Sunday, 19 May 2024
EducationNewsAgencyforAll

ทั้งหล่อทั้งเก่ง!! เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ สำหรับ “ซงจุงกิ (Song Joong Ki)” หนุ่มหล่อพระเอกแถวหน้าจากประเทศเกาหลีใต้ ที่นอกจากจะมีหน้าตาที่หล่อเหลา ผลงานการแสดงยอดเยี่ยม ใครจะไปคิดว่าเรื่องการเรียนเขาก็โดดเด่นไม่แพ้ใคร

รายการ The List ทางช่อง tvN เคยเปิดเผยว่า ซงจุงกิ (Song Joong Ki) เรียกได้ว่า เกรดสวย เป็นนักเรียนที่ดีมาตั้งแต่ช่วงที่อยู่มัธยม รวมถึงเขาเคยเป็นประธานนักเรียนของโรงเรียนด้วย และเขาก็เคยสอบเข้ามหาวิทยาลัย Sungkyunkwan University คณะบริหารธุรกิจ ได้อีกด้วย ซึ่งมหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่เข้าได้ยากมาก เพราะมีอัตราแข่งขัน 45.5 ต่อ 1 เลยทีเดียว

ในสมัยที่เขาเรียนในระดับมัธยม เกรดของเขาได้ถูกเปิดเผยในรายการ Good Morning จากสถานี SBS ว่าเขาเป็นนักเรียนที่มีความตั้งใจเรียนมากๆ เพราะเขาได้คะแนนสอบ 380 คะแนน จาก 400 คะแนน ในการสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย Sungkyunkwan University


ที่มา: https://www.sanook.com/campus/1396033/

สมัยเรียนทำกิจกรรมอะไรมาบ้างไหมคะ ? หนึ่งในคำถามที่ผู้สัมภาษณ์เข้าทำงานนิยมถามนักศึกษาจบใหม่ ในวันที่สัมภาษณ์งาน บางทีถือว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่ต่างจากเกรดใน Transcript หรืออาจจะให้ความสำคัญมากกว่าด้วยซ้ำ

ในโลกยุคปัจจุบันที่เรียกขานว่า โลกยุคดิจิตอล ทักษะในการทำงานที่หลากหลายแบบ Muititasking Skills เป็นทักษะการทำงานที่ถูกพูดถึงเสมอ เทคโนโลยีที่มาไวไปไว ก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา การมีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่าง อีกทั้งยังต้องทำงานพร้อมกันหลายอย่าง เช่น การเช็กข้อมูล e-mail กล่องข้อความใน facebook สื่อสารกับลูกค้าผ่าน Line จัดทำเอกสารในโปรแกรม Word โปรแกรม Excel หรือ ทำ Presentation ด้วยโปรแกรม Powerpoint เป็นต้น ทักษะเหล่านี้ล้วนไม่สามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพได้ในระยะเวลาอันสั้น

การฝึกทักษะการทำงานจึงสามารถทำได้ตั้งแต่วัยเรียน จากกิจกรรมในสมัยเรียนนั่นแหละ ชมรม ชุมนุม หรือกลุ่มกิจกรรมต่างๆ หากเด็กคนไหนได้ไปเข้าร่วม นอกจากความสนุกแล้ว สิ่งสำคัญคือการได้ทำงานร่วมกับคนอื่น การทำงานเป็นทีม การเข้าอกเข้าใจ การแก้ปัญหา หากจะกล่าวโดยรวมก็คือ เป็นการฝึก 7Q ความฉลาด 7 ด้าน นั่นเอง (ซึ่งความฉลาด 7 ด้าน ได้กล่าวถึงในบทความครั้งที่แล้ว https://www.facebook.com/thestudytimes/photos/115561173889921)

ข้อดีของยุคเทคโนโลยีแบบนี้ก็คือ การที่เยาวชนหรือเด็กๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ได้มากมาย หากเลือกใช้ในทางที่เป็นประโยชน์สร้างสรรค์ การเสริมทักษะทั้ง 7Q ตั้งแต่ยังเด็กนั้น เป็นการเตรียมความพร้อมให้เด็กคนนั้นเผชิญหรือรับมือกับโลกแห่งความเป็นจริงได้ดีขึ้นไม่มากก็น้อย และยิ่งยุคสมัยนี้การแข่งขันในตลาดแรงงานก็สูงลิ่ว สวนทางกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ยิ่งต้องเพิ่มทักษะความสามารถให้เข้าสู่ตลาดแรงงานให้มากขึ้นไปอีก ใครทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม หรือปรับตัวยากในยุคดิจิตอล คงไปไม่รอด ซึ่งหากยังอยู่ในวัยเรียน ผู้เขียนแนะนำว่า น้องๆ ลองหากิจกรรมทำนอกเหนือจากการเรียน แล้วจะเพิ่มทักษะความสามารถให้กับน้องๆ ได้เยอะมากกว่าที่น้องๆ คิด และเมื่อก้าวเข้าสู่วัยแรงงาน น้องๆ ก็จะสามารถเข้าถึงงานที่ปรารถนาได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ


เขียนโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Head of Content Editor THE STUDY TIMES

อ้างอิงข้อมูล: https://adecco.co.th/th/knowledge-center/detail/multitasking

SEX EDUCATION : เพศ (ต้อง) ศึกษา : เพราะการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกฮอล์ตั้งแต่ยังเด็ก และการปลูกฝังเรื่องเพศศึกษาในวัยเด็ก ที่ยังมีไม่มากนัก อาจเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาท้องไม่พร้อมและความรุนแรงทางเพศตามมา

ประเทศไทยมีสถิติความรุนแรงต่อผู้หญิงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จากรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC : United Nations Office on Drugs and Crime) พบว่ากว่า 87% ของคดีการล่วงละเมิดทางเพศไม่เคยถูกรายงานเพื่อหาผู้กระทำผิด หรือให้ทางการรับรู้ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 พบว่า ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 66% ภาคใต้ มีความรุนแรงในครอบครัวถึงร้อยละ 48.1 และกรุงเทพฯ พบความรุนแรงในครอบครัว น้อยที่สุด ร้อยละ 26 ซึ่งปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงในครอบครัว ได้แก่ รายได้ของครอบครัว และการใช้สารเสพติด เช่น สุรา บุหรี่ เป็นต้น

พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิต 13 กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเซ็กส์ไม่พร้อมเพิ่มมากขึ้นคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้การดูแลตัวเอง การยับยั้งชั่งใจลดลง ทำให้ตกไปอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เกิดการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งส่งผลกระทบตามมามากมาย ทั้งติดเชื้อ ท้องไม่พร้อม จากสถิติพบว่า คนที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมมักจะดื่มเหล้าตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีคนดื่มเหล้า ทำให้ได้เห็นพฤติกรรมการดื่ม ยิ่งทำให้เกิดความเคยชิน เมื่ออายุ 18 ปี จะรู้สึกว่าโตแล้ว ดื่มเหล้าได้แล้ว

"วัยรุ่นมีภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้นชัดเจน สิ่งที่เขามักใช้แก้ไขปัญหาคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้น การจัดการควรทำร่วมกันทุกภาคส่วน ควรให้เด็กมีความเข้มแข็งทางจิตใจ เชื่อมั่นในตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง เวลาเจอปัญหาสามารถจัดการได้ ซึ่งครอบครัวมีส่วนสำคัญในการสนับสนุน การให้เวลาพูดคุย ชื่นชม ปรับทุกข์ ส่วนชุมชน โรงเรียน ต้องเข้มแข็ง มีระบบดูแลช่วยเหลือเฝ้าระวัง อย่าเอาตัวไปอยู่ในจุดที่เสี่ยง สถานที่ลับตาคน ฝึกปฏิเสธให้เป็น ต้องรู้จักเซฟเซ็กส์และไม่ควรมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปยุ่งเกี่ยว" พญ.วิมลรัตน์กล่าว

สิรินยา บิชอฟ หรือซินดี้ ดารานักแสดง กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นแม่ลูกสอง มีประสบการณ์การเลี้ยงลูกให้เข้าใจเรื่องเพศ ตนเห็นว่าสังคม ยังมีสื่อที่สอนเกี่ยวกับเรื่องเพศสำหรับเด็กน้อยมาก จึงได้ศึกษาและเขียนหนังสือเด็ก นำเสนอในรูปแบบ การ์ตูนที่พูดถึงสิทธิในร่างกายของตัวเอง สอนให้เรียนรู้เรื่องร่างกาย เคารพตัวเอง เข้าใจในสิทธิของร่างกายตัวเองและเคารพสิทธิทางร่างกายของคนอื่น ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย หนังสือเล่มนี้ ถือเป็นเครื่องมือในการพูดคุยกับลูกตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้เขาดูแลความปลอดภัยของเขาได้ ถ้าพ่อแม่ปลูกฝังให้ลูกเข้าใจการเคารพสิทธิของคนอื่นตั้งแต่เด็ก จะช่วยลดปัญหาความรุนแรงหรือแก้ปัญหาไปได้ โดยเฉพาะการลดปัญหาการไปทำร้ายคนอื่น

ทุกภาคส่วนในสังคมต้องช่วยกันว่าจะพูดคุยอย่างไรให้เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของความเจริญเติบโตของคน หลายคนอาจจะมองว่าอยากให้ลูกปลอดภัย แต่ไม่มีการให้ความรู้ ทักษะเบื้องต้นในเรื่องเพศของพวกเขา และถ้าไปรอจนกระทั่งวัยรุ่น อาจจะไม่ทันการณ์ ต้องมีการพูดคุยเรื่องเพศตั้งแต่เด็ก

"สิ่งที่พ่อแม่สอนเรื่องเพศ เป็นการสอนเพศศึกษา และอยากให้พ่อแม่ทุกคนพูดคุยกับลูก อย่าอายที่จะพูดคุยเรื่องเพศและเรื่องการเคารพสิทธิเนื้อตัวทางร่างกาย โดยไม่ต้องรอให้เป็นหน้าที่ของครูหรือหมอ พ่อแม่ต้องปรับตัวเอง ค่อยๆ สร้างพื้นที่ปลอดภัยในครอบครัว หากพ่อแม่ไม่รู้ อย่าปัดลูกหรือปฎิเสธว่า ลูกไม่ควรรู้ แต่ให้ไปหาข้อมูลมาพูดคุยกับลูก" ซินดี้ กล่าว

จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า เรื่องความรัก เรื่องเพศ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีความสัมพันธ์และไปด้วยกัน ความรุนแรงมีหลายกรณีมาจาก การดื่มเหล้า ใช้เป็นเครื่องมือนำไปสู่การถูกคุกคามทางเพศ ถูกข่มขืนโดยผู้ชายที่ใช้อำนาจเหนือกว่าเป็นคนกำหนด สะท้อนจากการรวบรวมข่าวความรุนแรงทางเพศปี 62 พบถึง 9 ข่าว กรณีที่แฟน/อดีตแฟน ใช้การบังคับและหลอกไปข่มขืน ปัจจัยกระตุ้นมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้น สิ่งที่อยากเสนอให้เป็นทางออกคือ ต้องมีหลักสูตรให้ความรู้ รณรงค์เกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศ การคุกคามทางเพศเป็นเรื่องที่ผู้หญิงต้องรู้และต้องให้ความสำคัญ ควรมีหลักสูตรทุกระดับ ตั้งแต่ประถมศึกษา มัธยม มหาวิทยาลัย ตลอดจนในครอบครัวก็ต้องสร้างการเรียนรู้ในเรื่องนี้ด้วย

"การเรียนหลักสูตรเพศศึกษาในระดับประถมศึกษา หรือมัธยมศึกษายังไม่ได้มีความชัดเจนอย่างจริงจัง อีกทั้งครอบครัวก็มองว่าพูดเรื่องเพศไม่ได้ แต่สื่อละครต่าง ๆ ก็ยังมีการทำมายาคติเกี่ยวกับเรื่องเพศ การข่มขืนเป็นเรื่องปกติ ทำให้เพศชายมีความคิดว่าตนเองมีอำนาจเหนือกว่า และผู้หญิงหากเป็นแฟนใครแล้วต้องยอม ตรงนี้เป็นปัญหาใหญ่และเป็นรากเหง้าของปัญหา ทุกทุกฝ่ายต้องเริ่มเปลี่ยนวิธีคิด ปรับโครงสร้าง ต้องไม่ทำให้ชายเป็นใหญ่ ทำให้เรื่องเพศเป็นเรื่องเท่ากัน ทั้งหญิงชาย" จะเด็จ กล่าวทิ้งท้าย

ขณะที่ เอ (นามสมมติ) อายุ 32 ปี กล่าวว่า จากประสบการณ์ชีวิตการเป็นคุณแม่วัยรุ่นอายุ 18 ปี คบกับแฟนเจอกันในร้านเหล้า เกเรไม่เรียนต่อ หางานรับจ้างรายวันทำ พอเลิกงาน ก็ดื่มเหล้ากับแฟน เมาหลังเลิกงานทุกวัน ทะเลาะกับคนข้างบ้านประจำ ใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอด รู้ตัวอีกทีก็ตั้งครรภ์ได้ 2 - 3 เดือน ถึงมาหยุดดื่ม ส่วนแฟนเริ่มไม่ใส่ใจดูแล ไม่ทำงาน เอาแต่เมาเหล้าหาเรื่องทะเลาะตบตีทุกวัน หลังจากคลอดลูกได้ไม่นานก็เลิกรากันไปเพราะทนพฤติกรรมทำร้ายร่างกายไม่ไหว

"ชีวิตแม่วัยรุ่น กว่าจะผ่านมาได้มันยากลำบากมาก นอนร้องไห้ทุกวัน ต้องทำงานทุกอย่าง ทั้งเป็นรปภ. ทำงานกระเป๋ารถเมล์ ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูก เพราะพฤติกรรมการดื่ม ทำให้เขาเป็นเด็กสมาธิสั้น พัฒนาการช้า ทุกเดือนต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับยาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เราเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ทำทุกอย่างเพื่อลูก อยากฝากถึงวัยรุ่นให้มีสติ รักตัวเอง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหล้า ยา และอบายมุข เพราะมันทำลายชีวิต ทำลายอนาคตเราจริงๆ" เอ (นามสมมติ) กล่าว


ขอบคุณที่มา:

https://www.thaihealth.or.th/Content/54052-แนะวัยรุ่นเซฟเซ็กส์%20ปลูกฝังเรื่องเพศสร้างเกราะป้องกันตั้งแต่เด็ก.html

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ออกจาก ‘Comfort Zone’ เพราะการติดอยู่ในนั้น ถือเป็นเรื่องอันตรายที่สุดในยุคนี้ ทั้ง ๆ ที่ Comfort Zone เป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ทำไมแนะนำให้ออกจากตรงนั้น เพื่อความปลอดภัย

โลกเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน  คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องปรับตัวให้ทันต่อเหตุการณ์ และทิศทางของโลกในอนาคต ไม่เช่นนั้นเราจะคุยกับลูกไม่รู้เรื่อง

พ่อแม่หลายคนมีความกังวลว่า ไม่รู้จะสอนลูกอย่างไรหลังสถานการณ์โรคระบาดผ่านไป เพราะอาชีพที่เคยมั่นคงกลับไม่มั่นคง ทักษะบางเรื่องกลับไม่จำเป็นอีกต่อไป

ปัจจัยในการดำรงชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ทักษะบางอย่างกลับใช้ไม่ได้ อาชีพบางอาชีพที่มีความมั่นคง กลับล่มสลาย การใช้ชีวิตมีความละเอียดอ่อนมากขึ้น  และซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ Comfort Zone ที่เคยทำหน้าที่ปกป้องเราไม่ให้ได้รับภัยอันตราย มันกลับกลายเป็น “คอกปิดกั้นความสำเร็จ” ของเราไปเสียแล้วค่ะ

นั่นคือเหตุผลว่าทุกคนไม่ควรอยู่ใน Comfort Zone เพราะการติดอยู่ในนั้น ถือเป็นเรื่องอันตรายที่สุดในยุคนี้

มารู้จักกับ Comfort Zone

Comfort Zone คือ การทำงานของสมองและระบบประสาทของมนุษย์ในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งธรรมชาติออกแบบมาให้เรามีความสามารถในการมีชีวิตรอด โดยการทำอย่างไรก็ได้ให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพื่อเป้าหมายพื้นฐานที่สำคัญนี้เอง ระบบประสาทของเราจึงสร้างกลไกที่เรียกว่า Comfort Zone ขึ้นมา เพื่อลดความเสี่ยงใดๆ ก็ตามที่จะเกิดขึ้นได้ในชีวิตเรา

ลองเช็คตัวเองดู ว่าเราเคยมีความรู้สึกแบบนี้บ้างไหม

ความรู้สึกว่า “ฉันกลัว” ฉันต้องการ “พื้นที่ปลอดภัย”

ความรู้สึกว่า “ฉันไม่สามารถ”  หรือ “ฉันไม่มีวันทำได้”

ความรู้สึกว่าสิ่งนั้น “มันเป็นไปไม่ได้”

ความรู้สึกว่าใครๆ “จะไม่ยอมรับ” หรือ “ไม่ชอบ”

ความรู้สึกว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว”  “พอแล้ว”

ความรู้สึกว่า “ฉันสำเร็จ  สมบูรณ์ดีแล้ว” หรือ “ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”

ความรู้สึกที่ว่า “ฉันผิด” และต้องการไถ่ถอนความรู้สึกผิด จนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า

ลองตั้งข้อสังเกตว่าบรรยากาศในบ้านเราเป็นแบบนี้หรือไม่

เพราะมีใครสักคนในบ้าน วางกรอบให้ลูกเดินไว้ใช่หรือไม่  ลูกถึง “ไม่กล้า” ติดอยู่ใน Comfort Zone

เพราะมีใครสักคนในบ้าน เป็นคนขี้กลัว ขี้กังวลมากเกินเหตุใช่หรือไม่ ลูกถึง “ขี้กลัว” ติดอยู่ใน Comfort Zone

เพราะมีใครสักคนในบ้าน เป็นคนที่คิดแทนลูกเองทุกเรื่องใช่หรือไม่  ลูกถึง “ไม่กล้าคิด” ติดอยู่ใน Comfort Zone

เพราะมีใครสักคนในบ้าน ชอบดุด่าเมื่อลูกแสดงความคิดเห็น ใช่หรือไม่ ลูกถึง “ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก”

เพราะมีใครสักคนในบ้าน ชอบลงโทษเมื่อลูกทำผิดใช่หรือไม่ ลูกถึง “ไม่กล้าพูดความจริง” เอาแต่โกหก

เพื่อลูก พ่อแม่ที่ฉลาดจะทำเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก

การฝึกให้ลูกออกจาก Comfort Zone

เริ่มต้นง่ายๆ จากการอนุญาตให้ลูก ทำกิจกรรมใหม่ๆ กับคนใหม่ สถานที่ใหม่ กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก ภายใต้ค่านิยมของสังคม โดยมีเราเป็นพี่เลี้ยง ให้เขาได้เลือกเอง พ่อแม่ควรเคารพและยอมรับในการตัดสินใจของลูก พ่อแม่เพียงผู้เฝ้าดูอยู่ห่างๆ เป็นพี่เลี้ยงบ้างบางเวลาที่เขาต้องการ ไม่ต้องไปคาดหวังว่าสิ่งที่ลูกเลือกนั้นจะประสบความสำเร็จสูงสุด

ผลลัพธ์ในครั้งแรกอาจจะเสียมากกว่าได้ หรือพอ ๆ กัน แต่สิ่งที่เขาได้คือประสบการณ์ ที่หาไม่ได้จากห้องเรียน และที่บ้าน ทุกคนในบ้านมีหน้าที่คอยเป็นพื้นที่ทำให้พวกเขาสบายใจ เสมือนคอยเป็นฟองน้ำนุ่มๆ เมื่อเขาผิดหวังหรือเซล้มลงมาพวกเขาจะได้ เจ็บปวดน้อยที่สุด คอยโอบกอดไว้ และคอยพูดเตือนสติ เพื่อให้ลูกๆ ค้นหาวิธีแก้ไข และต่อสู้ชีวิตต่อไป  

พูดให้กำลังใจ “คนทำงานก็ต้องมีผิดพลาดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ลูกจงเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านั้น” เพื่อครั้งต่อไปลูกจะได้ไม่พลาดซ้ำ และ “การที่ลูกสามารถข้ามผ่านปัญหาในครั้งนี้ไปได้ เท่ากับว่า ลูกได้เติบโตและเก่งขั้นอีกหนึ่งขั้น” ถือเป็นเรื่องดี  พ่อแม่ทั้งหลายจงรู้ไว้เถิดว่านั่นคือ วัคซีนเข็มแรกที่ลูกๆ ได้รับและเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุดในการสอนลูกให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งค่ะ

ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนชีวิต สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ การเปลี่ยนความคิด

เพราะคุณไม่มีทางได้ผลลัพธ์ใหม่ จากการคิดเหมือนเดิม พูดเหมือนเดิม และทำเหมือนเดิม


เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

#Talktonitima

อ้างอิงข้อมูล:

https://noodee2012.wordpress.com/

https://www.jeab.com/

https://www.nopadolstory.com/

กศน. ปรับรูปแบบพัฒนาครูสอนภาษาอังกฤษ มุ่งเน้นให้สามารถสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร หลังผู้เรียนมีผลการสอบวิชาภาษาอังกฤษค่อนข้างต่ำ เนื่องจากครูผู้สอนขาดความเชี่ยวชาญ

ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กล่าวว่า การจัดการศึกษาให้มีคุณภาพจะสำเร็จ หรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับครูผู้สอนซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษา สำนักงาน กศน.จึงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะครูผู้สอนในทุกๆ ด้าน อาทิ ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการวัดและประเมินผล ด้านสื่อและแหล่งเรียนรู้ ตลอดจนการพัฒนาตนเอง

เนื่องจาก กศน.มีครูหลายประเภท และส่วนใหญ่ไม่จบด้านครูหรือศาสตร์วิชาชีพครูโดยตรง และต้องจัดการเรียนรู้ในทุกรายวิชาที่ผู้เรียนลงทะเบียนในภาคเรียนนั้น ๆ จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา กศน. ที่ผ่านมาพบว่า ผู้เรียนในทุกระดับการศึกษามีผลการสอบปลายภาคเรียนและผลการสอบ N-NET วิชาภาษาอังกฤษค่อนข้างต่ำ เนื่องจากครูผู้สอนขาดความเชี่ยวชาญกระบวนการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาอังกฤษ

เลขาธิการ กศน. กล่าวอีกว่า เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาในรายวิชาภาษาอังกฤษ กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา สำนักงาน กศน.จึงได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำหลักสูตรการพัฒนาทักษะและสมรรถนะครู กศน. ด้านการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เพื่อ Up Skill Re Skill สร้างศักยภาพ เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่ต่างไปจากเดิม

ด้วยการเติมเต็มสิ่งใหม่ ๆ สร้างความมั่นใจให้แก่ครู กศน. ให้สามารถนำนวัตกรรม เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้พัฒนาตนเองและด้านวิชาชีพ เพื่อสร้างครู กศน. ต้นแบบการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารให้ครูมีความรู้ ความเข้าใจร่วมกัน ยกระดับสมรรถนะทางด้านภาษาอังกฤษ และการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น

โดย กศน.ได้ปรับรูปแบบการพัฒนาครู กศน. มุ่งเน้นให้สามารถสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ให้ทันสมัยและน่าสนใจ ตอบโจทย์การเรียนรู้ได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/local/2053795

กระทรวงแรงงานเตรียมจัด Bangkok Job Fair 2021 มีตำแหน่งงานให้สมัครกว่า 5,000 อัตรา จากสถานประกอบการชั้นนำ กำหนดจัดงานวันที่ 26 - 27 มีนาคมนี้ ที่ ฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน มีกำหนดจัดงาน Bangkok Job Fair 2021 ในวันที่ 26 - 27 มีนาคม 2564 ณ ฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร เพื่อส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ ผู้ว่างงาน ผู้ถูกเลิกจ้าง ประชาชนทั่วไปที่มีความประสงค์จะหางานทำ

รวมทั้งเพิ่มโอกาสคัดเลือกตำแหน่งงานว่างที่ตรงกับความรู้ความสามารถ และได้สมัครงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการจำนวนมากในคราวเดียว และเพื่ออำนวยความสะดวกให้นายจ้าง/สถานประกอบการและผู้สมัครงานได้พบและพิจารณาคัดเลือกกันโดยตรง

ซึ่งกิจกรรมนี้จะเป็นส่วนช่วยส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน ลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ตามนโยบายรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้แก่ประชาชนที่ว่างงาน ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน ผู้สูงอายุ คนพิการ ตลอดจนนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ต้องการทำงานในช่วงว่างระหว่างเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาการว่างงานและลดปัญหาความยากจนซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน ขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครงาน และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมงานได้ในวันที่ 26 - 27 มีนาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.30 น. ที่บริเวณลานฟอร์จูนสตรีท (หน้าอาคาร) ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร โดยภายในงานมีนายจ้าง/สถานประกอบการชั้นนำ เข้าร่วมรับสมัครงาน จำนวน 40 บริษัท

อาทิ บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) บ.ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด บ. เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด บ.ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด บ.เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทมจำกัด (มหาชน) บ.สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) บ. ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ซึ่งมีตำแหน่งงานว่าง จำนวนกว่า 5,000 อัตรา

นอกจากกิจกรรมรับสมัครงานและสัมภาษณ์งานกับนายจ้าง/สถานประกอบการ ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่ กิจกรรมการสาธิตประกอบอาชีพอิสระที่ได้รับความนิยม และเป็นที่ต้องการของตลาดงาน 20 อาชีพ อาทิ การทำกระเป๋าบุผ้าปักริบบิ้น สายคล้องหน้ากากอนามัย สบู่สมุนไพร ตระกร้าผ้าย้อมคราม การทำเค้กกล้วยหอม บราวนี่ ขิงอ่อนดอง เป็นต้น

การประกอบธุรกิจแฟรนไชน์ในรูปแบบ Food Truck การให้คำปรึกษาปัญหาด้านแรงงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้แก่ การให้บริการจัดหางานสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ โดยกรมการจัดหางาน การให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ ตามพรบ.คุ้มครองคนหางาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน การให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ การฝึกทักษะฝีมือแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

การให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ การขึ้นทะเบียนประกันตน ม.33, ม.39, ม.40 และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามพรบ.ประกันสังคม โดยสำนักงานประกันสังคม และการให้บริการตรวจสุขภาพ โดยโรงพยาบาลวิภาราม พัฒนาการ

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694


ที่มา: https://www.prachachat.net/csr-hr/news-631262

ทางเลือก ตรงทางแยก ใช้เหตุผล หรือความรู้สึกใดในการเดินทางต่อ ก้าวสู่เป้าหมายอีกระดับ เก่งเกินไป สอบเข้า ม.4 โรงเรียนดัง ๆ ได้ทุกที่ เลือกเรียนที่ไหนดี (ปัญหาคนเก่ง) เป็นปัญหามาทุกปี สำหรับนักเรียนเก่ง ๆ ที่มีให้เห็น

หลายคนมีเป้าหมายชัดในการเตรียมตัวเรียนต่อ ม.4

1.) เตรียมอุดม

2.) มหิดลวิทยานุสรณ์

3.) กำเนิดวิทย์

4.) โครงการพิเศษ ของโรงเรียนต่างๆ ทั้งส่วนกลาง และภูมิภาค

จากกำหนดการ การประกาศผล รายงานตัว มอบตัว ของโรงเรียน เป้าหมายของกลุ่มนักเรียนแนวหน้าประเทศ เตรียมอุดม กำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ และห้องพิเศษ หรือโครงการต่าง ๆ ในแต่ละโรงเรียน

หลายคนสับสนและไขว้เขวในการเลือกเรียน เหตุจากไม่ได้ตั้งเป้าหมายชัดเจนก่อนหน้า

การเลือกที่ดี ที่เหมาะสมกับเอกลักษณ์ และองค์ประกอบอื่นที่ถูกต้องจะนำไปสู่ความสำเร็จในขั้นตอนต่อไป การเลือกที่ที่ไม่เหมาะอาจจะรั้งทางด้านการเรียน

จากข้อมูลที่ผ่านมา(อาจจะไม่ถูกต้องนัก) จึงขอเล่าและเขียนเป็นช่องทางในการตัดสินใจ เพื่อให้เห็นภาพปัจจุบันและอนาคต

ความสำเร็จ อยู่ที่ตัวตนมากกว่าจะมาจากสถาบัน แต่สถาบันที่ดี ที่ตรงกับความสามารถส่วนตน ก็สามารถส่งเสริมความสำเร็จ ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายรุ่น จะขอเปรียบเทียบบางเรื่องของแต่ละโรงเรียน ดังต่อไปนี้ครับ

1.) ค่าใช้จ่าย เฉลี่ยต่อเดือน

- เตรียมอุดมฯ 25,000 (ที่พัก 6,000 อาหาร 10,000 เดินทาง 2,000 เรียนพิเศษ 6,000 และอื่น ๆ )

- มหิดลฯ 10,000 ที่พักฟรีที่โรงเรียน ที่พักและเดินทางไปติว กทม. 3,000 - 4,000 ติว 6,000

- กำเนิดวิทย์ 10,000 ที่พักฟรีที่โรงเรียน ที่พักและเดินทางไปติว กทม. 3,000 - 4,000 ติว 6,000

- โรงเรียนอื่นๆ ส่วนมากใกล้บ้าน หรือโรงเรียนในภูมิภาคที่เคยเรียน ม.ต้น ที่พักและติว รวมประมาณ 10,000

2.) การเดินทาง

- เตรียมอุดมฯ นักเรียนพักที่บ้านสำหรับเด็กกทม. นักเรียนต่างถิ่น จะพักหอพักใกล้โรงเรียน หรือใกล้สถานีรถไฟฟ้า ไม่มีหอพักในโรงเรียน

- มหิดลฯ พักในหอพักโรงเรียนฟรี การเดินทางโดยมากคือ เสาร์อาทิตย์เข้า กทม. หาที่เรียนพิเศษ ระยะทางประมาณ 50 กม. เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว พ่อแม่รับส่ง รถเมล์ รถตู้ หรือรถไฟ

- กำเนิดวิทย์ พักในหอพักโรงเรียนฟรี การเดินทางโดยมากคือ เสาร์อาทิตย์เข้า กทม. หาที่เรียนพิเศษ ระยะทางประมาณ 150 กม. เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว พ่อแม่รับส่ง หรือรถโรงเรียนรับส่ง ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์

- โรงเรียนอื่น ๆ กลับบ้าน อาจจะใกล้โรงเรียน หรือ ต่างจังหวัด นานๆ ครั้ง

3.) ที่พัก

- เตรียมอุดมฯ คนต่างจังหวัด หรือบางคนใน กทม. จะเช่าหอพัก คอนโด อพาร์ทเม้นใกล้ๆ โรงเรียนหรือใกล้สถานีรถไฟฟ้า

- มหิดลฯ หอพักในโรงเรียนเป็นสวัสดิการฟรี แยกหอหญิงชาย ผู้ชาย พักห้องละ 4 คน ผู้หญิง ห้องละ 6 คน

- กำเนิดวิทย์ หอพักฟรีในโรงเรียน ห้องละคน ส่วนตัว

- โรงเรียนอื่นๆ พักที่บ้านหรือหอพักโรงเรียน หรือเช่า ตามแต่โรงเรียนที่เรียน

4.) เพื่อน ๆ พี่ ๆ

- เตรียมอุดมฯ เพื่อรุ่นเดียวกัน 1,500 ต่อรุ่น ตอนนี้รุ่นที่ 84 เพื่อนจะมีทุกคณะทุกสาขาอาชีพชั้นนำ สายวิทย์และสายศิลป์ และอยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่โดดเด่นในสังคมไทย

- มหิดลฯ รุ่นละ 240 คน รวม 30 กว่ารุ่นในปัจจุบัน ทุกคนเป็นสายวิทย์ เรียนต่อในสายการแพทย์ และวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเป็นส่วนมากแทบทั้งหมด ด้านอื่นๆ แทบไม่มีหรือเป็นส่วนน้อย เรียนทั้งไทยและบางคนต่อต่างประเทศ

- กำเนิดวิทย์ รุ่นละ 72 คน รวม 7 รุ่นในปัจจุบัน ทุกคนเป็นสายวิทย์ เรียนต่อในสายการแพทย์ และวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเป็นส่วนมากแทบทั้งหมด ด้านอื่นๆ แทบไม่มีหรือเป็นส่วนน้อย เรียนทั้งไทยและบางคนต่อต่างประเทศ

- โรงเรียนอื่นๆ ประวัติที่ต่างกัน ทุกที่มีความสำเร็จในแต่ละระดับที่แตกต่างกันไปทั้งทางภูมิภาค หรือคณะในแต่ละมหาวิทยาลัย

5.) สังคมในโรงเรียน

- เตรียมอุดมฯ เป็นสังคมการศึกษาที่หลากหลายและเป็นสังคมอันดับหนึ่งทางด้านการศึกษาอย่างแท้จริงทุกสาขาวิชา

- มหิดลฯ เหมาะสำหรับคนสนใจเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ อย่างเข้มข้น สนใจงานด้านวิจัยเป็นหลัก

- กำเนิดวิทย์ เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี โครงงานต่าง ๆ ที่สร้างนวัตกรรม

- โรงเรียนอื่นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาบ้านเกิดหรือภูมิภาคที่สนใจ จะมีเป้าหมายในการประกอบอาชีพต่อใกล้บ้าน

6.) หลักสูตรการเรียน

- เตรียมอุดมฯ หลักสูตร สสวท. แต่เนื้อหาจริงในโรงเรียน จะเพิ่มเติมโดยอาจารย์ผู้สอนเพื่อให้เหมาะสมกับนักเรียน โดยมากเนื้อหาเข้มข้น ข้อสอบยากกว่าปกติมาก

- มหิดลฯ ใช้หลักสูตร สอวน. มาใช้ในการสอน เนื้อหาล้ำหน้าไปถึงมหาวิทยาลัยในบางส่วน นักเรียนจะมีความรู้ในมหาลัยไปล่วงหน้า ทำให้ข้อสอบเข้ามหาลัยจะไม่ยากมากนักสำหรับทุกคน

- กำเนิดวิทย์ หลักสูตรแนวต่างประเทศ ใช้ตำราต่างประเทศในการเรียนการสอน นักเรียนจะมีความรู้ทันสมัย และใช้งานจริงได้ทั่วโลก มีการปฏิบัติทั้งแลปและโครงงานให้ทำมากมาย ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทขนาดใหญ่ในไทย

- โรงเรียนอื่นๆ หลักสูตรแกนกลางไม่เข้มข้นมาก แต่คุณภาพตามนักเรียนและโรงเรียนเป็นหลัก

7.) เป้าหมายระดับต่อไป

- เตรียมอุดมฯ เน้นการเรียนต่อแพทย์เป็นหลัก และทุกสาขาอาชีพ ระดับนำ การแข่งขันระดับโลกทางวิชาการ โอลิมปิก และทุนรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างชาติ ประสบความสำเร็จระดับสูง

- มหิดลฯ นโยบายทุน ม.ปลายเน้นสร้างความรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อนำพื้นฐานไปใช้ในทุกคณะทุกสาขาอาชีพ นักเรียนส่วนมากกว่า 50% เรียนแพทย์ 25% วิทยาศาสตร์วิศวะ ที่เหลือเรียนต่อต่างประเทศและอื่นๆ

- กำเนิดวิทย์ นโยบายทุน ม.ปลายเน้นสร้างความรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อนำพื้นฐานไปใช้ในทุกคณะทุกสาขาอาชีพ นักเรียนส่วนมากกว่า 50% เรียนแพทย์ 25% วิทยาศาสตร์วิศวะ ที่เหลือเรียนต่อต่างประเทศและอื่นๆ

- โรงเรียนอื่น ๆ จะเรียนตามภูมิภาคและหลากหลายคณะอาชีพ

8.) ความก้าวหน้าระดับการงานหลังจบสถิติการศึกษา

- เตรียมอุดมฯ รุ่นพี่รุ่นน้องค่อนข้างเหนียวแน่นและช่วยเหลือในหน้าที่การงาน ส่งเสริมความก้าวหน้าทุกสาขาอาชีพ

- มหิดลฯ ความสามารถเฉพาะตนจากพื้นฐานการเรียนทางวิทยาศาสตร์เข้มข้น จะช่วยให้ทำหน้าที่การงานก้าวหน้าดี

- กำเนิดวิทย์ การส่งเสริมสนับสนุนการเรียนการงานจากองค์กรบริษัทขนาดใหญ่ จะทำให้โดดเด่นด้านการงาน

- โรงเรียนอื่นๆ ความสำเร็จในการงานในพื้นที่จะทำได้ง่ายสำหรับผู้ที่สำเร็จด้านการศึกษาที่ดี

9.) สถานที่เรียนและข้อมูลที่สามารถติดตามข่าวสาร

- เตรียมอุดมฯ

227 ถนน พญาไท แขวง ปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

https://www.triamudom.ac.th/

- มหิดลฯ

หมู่ที่ 5 364 ตำบล ศาลายา อำเภอพุทธมณฑล นครปฐม 73170

https://www.mwit.ac.th/

- กำเนิดวิทย์

หมู่ที่ 1 เลขที่ 999 ตำบล ป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ ระยอง 21210

https://kvis.ac.th/Home_TH.aspx

- โรงเรียนอื่น ๆ ติดตามตามที่สนใจ

อิทธิพล ในการตัดสินใจเลือกเรียนต่อระดับ ม.ปลาย

พ่อแม่ มักจะเน้นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ปลอดภัย และดูสถิติ การสอบเข้ามหาลัย และตัวอย่างรุ่นพี่เป็นหลัก

เพื่อน ๆ พี่ ๆ มักแนะนำ เรียนที่ตนเองเลือกเรียนและ เคยเรียนมาเป็นหลัก

ตัวเอง... ควรพิจารณาตามศักยภาพ ความแหมาะสม และฐานะทางครอบครัว

ทุกที่สำเร็จได้ด้วยตัวเอง มากกว่าโรงเรียน และอื่นๆ


เขียนและรวบรวมข้อมูลโดย AodDekTai คุณพ่อผู้สนใจการศึกษาไทยและต่างประเทศ

จีนกำหนดเกณฑ์ ดึงดูดบรรดา "หัวกะทิ" ผู้มีความสามารถจากหลายแขนง เข้ามาพำนักทำงานในจีน เชื่อแรงงานคุณภาพสูงมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ หวังทะยานสู่ความเป็นเบอร์หนึ่งของโลก

โควิด-19 คือวิกฤตการณ์ของชาวโลก รวมถึงประเทศจีนที่ต้องทุ่มเทสรรพกำลังรับมือ แก้ปัญหา จนสถานการณ์คลี่คลาย

และในเวลานี้ ได้รับการบอกกล่าวจากเพื่อนที่เมืองจีนอัพเดทว่า ทุกอย่างใกล้คืนสู่สภาวะปกติเมื่อมีผู้ได้รับวัคซีนมากขึ้น

สหายจากแดนมังกรบอกว่า ขอให้ไทยเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้มาก ๆ จะได้มาเที่ยวเมืองจีน และคนจีนก็อยากมาเมืองไทยใจจะขาดแล้ว

มาว่ากันด้วยเรื่องของ "วิกฤต-โอกาส" ความกดดันในช่วงที่ผ่านมา เป็นจังหวะให้จีนต่อยอดเดินนโยบายสำคัญ

กุมภาพันธ์ปี 2020 คณะกรรมการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของรัฐบาลเซี่ยงไฮ้ ขยายบริการการยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานแบบออนไลน์แก่ชาวต่างชาติในกลุ่ม A เพื่อหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มของผู้คน และกระตุ้นให้คนเหล่านี้อยู่ทำงานในจีนต่อไป

จีนจัดแบ่งแรงงานต่างชาติออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ กลุ่ม A พรสวรรค์ชั้นยอด กลุ่ม B พรสวรรค์รายสาขาอาชีพ และกลุ่ม C แรงงานฝีมือต่ำ

ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ให้ข้อมูลว่า เวลานี้จีนกำลังมุ่งสนองตอบต่อนโยบาย Made in China 2025 การสร้างนวัตกรรม และการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ

พวกเขาจึงต้องการดึงดูดบรรดา "หัวกะทิ" ผู้มีความสามารถจากหลายแขนงให้เข้ามาพำนักทำงานในจีน (เหมือนที่เราคุ้นเคยในกรณีของมหาอำนาจตะวันตก)

รัฐบาลจีนมองว่าแรงงานคุณภาพสูงมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจจีน จึงกำหนดเกณฑ์ที่ "เอื้อ" ให้บุคคลเหล่านั้นเลือกมาทำงานที่จีน

"1 มีนาคม ที่ผ่านมา สำนักงานบริหารผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศแห่งนครเซี่ยงไฮ้ ออกกฎระเบียบให้ผู้ประกอบการระดับโลก นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้า นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างชาติ และผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ และยา อยู่ในข่ายได้รับสิทธิ์ในกลุ่ม A"

"คนกลุ่ม A สามารถยื่นขอวีซ่าประเภท R ซึ่งเป็นวีซ่าการจ้างแรงงานพรสวรรค์ต่างชาติระดับไฮเอนด์และเป็นที่ต้องการสูง สามารถเข้า-ออกได้หลายครั้งแต่พำนักในจีนได้คราวละไม่เกิน 180 วัน รวมทั้งยังได้รับสิทธิ์พิเศษ อาทิ ขั้นตอนการยื่นขอรับการพิจารณาที่สะดวก การยกเว้นการประกันสุขภาพแก่คนที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และการยื่นขอวีซ่าแก่สมาชิกครอบครัว"

'ดร.ไพจิตร' ชี้ให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลจีนที่ต้องการช่วยอำนวยความสะดวก เปรียบเสมือนการออกโปรโมชั่นเชิญชวนให้ลูกค้าแฮปปี้เข้ามาจับจ่ายได้คล่องตัวขึ้น

นับแต่เริ่มมาตรการดังกล่าว รัฐบาลเซี่ยงไฮ้ได้ออกใบอนุญาตใหม่และต่อใบอนุญาตเดิมจำนวนเกือบ 10,000 รายแล้ว

ในส่วนของขั้นตอนราชการที่ยุ่งยากในหลายประเทศ ทางจีนแก้ไขปัญหาเหล่านี้จนเป็นรูปธรรม

"ขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาใบอนุญาตทำงานของชาวต่างชาติก็กระชับขึ้น โดยลดเวลาจาก 10 วันทำการเหลือเพียง 3 วันทำการ"

"การดำเนินงานในลักษณะดังกล่าวสะท้อนว่า หากจีนได้รับประโยชน์จากสิ่งใด รัฐบาลจะพยายามปรับปรุงหลักเกณฑ์เงื่อนไขและขั้นตอนในเชิงรุกเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไทยเราอาจนำแนวคิดมาปรับใช้กับการปรับปรุงเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การอนุญาตและกำกับดูแลแรงงานต่างด้าวได้เช่นเดียวกัน"

ปัจจุบันมีชาวต่างชาติทำงานในเซี่ยงไฮ้อยู่ราว 215,000 คน คิดเป็น 23.7% ของจำนวนทั้งหมด อีกทั้งเซี่ยงไฮ้ยังครองแชมป์เมืองยอดนิยมของชาวต่างชาติเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน

"นโยบายดึงทรัพยากรมนุษย์จากต่างประเทศเพื่อป้อนภาคการผลิตแห่งโลกอนาคตในเชิงรุกของจีน ทำให้เซี่ยงไฮ้กลายเป็นเมืองแห่งนวัตกรรมในปัจจุบัน เพื่อเป็นแกนกลางส่งจีนทะยานสู่ความเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในสิ้นทศวรรษนี้ตามเป้า"


ขอบคุณที่มา: https://www.facebook.com/thaichinesetalk/posts/464991111514690

คติประจำใจจาก "Johann Wolfgang von Goethe" (นักเขียน นักปรัชญา นักสิทธิมนุษยชน ชาวเยอรมัน)

“What is not started today is never finished tomorrow.”

“ไม่เริ่มต้นในวันนี้ จะไม่มีทางสำเร็จในวันพรุ่ง”


Johann Wolfgang von Goethe (นักเขียน นักปรัชญา นักสิทธิมนุษยชน ชาวเยอรมัน)

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เตรียมเงินงบประมาณ 38,000 ล้านบาท สำหรับการให้กู้ยืมปีการศึกษา 2564 ให้ยื่นกู้ผ่านแอพ ดีเดย์ 1 เม.ย.นี้ นักศึกษาป.โท ยื่นกู้ได้ปีแรก

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ประชาสัมพันธ์ข่าวสาวจากกองทุนระบุว่า “กยศ. พร้อมให้กู้ผ่านมือถือ 38,000 ล้านบาท ดีเดย์ 1 เม.ย.นี้” โดยระบุว่า

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เตรียมเงินงบประมาณ 38,000 ล้านบาท สำหรับการให้กู้ยืมปีการศึกษา 2564 เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียน นักศึกษากู้ยืมตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายถึงระดับปริญญาโท โดยสามารถยื่นขอกู้ยืมผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนด้วยแอพพลิเคชัน “กยศ. Connect” ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป

ในปีการศึกษา 2564 กองทุนได้เตรียมเงินงบประมาณให้กู้ยืมจำนวน 38,000 ล้านบาท เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษาจำนวนกว่า 624,000 ราย สามารถกู้ยืมได้สูงสุดถึง 200,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับหลักสูตรสาขาวิชาหรือประเภทวิชาที่เลือกเรียน และในปีนี้เป็นปีแรกที่กองทุนให้กู้ยืมเงินแก่นักศึกษาระดับปริญญาโท

สำหรับเงื่อนไขการกู้ยืมแบ่งเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้

ลักษณะที่ 1 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์

ลักษณะที่ 2 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก ซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ

ลักษณะที่ 3 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลน หรือที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ

ลักษณะที่ 4 นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนดีเพื่อสร้างความเป็นเลิศ โดยให้กู้ในระดับปริญญาโท

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายละเอียดสาขาวิชาและเงื่อนไขการให้กู้ยืมทั้ง 4 ลักษณะได้ที่เว็บไซต์กองทุน https://bit.ly/2Pb3Nhg โดยนักเรียน นักศึกษาสามารถยื่นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป

และสอบถามรายละเอียดได้ที่สถานศึกษาที่ผู้กู้ประสงค์จะศึกษาต่อ กองทุนขอยืนยันว่า กองทุนจะเป็นหลักประกันของทุกครอบครัว เพื่อให้บุตรหลานและนักเรียน นักศึกษารุ่นหลังมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้ทุกคน โดยไม่มีการจำกัดโควตาการให้กู้ยืมแต่อย่างใด หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ไลน์บัญชีทางการ “กยศ.” หรือโทร. 02-016-4888”


ที่มา: https://www.matichon.co.th/education/news_2636874


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top