Friday, 16 May 2025
EducationNewsAgencyforAll

คุณกวาง อรอนงค์ วงษ์ประเสริฐ | THE STUDY TIMES STORY EP.21

บทสัมภาษณ์ คุณกวาง อรอนงค์ วงษ์ประเสริฐ Inclusive Educator (นักการศึกษาด้านการศึกษาพิเศษแนวร่วม) ในโรงเรียนเอกชนนานาชาติ
นักการศึกษาด้านการศึกษาพิเศษแนวร่วม ค้นพบจิตวิญญาณของความเป็นครู จากการอยู่กับตัวเอง

ปัจจุบันครูกวางทำงานอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใจกลางทองหล่อ ในตำแหน่ง Inclusive Educator มุ่งเน้นที่ Self-Regulation ช่วยให้เด็กเรียนร่วมกับผู้อื่นได้ 

ครูกวางเป็นคนที่พยายามศึกษาตัวเองตั้งแต่ชั้นมัธยม ที่ผ่านมาเลือกเรียนตามความถนัด ความสนใจ และสิ่งที่ทำได้ดี แต่สิ่งที่ทำให้มีความสุขกลับได้ค้นพบหลังจากนั้น 

งานที่ครูกวางทำอยู่ในปัจจุบัน ให้ความรู้สึกว่า ในทุก ๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมาอยากไปทำงาน มีความหมายที่จะได้ไปโรงเรียน ไปเจอนักเรียน ความสำเร็จของครูกวางไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นความสำเร็จเล็ก ๆ ที่สำเร็จทุกวัน

ย้อนกลับไป ครูกวางเลือกเรียน ปริญญาตรีมนุษยศาสตร์ เอกภาษาไทย (วิชาโท วาทการ) มศว. (ประสานมิตร) ด้วยความตั้งใจครั้งแรกอยากเป็นผู้ประกาศข่าว แต่เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วมีความรู้สึกว่าไม่อยากพูดในสิ่งที่รู้ไม่จริง เลยฉีกไปเป็น พูดในสิ่งที่รู้ รู้ในสิ่งที่พูด ทำให้ตัดสินใจเลือกเอกภาษาไทย กระทั่งได้รับโอกาสเป็นครูภาษาไทยในเอกชนนานาชาติ จนมีจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าความพยายามไม่พอ ความสามารถไม่พอ และความถนัดไม่พอ หลังจากนั้นยอมรับความจริงว่าตัวเองยังไม่พอ จึงเลือกไปเรียนต่อ 

การเตรียมตัวด้านภาษา ก่อนเริ่มเรียนปริญญาโท ครูกวางเลือกไปฝึกภาษาอยู่โซนต่างจังหวัดของอังกฤษ เพราะอยากเห็นวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของคนอังกฤษ หลังจากนั้นได้มาฝึกภาษาอังกฤษที่ลอนดอน มุ่งไปที่ IELTS จริงจังมากขึ้น จนเข้าปีที่สามก็ยังเน้นเรื่องภาษาอยู่ 

เพราะคุยกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ทิ้งการสอน ในขณะที่ทำงานในร้านอาหาร ช่วงกลางวันหลังเรียนภาษา คุณกวางก็จะไปสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติที่สถาบัน เช่น นักธุรกิจ เจ้าหน้าที่รัฐ  

กระทั่งศึกษาต่อปริญญาโท ด้านการศึกษา ที่ Goldsmiths, University of London เรียนเกี่ยวกับ “อัตลักษณ์” (Identity) เมื่อเรียนจบมาทำให้มองคอนเซ็ปต์ของ “อัตลักษณ์” (Identity) เปลี่ยนไป เกิดความคิดขึ้นมาว่า ในฐานะของผู้สอนและความเป็นครู เราควรสอนให้เด็กเบ่งบานที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเติบโตและเบ่งบาน

หลังเรียนจบ ครูกวางยังอยู่ทำงานที่ประเทศอังกฤษต่ออีกสองปี รวมอยู่อังกฤษนานถึง 6 ปี 7 เดือน สิ่งที่ชื่นชอบคือเรื่องของทางเท้า เพราะเป็นคนชอบเดิน รัฐบาลที่นั่นให้ความสำคัญกับการสร้างสาธารณูปโภคเบื้องต้น อีกสิ่งที่ชื่นชอบคือ ลอนดอนมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่ถ้าอยากจะเห็นความเป็นอังกฤษจริง ๆ ครูกวางแนะนำว่าต้องไปในโซนต่างจังหวัด

เหตุผลที่ครูกวางอยู่อังกฤษนาน เพราะให้ความสำคัญกับพื้นฐาน ทักษะ และการรู้จักตัวเอง โดยเป็นคนที่ทำงานหนักมากและทำงานที่หลากหลาย มีคอนเซ็ปต์ในการใช้ชีวิต คือ ให้โอกาส อย่างน้อยให้โอกาสตัวเองได้ลองทำ จะรู้ว่าสิ่งไหนชอบ สิ่งไหนยังต้องเรียนรู้อยู่

สิ่งที่ทำให้ครูกวางประทับใจในการศึกษาที่อังกฤษ คือ ความเป็นครูผู้ผลักดัน ครูที่ต้องการดันเพดานของเด็ก ด้วยความที่เห็นตัวอย่างสิ่งนี้จาก Professor ของตัวเอง ครูกวางจึงได้ถ่ายทอดสิ่งนี้ส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ที่อยู่ในมือ โดยดึงศักยภาพของพวกเขาออกมา สิ่งที่ให้ไปคือเครื่องมือ โดยหวังว่าวันหนึ่งเขาจะนำเครื่องมือไปต่อยอดเอง หรือทำอะไรได้มากกว่านี้

บทบาทการสอน ณ ปัจจุบัน ครูกวางเป็น Inclusive Educator (นักการศึกษาด้านการศึกษาพิเศษแนวร่วม) ในโรงเรียนเอกชนนานาชาติ มีจุดเริ่มต้นมาจากช่วงที่ครูกวางยื่นสมัครงาน มีที่หนึ่งเรียกไปสัมภาษณ์ โดยผู้ใหญ่แจ้งเหตุผลที่เลือกครูกวางไว้ว่า เพราะใน CV ระบุว่าชอบวิ่ง เนื่องจากงานที่ทำต้องมีการวิ่งเล่นกับเด็ก มีความสุขในการขยับตัว งานนี้น่าจะเหมาะ 

สิ่งที่ครูกวางต้องทำในแต่ละวันคือ เด็กจะต้องรู้ Routine ของตัวเอง และการใช้สายตา ต้องมีการวางแผนว่าเด็กแต่ละคนต้องการความช่วยเหลือด้านใด บางคนต้องการความช่วยเหลือด้านพฤติกรรม ด้านภาวะอารมณ์ ด้านพัฒนาการ แต่ในบริบทของการทำงานในห้องเรียนสิ่งที่ต้องทำให้แม่นที่สุด คือ Routine ของเด็ก ๆ เช่น ถ้าเด็กเสียงดัง เราจะสอนเขายังไงให้ใช้เสียงระดับเบาลงมา การทำงานแบบนี้จะทำงานเป็นทีม มีนักบำบัดหลายท่าน ตัวงานต้องใช้ไหวพริบและปฏิภาณเพื่อที่จะอธิบาย

สำหรับครูกวาง เป้าหมายของการทำงานร่วมกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ คือ วันใดที่เขาไม่ต้องการเราแล้ว นั่นคือความสำเร็จ จุดมุ่งหมาย คือ สร้างพื้นฐานให้เด็กแต่ละคน เพื่อที่จะให้เขาไปต่อ

ในปัจจุบัน จากคำว่า เด็กพิเศษ หรือ เด็กที่มีความต้องการพิเศษ ถูกเปลี่ยนเป็น เด็กผู้มีสิทธิพิเศษในการเรียนรู้ ครูกวางปรารถนาให้ Inclusive Education เป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้น แม้ว่าเด็กจะมีความแตกต่าง แต่เขาสามารถเรียนร่วมกับคนอื่นได้ เด็กสามารถเรียนรู้ผ่านเพื่อนและมิตรภาพ

สุดท้ายครูกวางฝากไว้ว่า ไม่มีใครตอบได้นอกจากตัวเรา ว่าเราถนัดอะไร ชอบอะไร มีความสนใจอะไร โอกาสที่เปิด ณ ตอนนี้คืออะไร สิ่งเหล่านี้แต่ละคนใช้เวลาในการเรียนรู้ได้ แต่อีกมุมหนึ่ง ให้ลองใช้เวลาเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองบ้าง โดยที่ไม่ได้เปิดรับสารอะไรเข้ามา และให้ความจริงบางอย่างที่อยู่ในใจของเราได้คลี่คลาย

.

.

Liberal Arts Lifelong Learning Thammasat University เปิดหลักสูตรการแปลอังกฤษ-ไทย สำหรับบุคคลทั่วไป เรียนผ่าน Zoom ทุกวันพุธและศุกร์ เวลา 18.00-20.00 น.

การแปลอังกฤษ-ไทย

หลักสูตร 30 ชั่วโมง เรียนออนไลน์ผ่าน Zoom

ㆍ รู้จักหลักการแปล และแนวทางการแปลจากทฤษฎีการแปล เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการแปล อังกฤษ-ไทย

ㆍเข้าใจการแปลตรง การแปลอย่างมีพลวัตร (Dynamic Translation) และการแปลให้ตรงจุดประสงค์ (Functional Translation)

ㆍศึกษาปัญหาการแปลที่พบบ่อย ทั้งในระดับ คำ วลี และประโยค

ㆍการปรับบทแปลให้สละสลวย

ㆍฝึกแปลบทความ ข่าว งานโฆษณา โซเชียลมีเดีย และคำบรรยายภาพยนตร์

ㆍตอบข้อสงสัยที่พบเห็นจากการแปลรอบตัว

วิทยากร : อาจารย์แพท แสงธรรม

ตารางเรียน

พ.ค. : 28

มิ.ย. : 2, 4, 9, 11, 16, 18, 23, 25, 30

ก.ค. : 2, 7, 9, 14, 16

สมัครได้ถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2564

สมัครเรียนได้ที่ลิงค์นี้ : https://forms.gle/x1AkuApn14ABAhhTA

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/108580084090639/posts/309625237319455/?d=n

คุณครีม ณัชชารีย์ สมศิริมงคล | THE STUDY TIMES STORY EP.22

บทสัมภาษณ์ คุณครีม ณัชชารีย์ สมศิริมงคล คณะ Business English- IBM, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ 
เรียนภาษาจีน University of International Business and Economics, ปักกิ่ง, สาธารณรัฐประชาชนจีน
จากคนที่ไม่เคยเรียนต่อต่างประเทศ ฝึกภาษาอังกฤษเอง คว้าตำแหน่งแฮร์โอสเตสสายการบินเอมิเรตส์

คุณครีม จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) คณะ Business English- IBM และยังไม่เคยไปเรียนภาษาอังกฤษที่เมืองนอกมาก่อน แต่สามารถพูดได้ตามมาตรฐานผ่านการฝึกของตัวเอง 

หลังจบการศึกษาจาก ABAC คุณครีมมีโอกาสได้ไปทำงานเป็น Promoter กับ Qatar Airways หลังจากนั้นรู้สึกว่าภาษาจีนมีความสำคัญ จึงตัดสินใจไปเรียนภาษาจีนที่ University of International Business and Economics ( 对外经贸大学, Beijing, China) ระยะเวลาหนึ่งปี

การฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษ
คุณครีมแนะนำว่า หากจะฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษ ต้องฝึกจากการฟัง พยายามพูดตาม การดูหนัง ฟังเพลง ฟังข่าวภาษาอังกฤษ จะทำให้ซึมซับไปในตัว สำหรับคุณครีมถ้าอยากได้สำเนียงแบบไหน จะเลียนแบบและฟังการพูดแบบนั้นทุกวัน อย่างน้อยวันละ 15 นาที 

จุดเริ่มต้นอาชีพ แอร์โฮสเตส
สำหรับคุณครีม อาชีพแอร์โฮสเตสจุดประกายมาจากการทำงานที่ Qatar Airways เพราะความฝันที่จะได้เที่ยวรอบโลก เปิดโลกกว้าง เงินเดือนเยอะ ได้ฝึกทักษะภาษาอังกฤษ ดูยูนิฟอร์มของแอร์เอมิเรตส์แล้วเกิดความชื่นชอบ ตั้งเป้าไว้ว่าวันหนึ่งต้องได้ใส่ชุดนี้ 

คุณครีมเล่าว่า ขั้นตอนการคัดเลือกแอร์เอมิเรตส์มีประมาณ 6 ด่าน ด่านแรก pre-screen ดูความพร้อมตั้งแต่ การแต่งตัว หน้าผม บุคลิก ภาษา บางคนแต่งหน้าทำผมอย่างดี ยื่นเรซูเม่ไม่ถึงห้าวินาที ได้กลับบ้านก็มี การเป็นแอร์แต่ละสายการบินจะมีจุดแข็งจุดดีแตกต่างกัน การเตรียมตัวพร้อมยังไงก็ดีกว่าการไม่เตรียมตัวเลย

การจะเป็นแอร์โฮสเตสของสายตะวันออกกลาง ต้องสอบภาษาอังกฤษของสายการบินด้วย แต่ถ้าสายในไทยจะใช้ TOEIC นอกจากนี้ยังมีการทดสอบพูด Public Speaking ต่อหน้ากรรมการ โดยที่ไม่มีโจทย์มาให้ก่อน 

คุณครีมคิดว่า สิ่งที่ทำให้คุณครีมได้รับการคัดเลือก น่าจะเป็นเพราะเรื่องของทีมเวิร์ค การตอบคำถาม การแก้ปัญหา ซึ่งทุกด่านใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด

ประสบการณ์เป็นแอร์เอมิเรตส์ กว่า 5 ปีที่ผ่านมา คุณครีมเล่าว่า ได้ครบทุกรสชาติ สิ่งที่ดีที่สุด มีทั้งการได้เป็น Dubai influencer ได้ทำหน้าที่รีวิวตามสถานที่ต่าง ๆ เพราะไม่ใช่แอร์ทุกคนจะได้รับโอกาสนี้ ดูไบมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทำให้เจออย่างน้อย 6 สัญชาติต่อวัน ฉะนั้นที่ดูไบจะต้องการ influencer ที่หลากหลาย การเป็นแอร์เอมิเรตส์  มีข้อดีคือเป็นแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักกันทั่วโลก นอกจากนี้คุณครีมยังเคยเป็นล่าม ช่วยโปรโมทการท่องเที่ยวไทยในดูไบ 

ถึงวันหนึ่งที่ต้องมีการคัดคนออก เนื่องจากวิกฤติโควิด-19 คุณครีมเป็นล็อตสุดท้ายที่โดนจ้างออก และเที่ยวสุดท้ายที่ได้บินมีผู้โดยสารติดโควิด ถือว่าเป็นจุดที่ทำให้รู้สึกแย่อยู่บ้าง

Flywithcream Academy สอนภาษาอังกฤษและพัฒนาบุคลิกภาพ  
หลังจากช่วงที่โดนจ้างออก คุณครีมได้ไปลงเรียนเพื่อรับใบรับรองการสอนภาษาอังกฤษ Cambridge Certificate in teaching English (CELTA) เป็นโปรแกรมอบรมการสอน 2 เดือนเต็มทางออนไลน์ 

สืบเนื่องจากตอนที่อยู่ดูไบ คุณครีมได้ทำทั้ง YouTube Instagram Facebook TikTok  มีฐานผู้ติดตามกว่าสองแสนคน ที่สนใจในเรื่องของการเป็นแอร์โฮสเตส และการฝึกทักษะภาษาอังกฤษ จึงเป็นจุดต่อยอดในการเปิด Flywithcream Academy สอนภาษาอังกฤษและพัฒนาบุคลิกภาพ  

ตัวอย่างเทคนิคในการสอนภาษาอังกฤษ เช่น ทักษะภาษาอังกฤษประกอบด้วย การฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ไม่จำเป็นต้องสอนทั้ง 4 ทักษะในคลาสเดียว ให้ทำเป็นการจับคู่แทน เช่น Listening คู่กับ Specking  ต้องฟังก่อน ค่อยฝึกพูดตาม หรือ Reading คู่กับ Writing ซึ่งในเรื่องของการเขียนต้องได้แกรมม่า

สำหรับผู้ที่สนใจ อยากติดตามรีวิวสาระน่ารู้ เกี่ยวกับอาชีพแอร์โฮสเตส สจ๊วต การบิน เครื่องบิน รวมทั้งสอดแทรกการสอนภาษาอังกฤษ สามารถติดตามได้ทาง Youtuber, Facebook fanpage : flywithcream 

สำหรับคนที่อยากเป็นแอร์โฮสเตส คุณครีมแนะนำว่า ตอนนี้สายการบินเริ่มกลับมาบินเยอะแล้ว เอมิเรตส์เองได้นำ Airbus A380 เครื่องบินลำใหญ่ที่สุดในโลกกลับมาใช้ ตอนนี้ใครที่อยากเป็นแอร์โฮสเตสหรือสจ๊วตให้เตรียมตัว เพราะมีการคัดลูกเรือออกไปเยอะ ตอนที่รับก็อาจจะรับเข้ามาเยอะเช่นกัน

.


.

.

วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน

วันวิสาขบูชา ๒๕๖๔ ตรงกับวันพุธที่ ๒๖ พฤษภาคม วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน มาบรรจบกัน ในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะไปทำบุญ ตักบาตร เวียนเทียนที่วัด

ความหมายของวันวิสาขบูชา

คำว่า วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ดังนั้น วิสาขบูชา จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญ เดือน ๖

การกำหนดวันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๗ หรือราวเดือนมิถุนายน

อย่างไรก็ตาม ในบางปีของบางประเทศอาจกำหนด วันวิสาขบูชา ไม่ตรงกับของไทย เนื่องด้วยประเทศเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งที่ต่างไปจากประเทศไทย ทำให้วัน-เวลาคลาดเคลื่อนไปตามเวลาของประเทศนั้น ๆ

ประวัติวันวิสาขบูชาและความสำคัญของ วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด ๓ เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญ เดือน ๖ แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเป็นเวลาหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ ๓ ประการ ได้แก่...

๑. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ

๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ   

๓. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป)


ขอบคุณที่มา: https://hilight.kapook.com/view/23220
 

คุณป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล | THE STUDY TIMES STORY EP.23

บทสัมภาษณ์ คุณป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปริญญาโท หลักสูตร MBA บริหารธุรกิจ ภาค International สาธารณรัฐประชาชนจีน
ครูสอนภาษาจีนเพื่อใช้ได้จริง และอุทิศตนเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน

คุณป๊อปหรือครูพี่ป๊อป เรียนจบมาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ เน้นภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ตอนนั้น ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยเลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะมีความใฝ่ฝันและชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังไว้ว่าสายวิทย์มีทางเลือกมากกว่า ครูป๊อปมองว่าคณะสถาปัตย์เป็นสิ่งที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสายวิทย์และสายศิลป์ คือใช้วิทย์-คณิตในการสอบเข้า และต้องมีทักษะการวาดรูปด้วย เมื่อได้เข้าไปเรียนถือเป็นคณะที่ตอบโจทย์ครูป๊อปทุกอย่าง

เพราะครูป๊อปมีความชอบหลายอย่าง ทั้งวาดรูป ฟังเพลง กีฬา ภาษา เมื่อเรียนในระดับมหาวิทยาลัยก็ยังคงฟังเพลงเพื่อชีวิต ดูหนังฝรั่ง ฟังเพลงฝรั่ง แต่ครูป๊อปพยายามมองหาอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น จึงเลือกไปเรียนต่อที่ประเทศจีน

ย้อนกลับไป 15 ปีก่อน ประเทศจีนไม่ได้เป็นที่นิยมเรียนต่อมากขนาดนี้ คุณป๊อบตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโท หลักสูตร MBA บริหารธุรกิจ ภาค International ประเทศจีน โดยเรียนเป็นภาคภาษาอังกฤษ 100% เนื่องจากไม่มีทักษะภาษาจีนมาก่อน แต่ข้างนอกห้องเรียนจะพูดคุยกันเป็นภาษาจีนทั้งหมด จึงเป็นสิ่งที่บีบให้ครูป๊อปได้ใช้ทั้งสองภาษาโดยอัตโนมัติ 

หลังเรียนจบ เมื่อมีทักษะภาษาจีน และได้ภาษาอังกฤษเป็นทุนเดิม ครูป๊อปเลือกเป็นสถาปนิก ทำงานต่อ ณ ประเทศจีน โดยเจ้านายคนแรกเป็นชาวบรูไน พบเจอกันจากการไปเดินชมย่านเมืองเก่าในประเทศจีน เจ้านายนำวัดเก่ามารีโนเวทให้เป็นออฟฟิศสถาปนิก มีพนักงานเป็นคนจีนทั้งหมด ถือว่าเป็นพื้นที่ในฝันของครูป๊อป จึงได้เข้าไปพูดคุย ด้วยความที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ และเจ้านายเป็นคนต่างชาติที่ทำงานในประเทศจีน เกิดความถูกใจรับเข้าทำงาน 

เคล็ดลับในการฝึกภาษาจีนของครูป๊อป คือ ช่วงที่เรียนอยู่ประเทศจีน หากได้ยินคำไหนที่ไม่รู้จะจดไว้เป็นภาษาคาราโอเกะทันที ได้ยินยังไงก็พิมพ์ไปแบบนั้น แล้วนำมาถามเพื่อนคนจีน เทคนิคสำคัญขอเพียงแค่กล้าพูดและนำมาแก้ไข

ครูสอนภาษาจีน แห่งสถาบัน Chinese Pop-up 
เมื่อครูป๊อปเดินทางกลับมาประเทศไทย เริ่มเป็นพิธีกรภาคภาษาจีนและรู้สึกว่าตัวเองสามารถสอนได้ ได้เริ่มสอนที่โรงเรียนสีตบุตรบำรุง เป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย จากนั้นอยากเปิดหลักสูตรเป็นของตัวเอง จึงได้เปิดสถาบัน Chinese Pop-up ขึ้นมา ใช้ชื่อหลักสูตรว่า ‘จีนจำเป็น’ จะสอนเฉพาะสิ่งที่จำเป็น นอกจากนี้ยังได้รับเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เพราะสิ่งที่ครูป๊อปสอนมีความลัด สั้น ตรง และใช้ได้จริง

บทบาทที่หลากหลาย (อาจารย์พิเศษ, พิธีกร / ผู้ประกาศ / นักจัดรายการโทรทัศน์และวิทยุ)
นอกจากจะเป็นติวเตอร์สอนภาษาจีนแล้ว ครูป๊อปยังเป็นทั้งพิธีกร อาจารย์พิเศษ และนักจัดรายการโทรทัศน์และวิทยุ ทุกวันนี้การสอนเป็นพาร์ทที่เล็กมากสำหรับครูป๊อป เนื่องจากหันมาผลิตรายการที่เป็นภาษาจีนซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะเล็งเห็นจุดอ่อนของสังคมไทยที่หาพิธีกรพูดภาษาจีนไม่ได้เลย อีกทั้งการฟังภาษาจีนรู้เรื่องทั้งหมด ทำให้สามารถสร้างมูลค่าได้ทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

ความฝันของครูป๊อป คือ อยากเป็นสะพานพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีนและประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น ผลักดันให้สองประเทศมีความสัมพันธ์อันดียิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยภาษา พยายามสร้างให้คนไทยได้ภาษาจีน และให้คนจีนรู้เรื่องเมืองไทย มีทัศนคติที่ดีระหว่างกัน

สิ่งที่อยากผลักดันด้านการศึกษาในประเทศไทย
ในด้านการศึกษาในประเทศไทย ครูป๊อปมองว่า ต้องขุดไปแก้เยอะมาก หลายสิ่งที่อยากทำไม่สามารถทำให้เป็นรูปธรรมได้ เราอยู่ในสังคมที่มีกรอบเยอะ เราเปลี่ยนอะไรในประเทศนี้ยาก ขณะที่โลกทั้งใบการศึกษากำลังเปลี่ยนไป คนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยลดลงทั่วโลก เพราะเขารู้สึกว่าไม่จำเป็น  ระบบการศึกษาไทยต้องมีความครีเอทีฟมากกว่านี้ ถ้ามีระบบการศึกษาที่ดี เฉียบขาด เด็กไทยจะไม่อยากย้ายประเทศมากขนาดนี้

.

.

.

คุณเบล ศุภนุช ชือรัตนกุล | THE STUDY TIMES STORY EP.24

บทสัมภาษณ์ คุณเบล ศุภนุช ชือรัตนกุล ประถมศึกษา โรงเรียน Tampines Secondary School, สิงคโปร์ 
ปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาวิชาชีววิทยา Mahidol University International College (MUIC)
ปริญญาโทที่สถาบัน Asian Institute of Technology (AIT)
เพราะความประทับใจระบบการศึกษาวัยเด็ก สานฝันแนะแนวเด็กไทยเรียนสิงคโปร์

ครูเบลได้ไปศึกษาอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร์ ตั้งแต่ช่วงชั้นประถม แรกเริ่มเข้า ป.4 จนกระทั่งจบชั้นม. 4 การเรียนการสอนที่สิงคโปร์จะมีเรียนเพียงครึ่งวัน อีกครึ่งวันจะมีกิจกรรมให้เลือกทำ เลิกเรียนก็จะกลับบ้านมาอยู่กับโฮสแฟมิลี่ ที่สิงคโปร์มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทย แต่บุคลิกอาจแตกต่างกันบ้าง เช่น คนสิงคโปร์เป็นคนทำอะไรรวดเร็ว ทั้งการเดินและการพูด 

ที่สิงคโปร์จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก บางครั้งมีการผสมภาษาจีนเข้ามาในการสื่อสารด้วย ตอนไปครั้งแรกครูเบลยังไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษหรือภาษาจีนได้เลย ช่วงสามเดือนแรกครูเบลแทบไม่คุยกับใคร เพราะพูดไม่รู้เรื่อง ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ กลัวเขาฟังไม่เข้าใจ ถึงขนาดไม่กล้าสั่งข้าวในโรงเรียน หลังจากนั้นสภาพแวดล้อมและสถานการณ์บังคับให้ฟังออกและพูดได้ 

ครูเบลเล่าว่า ช่วงป.4 ผลการเรียนถือว่าแย่มาก เป็นช่วงแห่งการปรับตัวและเริ่มเรียนภาษาจีนอย่างจริงจัง กระทั่งช่วงปิดเทอมม.1 กลับมาที่ไทย คุณแม่ได้ส่งไปเข้าค่ายยุวพุทธ 3 วัน 2 คืน ฝึกนั่งสมาธิ ฝึกการโฟกัส สอนให้มีสติกับสิ่งที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน ได้นำตรงนั้นมาใช้หลังกลับมาเรียนที่สิงคโปร์ จนสามารถทำผลการเรียนเป็นอันดับ 1 ของชั้นติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ที่โรงเรียน Tampines Secondary School 

ครูเบลเล่าว่า การเรียนที่สิงคโปร์จะสอนว่าทุกอย่างที่เรียนจะนำมาใช้ได้อย่างไร เน้นที่การประยุกต์ใช้เป็นหลัก เมื่อกลับมาเรียนที่เมืองไทยเลยค่อนข้างง่าย เพราะถูกสอนมาอย่างดี

หลังจากจบการศึกษาที่สิงค์โปร์ ครูเบลได้กลับมาศึกษาระดับปริญญาตรีที่ Mahidol University International College (MUIC) สาขาวิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีผลการเรียนเกียรตินิยมอันดับ 1 และได้รับทุนรัฐบาลไทยให้ศึกษาต่อปริญญาโทที่สถาบัน Asian Institute of Technology (AIT) เรียนเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรทางทะเล โดยมีความสนใจด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นทุนเดิม

ครูติวสอบการเรียนต่อประเทศสิงคโปร์ระดับแนวหน้าของประเทศไทย
เนื่องจากช่วงที่ครูเบลกลับมาจากสิงคโปร์ เป็น TA ช่วยสอนอยู่ในมหาวิทยาลัย ระหว่างนั้นมีรุ่นน้องที่อยู่สิงคโปร์มาขอให้ช่วยติวข้อสอบ เป็นจุดเริ่มต้นการสอนมาตั้งแต่สมัยเรียน จนถึงปัจจุบัน

การสอบ AEIS
Admission Examination for International Students (AEIS) คือ ข้อสอบสำหรับนักเรียนทุกคนที่ต้องการสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลสิงคโปร์

ครูเบลเล่าว่า สมัยก่อนการไปเรียนสิงคโปร์ยังไม่ได้รับความนิยมขนาดนี้ จนกระทั่งจีนเปิดประเทศมากขึ้น คนจึงอยากส่งลูกเข้าไปเรียนที่สิงคโปร์ ทำให้การเรียนของสิงคโปร์ดรอปลง จึงยกระดับการศึกษาด้วยการจัดสอบ AEIS สำหรับเด็กต่างชาติโดยเฉพาะ ความยากคือต้องแข่งขันกับเด็กต่างชาติทั่วทุกมุมโลก

การสอบ AEIS สามารสอบได้ตั้งแต่ระดับป.2 จนถึง ม.3 จะสอบไม่ได้ช่วงป.6 และ ม.4 เพราะเป็นช่วงที่มีข้อสอบใหญ่ ยิ่งระดับโตขึ้นการสอบจะยิ่งยากขึ้น 

ครูเบลกล่าวว่า ผู้ปกครองส่งเด็กไทยไปเรียนสิงคโปร์กันเยอะ มีเหตุผลอยู่ 4 ข้อ คือ 
1.) ใกล้ 
2.) ระบบการศึกษาดี 
3.) ปลอดภัย และ
4.) ได้ภาษาจีน ที่สำคัญสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาเหมาะกับเด็กเล็ก

สำหรับเด็กที่อยากไปเรียนต่อประเทศสิงคโปร์ คุณเบลแนะนำว่า ต้องฝึกวิชาภาษาอังกฤษและเลข เพราะวิชาที่ต้องสอบมีเพียงสองวิชานี้ ให้เตรียมตัวในระบบของสิงคโปร์ ติวข้อสอบของสิงคโปร์ไว้ได้เลย


.

.

.

ในปีนี้ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ยืนยันชัดเจนว่าเด็กทุกคนต้องมีที่เรียน นักเรียนพลาดสอบเข้า "ม.1 และ ม.4" ต้องไป "เขตพื้นที่การศึกษา"

นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สำหรับนักเรียนที่พลาดการจับฉลาดหรือการสอบ สามารถยื่นความจำนงเพื่อจัดหาที่เรียนได้ โดยสพฐ. ได้เตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกให้แก่นักเรียนและผู้ปกครอง มอบหมายให้ "เขตพื้นที่การศึกษา" ทุกเขตสำรวจที่ว่างของโรงเรียนทุกโรงภายในเขตพื้นที่ เพื่อเตรียมบัญชีจัดหาที่เรียนให้เด็กที่ยังไม่มีที่เรียน

“ผู้ปกครองสามารถพานักเรียนไปยื่นความจำนงไปที่ "เขตพื้นที่การศึกษา" ได้เลย หรือจะยื่นผ่านทาง "ระบบออนไลน์" ก็ได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเดินทางและเป็นการรักษาระยะห่างตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ด้วย จากนั้นเขตพื้นที่จะดำเนินการจัดหาที่เรียนให้นักเรียนภายในกำหนดเวลา เพื่อให้สามารถเริ่มเรียนได้ทันวันที่ 1 มิ.ย. 2564 พร้อมกัน เพราะฉะนั้นขอยืนยันว่าปีนี้เด็กจะมีที่เรียนทุกคน ผู้ปกครองไม่ต้องกังวลว่าลูกจะไม่มีที่เรียน” นายอัมพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้ปกครองกังวลการสอบเข้า “ม.1 และ ม.4” โดยเฉพาะ ม.4 ที่มีการมอบตัวในวันที่ 30 พ.ค. 2564 เกรงว่าเด็กจะมีที่เรียนไม่ครบ เพราะเวลากระชั้นชิดเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 มิ.ย. 2564 นั้น

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า การสอบเข้า “ม.1 และ ม.4” เมื่อประกาศผลตามปฏิทินที่กำหนดไว้คือ ม.1 วันที่ 24 พ.ค. และ ม.4 วันที่ 25 พ.ค. เราทราบทันทีว่าเด็กคนไหนสอบได้หรือไม่ได้กี่คน ถือว่ามีเวลาเตรียมตัวอีก 1 สัปดาห์ เพื่อจัดหาที่เรียนให้เด็กที่พลาดโอกาส

ขณะนี้ สพฐ.ได้แจ้งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทุกแห่งเตรียมพร้อมรอบด้านไว้แล้ว เช่น โรงเรียนแห่งหนึ่งมียอดผู้สมัคร 200 คน แต่รับได้ 40 คน สพท.จะสำรวจจำนวนผู้สมัครทั้ง 200 คนทันทีว่าหากพลาดโอกาสสอบเข้าได้จะต้องได้ที่เรียนที่ไหนบ้าง ซึ่ง สพฐ. ได้สำรวจไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อถึงวันประกาศผลสอบใครสอบได้ข้อมูลจะถูกลบออกทันที เหลือข้อมูลเด็กที่สอบไม่ได้ทุกคนจะทราบทันทีว่าตัวเองถูกจัดให้เข้าที่โรงเรียนไหน ผู้ปกครองไม่ต้องกังวล เด็กทุกคนจะมีที่เรียนก่อนเปิดเทอมอย่างแน่นอน

นายอัมพร กล่าวต่อว่าสำหรับจำนวนนักเรียนต่อห้อง ให้โรงเรียนรับนักเรียนชั้นก่อนประถมศึกษา ห้องละไม่เกิน 30 คน ให้โรงเรียนรับนักเรียนชั้นป.1 ห้องละไม่เกิน 40 คน ให้โรงเรียนนักเรียนชั้น ม.1 และ ม.4 ห้องละไม่เกิน 40 คน

กรณีที่มีความจำเป็นต้องรับนักเรียนมากกว่า 40 คน ให้โรงเรียนจัดทำแผนการรับนักเรียน เป็น 3 ระยะ ดังนี้ ปีการศึกษา 2564 กำหนดห้องละไม่เกิน 40 คน กรณีที่มีความจำเป็นให้เพิ่มได้อีกห้องละไม่เกิน 4 คน (ร้อยละ 10) ปีการศึกษา 2565 กำหนดห้องละไม่เกิน 40 คน กรณีที่มีความจำเป็นให้เพิ่มได้อีกห้องละไม่เกิน 2 คน (ร้อยละ 5) และปีการศึกษา 2566 กำหนดห้องละไม่เกิน 40 คน โดยไม่ให้เพิ่มจำนวนนักเรียนต่อห้อง

“กรณีที่มีความจำเป็นต้องรับนักเรียนมากกว่า 40 คน ให้โรงเรียนเสนอคณะกรรมการรับนักเรียนของโรงเรียนให้ความเห็น และเสนอคณะกรรมการรับนักเรียนระดับเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณา โดยให้คำนึงถึงผลกระทบกับจำนวนนักเรียนที่จะเกิดขึ้นกับโรงเรียนที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานรอบข้าง และโรงเรียนทุกสังกัดด้วย” นายอัมพร กล่าว

น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่าศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) ได้รับทราบให้สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เลื่อนการ "เปิดภาคเรียน" ที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จากวันที่ 1 มิ.ย.2564 ออกไปอีก เป็นวันที่ 14 มิ.ย.2564 ตามที่ ศธ.เสนอ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยและระวังป้องกันนักเรียน นักศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา ไม่ต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด 19 และเพื่อให้มีระยะเวลารับการฉีดวัคซีนของครูและบุคลากรทางการศึกษา และรองรับการย้ายสถานศึกษาของนักเรียนในแต่ละช่วงชั้น

การเลื่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2564 หากมีสถานศึกษาใดในพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือพื้นที่สีแดง และพื้นที่ควบคุม หรือพื้นที่สีส้ม ประสงค์จะดำเนินการเปิดภาคเรียนที่ 1/2564 ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2564 เป็นต้นไป ให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาแห่งนั้น ดำเนินการประเมินความพร้อมตามระบบ Thai Stop COVID Plus ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่มี 44 ข้อ โดยต้องผ่านทุกข้อ และต้องเสนอขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่ออนุญาตให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาแห่งนั้นสามารถจัดการเรียนการสอนได้ก่อนวันที่ 14 มิ.ย. 2564

ส่วนโรงเรียนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือพื้นที่สีแดงเข้ม 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ, นนทบุรี, ปทุมธานี และสมุทรปราการ หากต้องการเปิดสอนก่อน สามารถจัดการเรียนได้ในรูปแบบการสอนออนไลน์ และออนแอร์เท่านั้น ทั้งนี้ถึงแม้โรงเรียนจะเปิดไม่พร้อมกัน แต่ต้องปิดเทอมพร้อมกันในวันที่ 15 ต.ค. 2564 เพื่อไม่กระทบกับปฏิทินการสอบต่าง ๆ


ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/940185

คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน แจ้งความ 39 กวดวิชาเถื่อน เปิดแฟรนไชส์ไม่ได้รับอนุญาต โฆษณาเกินจริง หลอกลวงลงทุนธุรกิจการศึกษา กว่า 8 พันล้านบาท

นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เข้าแจ้งความเอาผิด โรงเรียนนอกระบบ 39 แห่ง ใน 31 จังหวัด หลังตรวจพบมีการโฆษณาเกินจริง พร้อมชวนลงทุนโดยอ้างว่า จะช่วยสร้างแผนการตลาด ลงทุนในธุรกิจการศึกษา มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท

นายอรรถพล ระบุว่า มีประชาชนได้ร้องเรียนเข้ามาว่า มีโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ได้สร้างความเดือดร้อน จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ โดยในเบื้องต้นพบว่า โรงเรียนดังกล่าวเป็นโรงเรียนเอกชนนอกระบบ ชื่อที่ขออนุญาตจัดตั้งคือ สร้างเสริมทักษะภาษาอังกฤษแฮมโกร์วอิง จ.อุบลราชธานี ต่อมาได้มีการขยายแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศ และเปิดสอนโดยไม่ได้ขออนุญาตจัดตั้ง

ถือว่า มีความผิดตามพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 120 การจัดตั้งโรงเรียนนอกระบบต้องได้รับการอนุญาตจากสช. หากไม่ได้รับอนุญาตถือว่ามีความผิดตามกฎหมายโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า มีการโฆษณาเกินจริง ชวนลงทุนอ้างว่าจะช่วยสร้างแผนการตลาด ลงทุนในธุรกิจการศึกษา มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท มีโฆษณาทั้งทางทีวี และโซเชียล ค่าแฟรนไชส์ในการลงทุนอยู่ที่ 390,000 บาท ให้สิทธิ 1 อำเภอ 1 สาขา ขายแฟรนไชส์ไปแล้ว 64 แห่ง สอนภาษาอังกฤษเด็กอายุ 4-12 ปีและยังมีแยกย่อยเป็นคอร์ส 5-6 ขวบ คอร์สละ 2,900 บาท 3-4 ขวบ คอร์สละ 1,500 บาท”

“ดังนั้น สช.จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี และมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ทั้ง 31 จังหวัด โรงเรียนเอกชนนอกระบบดังกล่าว ซึ่งเปิดสอนโดยไม่ได้ขออนุญาตตั้งอยู่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษในจังหวัดของตัวเอง ภายใน 7 วัน ขณะที่ สช.ได้แจ้งกรมสรรพากร ตรวจสอบการชำระภาษี และแจ้งต่อสำนักงานตรวจสอบคนเข้าเมือง (สตม.) ตรวจสอบครู/ผู้สอบชาวต่างชาติว่า ได้เข้ามาทำงานอย่างถูกต้องหรือไม่”


ที่มา: https://www.prachachat.net/general/news-677132

เวลาคุณภาพ คือ การที่พ่อแม่ได้ใช้เวลากับลูกอย่างมีคุณภาพ มีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากเรื่องร้ายก็ยังมีเรื่องดี ๆ ซ่อนอยู่ เพราะถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่พ่อแม่จะได้ใช้เวลาอยู่กับลูก กอบโกยช่วงเวลาที่ลูกอยู่บ้าน ใช้เวลาคุณภาพกับลูกให้มากขึ้น 

เวลาคุณภาพ คือ การใช้เวลากับลูกอย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนก็แล้วแต่ ที่คุณพ่อคุณแม่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับลูก มีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ อาจเป็นเวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่ขอให้เวลานั้นมีคุณภาพ ให้ความสำคัญกับคนข้างหน้า ให้ลูกเป็นศูนย์กลาง หลีกเลี่ยงการสอน การบ่น การสั่ง ขณะที่ใช้เวลาคุณภาพ

วิธีสร้างเวลาคุณภาพ สำหรับลูกแต่ละวัย
• สำหรับเด็กเล็ก ให้วางแผนทำกิจกรรมร่วมกัน ลองวางแผนว่าวันนี้จะทำอะไร แต่ไม่บังคับให้ลูกทำ เช่น วางแผนจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อการเล่นอิสระ หลีกเลี่ยงที่จะสอน บังคับ หรือเข้าไปช่วย แต่ให้ชื่นชม พูดเชิงบวก ให้กำลังใจลูก

• สำหรับวัยประถม ควรเป็นกิจกรรมที่ให้ลูกได้เลือกว่าเขาอยากทำอะไร เช่น ไปว่ายน้ำ ท่องเที่ยว ให้เขาลองหาข้อมูล และรับฟังเขา การได้รับการยอมรับ ความรู้สึกมีตัวตนที่ได้เลือกเอง ทำเอง โดยมีผู้ใหญ่คอยสนับสนุน เป็นการสร้าง Self-Esteem อีกทางหนึ่ง

สำหรับวัยรุ่น มีความเป็นอิสระ มีความเป็นตัวตน มีเวลาของตัวเองมากขึ้น อาจต้องยืดหยุ่นเรื่องเวลาคุณภาพ ถามไถ่ความรู้สึก หลีกเลี่ยงการถามเรื่องเรียน ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านด้วยกัน ลูกวัยรุ่นจำเป็นต้องฟังให้เยอะ ยอมรับในตัวตนของลูกให้มาก บางครั้งที่ลูกไม่อยากคุยกับพ่อแม่ อาจเป็นเพราะรู้สึกไม่สบายใจ

เวลาคุณภาพ ระหว่างพ่อแม่ลูกที่ถือว่าประสบความสำเร็จ สิ่งที่ตามมา คือ ความสัมพันธ์และการสื่อสาร ลูกจะเข้าหาพ่อแม่มากขึ้น ปฏิสัมพันธ์จะสร้างได้ดีมาก หากสร้างมาตั้งแต่ลูกยังเล็ก ความสัมพันธ์ที่ดีจะเป็นปัจจัยดึงลูกให้อยู่กับบ้าน แต่หากความสัมพันธ์ไม่ดี อาจจะมีความขัดแย้งหรือความไม่ไว้ใจ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยในบ้าน บ้านจะกลายเป็นปัจจัยที่ผลักเด็กออกไปข้างนอก 

บางครั้งที่พบเด็กกระทำความผิด ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาความสัมพันธ์ในบ้านที่อาจจะพร่องไป ลูกเลือกออกไปข้างนอก เพราะข้างนอกรับฟังเขา เขามีตัวตน จึงต้องหาวิธีทำอย่างไรที่จะให้ลูกรู้สึกว่าอยู่กับพ่อแม่แล้วเขามีตัวตน ทำให้บ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ลูกจะสื่อสารอะไรก็ได้กับพ่อแม่ 


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก
หัวข้อ : เวลาคุณภาพกับลูก สร้างอย่างไรดี
Link : https://www.facebook.com/watch/live/?v=438639954254704&ref=watch_permalink
เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: ภารวี สุภามาลา

คุณแพรว สุพิชญา สุนทรจิตตานนท์ | THE STUDY TIMES STORY EP.25

บทสัมภาษณ์ คุณแพรว สุพิชญา สุนทรจิตตานนท์ ปริญญาตรีเกียรตินิยมเกรด 4.00 และปริญญาโทเกรด 3.95  Portland State University, สหรัฐอเมริกา
เรียนดี กิจกรรมเด่น เกียรตินิยม 4.00 จาก Portland State University, สหรัฐอเมริกา

ช่วงมัธยมคุณแพรวเรียนอยู่ที่สวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี เรียนห้อง Gifted ภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ช่วง ม.1-ม.3 เพราะชอบเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก เมื่อขึ้นชั้น ม.4 ได้เข้าเรียนในสายวิทย์-คณิต จากนั้นมีโครงการของ AFS มาแนะแนว จึงได้ลองสมัครสอบเลือกไปอเมริกา ซึ่งคุณแพรวเคยสมัครครั้งแรกไปตั้งแต่ ม.3 แต่ยังไม่ได้ ปีต่อมาก็ยังไม่ยอมแพ้ลองสอบอีกรอบ จนได้เป็นตัวจริง ไปอยู่ที่ Portland กับโฮสแฟมิลี่ 1 ปี หลังจากนั้นกลับมาเข้าเรียนต่อชั้นม.6 จนจบ หลงรักและมีความประทับใจในเมือง Portland เป็นจุดเริ่มต้นให้กลับไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ Portland State University

ครั้งแรกที่ไป คุณแพรวเลือกเรียนในสายวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แต่ที่ Portland State University ถ้าเข้าไปเรียนแล้วยังไม่ชอบก็สามารถเปลี่ยนได้ ซึ่งคุณแพรวรู้สึกว่ายังไม่ชอบมากขนาดนั้น ครั้งที่สองเลยเปลี่ยนไปสายเคมี แต่ก็ยังไม่ใช่ จนสุดท้ายไปลงตัวเรียนด้านคณิตศาสตร์ จนสามารถคว้าปริญญาตรี BACHELOR OF SCIENCE IN MATHEMATICS, GPA 4.0 เกียรตินิยมมาครองได้

เทคนิคการเรียนของคุณแพรวคือการมีทัศนคติที่ดี ต้องมีความสุขกับการเรียน ทำอะไรต้องมีความสุขกับมัน ไม่คิดต่อต้าน หาจุดที่ดีและแฮปปี้ ที่สำคัญคุณแพรวเป็นคนที่ตั้งใจเรียนในห้อง ฟังอาจารย์ จดเลคเชอร์ มีข้อสงสัยก็ถามอาจารย์ในห้อง ทำให้นอกเวลาเรียนไม่ต้องอ่านหนังสือเยอะ สามารถมีเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้

เมื่อเรียนจบปริญญาตรีด้านคณิตศาสตร์แล้ว คุณแพรวรู้สึกว่าคณิตศาสตร์เน้นทฤษฎีเยอะมาก ปริญญาโทเลยอยากเรียนในด้านปฏิบัติที่สามารถนำมาปรับใช้ได้จริง จึงเลือกเรียนต่อปริญญาโทในสาขา INTERNATIONAL BUSINESS MANAGEMENT ที่ Portland State University GPA 3.95

การใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา
คุณแพรวอยู่ใจกลางเมือง Portland ชีวิตค่อนข้างสะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เวลาอยากไปไหนจะใช้รถไฟที่เรียกว่า แม็กซ์ คล้ายกับรถไฟฟ้าบ้านเรา แต่อยู่บนถนน ผู้คนในเมือง Portland มีอัธยาศัยดีมาก ยิ้มแย้ม เฟรนด์ลี่ 

ความแตกต่างด้านการศึกษาไทยและอเมริกา
การศึกษามีข้อดีข้อเสียทั้งสองระบบ ของไทยจะมุ่งเน้นทฤษฎีมาก นักเรียนนั่งเรียนในห้องเป็นหลัก พอไปเรียนที่อเมริกา เราจึงมีความแม่นในเรื่องของทฤษฎี แต่ที่อเมริกาจะมุ่งเน้นให้ได้ปฏิบัติจริง คลาสแล็บ 50-60% ได้ปฏิบัติเยอะกว่า ทำให้เห็นภาพได้เยอะขึ้น และจำได้ดีกว่า

เทคนิคการฝึกภาษา (TOEIC Score: 965) (HSK Level 3) 
คุณแพรวเป็นคนชอบเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก เทคนิคคือเป็นคนชอบปฏิบัติ กล้าที่จะพูด กล้าที่จะเจอผู้คนที่หลากหลาย ตอนอยู่อเมริกาจะออกไปข้างนอก ไปคุยกับผู้คน ได้คำศัพท์ใหม่ๆ และเป็นคนชอบความบันเทิง เรียนจากการฟังเพลง ดูหนัง ทำให้จำได้ บางครั้งไปเจอคำศัพท์เดียวกันใน TOEIC อีกทั้งสิ่งนี้ยังทำให้มีความรู้รอบตัวมากขึ้น และข้อสำคัญคือคุณแพรวเป็นคนใฝ่รู้ ชอบเรียนรู้หลายๆ อย่าง เมื่อมีเวลาว่างแล้วสนใจสิ่งไหนก็จะไปลงเรียนเพิ่มเติม

ส่วนจุดเริ่มต้นในการเรียนภาษาจีนคือ คุณแพรวเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโปรแกรมสั้นๆ ที่สิงคโปร์ เจอเพื่อนสิงคโปร์ที่สามารถพูดภาษาจีนได้ แล้วอยากพูดได้บ้าง ทั้งยังชอบดาราจีนคนหนึ่ง อยากเรียนเพื่อเวลาดูซีรีย์จะได้เข้าใจ คุณแพรวมีความคิดว่าการได้ภาษาจีนเป็นจุดเด่น ไปได้หลายประเทศ และทำให้สื่อสารกับคนได้มากขึ้น ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้อยากเรียนต่อไปเรื่อยๆ 

ช่วงที่อยู่อเมริกาคุณแพรวทำกิจกรรมหลายอย่าง วันแรกของการไปเรียน มีชมรมมาเปิด แต่คุณแพรวไม่พบชมรมนักเรียนไทย Advisor จึงให้คำแนะนำว่าลองตั้งขึ้นมาเอง ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากนักเรียนเพียง 4 คน มีคุณแพรวเป็นคนไทยคนเดียว จากนั้นกลุ่มคนที่มีความสนใจในความเป็นไทยก็มารวมตัวกันเป็นกลุ่มชมรมที่ใหญ่ขึ้น

ปัจจุบันคุณแพรวทำงานเกี่ยวกับ International Trading การค้าระหว่างประเทศ ดูแลเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง ติดต่อกับคู่ค้าในหลายๆ ประเทศ ใช้สิ่งที่เรียนมาทางด้าน Business นำสกิลหลายๆ อย่างจากการเรียนและการทำกิจกรรมมาปรับใช้ในการทำงานจริงได้

สิ่งที่อยากผลักดันด้านการศึกษาในประเทศไทย
สิ่งที่คุณแพรวอยากผลักดันในการศึกษาไทย อย่างแรกคือ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เห็นได้ว่าคนที่มีฐานะดีจะได้รับอภิสิทธิ์ในการเรียนโรงเรียนที่ดี ได้รับการศึกษาที่ดีกว่า แต่คนที่บ้านไม่มีเงิน ก็จะไม่มีโอกาสได้เรียนขนาดนั้น ขณะที่อเมริกาการศึกษาให้โอกาสกับทุกคน โรงเรียนมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน ต่อมาคือเรื่องระบบการศึกษา ควรมีทางเลือกมากขึ้น มีการปฏิบัติมากขึ้น ให้เด็กไทยมีความกล้าที่จะถาม มีคลาสที่เปิดให้ Discuss ผลักดันให้เด็กกล้าพูด ไม่วิจารณ์สิ่งที่เด็กพูดว่าถูกหรือผิด เปิดกว้างด้านความคิด

คุณแพรวทิ้งท้ายสำหรับคนที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศว่า หากเรามีความพยายาม มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ มีความคิดที่เป็น Positive สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้

.

.

.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top