Wednesday, 15 January 2025
Econbiz

‘ดร.สุวินัย’ มอง!! รัฐบาลต้องรีด VAT จาก 7% เป็น 15% เพื่อนำรายได้ มาปรนเปรอให้!! ‘นโยบายประชานิยม’

(5 ธ.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT โดยมีใจความว่า ...

ทำไมต้องเก็บภาษี VAT เป็น 15%?

เพราะคนประเทศนี้มีแนวคิดที่ประหลาดพิกลมากยังไงเล่า หรือกล่าวแรง ๆ ได้ว่าเป็นแนวคิดของพวก ‘ขี้ขอ เอาแต่ได้ และขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมอย่างรุนแรง’ แนวคิดของคนพวกนี้แถอย่างข้าง ๆ คู ๆ ว่า

"เพราะพวกกูมีรายได้น้อยอยู่แล้วทำไมต้องจ่ายภาษีเงินได้อีก"

คนพวกนี้ใช้ตรรกะวิบัติประเภทที่ว่า "กูจะจ่ายภาษีไปทำไม? จ่ายภาษีแล้วกูได้อะไรกลับมา? มีอะไรที่กูจับต้องได้บ้าง?"

นี่คือคนไทยหลายสิบล้านคนที่ไม่ยอมเข้าระบบ ไม่ยอมยื่น ภงด.

แต่ก็เป็นคนไทยกลุ่มนี้แหละที่ใช้ 30 บาทรักษาทุกโรค ได้รับเงินหมื่น ฯลฯ คือใช้สวัสดิการและสาธารณูปโภคของประเทศอยู่ทุกวัน โดยหลอกตัวเองอย่างจริงจังว่า พวกกูไม่น่าจะต้องจ่ายภาษี

ประเทศนี้ประหลาดมากจนต้องเรียกว่า AMAZING THAILAND เพราะมีคนไทย 4 ล้านคนจ่ายภาษีเงินได้เพื่อเลี้ยงคนอีกหลายสิบล้านคนที่เชื่อว่าตัวเองไม่ควรต้องจ่ายภาษีเงินได้ แต่เชื่อว่าตัวเองควรจะได้รับสวัสดิการมากขึ้นเรื่อย ๆ 

ประเทศนี้ประหลาดจริง ๆ เพราะยอดภาษีที่เก็บได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มากกว่ายอดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากว่าเท่าตัว แถมยังมากกว่าภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยซ้ำ จนเป็นยอดเก็บภาษีสูงสุดของประเทศนี้

ดังนั้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 15% จึงหมายถึงรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวของรัฐ 

นี่หมายถึง ‘การรีดภาษีทางอ้อม’ จากคนไทยหลายสิบล้านคนที่หลอกตัวเองว่าไม่ควรต้องจ่ายภาษีเงินได้นั่นเอง

เพื่อที่รัฐบาลจะได้เอาภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บเพิ่มได้กว่าเท่าตัวนี้ มา ‘ปรนเปรอ’ คนพวกนี้ด้วยนโยบายประชานิยมต่อไปชั่วกาลนาน

‘รัฐบาล’ รีบ!! รีดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 15% เลยครับ รีบทำเลย รีบทำทันที และอย่าลืมช่วยลดภาษีเงินได้ให้คนเสียภาษี 4 ล้านคน รวมทั้งช่วยลดภาษีเงินได้นิติบุคคลตามที่รับปากด้วยนะ

‘เจนเซ่น หวง’ ซีอีโอ NVIDIA ย้ำ!! Sovereign AI สำคัญกับคนไทย

(5 ธ.ค. 67) เจนเซ่น หวง ให้มุมมองเกี่ยวกับโอกาสของไทยในยุค AI ว่า นี่เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของวงการเทคโนโลยีที่ทุกประเทศมีโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่เหมือนกับยุคซอฟต์แวร์หรือสมาร์ทโฟนที่ถูกครองตลาดโดยประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นการพัฒนา Sovereign AI จึงเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการก้าวสู่ยุค AI อย่างมีศักยภาพและความเป็นตัวของตัวเอง

อุตสาหกรรมโลกกำลังจะถูกรีเซตใหม่ ครั้งนี้ไม่เหมือนกับซอฟต์แวร์ที่สหรัฐอเมริกาครองตลาดมานานกว่า 40 ปี ไม่เหมือนอินเทอร์เน็ตหรือสมาร์ทโฟน นี่คือแพลตฟอร์มใหม่เอี่ยม ทุกคนกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่จุดเดียวกัน

‘มหัศจรรย์ไม้เมืองหนาว ทิวลิปบานที่สวนหลวง ร.๙’ จัดเต็มความงดงาม พร้อมนวัตกรรมด้านพลังงานจาก ปตท.

งาน 'มหัศจรรย์ไม้เมืองหนาว ทิวลิปบานที่สวนหลวง ร.๙' ประจำปี 2567 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงาน 'พรรณไม้งาม อร่ามสวนหลวง ร.๙' ที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ มูลนิธิสวนหลวง ร.๙ และกรุงเทพมหานคร จัดขึ้นภายใต้แนวคิด 'The Charming of Colorful Town' ระหว่าง 1-10 ธันวาคม 2567 ณ อาคารถกลพระเกียรติ สวนหลวง ร.๙ เป็นอีกหนึ่งงานที่ไม่ควรพลาด เพราะถ้าพลาดปีนี้อาจจะต้องรออีกทีใน 1 ปีข้างหน้า

โดยในส่วนของการจัดแสดงดอกไม้เมืองหนาวนั้น ได้จำลองบรรยากาศเมืองในยุโรป สร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าชมได้เพลิดเพลินไปกับความงดงามของดอกไม้เมืองหนาวหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นทิวลิปหลากสี ไฮเดรนเยีย และไม้เมืองหนาวนานาพรรณ

ซึ่งงานนี้ไม่เพียงแต่มีความงดงามของพรรณไม้เมืองหนาวนานาชนิดเท่านั้น แต่ยังได้จัดแสดงเทคโนโลยีการปลูกไม้เมืองหนาวให้เติบโตในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยนวัตกรรมการใช้พลังงานความเย็นที่ได้จากการเปลี่ยนสถานะก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ถือเป็นการใช้ประโยชน์จากพลังงานความเย็นเหลือทิ้งให้เกิดประโยชน์สูงสุด  

และนอกจากโซนดอกไม้เมืองหนาวแล้ว ยังมีไฮไลต์สำคัญที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ด้วย นั่นก็คือ โรงเรือนปลูกสตรอว์เบอร์รี่อัจฉริยะขนาดเล็ก ที่นำระบบควบคุมอัจฉริยะมาใช้ติดตามและควบคุมปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และแสงสว่าง เพื่อให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นสตรอว์เบอร์รี โรงเรือนนี้พัฒนาจากความสำเร็จของโครงการทดลองปลูกสตรอว์เบอร์รีในโรงเรือนอัจฉริยะที่ จ.ระยอง เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่สนใจด้านการเกษตรสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี
กว่าที่จะประสบความสำเร็จสามารถเพาะพันธุ์และปลูกไม้เมืองหนาวได้ดังเช่นปัจจุบัน ได้ผ่านการคิดค้นและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือของกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ ปตท.

เริ่มจากการจัดตั้งโครงการวิจัย พืชเมืองหนาวในปี 2553 ซึ่งเป็นการศึกษา วิจัย การนำพลังงานความเย็นที่เหลือใช้จากการเปลี่ยนแปลงสถานะของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาใช้ประโยชน์ โดยได้ผนวกนำความรู้ทางด้านวิศวกรรมและเกษตรกรรม  มาพัฒนาและยกระดับองค์ความรู้ทางด้านการเกษตรของประเทศ  เริ่มจากการวิจัยเพาะปลูกดอกทิวลิป ลิลลี่ แดฟโฟดิล จนประสบความสำเร็จ และต่อยอดสู่การจัด 'งานมหัศจรรย์ไม้เมืองหนาว' ซึ่งเป็นการนำพืชเมืองหนาวนานาพันธุ์มาจัดแสดงนิทรรศการ ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในองค์รวม

หลังจากความสำเร็จในการเพาะปลูกพืชเมืองหนาว จึงต่อยอดจากไม้ดอกสู่ไม้ผลตระกูลเบอร์รี่ต่าง ๆ อาทิ สตรอว์เบอร์รี่ ในปี 2555 โดยเพาะปลูกในโรงเรือนอัจฉริยะ ซึ่งเป็นระบบปิดที่ทันสมัย ควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ปลอดภัยไร้สารเคมี และสามารถให้ผลผลิตต่อเนื่องตลอดปี  จึงทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และมีปริมาณเพียงพอต่อการพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์

จากนั้นในปี 2560 ได้นำผลผลิตสตรอว์เบอร์รี่เกรดพรีเมี่ยมออกสู่ตลาด ภายใต้แบรนด์ Harumiki สำหรับผู้ที่ชื่นชอบบริโภคผลไม้คุณภาพสูงจากต่างประเทศ และใส่ใจสุขภาพ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ทำให้ ปตท. ได้คิดค้น พัฒนา และต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ ผลไม้แปรรูป น้ำผลไม้สด รวมถึงผลไม้พันธุ์อื่นๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาธุรกิจใหม่ต่อยอดธุรกิจเดิมจากค้าปลีกสู่คาเฟ่ Harumiki Farm & Cafe จังหวัดระยอง ได้อย่างงดงาม

ผู้ที่มาชมงาน 'มหัศจรรย์ไม้เมืองหนาว ทิวลิปบานที่สวนหลวง ร.๙' ในปีนี้ นอกจากจะได้ดื่มด่ำกับความงดงามของพรรณไม้เมืองหนาวที่หาชมได้ยากในประเทศไทย พร้อมกับลิ้มรสสตรอว์เบอร์รี่เกรดพรีเมียมแล้ว ยังจะได้สัมผัสกับนวัตกรรมด้านพลังงานที่น่าทึ่งจาก ปตท. ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน

GC และ KBC ร่วมมือยกระดับการเปลี่ยนผ่าน เดินหน้าสู่ดิจิทัลอัจฉริยะในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

เมื่อวันที่ (4 ธ.ค.67) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของประเทศไทย และ KBC Advanced Technology Pte Ltd (KBC), a Yokogawa company บริษัทที่ปรึกษาเชิงเทคโนโลยีชั้นนำที่ให้บริการอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมี ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของ GC โดยมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) The Intelligent Digital Technology Collaboration Program

ความร่วมมือครั้งนี้จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Advanced Process Simulation ที่ล้ำสมัยและความรู้ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของ GC และ KBC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดของ GC โดยเริ่มจากการมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และประสิทธิภาพการผลิต (production efficiency) ที่ดียิ่งขึ้น การผสานการวิเคราะห์ขั้นสูง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับการจำลองกระบวนการที่ซับซ้อน (Advanced Process Simulation) จะช่วยให้ GC และ KBC สามารถมีเครื่องมือในการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรม และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างสูงสุด ความร่วมมือนี้จะช่วยให้ GC สามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดปิโตรเคมีและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ตามกลยุทธ์องค์กร

นายพรศักดิ์ มงคลตรีรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจเพื่อความเป็นเลิศ  GC. กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ KBC นี้เป็นการลงทุนตามกลยุทธ์ Holistic Optimization ของ GC ในการเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร ด้านดิจิทัลของ GC โดยการใช้ประโยชน์จาก Advanced Process Simulation ระดับโลกของ KBC เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มความแข็งแกร่งในด้านเทคโนโลยี สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมาก รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างนวัตกรรม 

Mr. Takayuki Matsubara, Chief Executive Officer (CEO) of KBC กล่าวว่า “KBC รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ GC ผู้นำในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของ GC โดยการผสานซอฟต์แวร์จำลองกระบวนการ (Process Simulation) ของเรากับ AI เราตั้งเป้าที่จะยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของ GC และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง GC และ KBC นี้เป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างนวัตกรรมและความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมการกลั่นและปิโตรเคมี โดยการใช้จุดแข็งร่วมกัน GC และ KBC พร้อมที่จะขับเคลื่อนความก้าวหน้านด้านประสิทธิภาพการดำเนินงาน ความยั่งยืน และประสิทธิภาพทางธุรกิจโดยรวม

‘เอกนัฏ’ หยิบไอเดีย ‘ญี่ปุ่น’ แก้ปมลักลอบทิ้งกากพิษ เสริมร่าง กม.กากอุตสาหกรรม - ปั้นนิคมฯ Circular

‘เอกนัฏ’ หยิบไอเดีย ‘ญี่ปุ่น’ เสริมร่างกฎหมายกากอุตสาหกรรม-ปั้นนิคมฯ Circular ด้าน กนอ. ขยายใช้ระบบติดตามกากสารพิษ Real Time ใน 14 นิคมฯ ลดโอกาสการลักลอบทิ้ง 

(6 ธ.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงการเข้าพบหารือกับ นายนาคาดะ ฮิโรชิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม (MOEJ) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากทั้งสองประเทศ ในระหว่างการเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ว่า กระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่น และกระทรวงอุตสาหกรรมไทย มีความร่วมมือที่ดีอย่างยาวนาน โดยเฉพาะด้านการจัดการกากอุตสาหกรรม ผ่านบันทึกความร่วมมือ (MOC) ตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งรัฐบาลไทยมีความตั้งใจอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้ง และการจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบอย่างเร่งด่วน โดยเชื่อมั่นว่าความร่วมมือของทั้งสองประเทศจะสามารถทำให้ก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปได้

“ในการหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่น ได้มีแลกเปลี่ยนข้อมูลและหาแนวทางการกำกับดูแลโรงงาน และการจัดการกากอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น มาปรับใช้ในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติกากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งกองทุนปฏิรูปอุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืน ที่กระทรวงฯ กำลังดำเนินการอยู่” นายเอกนัฏ ระบุ

นายเอกนัฏ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม Circular Economy (เศรษฐกิจหมุนเวียน) แห่งแรกในพื้นที่ EEC ด้วยว่า ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการรีไซเคิล และการลดของเสียจากทางญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Circular ของไทย ที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการเกิดของเสีย และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ร่วมมือกับศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมนานาชาติ (International Center for Environmental Technology Transfer : ICETT) แห่งประเทศญี่ปุ่น ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมไทย มุ่งสู่อุตสาหกรรม (Green Industry) และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) โดยมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ

“ความร่วมมือกับ ICETT ตลอดจนลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOC) กับสำนักฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและวัฏจักรของวัสดุ กระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี 2559 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม มุ่งเน้นแลกเปลี่ยนข้อมูล นโยบาย และองค์ความรู้เพื่อจัดการกากของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด” นายณัฐพล กล่าว

ขณะที่ นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รักษาการในตำแหน่ง ผู้ว่าการ กนอ. เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นได้พัฒนาแนวทางการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง กนอ.เองก็มีการพัฒนาระบบติดตามการเคลื่อนย้ายกากอุตสาหกรรมแบบทันสถานการณ์ (Real-Time) มาตั้งแต่ปี 2562 โดยเริ่มนำร่องในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือเป็นแห่งแรก เพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน โดยระบบนี้ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามตรวจสอบเส้นทางการขนส่งกากอุตสาหกรรมได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ณ สถานที่รับกาก ลดโอกาสการลักลอบทิ้ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับชุมชน และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนของภาคอุตสาหกรรมและสังคม สอดคล้องกับประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับล่าสุด เรื่อง การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566

“กนอ.ได้ขยายผลระบบติดตามการเคลื่อนย้ายกากอุตสาหกรรมแบบ Real Time ใน 14 นิคมอุตสาหกรรมแล้ว ซึ่งจะช่วยลดอัตราการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมอย่างผิดกฎหมาย สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของอุตสาหกรรมที่สะอาด สอดรับแนวทางส่งเสริม BCG Economy และ Carbon Neutral ที่เป็นโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” นายสุเมธ ระบุ

‘นอท สลากพลัส’ ฮุบ EE นั่งประธานบอร์ดเอง พร้อมเพิ่มทุนขาย PP ทิ้งกัญชงกัญชาปรับสู่ธุรกิจ Tech

(6 ธ.ค.67) บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี (EE) เปิดเผยว่า นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือนอท สลากพลัส ได้ทำการซื้อขายหุ้นของบริษัทผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยบนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2567 จำนวน 1,607,000,000 หุ้น คิดเป็น 57.81% ของทุนชำระแล้วของบริษัท ซึ่งส่งผลให้นายพันธ์ธวัช กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท

จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัทในครั้งนี้ การที่นายพันธ์ธวัช ถือหุ้นในบริษัทเกินกว่า 25% ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดและสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทนั้น มีผลทำให้นายพันธ์ธวัช มีหน้าที่ในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของกิจการ (Mandatory TenderOffer) โดยราคาทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของกิจการจะเท่ากับ 0.14 บาทต่อหุ้น

ดังนั้น บริษัทจะดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย รวมถึงการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อให้ความเห็นแก่ผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของนายพันธ์ธวัช ในครั้งนี้

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 9/2567 เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.67 อนุมัติแต่งตั้งนายพันธ์ธวัช ให้ดำรงตำแหน่งประธาน กรรมการ และกรรมการใหม่แทนตำแหน่งกรรมการที่ว่างอยู่ พร้อมอนุมัติการเปลี่ยนชื่อของบริษัทจากเดิม 'บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน)' และชื่อภาษาอังกฤษ 'Eternal Energy Public Company Limited' เปลี่ยนเป็น 'บริษัท เทคลีด เอ็นพีเอ็น จำกัด (มหาชน)' และชื่อภาษา อังกฤษ 'TECHLEAD NPN PUBLIC COMPANY LIMITED'

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2,720,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 4,970,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 7,690,000,000 บาท โดยการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลใน วงจำกัด (Private Placement : PP) จำนวน 2,720,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท หรือคิดเป็น 49.12% ของทุนชำระ แล้วของบริษัทภายหลังการเพิ่มทุนชำระแล้ว ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.19 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 516,800,000 บาท เพื่อ เสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด

รายชื่อบุคคลในวงจำกัด จำนวนหุ้นที่ได้รับ มูลค่าหุ้นที่ได้รับ สัดส่วนการถือหุ้นภายหลังการเข้าทำการจัดสรร (หุ้น) การจัดสรร(บาท) รายการ (ร้อยละ)

1.นายคีรีภัทร์ ศุภสินประภาพงศ์ 1,038,142,857 หุ้น 197,247,143 บาท  คิดเป็น 18.88%
2.นายไพบูลย์ ทรงเพ็ชรมงคล 541,181,818 หุ้น 102,824,545 บาท คิดเป็น 9.84%
3.นายวิชิต จิรัฐิติเจริญ 407,071,429 หุ้น 77,343,571 บาท คิดเป็น 7.40%
4.นายจักรวิตร ภัทรจินดา 383,603,896 หุ้น 72,884,740 บาท คิดเป็น 6.97%
5.น ส.สุกัญญา ทิพย์มณี 350,000,000 หุ้น 66,500,000 บาท คิดเป็น 6.36%
รวม 2,720,000,000 หุ้น 516,800,000 บาท คิดเป็น 49.45%

บริษัทได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจจากที่บริษัทมีรายได้จากธุรกิจกัญชงและกัญชา แต่เนื่องจากธุรกิจนี้มีอัตราความเสี่ยงสูงจากการ เปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ และยังมีวงจรเงินสดที่ช้า จึงมีแนวทางในการขยายการลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีศักยภาพในการเติบโต โดย สามารถสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอให้บริษัท และสร้างความแข็งแกร่งให้ฐานะการเงินของบริษัท อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง และเพิ่มโอกาสให้กับบริษัทในอนาคต ตลอดจนเป็นการเพิ่มศักยภาพและความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) รวมถึงเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สถาบันการเงิน

โดยบริษัทอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ธุรกิจ Tech) ซึ่งรวมถึง (1) ธุรกิจสื่อ เทคโนโลยี (Technology Media) (2) ธุรกิจให้บริการชำระเงิน (Payment Gateway Solution) และ/หรือ (3) ธุรกิจแพลตฟอร์มตลาดซื้อขาย (Marketplace Platform)

เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจ Tech เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตจากการสร้างรายได้และความสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นที่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ และเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์ (Mega Trend) ซึ่งได้แก่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันผู้คนใช้ชีวิตและใช้เวลากับอุปกรณ์สื่อสารกันมากขึ้น ทำให้สื่อออนไลน์และแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศไทยและเศรษฐกิจโลก

โดยแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคและผู้ขายหรือภาคธุรกิจผ่านอินเทอร์เน็ต บริษัทจึงมีความสนใจในการเข้าลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทอย่างสม่ำเสมอ มีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่ น้อยกว่า 12% และมีศักยภาพการเติบโตในอนาคต (Potential Upside) จากธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์

ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินทุนที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามรายการ Private Placement ไปใช้เพื่อลงทุนในธุรกิจ Tech ประมาณ 467-517 ล้านบาท ภายในปี 2568 และใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทไม่เกิน 50 ล้านบาทภายในปี 2568

ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่ เจนเซน หวง ซีอีโอ Nvidia ขยายการลงทุนในเวียดนาม

(6 ธ.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ถึงกรณีที่ เจนเซน หวง ซีอีโอ Nvidia ขยายการลงทุนในเวียดนาม โดยระบุว่า ตื่นเถิดชาวไทย!! เสร็จจากภารกิจในไทยแลนด์ เจนเซน หวง ซีอีโอ Nvidia ไปทำอะไรในเวียดนาม (เอิ่ม ไม่ใช่แค่ไปร่วมงานสัมมนาขายฝัน) แต่

(1) ไปลงทุน ตั้งศูนย์ R&D ในเวียดนาม เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพและอนาคต AI ในเวียดนาม !!  จึงตัดสินใจเลือกเวียดนามเป็นที่ตั้งศูนย์ R&D ของ Nvidia แห่งแรกในอาเซียน
(2) ไปเข้าซื้อ VinBrain สตาร์ทอัปด้าน AI ของเวียดนาม (บริษัทในเครือ VinGroup) 
(3) ไปจับมือ กับ Viettel บิ๊กเทเลคอมของเวียดนาม เพื่อจัดตั้งศูนย์ Cyberspace
(4) ไปร่วมมือ กับ FPT บริษัทไอทีใหญ่สุดในเวียดนาม เพื่อพัฒนาระบบ smart Cloud
ฯลฯ

ขณะเดียวกัน เจนเซน หวงยังได้ควง นายกฯเวียดนาม ไป enjoy eating street food นั่งยอง ๆ ทานอาหารริมทางกลางกรุงฮานอย มีทั้งตีนไก่ หมูทอดหมัก เต้าหู้กับต้นหอม และจิบเบียร์ ชนแก้วแบบติดดิน เพื่อฉลองความร่วมมือ ในข้อตกลงเพื่อจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในเวียดนาม 

ดร.อักษรศรี สรุปว่า เหตุผลชัด ๆ จาก Nvidia ทำไมเลือกเวียดนาม เพราะเวียดนามมีทั้ง strong talent pool of STEM engineers มีวิศวะ มี startup และมีนักศึกษาในสถาบันศึกษาที่เอาจริงด้าน AI !!

Vat 15% เศรษฐกิจถึงทางตัน หรือรัฐบาลถังแตก กระแสต่อต้านรุนแรง นายกฯ แจง!! แค่กำลังศึกษา

(7 ธ.ค. 67) เป็นเรื่อง !!! หลัง รมว.คลัง ขึ้นเวทีกล่าวถึงแผนงานเตรียมปรับโครงสร้างภาษี ขึ้นภาษี VAT 15% ลดอัตราภาษีนิติบุคคลเหลือ15% จาก 20% เพื่อดึงดูดนักลงทุน และแข่งขันกับชาวโลกได้ เพิ่มจัดเก็บรายได้เข้ารัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Sustainability Forum 2025 : Synergizing for Driving Business ว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เร่งพิจารณาเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนเรื่องการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล

เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนในแวดวงเศรษฐกิจ และกระแสโจมตีจากประชาชนกับนโยบายดังกล่าว เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังคงซบเซา รอคอยพายุหมุนทางเศรษฐกิจทั้ง 4 ลูก มากระตุ้นเศรษฐกิจ ถึงแม้เงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต (โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท) จะคลอดออกมาแล้วก็ตาม

คล้อยหลังไม่กี่วัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์กล่าวชี้แจงแนวความคิดการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของรัฐบาล ยืนยันไม่ปรับ VAT 15% กระทรวงการคลังกำลังศึกษาปรับโครงสร้างภาษีให้ครบทุกมิติ ฟังทุกภาคส่วน นโยบายของรัฐบาลมุ่งเน้นลดรายจ่ายประชาชน

สำทับด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาชี้แจงแนวคิดขึ้น ภาษี VAT จาก 7% เป็น 15% ยังไม่มีข้อสรุป กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยืนยันไม่ได้มาจากปัญหารัฐบาลถังแตก และไม่เกี่ยวกับการแจกเงินหมื่น เป็นแผนปรับภาษีเพื่อความยุติธรรม

เหมือนปล่อยลอยคอ รมว.คลัง ให้โดดเดี่ยวเดียวดายกลางทะเล...

หากมองย้อนกลับไปในอดีต สมัยรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยประกาศนโยบายเตรียมขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม คล้าย ๆ กับการโยนหินถามทาง หยั่งกระแสจากประชาชน เมื่อส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ก็ยกเลิกนโยบายดังกล่าว

รวมทั้งสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีความคิดขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1 % จาก 7% เป็น 8% กลับโดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจากกลุ่มคนของรัฐบาลในปัจจุบัน ที่ก่นด่า และโจมตีมากที่สุด

แต่คราวนี้ เมื่อได้เป็นรัฐบาลเอง กลับมีแนวคิดจะปรับขึ้น 8% จาก 7% เป็น 15% มากกว่าเท่าตัวจากอัตราเดิม

บางทีคงต้องบอกว่า หากนโยบายยังไม่สะเด็ดน้ำ แนวทางยังไม่ชัดเจน การโยนหินถามทางแบบนี้ แทบจะสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่น่าจะถึงทางตัน คำปราศรัยที่เคยหาเสียงช่วงก่อนเลือกตั้ง การกล่าวโจมตีรัฐบาลชุดที่ผ่านมา กลายเป็นดาบที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง

ประชาชนคงต้องแบกภาระหนักกันต่อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ที่ต้องร่วมแบกหนี้ทางภาษีจากนโยบายประชานิยมของนักการเมือง ลากยาวไปอีกหลาย 10 ปี หนักหนาเอาการอยู่นะ รัฐบาลประชาธิปไตย

วธ.ชวนประชาชนร่วมงานฉลองต้มยำกุ้ง - เคบายา มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พร้อมต่อยอดเศรษฐกิจวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้ เสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ  

ระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม 2567 กระทรวงวัฒนธรรม ชวนพี่น้องชาวไทยร่วมงานฉลอง ต้มยำกุ้ง - เคบายา มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ชิมฟรีต้มยำกุ้ง ปรุงโดยเชฟตุ๊กตา และเชฟเมย์ เชฟกระทะเหล็ก  ร่วมด้วยนางสาวไทย (ดินสอสี) ปี 67 พร้อมรองอันดับ ๑ และ อันดับ ๒ เดินแฟชั่นโชว์ชุด เคบายา สวยงามประทับใจชาวไทยและต่างชาติ สร้างกระแสให้ทุกภาคส่วนร่วมสืบสานต่อยอดมรดกวัฒนธรรมให้ยั่งยืน

(วันที่ 6 ธันวาคม 2567 เวลา 18.00 น.) กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จัดพิธีเปิด งานฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ในโอกาสที่ ยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียน 'ต้มยำกุ้ง' (Tomyum Kung) และ “เคบายา” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity : RL) ประจำปี 2567 ในพิธีเปิดงาน นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเป็นประธาน โดยมี นายประสพ เรียงเงิน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม พร้อมผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมด้วย Ms. Soohyun Kim ผู้อำนวยการองค์การยูเนสโก กรุงเทพมหานคร เชฟชุมพล เชฟระดับมิชลิน และเป็นผู้ทำอาหารไทยเสิร์ฟในเวทีเอเปค 2022 (APEC 2022) พร้อมคณะทูตานุทูต 8 ประเทศ ประกอบด้วย ฟิลิปปินส์ สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา เมียนมา จีน สิงคโปร์ กัมพูชา และมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็มควอเทียร์

นางสาวสุดาวรรณ ประธานได้กล่าวแสดงความยินดี ในงานฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา ว่า เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งที่ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” และ “เคบายา” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 ณ เมืองอะซุนซิออง สาธารณรัฐปารากวัย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา  ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ. 2003 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2559 และได้ดำเนินการร่วมกับชุมชนเสนอรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ซึ่งปัจจุบัน มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก เป็นมรดกวัฒนธรรมฯ รวม 6 รายการ คือ “โขน” ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ “นวดไทย” ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ “โนรา” ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ และ “สงกรานต์” ปี พ.ศ. ๒๕๖๖ และในปี 2567 คือ ต้มยำกุ้ง และ เคบายา

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวอีกว่า ในวาระแห่งการฉลองการประกาศขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” และ “เคบายา” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ในนามของรัฐบาลและประชาชนไทย ขอประกาศเจตนารมณ์ในการรักษาและสืบทอด รายการมรดกภูมิปัญญาฯ “ต้มยำกุ้ง” และ “เคบายา” โดย ๑.ประเทศไทย จะร่วมกันธำรงรักษา ถ่ายทอด และสร้างสรรค์มรดกภูมิปัญญา ให้มีการปฏิบัติและสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยมาตรการส่งเสริมและรักษาที่เหมาะสม รวมทั้งให้ความเคารพและยอมรับต่อวิถีปฏิบัติของทุกชุมชน ๒.จะส่งเสริมให้เกิดความตระหนักรู้ถึงคุณค่า และความสำคัญของมรดกภูมิปัญญา ในฐานะตัวแทนมรดกวัฒนธรรมฯ ซึ่งสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ และบ่อเกิดของการพัฒนาที่ยั่งยืน ๓.จะเปิดโอกาสอย่างทั่วถึงแก่คนทุกเชื้อชาติ ทุกเพศ ทุกภาษา และทุกศาสนา ให้ร่วมกันส่งเสริม รักษา และสืบทอดมรดกภูมิปัญญา ทั้ง 2 รายการ ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย โดยเคารพต่อธรรมเนียมปฏิบัติของชุมชน ด้วยความร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 

“รัฐบาลและประชาชนไทย จะร่วมกันดำเนินการในทุกวิถีทางอย่างเต็มความสามารถ ให้เจตนารมณ์ทั้ง ๓ ข้อ บรรลุผลสัมฤทธิ์ เพื่อสนับสนุนให้มรดกภูมิปัญญา “ต้มยำกุ้ง” และ “เคบายา” ดึงดูดให้ผู้คนจากทุกมุมโลกเข้ามาในประเทศ  ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ เสริมสร้างขีดความสามารถของประชาชนในการให้บริการ ด้วยการพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมอาชีพ กระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน และส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนวัฒนธรรม” รมว.วธ.กล่าว 

รมว.วธ.กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงวัฒนธรรม มีแผนในการส่งเสริมและต่อยอดมรดกวัฒนธรรม หลังจากยูเนสโก ขึ้นทะเบียน ต้มยำกุ้ง - เคบายา แล้ว ด้วยการขับเคลื่อน Soft power ด้านอาหาร และ ด้านแฟชั่น ตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม จะนำเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละคร เกม รายการโทรทัศน์ รวมถึงสื่อออนไลน์ ให้สอดแทรกเนื้อหา ต้มยำกุ้ง เพื่อสร้างกระแสความนิยมในวงกว้าง และบูรณาการกับภาคธุรกิจ-การท่องเที่ยว ในการนำ ต้มยำกุ้ง เป็นเมนูหลัก เมนูอาหารต้องชิม เมื่อมาเที่ยวเมืองไทย บรรจุลงในโปรแกรมการท่องเที่ยว และเป็นเมนูอาหารที่ต้องระบุไว้ในรายการอาหารขึ้นโต๊ะผู้นำ รวมทั้งผู้เข้าร่วมในการประชุมที่จัดในประเทศไทย หรือที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เชิญชวนให้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวและการบริการ เช่น โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร่วมจัดแคมเปญพิเศษในการส่งเสริมการขายเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง รวมถึงยอดขายวัตถุดิบต่างๆ  และยังเป็นการสร้างการรับรู้ถึงคุณค่าและสาระของเมนูต้มยำกุ้งไปสู่ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติอีกด้วย และในส่วน ภาคชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนโดยมุ้งเน้นบูรการร่วมกับหอการค้า สมาคม ชุมชน เครือข่ายในพื้นที่ ที่มีวัฒนธรรมการแต่งกายเคบายา ร่วมจัดแคมเปญพิเศษในการส่งเสริมการขาย ด้วยการเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติสวมใส่ ชุดเคบายา พร้อมถ่ายรูปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นการสร้างสีสันไปพร้อม ๆ กับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ของชุมชนอีกด้วย

ทั้งนี้ บรรยากาศในพิธีเปิดงานฉลองฯ เริ่มด้วยการแสดงทางวัฒนธรรม การแสดงแฟชั่นโชว์ ชุดเคบายา โดย นางสาวพนิดา เขื่อนจินดา (ดินสอสี) นางสาวไทย ปี ๒๕๖๗ พร้อมด้วยรองนางสาวไทย อันดับ ๑ และ อันดับ ๒ และผู้แสดงจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์  จากนั้น ประธานกล่าวแสดงความยินดี และได้สาธิตสาธิตการทำต้มยำกุ้ง    พร้อมให้ผู้เข้าร่วมพิธีเปิดได้ชิมฟรี  ทั้งนี้ ภายในงานมี นิทรรศการ นำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “ต้มยำกุ้ง และเคบายา” สาธิตการปรุง/ประกอบอาหารต้มยำกุ้ง ให้ประชาชนชิมฟรี โดยเชฟตุ๊กตา (ร้านบ้านยี่สาร) เชฟกระทะเหล็ก ในวันที่ 6 ธ.ค. และพบเชฟเมย์ พัทรนันท์ ธงทอง เชฟกระทะเหล็ก 7-8 ธ.ค. นี้  นอกจากนี้ ยังมีการสาธิตการปักและจัดทำชุดเคบายา พร้อมซุ้มอาหารและจำหน่ายเครื่องแต่งกายเคบายา จากจังหวัดภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ตรัง และสตูล  ผู้ที่มาเที่ยวงานยังได้อิ่มอร่อยกับร้านอาหารที่ได้รับการขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ระดับชาติ อีก 20 บูธ ตลอดทั้ง 3 วัน 

ภายในงานยังมีนิทรรศการให้ความรู้รายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเทศไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก (UNESCO) จำนวน 4 รายการ ได้แก่ โขน (2561) นวดไทย (2562) โนรา (2564) และสงกรานต์ (2566) รวมด้วยการแสดงทางวัฒนธรรม สร้างสีสัน ระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม 2567 เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ถ.สุขุมวิท เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรฝั่งแพลตฟอร์มเดลิเวอรี แกร็บ ประเทศไทย ในการร่วมฉลองต้มยำกุ้งมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ผ่านการมอบโค้ดส่วนลดเมื่อสั่งเมนูต้มยำกุ้งผ่านแกร็บฟู้ด เพียงใส่โค้ด 'TOMYUM' รับส่วนลดสูงสุด 30 บาท เมื่อสั่งขั้นต่ำ 100 บาท ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 6 - 25 ธันวาคม 2567  ทั้งนี้ ร้านค้าที่เข้าร่วมในแคมเปญ ประมาณ 24,000 ร้าน’

‘อสังหาฯ ภูเก็ต’ ร้อนแรง แซง!! กทม. ‘พูลวิลล่า’ หลังละ 800 ล้านย่านติดทะเลคึกคัก ลูกค้าหลักเป็นชาวรัสเซีย ‘ซื้ออยู่เอง – ลงทุน’

(8 ธ.ค. 67) นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมปี 2567 ตลาดคอนโดมิเนียมและวิลล่าที่จังหวัดภูเก็ตยังเติบโต ผ่านมา 3 ไตรมาสแรก มีโครงการเปิดใหม่กว่า 10,000 หน่วย มูลค่า 113,020 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 9,298 หน่วย มูลค่า 64,500 ล้านบาท คาดไตรมาส 4 จะมีคอนโดเปิดใหม่อีกกว่า 3,000 ยูนิต คาดการณ์ทั้งปี 2567 จะมากกว่า 12,000 ยูนิต

นับเป็นการสร้างสถิติใหม่ของภูเก็ตอีกครั้ง ทำเลหลักยังเป็นย่านเชิงทะเลที่คึกคักขึ้นมาก โดย รัสเซีย ยังคงเป็นลูกค้าหลักทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุน สำหรับในปี 2568 ตลาดจะย่อตัวลงมา ไม่มีการเปิดตัวหวือหวา แต่ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติที่เปิดตัวปีละ 3,000-4,000 ยูนิต

“ปัจจุบันซัพพลายทั้งตลาดรอระบาย 11,200 หน่วย มูลค่า 22,725 ล้านบาท ยังไม่นับที่เปิดไตรมาสสุดท้ายอีก แต่ซัพพลายไม่น่าห่วง เพราะช่วงนี้ตลาดภูเก็ตฮอตมากและดีมานด์ต่างชาติยังมีค่อนข้างสูง ตอนนี้ตลาดภูเก็ตเป็นเดรสซิเนชั่นของดีเวลลอปเปอร์จากกรุงเทพไปแล้ว รองจากตลาดกรุงเทพ” นายภัทรชัยกล่าว

นายภัทรชัย ยังกล่าวอีกว่า ส่วนตลาดพูลวิลล่าในช่วง 3 ไตรมาสแรกปี 2567 มีเปิดตัวสูงถึง 1,510 ยูนิต มูลค่า 48,520 ล้านบาท ถือเป็นสถิติใหม่และราคาแพงขึ้น เริ่มตั้งแต่ 15 ล้านบาทไปถึง 700-800 ล้านบาทต่อยูนิต ผลจากราคาที่ดินโตก้าวกระโดด คาดถึงสิ้นปีนี้จะเปิดตัว 1,850 ยูนิต ถือว่าสูงมากๆ แบบไม่เคยเห็น โดยผู้พัฒนายังเป็นดีเวลลอปเปอร์ท้องถิ่น เช่น โบทานิก้า เป็นต้น และมีดีเวลลอปเปอร์จากกรุงเทพก็มีความสนใจ ซึ่งไตรมาสสุดท้ายนี้ แสนสิริ เข้าไปพัฒนาวิลล่าครั้งแรก ยังมี ศรีพันวา ส่วนซัพพลายพูลวิลล่าเหลือขายอยู่ที่ 1,900 ยูนิต มูลค่า 27,200 ล้านบาท

“ปีนี้อสังหาฯภูเก็ต ยังคึกคักเหมือนเดิม ยังไม่มีที่ไหนเอาลงได้ กลายเป็นว่าแม้แต่กรุงเทพฯ ยังสู้ไม่ได้ อย่างคอนโดกรุงเทพยังเปิดตัวแพ้ภูเก็ตถึง 2 ไตรมาสในไตรมาส2และไตรมาส3 ที่ผ่านมา ราคาที่ดินก็ปรับขึ้น ทำเลไพร์มติดหาดจะสูง ราคาไร่ละ 100 ล้านบาทอัพ เพราะมีซัพพลายค่อนข้างน้อย และยังมีดีเวลลอปเปอร์หมายมั่นปั้นมือเข้าไปพัฒนาโครงการ และปีหน้าอาจจะมีโปรเจ็กต์ที่เป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์” นายภัทรชัย กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top