกเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ในปี 2568

จับภาวะเศรษฐกิจไทย ในจังหวะ 'ต้นทุนแพง แข่งขันลำบาก' โจทย์ใหญ่สุดหินของรัฐบาล ส่วนฝ่ายค้านก็ค้านแต่เรื่องผิดๆ ถูกๆ

ข่าวปิดกิจการ ของห้างสรรพสินค้า ‘ตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี’ พร้อมการยุติการจ่ายกระแสไฟฟ้า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 กระทบต่อผู้ประกอบการร้านค้า ที่เช่าพื้นที่ขาย บนอาคาร 12 ชั้น ทั้งหมด ร้านอาหารที่ใช้ตู้แช่เย็น เพื่อเก็บวัตถุดิบ หากไม่สามารถขาย หรือขนย้ายได้ทัน ก็คงเสียหายไปอีกไม่น้อย

ธุรกิจเอสเอ็มอีไทย 8 เดือนแรกปีนี้ 'ปิดกิจการ' 10,000 ราย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ข้อมูลการปิดกิจการของธุรกิจ SMEs ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 มีอยู่ประมาณ 10,000 ราย (อ้างอิงข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า) โดยภาคอีสานและภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีความเปราะบางสูงสุด สะท้อนจากสัดส่วนธุรกิจที่ปิดกิจการเทียบกับธุรกิจที่มีอยู่

ไม่ใช่แค่ปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจที่กระทบต่อเอสเอ็มอีไทย แต่พบว่ายังมีความท้าทายจากปัจจัยภายในที่เผชิญ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจที่อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ก็เผชิญร่วมกัน โดย 95% ของกลุ่มตัวอย่างพบว่า 3 เรื่องที่มีความกังวลและกดดันศักยภาพในการทำธุรกิจมากที่สุดคือ 

1.ต้นทุนการผลิต ต้นทุนการดำเนินงาน ต้นทุนวัตถุดิบที่สูง 

2.พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป 

3.กลยุทธ์การผลิตและการตลาดที่ล้าสมัย ทำให้เอสเอ็มอีไทยอาจมีแนวโน้มฟื้นช้ากว่าคาด

ทั้งนี้มองในระยะข้างหน้าปัญหาเหล่านี้อาจจะมีความรุนแรง แก้ไขและควบคุมได้ยาก พบ 4 ประเด็นจากปัจจัยภายนอกที่เข้ามาซ้ำเติมปัญหาเหล่านี้คือ 

1.ต้นทุนพลังงานที่น่าจะผันผวน 

2.ต้นทุนค่าแรงที่กำลังจะปรับสูงขึ้น 

3.สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ 

และ 4.ปัญหาการแข่งขันที่รุนแรงโดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ขยายเข้าไปในท้องถิ่นต่าง ๆ ทำให้เอสเอ็มอีแข่งขันได้ยากขึ้น รวมถึงยังเน้นแข่งขันด้านราคา ที่ทำให้สภาพคล่องของธุรกิจด้อยลงอย่างต่อเนื่อง

ต้นทุนเป็นปัญหาหลัก ที่ส่งผลให้ SMEs ปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก แต่รัฐบาล เตรียมประกาศปรับขึ้นค่าแรง 400 บาท ทั่วประเทศ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นี้ !! ซึ่งก็ต้องรอดูว่า มาตรการที่จะมาช่วยเหลือผู้ประกอบการ ที่ต้องแบกรับต้นทุนค่าแรงงาน ที่สูงขึ้น จะออกมาในรูปแบบใด หากมาตรการไม่สามารถช่วยเหลือได้ จำนวนตัวเลขการปิดกิจการ ก็คงเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวหน้า และแรงงาน ก็คงตกงานกันอีกเป็นจำนวนมาก

ฝ่ายค้าน ที่จะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการบริหารของรัฐบาลให้เป็นไปโดยชอบตามทำนองคลองธรรม จากการอภิปรายล่าสุด ก็ยังไม่พบว่า มีข้อแนะนำในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จากแกนนำฝ่ายค้าน อ่านตัวเลขงบประมาณ ยังผิด ๆ ถูก ๆ มีแต่ข่าวคราว การหาเสียงเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้งท้องถิ่น ผลักดันสุราเสรี จัดสัมมนาเรื่อง Sex Tourism และเพศพาณิชย์ ที่ยังมองไม่เห็นว่า จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจได้อย่างไร เมื่อเทียบกับโครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการแลนด์บริจด์ 

ม.หอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนสิงหาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 57.7 เป็น 56.5 เป็นการปรับตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือนนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 

เดือนมีนาคม 2567 'ดนันท์ สุภัทรพันธุ์' กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เคยกล่าวถึงกรณีการแข่งขันอันดุเดือดท่ามกลางสมรภูมิขนส่งไว้ว่า 'ไปรษณีย์ไทย' กำลังเจอปัญหาการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมเพราะโดนกีดกันจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากร้านค้าและลูกค้าไม่สามารถเลือกขนส่งเองได้ เขาเสนอว่า ต้องมี 'Regulator' หรือหน่วยงานที่เข้ามาทำหน้าที่กำกับดูแลเป็นผู้กำหนดกติกาการแข่งขัน เพื่อความเป็นธรรมและชัดเจนมากขึ้น 

เท่านั้นยังไม่พอ เพราะตอนนี้ต้องเจอศึกหนักจาก ‘Temu’ ที่มีความยากกว่าหลายเท่า เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่มีสำนักงานในไทย แม้แต่กรมสรรพากรก็ตรวจสอบไม่ได้ ทำให้ต้นทุนของ Temu ต่ำกว่าเดิม จากที่ส่วนแบ่งในตลาดถูก 'Shopee' และ 'Lazada' ปันส่วนไป 

ถ้าคนขายตาย ผู้ประกอบการตาย ขนส่งก็ไม่รอด ‘GDP’ ไหลออกนอกประเทศ แล้วรัฐบาลจะหารายได้จากแหล่งใด มากระตุ้นเศรษฐกิจ สุดท้าย ผู้ประกอบการ ธุรกิจ SMEs ในประเทศต้องปิดตัวลง ถ้ายังไม่แก้ สุดท้ายก็ตายกันหมด

เผยผลวิจัย ‘iPhone’ รับกระแสการเปิดตัวรุ่นใหม่ ในไทย Gen Z ชอบซื้อผ่อน Gen Y มองเป็นเครื่องชี้วัด ‘ความสำเร็จ’

(21 ก.ย.67) The 1 Insight เปิดผลวิเคราะห์เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค iPhone ในประเทศไทย รับกระแสการเปิดตัว iPhone 16 โดยพบว่า 40% ของผู้ใช้ iPhone ในไทยนิยมเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ทุกปี สะท้อนถึงความสำเร็จในแง่ของตลาดไปจนถึงความสนใจที่มีต่อนวัตกรรมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

จากฐานข้อมูล The 1 ในช่วงปี 2562-2567 ชี้ให้เห็นถึง 5 กลุ่มหลักของผู้ใช้ iPhone ไทย ที่มีเทรนด์พฤติกรรมการซื้อและการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

1. กลุ่ม Gen Z มุ่งท่องโลกโซเชียล แต่ยังเน้นความคุ้มค่า
กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 18-24 ปี ใช้งาน iPhone เพื่อการเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียเป็นหลัก รวมถึงการสร้างสรรค์คอนเทนต์

จากข้อมูล พบว่า คนกลุ่มนี้ซื้อ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus รวมไปถึงอาจซื้อรุ่นก่อนหน้าที่ให้ความคุ้มค่ามากกว่า โดยเลือกใช้รุ่นที่มีความจุ 128GB ซึ่งเพียงพอกับการใช้งานและสอดคล้องกับข้อจำกัดด้านรายได้ โดยสีที่นิยมสูงสุดคือ Black กลุ่มวัยรุ่นโซเชียลมักอัปเกรด iPhone ทุกปี และนิยมใช้การผ่อนชำระ 0% ซึ่งช่วยให้เข้าถึง iPhone รุ่นพรีเมียมได้มากยิ่งขึ้น โดยมีแนวโน้มว่าในปีนี้จะซื้อ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus

2. กลุ่ม Gen Y ผู้มอง iPhone เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ
กลุ่มชายวัยทำงานอายุ 25-40 ปี มองว่า iPhone รุ่นท็อปเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและสถานะทางสังคม รวมถึงมีความพร้อมด้านรายได้ที่สูงขึ้นตามความก้าวหน้าทางอาชีพและมีความสนใจในเทคโนโลยีล้ำสมัย ในปี 2023 จึงเลือกซื้อ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ที่มีความจุ 512GB หรือ 1TB เพื่อรองรับการใช้งานได้ครบครันทั้งด้านการทำงานและความบันเทิง

โดยสีที่นิยมสูงสุดคือ Black และ Natural Titanium หนุ่มออฟฟิศกลุ่มนี้มักอัปเกรด iPhone ทุกปี และเป็นกลุ่มสำคัญที่ขับเคลื่อนยอดขายรุ่นท็อปในไทย และมีแนวโน้มว่าในปีนี้จะซื้อ iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max

3. กลุ่ม Millennial Parents เน้นฟังก์ชันใช้งานสำหรับทั้งครอบครัว
กลุ่มคนมีครอบครัวที่มีอายุ 30-45 ปี มักให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นการใช้งานจริงและขนาดความจุที่เพียงพอเพื่อรองรับการใช้งานในระยะยาวสำหรับทั้งครอบครัว

ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงเลือกซื้อ iPhone 15 หรือ iPhone 15 Plus โดยเลือกรุ่นที่มีความจุ 128GB หรือ 256GB เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยสีที่นิยมสูงสุดคือ Colorful เช่น ฟ้า เหลือง ชมพู เขียว นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่มีรายจ่ายหลากหลาย จึงไม่เปลี่ยนเครื่องบ่อยนัก โดยมักอัปเกรดทุก 3-4 ปี โดยในปีนี้มีแนวโน้มที่จะซื้อ iPhone 16 หรือ iPhone 16 Plus

4. กลุ่ม Gen X ที่พร้อมลงทุนกับเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
กลุ่มผู้บริหารที่มีอายุ 45-60 ปี มักเลือก iPhone ในรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมองว่า เป็นการลงทุนระยะยาวเพื่ออัปเดตเทคโนโลยีในแต่ละครั้ง จึงเลือกซื้อ iPhone 15 Pro Max ในความจุ 512GB หรือ 1TB เพื่อตอบสนองความต้องการที่ครอบคลุมทั้งการทำงานและการใช้งานส่วนตัว

สีที่นิยมสูงสุดคือ Blue Titanium โดยมีรอบการอัปเกรดอุปกรณ์ทุก 2-3 ปี และไม่เน้นการเปลี่ยนตามกระแสสังคม ในปีนี้ มีแนวโน้มที่จะซื้อ iPhone 16 Pro Max

5. กลุ่ม Silver Spenders ใช้งานเพื่อสื่อสารทั่วไปและฟังก์ชันสุขภาพ
กลุ่มผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีพฤติกรรมการใช้ iPhone ที่เน้นการใช้งานพื้นฐานและฟังก์ชั่นติดตามข้อมูลสุขภาพ เลือกซื้อ iPhone SE หรือ iPhone 15 หรืออาจเป็นรุ่นก่อนหน้า โดยใช้ควบคู่กับ Apple Watch Series 9 เพื่อเชื่อมต่อฟังก์ชันการติดตามข้อมูลสุขภาพอย่างละเอียด

ข้อมูลชี้ว่า กลุ่ม Silver Spenders ส่วนใหญ่เลือก iPhone รุ่นความจุ 64GB หรือ 128GB สีที่นิยมสูงสุดคือ Colorful เช่น ฟ้า เหลือง ชมพู เขียว โดยมักอัปเกรดทุก 4-5 ปี และมีแนวโน้มที่จะซื้อ iPhone 16 และ Apple Watch ในปีนี้

ประชาธิปัตย์ประเดิม ก้าวใหม่เปิดเวที 'เดโมแครต ฟอรั่ม' ประเด็นฮ็อต 'เศรษฐกิจคาร์บอน : โอกาสในวิกฤตโลกรวนน้ำท่วมภัยแล้งสุดขั้ว'

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยวันนี้ว่าพรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินหน้าสู่ยุคปรับเปลี่ยน (Democrat in Transformation) จากองค์กรพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดสู่องค์กรพรรคการเมืองของประชาชนที่ก้าวหน้าทันสมัยทันโลกเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศทุกมิติทั้งมิติการพัฒนา การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีตามนโยบายและวิสัยทัศน์ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคโดยเฉพาะประเด็นเมกะเทรนด์ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรงทั้งในปัจจุบันและอนาคต 

ล่าสุดคือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมอย่างรุนแรงในหลายภูมิภาคของประเทศไทยและประเทศต่างๆจากภาวะโลกรวนโลกร้อนทะเลเดือดแบบสุดขั้ว พรรคประชาธิปัตย์จึง เปิดเวที 'เดโมแครต ฟอรั่ม' (Democrat Forum)ครั้งที่ 1 ในหัวข้อ 'เศรษฐกิจคาร์บอน : โอกาสในวิกฤตโลกรวนน้ำท่วมภัยแล้งสุดขั้ว' ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ระหว่างเวลา 9.00 -11.00 ณ สำนักงานใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์ มีเป้าหมาย 3 ประการ 
1.สร้างการรับรู้ถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
2.เปิดพื้นที่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูล สภาพปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ 
3.การกำหนดมาตรการและนโยบายของพรรค

โดยมีวิทยากรทั้งภาครัฐภาคเอกชนภาควิชาการและภาคประชาชนเช่น ตัวแทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ตัวแทนภาครัฐเช่นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมและองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ตัวแทนสื่อมวลชน ตัวแทนภาคประชาสังคมและผู้แทนพรรคมาร่วมในการเสวนาครั้งนี้โดยมี ส.ส.ร่มธรรม ขำนุรักษ์เป็นผู้ดำเนินรายการ

อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์ ยังกล่าวต่อไปว่า “ความท้าทายสำคัญในปัจจุบันและอนาคตคือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change)ที่รุนแรงและรวดเร็ว นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการ สหประชาชาติ กล่าวเตือนไว้เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วว่า สามสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม 2023 ทำสถิติ ร้อนที่สุดเท่าที่เคยวัดกันมา โลกร้อนขึ้น 1.5 องศา การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก และนี่แค่จุดเริ่มต้น เป็นจุดจบของ ภาวะโลกร้อน และเป็น จุดเริ่มต้นของภาวะโลกเดือด (Global Boiling)

จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศไทยต้องเร่งขับเคลื่อนสู่เป้าหมายว่าความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี 2050 และคาร์บอนเป็นศูนย์หรือซีโร่คาร์บอนภายในปี 2065 เพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนโลกร้อนทะเลเดือดแบบสุดขั้วซึ่งเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของประเทศไทย ในมุมมองของพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเราสามารถสร้างโอกาสในวิกฤตโดยสร้างโมเดลเศรษฐกิจคาร์บอน(Carbon Economy)ครอบคลุมตั้งแต่คาร์บอน ฟุ้ตปริ้นท์(carbon footprint) คาร์บอน เครดิต(carbon credit)จนถึงมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้า พรมแดน (CBAM:Carbon Border Adjustment Mechanism)สามารถสร้างงานสร้างอาชีพสร้างเทคโนโลยีสร้างธุรกิจและสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศจึงได้จัดเวทีเดโมแครต ฟอรั่มในประเด็นดังกล่าว“

'พิชัย' จับมือ 'ทูตจีน' พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ปลดล็อคความกังวลสินค้าออนไลน์จีนเข้าไทย พร้อมยกระดับ การค้า-ลงทุน-ท่องเที่ยวไทย ทุกด้านเต็มที่

(26 ก.ย.67) เวลา 9.30 น. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงภายหลัง 'การประชุมหารือแนวทางการขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุน ไทย-จีน' ณ ห้องประชุมกิติยากรณ์วรลักษณ์ ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยและคณะ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนของสองประเทศ

นายพิชัย กล่าวว่า ประเด็นความกังวลเรื่องสินค้าจีนเข้าไทยตนได้อภิปรายในสภาว่าไม่อยากให้รู้สึกว่าจีนเป็นผู้ร้าย หลังอภิปรายในสภาตนได้ติดต่อกับทางสถานทูตจีน ซึ่งทางจีนรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นและดีใจที่มีโอกาสได้พูดคุยกัน ไทยและจีนมีความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุนที่ดีต่อกันมาโดยตลอด และต่อเนื่องในอนาคต จีนมีขนาดประชากรที่ใหญ่ นักเศรษฐศาสตร์คาดเศรษฐกิจจีนจะยิ่งโตมากขึ้น จึงต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อประโยชน์ของสองประเทศ

ด้าน นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาจีน ขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ที่เป็นคนแรกที่กล้าหาญมาพูดให้จีน ซึ่งตนเชื่อว่าไม่ควรปล่อยไว้ให้กระทบความสัมพันธ์ ได้พูดคุยเรื่องการค้าการลงทุนไทย และทางไทยขอให้ทางจีนนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้นเพื่อลดการขาดดุล ซึ่งในรายละเอียดการนำเข้าสินค้าจากจีนส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนที่เราเอาไปผลิตและขายต่อ เป็นสัดส่วนหลายแสนล้าน ซึ่งเราอยากเห็นการลงทุนจากจีนใน EEC มากขึ้น ขณะนี้ทางจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดแซงญี่ปุ่น และได้เชิญชวนให้มาลงทุนในไทย โดยเฉพาะสินค้าประเภท เซมิคอนดักเตอร์ และ PCB(แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์) มากขึ้น จะเกิดการจ้างงานอีกเป็นจำนวนมาก ช่วยยกระดับรายได้คนไทย

และทางไทยได้หารือในการเปิดช่องทางให้สินค้าไทยเข้าสู่แพลตฟอร์ม e-Commerce จีนมากขึ้น ซึ่งตอนนี้มีการจัดงาน International Live Commerce Expo 2024 'มหกรรมไลฟ์คอมเมิร์ซนานาชาติ 2567' ที่นำอินฟลูฯจีน มาไลฟ์ขายสินค้าไทย ที่สามย่านมิตรทาวน์ 25-29 ก.ย. นี้ เมื่อวานวันเดียวขายได้ถึง 320 ล้านบาท คาดว่าจะทะลุ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงการค้าของโลก และไทยก็จะเพิ่มปริมาณอินฟลูฯในการขายสินค้ามากขึ้นเพื่อขายสินค้าไปจีน และได้หารือเรื่องการลงทุน และการท่องเที่ยวที่ผ่านมา 7-8 เดือนแรกปีนี้ มีนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยแล้วถึง 5 ล้านคน คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีปริมาณถึง 8 ล้านคน เป็นรายได้หลักของไทย 

นอกจากนี้ได้ขอให้ทางจีนช่วยรับซื้อสินค้าเกษตรจากไทยเพราะประชากรจีนเยอะสามารถรองรับสินค้าเกษตรจากไทยได้มาก ซึ่งทางจีนยินดี อยากให้ทางจีนช่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคลในไทยรองรับเทคโนโลยีด้วย และช่วยส่งเสริมนโยบายของรัฐเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เช่น ภาพยนตร์ ล่าสุดเรื่อง หลานม่า ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีน

“ไทยและจีน มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ถ้าเรามีช่องทางที่ดีเค้ายินดีให้ความร่วมมือ อยากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และกับทุกประเทศที่เข้ามา เราจะมีมาตรฐานในการตรวจสอบสินค้า ทั้ง มอก. อย. ซึ่งจะใช้บังคับกับทุกประเทศไม่ใช่เฉพาะจีน ทางจีนยินดีทำตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อดูแลสุขภาพความปลอดภัยของประชาชนคนไทย” นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ เราได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ให้ความร่วมมือระหว่างไทย-จีนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ให้มีความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น จีนจะเปิดให้ SMEs ไทยไปขายของผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีนมากขึ้น เป็นโอกาสของไทยที่จะขยายการส่งออกไปยังจีน ให้ SMEs ไทยมีโอกาสเติบโตมากขึ้น  หวังว่าการพบกันครั้งนี้จะนำไปสู่ความรุ่งเรืองระหว่างไทยและจีนขยายยิ่งขึ้นในอนาคต

ด้านนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย กล่าวว่า อยากให้ประชาชนชาวไทยมองเห็นได้ว่าความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างจีนกับไทย จะนำมาซึ่งโอกาสการพัฒนาให้กับคนไทย ช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยให้ดีขึ้น ซึ่งจีนยินดีที่จะแบ่งปันโอกาสการพัฒนาและผลประโยชน์ให้กับคนไทย ยินดีให้ไทยใช้แพลตฟอร์มต่างๆไปจำหน่ายสินค้าไทย

ที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวในเชิงลบเกี่ยวกับการค้าการลงทุนระหว่างจีนกับไทย ทางจีนกับไทยเราให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก พยายามหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสม หามาตรการมาควบคุมจัดการ ไม่อยากให้ไปเหมารวมความร่วมมือการค้าการลงทุนในเชิงลบ ทำลายผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ และขอชื่นชมรัฐบาลไทยและกระทรวงพาณิชย์ที่มีท่าทีถูกต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหา คำนึงภาพรวมการค้าการลงทุนระหว่างไทยและจีน

เมื่อถามว่า เรื่อง TEMU เป็นอย่างไรบ้าง นายหาน จื้อเฉียง กล่าวว่า สำหรับบริษัท TEMU ได้รับทราบกฎระเบียบและข้อร้องต่างๆ ทาง TEMU กำลังประสานงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไทย เพื่อปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของฝ่ายไทย และกำลังจัดตั้งบริษัทและลงทะเบียนอย่างเป็นทางการที่ไทย ยินดีให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้มีความเข้มงวดในการตรวจสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศบังคับใช้ใช้กฎหมายในการควบคุมให้ถูกต้องตามมาตรฐานและกฎหมายของไทย

'เผ่าภูมิ' เผย ปชช. กดเงิน 10,000 ตู้ ATM ธ.ก.ส. พุ่ง 18.8 เท่าตัว ออมสินยอดกดเงินรวมพุ่ง 3.7 เท่าตัว ชี้กลุ่มนี้มีเท่าไหร่ใช้หมด กระตุ้น ศก. ทันที

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 25 ก.ย. มีการถอนเงิน ยอดเงิน 10,000 บาท จากตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. เพิ่มขึ้น 18.8 เท่าตัว เทียบกับวันที่ 24 ก.ย. 

ยอดถอนเงินตู้ ATM ธนาคารออมสิน วันที่ 25 ก.ย. มีจำนวนรายการถอนเงินพุ่ง 1.76 เท่าตัว จำนวนเงินเพิ่มขึ้น 2.84 เท่าตัว วันที่ 26 ก.ย. มีจำนวนรายการถอนเงินเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จำนวนเงินเพิ่มขึ้น 3.72 เท่าตัว เทียบกับวันที่ 24 ก.ย.

ตัวเลขเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้หนึ่งว่าประชาชนกลุ่มนี้มีความจำเป็นต้องใช้เงินสูง มีเงินไม่พอใช้ มีเท่าไหร่ต้องถอนมาใช้เกือบหมด เป็นกลุ่มที่มี MPC สูง ซึ่งนั่นหมายถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันทีและมีประสิทธิภาพ

'อลงกรณ์-เอฟเคไอไอ.' ชู 'บางระจันโมเดล' ปกป้องเศรษฐกิจไทย 700,000 ล้าน สนับสนุนอีคอมเมิร์ซไทยจับมือสภาเอสเอ็มอี. รวมพลังสู้แพลตฟอร์มค้าออนไลน์ต่างชาติ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์( FKII Thailand ) รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ปชป.และ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยวันนี้ว่า

ตลาดอีคอมเมิร์ซ (eCommerce ) ของไทยมีการซื้อขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ(Social commerce)กว่า700,000ล้านบาทต่อปีถูกครอบครองตลาดโดยแพลตฟอร์มต่างชาติแบบครบวงจรเกือบ100% จากต้นน้ำถึงปลายน้ำตั้งแต่ระบบซัพพลายเชน (supply chain system) โรงงานผลิตสินค้า ,ระบบอี-มาร์เก็ตเพลส (eMarketplace) ,ระบบขนส่งโลจิสติกส์ (Logistics) จนถึงระบบการชำระเงิน (Payment Gateway) โดยสินค้าส่วนใหญ่มาจากต่างชาติทำให้เอสเอ็มอี. โรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจค้าปลีกค่าส่งดั้งเดิม ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจขนส่งและบริการส่งถึงลูกค้า(last mile delivery)ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและเสียเปรียบดุลการค้ามากขึ้น

แนวทางหนึ่งในการแก้ไขสถานการณ์ที่เข้าขั้นวิกฤติคือการสนับสนุนบริษัทอีคอมเมิร์ซไทยและเอสเอ็มอี.ไทยโดยสร้าง ระบบนิเวศน์การค้า(Eco-System)ในการซื้อขายในประเทศไทยรวมทั้งผนึกความร่วมมือกันต่อสู้เรียกว่า 'บางระจันโมเดล' และขอให้ภาครัฐกำกับการค้าออนไลน์ข้ามชาติแบบเสรีและเป็นธรรมควบคุมมาตรฐานสินค้าต่างชาติและการเสียภาษีสินค้า-นิติบุคคลรวมทั้งการใช้มาตรการปกป้องคุ้มครองผู้ประกอบการไทยตามกฎกติกา WTO และยกหารือประเด็นการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดนรูปแบบใหม่ F2C(Factory to Customer) กรณีเตมู (TEMU) ภายใต้กลไกข้อตกลงทวิภาคีไทย-จีน และพหุภาคี เอฟทีเอ.อาเซียน-จีน ความตกลงDEFA(Digital Economy Framework Agreement)และAEC (ASEAN Economic Community)บนพื้นฐานความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ดีระหว่างไทย-จีนและความร่วมมือในกรอบอาเซียน

ทั้งนี้สถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์ร่วมกับสถาบันทิวา (TVA) ได้จัดงาน 'รวมพลังไทย : สร้างอาชีพ สร้างชาติ' (Thai Power : Building Careers, Building the Nation) SME - E-COMMERCE COLLABORATION ณ สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพมหานครโดยได้มีการลงนามบันทึกความร่วมมือ 5 องค์กรได้แก่

สถาบันทิวา (TVA) สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) บริษัท โกชิปป์ จำกัด และ บริษัท นีโอเวนเจอร์ โซลูชั่นส์ จำกัด 

เพื่อร่วมกันผลักดันการพัฒนาอีคอมเมิร์ซไทยและเอสเอ็มอี.ไทยนอกจากนี้ยังมีการสัมมนาโดยนายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานกรรมการสมาคมสถาบันทิวาได้บรรยายถึงวัตถุประสงค์ของการผนึกความร่วมมือของ 5 องค์กร

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธาน FKII Thailand และ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวเปิดงานและบรรยายหัวข้อ 'สถานการณ์ตลาดและผลกระทบของอีคอมเมิร์ซและเอสเอ็มอีไทยกับแนวทางแก้ปัญหา การค้าออนไลน์ข้ามชาติ'

นายสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยบรรยายพิเศษเรื่อง 'ศักยภาพเอสเอ็มอีไทยในการสนับสนุนอีคอมเมิร์ซไทย (Thai SME Potential and Strength for E-Commerce)' นายภาวัต พุฒิดาวัฒน์ CEO บริษัท โกชิปป์ จำกัดบรรยายหัวข้อ 'แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน (GoSell & GoShip - E-Commerce Platform : Thailand Situation)' ภญ.ภัสราธาดา วัชรธาดาอาภาภัค CMO บริษัท นีโอเวนเจอร์ โซลูชั่นส์ จำกัด Thailand’s NO.1 Complete Solutions for E-Commerce บรรยายหัวข้อ 'Thai Think, Thai Made, Thai Trade' โดยมีนายราม คุรุวาณิชย์ บอร์ดเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์ สรุปการสัมมนา

ทั้งนี้ภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง สมาคมสถาบันทิวา สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย บริษัท โกชิปป์ จำกัด และ บริษัท นีโอเวนเจอร์ โซลูชั่นส์ จำกัดได้มีการทำกิจกรรมเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจเอสเอ็มอี.กับผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยด้วย

โจทย์หนักรัฐบาล!! สินเชื่อบ้านไม่ขยับ แต่วิกฤตแรงงานขยับเอาๆ ฟากโรงพยาบาลเอกชนขาดทุน แห่ขอถอนตัวประกันสังคม

>> สินเชื่อบ้านโตต่ำที่สุดในรอบ 23 ปี จากปัญหารายได้และภาระหนี้ครัวเรือนพุ่งสูง!!

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ยอดคงค้างสินเชื่อบ้านที่ปล่อยโดยธนาคารพาณิชย์จะขยายตัวไม่เกิน 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตรายปีของสินเชื่อบ้านระบบธนาคารที่ต่ำที่สุดในรอบ 23 ปี เนื่องจากปัญหาด้านรายได้และภาระหนี้สินสูง ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการก่อหนี้ก้อนใหญ่ของครัวเรือน โดยเฉพาะตลาดใหม่อย่างเช่นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มจากหนี้ก้อนเล็ก ๆ และหนี้รถ จนทำให้โอกาสการก่อหนี้บ้านลดลง

การชะลอลงของยอดคงค้างสินเชื่อบ้านดังกล่าว เป็นผลจากฝั่งธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก ซึ่งครองส่วนแบ่งประมาณ 55-56% ของตลาดสินเชื่อบ้านทั้งหมด โดยตลอด 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา สินเชื่อบ้านระบบธนาคารพาณิชย์เติบโต 0.8% ในไตรมาส 2 ปี 2567 ชะลอลงจาก 1% ในไตรมาส 1 ปี 2567

>> คุณภาพหนี้อาจเป็นปัญหาที่รุนแรงขึ้น 

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า สัดส่วนหนี้เสีย (NPLs) สินเชื่อบ้านของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยอาจเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับ 3.90% ของสินเชื่อรวม เทียบกับ 3.71% ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งรวมถึง NPLs ในบ้านระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ที่เริ่มขยับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 รวมไปถึงหนี้ในกลุ่มบ้านระดับราคา 10-50 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

>> รพ.เอกชน จ่อออกจากประกันสังคม หลังโดนตัดงบลง 40% ทำให้ขาดทุน

สมาคมโรงพยาบาลเอกชนแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งอาจทำให้โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งต้องถอนตัวจากการเป็นคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) หลังจากที่ถูกปรับลดงบค่ารักษาในกลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงลงถึง 40% โดยลดลงจาก 12,000 บาทต่อหน่วย Adjusted RW เหลือเพียง 7,200 บาทต่อหน่วย 

นอกจากนี้ ยังไม่ได้มีการปรับค่าตอบแทนมาเป็นเวลากว่า 5 ปี ทำให้มีผลกระทบโดยตรงต่อโรงพยาบาลเอกชน และผู้ประกันตน ทำให้โรงพยาบาลเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับประกันสังคมต้องเผชิญกับภาระขาดทุน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้จ่ายไปล่วงหน้าแล้ว รวมถึงภาษีที่ต้องจ่ายตามประมาณการรายได้ ทำให้การปรับลดงบประมาณนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสถานะการเงินของโรงพยาบาล

แม้ในปี 2565 สำนักงานประกันสังคมจะปรับเพิ่มค่าหัวเหมาจ่ายจาก 1,640 บาท เป็น 1,808 บาท แต่สำหรับกลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงและโรคเรื้อรังกลับไม่มีการปรับเพิ่มค่าตอบแทนมาเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งส่งผลให้จำนวนโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมกับระบบประกันสังคมลดลงอย่างต่อเนื่อง 

ล่าสุดมีโรงพยาบาลเอกชนอีก 3 แห่ง ได้แก่ รพ.ยันฮี, รพ.เกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ และรพ.ศรีระยอง เตรียมออกจากระบบประกันสังคม มีผลตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคมนี้

กลุ่มแรงงาน ที่ยังต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ก็คงต้องรอโอกาสต่อไป การเข้ารับการรักษาพยาบาล โดยใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคม คงต้องคิดหนักมากขึ้น จากสถานพยาบาลที่ลดน้อยลง ย่อมส่งผลกระทบต่อการใช้บริการ ขออย่าให้ถึงกับมีเหตุที่ โรงพยาบาลรัฐ แบกรับการขาดทุนไม่ไหว จนต้องถอนตัวจากประกันสังคม เลย ...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top