Monday, 28 April 2025
ElectionTime

‘พิธา’ ลุยพื้นที่สมุทรปราการ อ้อนขอคะแนน ปชช. ชูนโยบาย ‘หวยใบเสร็จ’ กระตุ้นเศรษฐกิจรายย่อย

(7 เม.ย.66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย วรรณวิภา ไม้สน ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ กัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการเพื่อช่วยหาเสียงผู้สมัคร ส.ส. สมุทรปราการ พรรคก้าวไกลในหลายเขตพื้นที่ โดยตลอดการหาเสียง มีพี่น้องประชาชนให้การต้อนรับและร่วมพูดคุยอย่างคึกคัก ก่อนที่ในช่วงเย็น พรรคก้าวไกลจะจัดเวทีปราศรัยย่อย เพื่อแนะนำนโยบายพรรคและผู้สมัคร ส.ส. ณ ตลาดครุในไนซ์มาร์เก็ต อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ

สำหรับช่วงเช้า เริ่มต้นที่ตลาดสุขอนันต์คลองด่าน พิธา และ ตรัยวรรธน์ อิ่มใจ ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 8 พรรคก้าวไกล เดินตลาดเพื่อทักทายประชาชนในพื้นที่ ระหว่างหาเสียง มีประชาชนเข้ามาพูดคุยและร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกจำนวนมาก จากนั้นหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ ในหลายเขตพื้นที่ ได้ขึ้นรถแห่รอบตลาดตำหรุ พื้นที่เขตบางปู ร่วมกับ รัชนก สุขประเสริฐ ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 2 พรรคก้าวไกล เพื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมฟังปราศรัยย่อยในช่วงค่ำ ระหว่างเดินทักทายประชาชน ได้รับเสียงตอบรับจากพ่อค้าแม่ขายและคนในพื้นที่เป็นอย่างดี

ด้านวรรณวิภา ในฐานะอดีตแรงงานที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมปราศรัยขอคะแนนพี่น้องประชาชน ให้ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านการเลือกตั้ง กาก้าวไกลเพื่อให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม ให้คนใหม่ได้เข้าไปทำงานในสภาฯ ให้พิธาเป็นนายกฯ

เปิดรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในศึกเลือกตั้ง 2566

เปิดรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในศึกเลือกตั้ง 2566

 

พรรครวมไทยสร้างชาติ
1.พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
2.พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

พรรคพลังประชารัฐ
1.พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ

พรรคก้าวไกล
1.พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

พรรคประชาธิปัตย์
1.จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
.
พรรคภูมิใจไทย
1.อนุทิน ชาญวีรกูล

‘เศรษฐา’ แจงปม ‘เป๋าตังดิจิทัล 1 หมื่นบาท’ มั่นใจ!! เศรษฐกิจโต ปีละไม่ต่ำกว่า 5%

(7 เม.ย.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรค พท. นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบายพรรค พท. และประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค พท. นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค แถลงกรณีมีการตั้งข้อสงสัยกระเป๋าตังค์ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท 

นายเศรษฐา กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากที่พรรค พท. แถลงนโยบายกระเป๋าตังค์ดิจิทัลวอลเลตเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าจะเอาเงินมาจากไหน ช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมาประเทศเราบอบซ้ำมาเยอะโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ พี่น้องประชาชนมีรายได้ลด รายจ่ายเพิ่ม จนกระทั่งอยู่ในภาวะที่เรียกว่าซึมลึก ซึมนาน ซึมยาว รัฐบาลปัจจุบันก็ค่อยๆ หยอดน้ำข้าวต้มมาเรื่อยๆ เป็นจำนวนเงินเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจที่เหมาะสม พรรค พท.เราคิดใหญ่ทำเป็น โดยจำนวนเงิน 10,000 บาทนั้น เราจะให้เป็นเงินดิจิทัล 10,000 บาทเลย ที่ต้องให้เป็นกระเป๋าตังค์ดิจิทัลไม่ให้เป็นเงินสด เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่เราสามารถจำกัดวิธีการใช้ได้ หากให้เป็นเงินสดก็อาจจะใช้ไปในทางอื่นที่ไม่เหมาะสม เช่น เรื่องของการพนัน ยาเสพติด การใช้หนี้นอกระบบ เทคโนโลยีจะสามารถบอกได้ว่าไปใช้อะไรบ้าง ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าหากเป็นหนี้สถาบันการเงิน จะสามารถนำไปใช้ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่เราต้องลงพื้นที่เพื่อสอบถามความต้องการ หากเป็นความต้องการเราก็จะนำมาพิจารณาอีกครั้ง 

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ส่วนระยะเวลาที่เราให้ใช้ภายใน 6 เดือนนั้น เพราะเราต้องการกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายอย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องใหญ่ที่เราต้องให้ความสำคัญ อีกเรื่องคือระยะรัศมีในการใช้ตามบัตรประชาชน 4 กิโลเมตรนั้น หากพื้นที่ไหนที่ไม่มีร้านค้า ก็สามารถขยายระยะทางออกไปได้ ส่วนคนที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แต่บัตรประชาชนอยู่ต่างจังหวัดจะสามารถใช้ได้หรือไม่นั้น เราตอบชัดเจนว่าไม่ได้ เพราะเราอยากให้กลับไปใช้เงินที่บ้าน เพื่อที่จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ไม่ใช่มากระจุกตัวที่หัวเมืองอย่างเดียว หากภายใน 6 เดือนนั้นไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเลย เงินก็จะหายไป ฉะนั้นคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ให้พี่น้องได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ภูมิลำเนาและไปกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนด้วย 

เมื่อถามว่ามีนักวิชาการมองว่าเป็นนโยบายประชานิยมสุดขั้ว พร้อมตั้งคำถามว่าเงินมาจากไหน และจะกระทบหนี้สาธารณะของประเทศ นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายนี้จะทำให้ภาครัฐเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น นี่จะตอบคำถามได้ว่าเงินมาจากไหน ยืนยันว่าเม็ดเงินมาจากการจัดสรรงบประมาณ การจัดเก็บภาษี VAT ที่ได้เพิ่มมากขึ้น และการจัดเก็บภาษีนิติบุคคล รวมทั้งสวัสดิการรัฐที่ลดน้อยลง ตนไม่อยากให้ใช้คำว่าประชานิยมสุดโต่ง แต่เป็นความจำเป็นและความต้องการของพี่น้องประชาชนที่ต้องการการช่วยเหลือเวลานี้

เมื่อถามว่างบประมาณปี 67 ที่ตั้งไว้ 3.35 ล้านล้านบาท ถ้าเป็นรัฐบาลและนำเสนอนโยบายนี้ จำเป็นต้องปรับลดงบประมาณกระทรวงอื่นๆ อย่างเช่นกระทรวงกลาโหม หรืองบประมาณลงทุนหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีจะได้เพิ่มมากขึ้นกว่า 2 แสนล้าน ส่วนงบประมาณอื่นๆ นั้น จะต้องดูงบประมาณในส่วนอื่นๆ ไม่ใช่งบประมาณกระทรวงกลาโหมเท่านั้น ว่าอะไรเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน 

เมื่อถามว่าจำนวนเงินที่ได้สามารถนำไปใช้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมันได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ได้ทั้งหมด ยกเว้นซื้อบุหรี่หรือใช้หนี้นอกระบบ 

เมื่อถามว่าร้านค้าสะดวกซื้อทั่วไปร่วมโครงการได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า สามารถเข้าร่วมโครงการได้ทั้งหมด ไม่กีดกั้นใครคนใดคนหนึ่ง เราเสมอภาคเท่าเทียม 

เมื่อถามว่าคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปสามารถใช้ได้ แล้วจะใช้งบประมารณเท่าไร นายเศรษฐา กล่าวว่า จะมีประชาชนกว่า 50 ล้านคนที่ได้รับสิทธิ์ ซึ่งจะใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท คาดว่าจะเริ่มโครงการได้ช่วงไตรมาส 3 หากเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งจะเริ่มได้ประมาณวันที่ 1 ม.ค.67 

เมื่อถามว่าคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ภายใน 4 ปี การเติบโตของจีดีพีเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี 

เมื่อถามว่ากรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านโยบายนี้มองประชาชนเป็นยาจก นายเศรษฐา กล่าวว่า “ผมไม่เคยมองประชาชนเป็นยกจก เป้าหมายของของพรรค พท. คือช่วยประชาชนพ้นหลุมดำของความยากจน ถ้าเกิดว่าดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท เป็นจุดสตาร์ทให้ประชาชนลุกขึ้นเดิน ลุกขึ้นทำมาหากินได้อีกครั้งหนึ่ง ผมถือว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชน”

‘บิ๊กป้อม’ ย้ำลูกพรรค หาเสียงอย่างสร้างสรรค์ สร้างความเข้าใจเยาวชน อย่าหลงกลคนจ้องดิสเครดิต

(7 เม.ย.66) รายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แจ้งว่า ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ได้ย้ำแกนนำพรรค และผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนว่า ต้องหาเสียงสร้างสรรค์ อย่าโจมตีสาดโคลน รักษากฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรงเด็ดขาด เพราะ พล.อ.ประวิตร ประเมินแล้วว่า ในช่วงนี้บางพรรคพยายามปั่นกระแส และดิสเครดิตพรรคพลังประชารัฐในเรื่องสนับสนุนการยึดอำนาจในช่วงที่ผ่านมา แต่ พล.อ.ประวิตร ให้แนวทางไปว่า ควรชี้แจงกับประชาชนว่าพรรคยึดกติกาและรักษาประชาธิปไตย รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร ช่วยประสานความขัดแย้งในช่วงที่ผ่านมาเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าและกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยเร็วที่สุด วันข้างหน้าความขัดแย้งต้องลดลง และจางหายไปในที่สุด

รายงานข่าวกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร บอกกับแกนนำพรรคให้แจ้งผู้สมัคร ส.ส.เวลาลงพื้นที่ว่า ที่ผ่านมาเยาวชนกลุ่มสามนิ้วมาประท้วง พล.อ.ประวิตร เช่น น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรือ อั๋ว แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่มายกสามนิ้วให้ พล.อ.ประวิตร ในการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.หลักสี่-จตุจักร แต่ พล.อ.ประวิตรได้ทักทาย และย้ำว่าเป็นลูกหลาน จนเหตุการณ์ไม่บานปลาย หรือกรณี น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ แกนนำกลุ่มคณะราษฎร 2563 ที่มาขอสัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร ซึ่ง น.ส.ภัสราวลี ก็บอกสื่อมวลชนไปว่า หลังจากพูดคุยกับพลเอกประวิตรก็พบสัญญาณที่ดี เป็นต้น ตรงนี้แปลว่าเยาวชนกลุ่มสามนิ้วที่ต่อต้านนั้นหากได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร แล้วก็จะเข้าใจและปรับท่าที่ในเชิงบวกขึ้น รวมทั้ง พล.อประวิตร ยังพร้อมพูดคุยกับทุกฝ่ายเสมอ เพื่อให้บรรยากาศบ้านเมืองดีขึ้น ซึ่งตรงกับแนวทางของ พล.อ.ประวิตร ที่ให้แคมเปญหาเสียงว่าก้าวข้ามความขัดแย้ง

รายงานข่าวกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ย้ำว่าหากเยาวชนต้องการมาพูดคุยกับตนหรือแกนนำพรรคนั้น ขอให้ยึดหลักเคารพกฎหมายและวัฒนธรรมอันดีของประเทศ สิ่งใดที่มาพูดคุย หรือเรียกร้องหากอยู่ในครรลองและกฎหมายก็สามารถร่วมมือกันได้ และที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร พอใจกับการพูดคุยกับเยาวชน นักศึกษาหลายสถาบันที่กลุ่มเฟซบุ๊ก FC ลุงป้อม ได้วิดีโอคอลให้ พล.อ.ประวิตร ได้สื่อสารกับคนรุ่นใหม่ เพราะคนรุ่นใหม่ได้สะท้อนปัญหาหลายเรื่องให้ พล.อ.ประวิตร และทีมงาน FC ลุงป้อม รับไว้พิจารณาแก้ไข โดยพบว่าท่าทีของคนรุ่นใหม่นั้นพร้อมที่จับมือฝ่ายต่างๆ เพื่อลดความขัดแย้ง และไม่มีท่าทีต่อต้าน พล.อ.ประวิตร ตรงนี้ทำให้ พล.อ.ประวิตร มั่นใจว่า หากเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่สื่อสารกับแกนนำพรรคต่างๆ อย่างเต็มที่นั้น ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันเป็นบ่อเกิดของความเห็นที่รุนแรงทางการเมือง จะลดระดับลงไปได้

‘ผู้การแต้ม’ โวย!! ป้ายหาเสียงถูกปลด พบป้าย ‘ทสท.’ เสียบแทน เตรียมร้อง กกต.-แจ้งความเอาผิด วอน ทุกพรรคทำตามกติกา

(7 เม.ย. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้สมัคร ส.ส. เขตหลักสี่  พรรคปชป.แถลงว่า พบว่าป้ายหาเสียงของตนและผู้สมัครของพรรค ปชป.หลายเขตใน กทม.รวมไปถึงป้ายหาเสียงของพรรคอื่น ๆ อาทิ พรรคก้าวไกล (กก.), พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ถูกปลดออกเช่นกัน แล้วกองไว้ในตำแหน่งที่ป้ายดังกล่าวเคยถูกติดตั้ง ซึ่งป้ายที่ถูกนำมาติดตั้งแทนที่นั้น เป็นป้ายหาเสียงของพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.)

“ผมมองว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ระบบประชาธิปไตย และผิดกฎหมายอาญาด้วย เพราะป้ายหาเสียงเป็นทรัพย์สินของผู้สมัคร การมาปลดป้ายหาเสียงไปทิ้งทำลาย ถือว่าเป็นการทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งทางพรรค ปชป.จะดำเนินการแจ้งความ และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำภาพจากวงจรปิดมาตรวจสอบหาผู้กระทำผิดต่อไป” พล.ต.ต.วิชัย กล่าว

พล.ต.ต.วิชัย กล่าวต่อว่า ขอวิงวอนให้ทุกพรรคการเมืองหาเสียงภายใต้กฎกติกา มารยาท และตามกฎหมาย เพราะผู้ที่จะอาสามาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน เมื่อขณะเป็นผู้สมัครยังหาเสียงอย่างไม่สุจริต หากได้เข้าไปทำหน้าที่ ส.ส. แล้ว ตนก็ไม่สามารถเชื่อได้ว่า ผู้นั้นจะสามารถทำงานได้อย่างซื่อสัตย์สุจริต สำหรับกรณีนี้ตนได้เตรียมหลักฐานไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะนำไปยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป

‘ธนาธร’ ปล่อยไก่ หาเสียงให้พรรคก้าวไกล แต่ดันพูดชื่อ ‘เพื่อไทย’ เต็มปากเด็มคำ

เรียกว่าโป๊ะ แบบโบ๊ะบ๊ะ ขำลั่นกันทั้งรถ เมื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ได้ขึ้นรถหาเสียง ส่งเสียงขายนโยบาย แต่พูดไปพูดมากลายเป็นขอคะแนนเสียงให้เพื่อไทยซะงั้น…
 

‘ธนาธร’ บุกกรุงเทพฯ อวดโฉมผู้สมัคร ส.ส ก้าวไกล 7 เขตรวด เชื่อ ‘ก้าวไกล-พท.’ สามารถนำพาประเทศสู่ความเป็นประชาธิปไตย

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมหาเสียงกับพรรคก้าวไกลในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มต้นแต่เช้าตรู่ที่ย่านฝั่งธนบุรี แนะนำผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งประกอบด้วย น.ส.แอนศิริ วลัยกนก เขต 25 ทุ่งครุ-ราษฎร์บูรณะ (เบอร์ 9), นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ เขต 26 บางขุนเทียน-จอมทอง (เบอร์ 11), นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เขต 27 บางบอน-บางขุนเทียน (เบอร์ 1) และ น.ส.รัชนก ศรีนอก เขต 28 จอมทอง-บางบอน-หนองแขม (เบอร์ 4) เดินพบปะประชาชนที่ตลาดและชุมชนซอยโรงเรียนบางขุนเทียนศึกษา และขึ้นรถแห่ร่วมหาเสียงจนถึงจากบางขุนเทียนไปจนถึงสุขสวัสดิ์

ก่อนข้ามฟากจากฝั่งธนบุรี มายังเขตห้วยขวางที่ตลาดเมืองไทยภัทร และตลาดห้วยขวาง หาเสียงช่วย แรมโบ้ นายกันตพณ ดวงอำพร เขต 6 พญาไท-ดินแดง (เบอร์ 3) และ นายเฉลิมชัย กุลาเลิศ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 5 ห้วยขวาง-วังทองหลาง (เบอร์ 12) ก่อนปิดท้ายการหาเสียงของวันนี้ ที่เขตลาดกระบัง ร่วมกับ นายธีรัจชัย พันธุมาศ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 18 หนองจอก-ลาดกระบัง-มีนบุรี (เบอร์ 8) ที่ตลาด V-Market โดยการหาเสียงของพรรคก้าวไกลในพื้นที่กรุงเทพมหานครวันนี้ ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างอบอุ่น มีประชาชนเข้ามาพูดคุย ให้กำลังใจ และขอถ่ายรูปด้วยเป็นจำนวนมาก

ระหว่างการร่วมหาเสียง สื่อมวลชนที่มาติดตามได้ถามคำถามต่อนายธนาธร ถึงสถานการณ์ทั่วไปในทางการเมืองและการเลือกตั้ง โดยเบื้องต้นได้สอบถามถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ ว่าไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งนายธนาธรระบุว่า การแบ่งเขตเช่นนี้ กำลังนำมาซึ่งความสับสนต่อทั้งประชาชนและพรรคการเมือง แต่ไม่ว่ากติกาจะเป็นแบบไหน ตนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลก็พร้อมสู้ และเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวกรุงเทพมหานคร เพราะผลงาน 4 ปีในสภาฯ เป็นที่พิสูจน์แล้วว่าพรรคก้าวไกลทำงานอย่างมุ่งมั่นคุ้มค่าภาษีประชาชน โดยต่อจากนี้ ทั้งพรรคก้าวไกลและตนจะใช้อีก 40 วันที่เหลือในการทำงานให้หนัก ให้พี่น้องประชาชนเห็นถึงความตั้งใจที่เรามีร่วมกัน

นายธนาธรยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชน ถึงกรณีการออกแบบนโยบายด้านปากท้องทึ่แตกต่างกันไปของแต่ละพรรคการเมือง โดยระบุว่า จากวิกฤตที่ผ่านมาทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้วันนี้คนไทยอ่อนแอลงมาก ประเทศไทยจะเข้มแข็งไม่ได้เลยถ้าประเทศไทยและคนไทยยังมีหนี้ครัวเรือนที่สูงขนาดนี้ ถ้าคนไทยยังต้องทนปากกัดตีนถีบใช้ชีวิตไปวันต่อวัน วางแผนชีวิตไม่ได้ ไม่มีความมั่นคงในชีวิตต่อยอดไม่ได้ เพื่อออกจากสภาวะแบบนี้ ประเทศไทยต้องมีรัฐสวัสดิการที่ยั่งยืนเพื่อให้ประชาชนมั่นคง มีความต่อเนื่องของนโยบาย เพื่อที่จะทำให้ประชาชนสามารถ วางแผนชีวิตตัวเองและต่อยอดการทำมาหากินได้

‘อนุทิน’ ยกทัพ ‘ภท.’ ลุยถิ่นนครสวรรค์ ชูนโยบาย ‘พูดแล้วทำ’ ย้ำ!! ถ้าได้ส.ส. มากพอ พร้อมเป็น ‘แกนนำตั้งรัฐบาล’

กระหึ่มปากน้ำโพ! ‘อนุทิน’ ยกคณะลงพื้นที่หาเสียง ‘นครสวรรค์’ ลั่นขอปักธงเหมากวาดชัยทั้ง 6 เขตกรุยทางสู่ภาคเหนือ ประกาศมุ่งทำงาน ไม่ขัดแย้งใคร ชูสารพัดนโยบาย ‘พูดแล้วทำ’ ย้ำหากได้ส.ส.มากพอพร้อมเป็น ‘แกนนำตั้งรัฐบาล’
.
(7 เม.ย.66) ที่สนามกีฬากลางจังหวัดนครสวรรค์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมคณะผู้บริหารพรรค อาทิ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหน้าหน้าพรรค, นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนสมาชิกพรรค, นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ ได้ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครของพรรคหาเสียง สู้ศึกเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่จะถึงนี้ ซึ่งมีประชาชนมาฟังการปราศรัยล้นสนามพื้นที่จัดงาน  

นายอนุทิน กล่าวกับประชาชนว่า ต้องขอบคุณชาวนครสวรรค์ ที่ให้โอกาสพรรคภูมิใจไทยได้ทำงานรับใช้ จากการที่พรรคได้ ส.ส.ในพื้นที่นี้ คือ นายมานพ ศรีผึ้ง ซึ่งเข้าไปเป็นตัวเชื่อมประสาน กับส่วนกลาง คอยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ แต่ครั้งนี้ ด้วยผลงานที่ทำมา คงจะไม่ขอมากไป หากเราหวังว่าจะได้ ส.ส.เพิ่มจาก 1 ท่าน เป็น 6 ท่าน ที่อยู่ด้วยกันข้างๆ คือนายวีระกร คำประกอบ นี่คือผู้แทนหลายสมัย ทำงานดี พี่น้องประชาชน ไว้วางใจ ท่านทุ่มเท ขยัน งานในสภาไม่บกพร่อง งานพื้นที่ ไม่มีคำว่าตกหล่น เป็นตัวอย่างของ ส.ส.คุณภาพ เจอท่านเมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่วนท่านอยู่พรรคอื่น  ตอนลงพื้นที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ก็ถูกใจกันมาแต่นั้น เพราะคนทำงานด้วยกัน ย่อมต้องการจะร่วมงานกัน  ซึ่งผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย พูดได้เต็มปาก ว่านี่คือคนทำงาน ทุกคน และทำอย่างเข้าใจ รู้จักพื้นที่ด้วย

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า พรรคภูมิใจไทย เราเป็นพรรคพูดแล้วทำ คำนี้ เราไม่ได้พูดเอง เออเอง แต่ได้มาจากประชาชน ตอนลงพื้นที่ หลายครั้งที่มีพี่น้องมาขอบใจ ในสิ่งที่พรรคทำ เช่น นโยบายฟอกไตฟรี, มะเร็งรักษาทุกที่, การให้กัญชาเป็นยา, การปลดเงื่อนไขเรื่องผู้ค้ำประกันออกจากการขอกู้ยืม กยศ., การลดดอกเบี้ย กยศ. เหล่านี้ ช่วยชีวิตประชาชนได้มาก จะเห็นว่าเลือกภูมิใจไทย เราเน้นทำงานไม่สร้างปัญหา อย่าลืมว่า พรรคภูมิใจไทย เราไม่หาเรื่องใคร ไม่สร้างศัตรู ไม่มีขั้ว ไม่มีสี ไม่มีฝ่าย เพราะเราคิดเรื่องทำงาน ให้เกิดประโยชน์กับประชาชน และถ้าคิดจะทำงาน ต้องหาแนวร่วม ร่วมด้วยช่วยกัน งานจึงจะแล้วเสร็จ ถ้ามาขัดขากัน งานไม่เสร็จ ดังนั้น เราเน้นสร้างมิตร ไม่สร้างศัตรู ใครคิดดีกับบ้านเมือง เราทำงานได้หมด ขอย้ำว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล เราจะยกระดับทั้งเรื่อง ชีวิต เศรษฐกิจ และสุขภาพ

‘ปชป.’ เล่นใหญ่!! ปราศรัยใหญ่ครั้งแรกลานคนเมือง จัดเวทีแบบ 360 องศา ขอเดินทักทายปชช. แบบใกล้ชิด

(7 เม.ย.66) ที่ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)เปิดปราศรัยใหญ่ครั้งแรก หลังสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีแกนนำพรรค ทั้ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคฯ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคฯ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคฯดูแลกทม.นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคฯ น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง พรรคฯ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. รวมทั้งผู้สมัครส.ส.กทม.ทั้ง 33 คน และผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ  โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

การปราศรัยครั้งนี้ปชป. จัดเวทีแบบ 360 องศา เพื่อให้ผู้สมัครส.ส.ใกล้ชิดกับประชาชน เพราะประชาชนเท่ากับประชาธิปัตย์ และเก้าอี้จำนวน 5,000 ตัว และจัดเวทีปราศรัยลักษณะตัวที ยื่นเข้าไปหากลุ่มประชาชนที่มาฟังการปราศรัย โดยให้ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 คน เดินโชว์ตัวที่ละคนคล้ายกับการเดินแบบ และทักทายประชาชน รวมทั้งให้ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ร่วมเดินโชว์ตัวและทักทายประชาชนด้วย นอกจากนั้นยังใช้ 3D Mapping ซึ่งเป็นการนำเอาเทคโนโลยีการและศิลปะมาผสมผสาน แล้วฉายไปยังตึกของศาลาว่าการกรุงเทพให้เป็นฉาก แทนการใช้จอภาพหรือฉากหลังแบบเดิม ๆ 

‘ธนาธร-ณัฐชา’ ยิ้มแห้ง!! ก่อนโดนพี่วินฯ ตั้งคำถาม “ประชาชนจะได้อะไรจากการแก้ไข ม.112”

เมื่อมานานมานี้ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล เขตบางขุนเทียน ได้ออกเดินทางหาเสียงพร้อมกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล โดยในระหว่างการเดินหาเสียงนั้น มีพี่วินมอเตอร์ไซค์ท่านหนึ่งได้เข้ามทตั้งคำถามกับทั้งสอง โดยถามว่า “ม.112 แก้แล้ว ตัวเขาเองที่ประกอบอาชีพขับรถวินมอเตอร์ไซค์นั้นจะได้อะไร”

นายณัฐชา ตอบกลับว่า “การแก้ ม.112 นั้นเป็นการแก้ไขเพื่อการหยุดกลั่นแกล้งทางการเมือง” ซึ่งพี่วินคนดังกล่าวก็ได้ตั้งคำถามกลับว่า “พวกเขาเหล่านั้นลบหลู่สถาบัน ก็ต้องมีการแจ้งความ เพราะมันแจ้งความไม่ได้ถ้าหากไม่มีการด่าทอสถาบันก่อน”

พี่วินยังเสริมอีกว่า “ผมเกิดมา 47 ปี ผมยังไม่เคยโดนข้อหา ม.112 เลยอยากถามว่าแก้ ม.112 ไปแล้วพวกผมได้อะไร เพราะจากที่ดูในสภาไม่เห็นพรรคก้าวไกลนั้นพูดถึงการแก้ปัญหาอื่นๆ ให้ประชาชนเลย พูดแต่เรื่องแก้ ม.112 แถมยังสนับสนุนม็อบ และม็อบเหล่านั้นเวลาถูกจับ ก็ไม่ได้โดนจับจากเรื่องม.112 แต่ถูกจับเพราะเรื่องพ่นสี ไปด่าคนอื่น ” 

พี่วินยังตั้งคำถามอีกว่า “ถ้าหากตนด่าถึงพ่อ ถึงแม่ จะโกรธไหม ถ้าโกรธก็ต้องแจ้งความจับตน ก็เหมือนกันการที่คนชอบหมิ่นสถาบันที่เป็นประมุข”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top