Tuesday, 18 February 2025
Econbiz

'กฟน. และกฟภ.' หยุดรับซื้อ!! ‘โครงการโซลาร์ภาคประชาชน’ ระบุชัด!! เต็มโควตา 90 เมกะวัตต์แล้ว ต้องรอจนกว่าจะเปิดเพิ่ม

(14 ธ.ค. 67) ขณะนี้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้หยุดรับซื้อไฟฟ้าในโครงการโซลาร์ภาคประชาชนชั่วคราวแล้ว เนื่องจากมีผู้สนใจแห่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวกันเป็นจำนวนมากในปี 2567 จนเต็มโควตาที่เปิดรับซื้อ 90 เมกะวัตต์ โดยที่ผ่านมามีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่เดือน ม.ค.- มิ.ย. 2567 ประมาณ 100 เมกะวัตต์ แต่ผ่านการพิจารณาด้านเทคนิคแล้วรวม 89.8 เมกะวัตต์ และจากนั้นได้เต็มโควตาไปเมื่อประมาณเดือน ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา

ดังนั้นหลังจากนี้ทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จะต้องนำเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อพิจารณาเพิ่มโควตาการรับซื้อไฟฟ้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP 2024) ต่อไป

ทั้งนี้ที่ผ่านมา กพช. ได้กำหนดโควตาเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งบนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟท็อป ในโครงการโซลาร์ภาคประชาชน จำนวนรวม 90 เมกะวัตต์ ภายในเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2564-2573

โดยล่าสุดภาพรวมการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ในปี 2567 (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ธ.ค. 2567) ทั้งในส่วนของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการประมาณ 10,107 ราย รวมกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 65.72 เมกะวัตต์

แบ่งเป็นทางด้าน กฟน. มีผู้ผลิตไฟฟ้าจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ จำนวน 4,174 ราย กำลังการผลิตติดตั้งรวม 23.15 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 3,740 ราย กำลังการผลิตติดตั้ง 20.4198 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้มีผู้ผลิตไฟฟ้าเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้นในปี 2567 จำนวน 7,914 ราย กำลังการผลิตติดตั้ง 43.91 เมกะวัตต์

ส่วนทางด้าน PEA นั้น ในปี 2567 มีผู้ทำสัญญาแล้ว แต่ยังไม่ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบ ( COD ) 1,559 ราย กำลังการผลิตประมาณ 8.25 เมกะวัตต์ และส่วนที่ COD แล้ว 634 ราย กำลังการผลิตประมาณ 3.56 เมกะวัตต์ โดยรวมมีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ 2,193 ราย คิดเป็นกำลังผลิตติดตั้งประมาณ 11.81 เมกะวัตต์

ดังนั้นเมื่อนับตั้งแต่เปิดโครงการดังกล่าวในปี 2562-2567 จึงมีปริมาณกำลังผลิตติดตั้งรวมประมาณ 100.221 เมกะวัตต์ แต่หากนับเฉพาะในส่วนของ 2564-2567 ตามมติ กพช. ที่เปิดรับซื้อรวม 90 เมกะวัตต์ ก็พบว่าปริมาณรับซื้อเต็ม 90 เมกะวัตต์แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ประชาชนแห่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวนมาก เนื่องจากค่าไฟฟ้าที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ประกอบกับต้นทุนแผงโซลาร์เซลล์ปรับลดลง และประชาชนต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าลงทำให้หันมาติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคากันมากขึ้นนั่นเอง

สำหรับในช่วงเริ่มต้นโครงการฯ ปี 2562-2565 ที่เปิดรับซื้อไฟฟ้าแบบปีต่อปี พบว่ามีผู้เข้าร่วมโครงการไม่ถึงเป้าหมายแม้แต่ปีเดียว โดยเปิดรับซื้อไฟฟ้ารวม 260 เมกะวัตต์ แต่มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเพียง 9 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็นดังนี้

ในปี 2562 -2565 เปิดรับซื้อไฟฟ้าปีละ 100 เมกะวัตต์ แต่มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเพียง 3-4 เมกะวัตต์เท่านั้น เนื่องจากราคารับซื้อไฟฟ้าที่ 1.68 บาทต่อหน่วย ไม่จูงใจ

ต่อมาในปี 2564 จึงปรับลดเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าเหลือ 50 เมกะวัตต์ และปรับเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าเป็น 2.20 บาทต่อหน่วย แต่ก็มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อขายไฟฟ้าเพียง 3 เมกะวัตต์ เท่านั้น และในปี 2565 ได้ปรับลดเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าลงอีกครั้งเหลือ 10 เมกะวัตต์ ในราคาเดิมที่ 2.20 บาทต่อหน่วย แต่ก็มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพียง 1.37 เมกะวัตต์

จากนั้นในเดือน มี.ค. 2566 กกพ. ได้ปรับหลักเกณฑ์เป็นการรับซื้อระยะยาว 10 ปี (2564-2573) รวม 90 เมกะวัตต์ ซึ่งหลักเกณฑ์ใหม่ดังกล่าวก็เริ่มใช้ในปี 2566 นี้ และพบว่าประชาชนให้ความสนใจมากขึ้น มีการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบรวมกว่า 10 เมกะวัตต์ จากเป้าหมาย 90 เมกะวัตต์ ใน 10 ปี และยังมีกลุ่มผู้ร่วมโครงการฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (รอ COD) จำนวน 2,795 ราย กำลังการผลิตติดตั้ง 15.501 เมกะวัตต์ รวมเป็นปริมาณ 25.50 เมกะวัตต์

และล่าสุดในปี 2567 ณ เดือน มิ.ย. 2567 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคิดเป็นปริมาณ 100 เมกะวัตต์ และเต็มโควตา 90 เมกะวัตต์แล้ว ( นับรวมตั้งแต่ปี 2564-2567) และต้องหยุดรับซื้อไฟฟ้าไปจนกว่าจะมีการเพิ่มโควตาใหม่อีกครั้ง

‘ดร.เอ้’ ชี้!! อนาคต AI ชี้!! หากไทยไม่ทำวันนี้ อาจสายเกินไป

(14 ธ.ค. 67) ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ถึงเวลา ‘จุดประกาย AI ในประเทศไทย’

ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย CMKL ที่มุ่งมั่น สร้างคนไทยสู่เวทีระดับโลก ด้าน AI มาเป็น ‘Keynote Speaker’ องค์ปาฐก บรรยายเรื่อง ‘อนาคต AI’ ในงาน AI Summit 2024

เพราะวันนี้ หากไทยไม่สู้ อาจสายเกินไป เพราะประเทศอื่นก้าวกระโดดไปไกลมากแล้ว โดยเฉพาะเวียดนาม

เราจัดงาน AI Summit 2024 เพื่อรวมพลังสุดยอดคน AI ระดับโลก มาร่วมทีม AI ไทยแลนด์ พัฒนางานวิจัย และพัฒนา ‘คนรุ่นใหม่’ ให้เข้าสู่โลก AI ได้

และหมดยุค ‘แข่งกับตัวเอง’ หรือ ‘แข่งกันเอง’ เพราะทัศนคติแบบพูดเพียง ‘หล่อๆ’ นี้ ทำให้เราไม่คิดเปรียบเทียบ หรือแข่งกับ ‘คนเก่ง’ สุดท้ายเราก็ไม่พัฒนา สู้โลกไม่ได้ น่าเสียดาย

AI Summit 2024 จึงเป็นการ 'จุดประกาย' ให้คนไทย ตระหนักถึง ‘ยุค AI’ และ กลับมา ‘รวมพลัง’ คนเก่งของไทย ที่เก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก

แล้วท่านล่ะครับ พร้อมเข้าสู้ยุค AI หรือยังครับ

ราคาน้ำมันดิบ พุ่ง!! เกือบ 2% หวั่น!! คว่ำบาตรเพิ่มรัสเซีย-อิหร่าน

(14 ธ.ค. 67) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 2% ในวันศุกร์ (13 ธ.ค.) แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่า การคว่ำบาตรเพิ่มเติมกับรัสเซียและอิหร่านอาจทำให้อุปทานตึงตัวขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงในยุโรปและสหรัฐอาจช่วยหนุนความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น

• สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 1.27 ดอลลาร์ หรือ 1.81% ปิดที่ 71.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
• สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.08 ดอลลาร์ หรือ 1.47% ปิดที่ 74.49 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. และเพิ่มขึ้น 5% ในสัปดาห์นี้ ส่วนน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 6% ในสัปดาห์นี้ และปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.

ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปตกลงที่จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งที่ 15 ในสัปดาห์นี้ อันเนื่องมาจากสงครามของรัสเซียกับยูเครน โดยมุ่งเป้าไปที่กองเรือบรรทุกน้ำมันเงาของรัสเซีย (shadow tanker fleet) ขณะที่สหรัฐก็กำลังพิจารณาดำเนินการในลักษณะเดียวกัน

อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีแจ้งต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ว่า พวกเขาพร้อมที่จะกลับไปใช้มาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศทั้งหมดต่ออิหร่านหากจำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

ทางด้านข้อมูลจาก ‘จีน’ ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นว่าการนำเข้าน้ำมันดิบของประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน โดยคาดว่าระดับการนำเข้าน้ำมันจะยังคงสูงต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2568 เนื่องจากโรงกลั่นเลือกที่จะเพิ่มการจัดหาน้ำมันจากซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดเนื่องจากมีราคาที่ถูกลง ขณะที่โรงกลั่นอิสระเร่งใช้โควตาการนำเข้าของพวกเขา

ขณะที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2568 เป็น 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่คาดไว้ที่ 990,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อเดือนที่แล้ว โดยอ้างถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน

การปล่อยกู้ใหม่ของธนาคารในจีนเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนพ.ย. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการสินเชื่อที่อ่อนแอในจีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายให้คำมั่นว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

IEA คาดการณ์ว่าจะมีอุปทานน้ำมันส่วนเกินในปีหน้า เมื่อประเทศที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มโอเปกพลัสจะเพิ่มการผลิตน้ำมันประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยได้รับแรงผลักดันจากอาร์เจนตินา บราซิล แคนาดา กายอานา และสหรัฐ

ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นสมาชิกของโอเปกวางแผนที่จะลดการส่งออกน้ำมันในต้นปีหน้า เนื่องจากกลุ่มโอเปกพลัส มุ่งเน้นการควบคุมการผลิตให้เข้มงวดขึ้น

ราคาน้ำมันดิบที่อิหร่านซึ่งเป็นสมาชิกโอเปกขายให้กับจีนนั้น เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายปี เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐ ทำให้ความสามารถในการขนส่งลดลงและเพิ่มต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และคาดว่ารัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐจะเพิ่มแรงกดดันต่ออิหร่านด้วย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในสัปดาห์หน้า และจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีหน้า หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นเกินคาด

ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) จำนวน 4 คนสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก หากอัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงสามารถกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเพิ่มความต้องการน้ำมัน

‘เอกนัฏ’ หนุน!! ‘ดีพร้อม’ ขับเคลื่อนนโยบาย ยกระดับ โลจิสติกส์ไทย ลดปล่อยคาร์บอน 5.8 พันตัน/ต่อปี ดันเศรษฐกิจโต 200 กว่าล้านบาท

(14 ธ.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนนโยบาย ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส’ โดยได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) พัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ด้วยการช่วยเหลือและยกระดับธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) ผ่าน “กระจายสินค้าของสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมตามแนวทาง BCG Model” ด้วยการพัฒนาให้สามารถเตรียมความพร้อมในการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร พร้อมกับการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เช่น บริการขนส่ง คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นต้น คาดว่าจะขยายผลการยกระดับการบริหารจัดการโลจิสติกส์กว่า 206 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 5,848 ตันคาร์บอนต่อปี 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคประชาสังคมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสถานประกอบการโดยการพัฒนาองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจตามแนวคิด BCG เพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นกติกาทางการค้าที่อุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้อง ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ดำเนินการตามนโยบาย ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส’ โดยได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งส่งเสริมและกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไปพร้อม ๆ กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอย่างแท้จริง รวมถึงการดึงดูดการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีศักยภาพ ตลอดจนต้องการยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ในการพัฒนาเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้ขานรับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมผ่านการดำเนินโครงการการยกระดับธุรกิจ SMEs ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ด้วยการช่วยเหลือและยกระดับธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การพัฒนาและยกระดับกระบวนการผลิตให้มิตรต่อสิ่งแวดล้อม (BCG-driven Enterprise) ลดต้นทุนการใช้พลังงานและเชื้อเพลิงจากชีวมวล (Biomass) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเศษวัสดุเหลือใช้ภายในสถานประกอบการ (Upcycled Product) รวมถึงได้ดำเนินการ ‘กระจายสินค้าของสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมตามแนวทาง BCG Model’ ซึ่งเป็นการพัฒนาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตที่มีคลังสินค้าและ/หรือขนส่งของตนเอง และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ (Logistics Service Provider) เช่น บริการขนส่ง คลังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้าครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศให้สามารถรวบรวมข้อมูลและเตรียมความพร้อมที่จะขอการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) พร้อมกับการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนขององค์กร โดยเฉพาะระบบการ Tracking รถขนส่งเพื่อติดตามเส้นทาง พฤติกรรมการขับขี่ และประสิทธิภาพการใช้รถ โดยมีสถานประกอบการผ่านการคัดเลือกจำนวน 25 ราย ซึ่งคาดว่าจะสามารถขยายผลการยกระดับการบริหารจัดการโลจิสติกส์ได้กว่า 206 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 5,848 ตันคาร์บอนต่อปี ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการที่มีความพร้อมที่จะยื่นขอใบรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นต์องค์กร (CFO) จำนวน 5 กิจการ

นางสาวณัฏฐิญา กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ดีพร้อม ขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ ECO Move ระบบขนส่งลดคาร์บอนด้วยโลจิสติกส์เทคโนโลยีตามแนวทาง BCG Model ภายใต้กิจกรรมการพัฒนาและยกระดับกระบวนการผลิตสู่อุตสาหกรรมผลิตภาพสีเขียว (Green Productivity) การให้คำปรึกษาเชิงลึกแก่ผู้ให้บริการโลจิสติกส์สีเขียว (Green Transport) และการอบรมด้าน Green Logistics และมาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) ตาม ISO 14064-1 ผู้ประกอบการสามารถติดตามข่าวสารของ ดีพร้อม ผ่านช่องทาง DIPROM Service (https://customer.diprom.go.th) นอกจากจะลดต้นทุนและลดของเสีย เปลี่ยนต้นทุนเป็นรายได้และกำไร พร้อมสร้างเครือข่ายใหม่ ๆ แล้ว ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรมของประเทศไทย ส่งผลต่อการเข้าถึง มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศได้ไวยิ่งขึ้นอีกด้วย นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย

‘GULF’ จ่อให้บริการ!! ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ ‘สยาม เอไอ’ ประเดิมรายแรก ครึ่งหลังปี 68

(14 ธ.ค. 67) นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2567 บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ จำกัด (GSA DC) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่บริษัทถือหุ้นทางอ้อมในสัดส่วน 40% ผ่านบริษัท กัลฟ์ เอดจ์ จำกัด (Gulf Edge) ได้ลงนามในสัญญาการให้บริการศูนย์ข้อมูล (Data Center) กับบริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (Siam AI) ซึ่งเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เป็นพันธมิตรกับ NVIDIA Corporation หวังหนุนขับเคลื่อน AI Cloud Solutions ในเมืองไทย

สำหรับ การให้บริการศูนย์ข้อมูลกับ Siam AI มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และคาดว่าจะเริ่มให้บริการดังกล่าวได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ภายหลังจาก ‘ธุรกิจศูนย์ข้อมูล GSA DC’ (Data Center) ของกลุ่มบริษัทปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีแผนจะเปิดให้บริการได้ในช่วงเดือนเม.ย. 2568 ซึ่งศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัทมีขนาด 50 เมกะวัตต์ โดยการลงทุนแบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสหนึ่ง มีขนาด 25 เมกะวัตต์ และทยอยเปิดให้บริการเฟส 2 ต่อไป 

ขณะเดียวกัน ระหว่างนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าอีกหลายราย ที่จะให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์โดยมีลูกค้าหลัก ๆ จะเป็นหน่วยงานของภาครัฐและกลุ่ม Hyperscalers Enterprise เช่น สถาบันการเงินและอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น

ขณะที่ ภาคองค์กรธุรกิจที่กำลังขับเคลื่อนเข้าสู่ดิจิทัลทรานฟอร์เมชันโดยการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ และการใช้งานด้าน Artificial Intelligence (AI) เป็นปัจจัยสนับสนุนให้องค์กรในประเทศ และไฮเปอร์สเกลเลอร์ (Hyperscalers) ที่เข้ามาสู่ตลาดในประเทศไทย มีความต้องการจัดเก็บและจัดการข้อมูลมากขึ้น

ทางด้าน ‘ธุรกิจคลาวด์’ (Cloud) ที่บริษัท ได้ร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud air-gapped มีแผนที่จะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ธุรกิจ health care ธุรกิจพลังงาน และสาธารณูปโภค รวมถึงสถาบันทางการเงิน

นอกจากนี้ บริษัทยังมองการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจไปสู่บริการอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งได้แก่ AI และ cybersecurity อีกด้วย โดยผู้ใช้งาน Google Cloud สามารถเลือกที่จะจัดเก็บข้อมูลที่ศูนย์ข้อมูล GSA DC ของบริษัทได้

นางสาวยุพาพิน กล่าวต่อว่า การเปิดบริการศูนย์ข้อมูล DSA DC (data Center) เป็นหนึ่งในแผนงานที่ช่วยหนุนผลประกอบการของบริษัทในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตอย่าง 'ก้าวกระโดด' หลังจากการควบรวมระหว่าง GULF และ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เสร็จสิ้น โดยตามไทม์ไลน์การควบรวบบริษัทระหว่าง GULF และ INTUCH จะสามารถจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) คาดแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2568 

ขณะที่ คาดว่าในไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้รวมยังโตต่อเนื่อง จากโครงการต่าง ๆ ที่เปิดตามแผนโดยโครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา จะเริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มไตรมาสของหน่วยผลิตนี้ในไตรมาส 4 นี้

นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน มีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 5 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 เมกะวัตต์ ในเดือนธ.ค.นี้

ประกอบกับในไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซัน (High season) ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมและโรงไฟฟ้าพลังงานลมภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation ในไทยและโครงการ BKR2 ในเยอรมนี คาดมีผลประกอบการดีขึ้นอีกทั้ง ผลการดำเนินงานของ

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC คาดเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากจำนวนผู้ใช้งานและ ARPU ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ปี 2567 ยังคงคาดการณ์การเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ 25-30% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่จะทยอยเปิด COD ในปีนี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนจำนวนเมกะวัตต์ให้เติบโตอีก 2,700 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ทั้งกำลังผลิตรวมเติบโตเป็น 15,000 เมกะวัตต์

'พิชัย' ถกทูตเกาหลีใต้ เดินหน้าเจรจาจัดทำ FTA ไทย - เกาหลีใต้ ตั้งเป้าปิดดีลในปี 2568 ชวนเปิดตลาดสินค้าเกษตรไทย ดึงดูดนักลงทุนเพิ่มขึ้น

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการพบหารือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย (นายปาร์ค ยงมิน) ณ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเร่งเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ไทย – เกาหลีใต้ ให้ได้ข้อสรุปภายในปี 2568 และรื้อฟื้นการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าที่ห่างหายไปกว่า 20 ปี และกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

นายพิชัย กล่าวว่า ไทยและเกาหลีใต้อยู่ระหว่างเจรจาจัดทำ FTA โดยใช้ชื่อว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ หรือ EPA ไทย – เกาหลีใต้ ซึ่งจะเป็นการต่อยอดการเปิดตลาดการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุนเพิ่มเติมจากความตกลงที่ไทยกับเกาหลีใต้เป็นภาคีร่วมกันอยู่แล้ว ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - เกาหลีใต้ (AKFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) รวมทั้งขยายความร่วมมือในเรื่องใหม่ ๆ เช่น การค้าดิจิทัล และห่วงโซ่การผลิต เป็นต้น โดยตนได้ขอให้เกาหลีใต้พิจารณาเปิดตลาดสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงของไทย อาทิ สินค้ากลุ่มผลไม้เมืองร้อน เช่น มะม่วง มังคุด และสับปะรด กุ้งสดและแปรรูป เนื้อไก่สดและแปรรูป และยังได้แสดงความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเจรจาความตกลง EPA ไทย–เกาหลีใต้ รอบที่ 3 ระหว่างวันที่ 17 – 19 ธันวาคม 2567 นี้ โดยไทยและเกาหลีใต้เห็นพ้องให้มีการรื้อฟื้นกลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า หรือ JTC ระดับรัฐมนตรีที่ห่างหายไปกว่า 20 ปี เพื่อใช้เป็นเวทีหารือแนวทางการส่งเสริมการค้าและการลงทุน ตลอดจนแก้ไขปัญหาอุปสรรคการค้า การลงทุน และอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกัน โดยตนได้แสดงความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JTC ในช่วงต้นปี 2568

นายพิชัย เพิ่มเติมว่า ในด้านการลงทุน ถึงแม้ว่าเกาหลีใต้จะลงทุนในไทยเป็นอันดับ 6 ของอาเซียน แต่ล่าสุด บริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้อยู่ระหว่างเตรียมเข้ามาลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอร์รี่ในประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเครื่องสำอางของเกาหลีใต้เตรียมเข้ามาตั้งโรงงานในไทยอีกด้วย และยังได้ถือโอกาสเชิญชวนนักธุรกิจเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในไทยในอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่น ๆ อาทิ อุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ แผงวงจรพิมพ์ (PCB) การแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล AI ดาต้าเซนเตอร์ เทคโนโลยีหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และคอนเทนต์ ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่เกาหลีใต้มีศักยภาพสูง โดยเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้กล่าวสนับสนุนเนื่องจากปัจจุบันเกาหลีใต้ต้องการกระจายการลงทุนในหลายประเทศมากขึ้น

เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า สถานการณ์ประชาธิปไตยในเกาหลียังมีความมั่นคง สามารถยืนหยัดรักษาต่อไปได้ ขณะที่ รมว. พาณิชย์ก็แสดงความเชื่อมั่นเช่นเดียวกันว่า สถานการณ์ประชาธิปไตยในไทยก็จะมีความมั่นคงเช่นเดียวกับเกาหลี 

ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในปี 2566 เกาหลีใต้เป็นคู่ค้าอันดับ 12 ของไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 14,744 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปเกาหลีใต้ 6,073 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำตาลทราย แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม และไทยนำเข้าจากเกาหลีใต้ 8,671ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. –ต.ค.) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 12,960 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการส่งออก 5,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการนำเข้า 7,920 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขอนแก่น-ยิ่งใหญ่! เทศกาลหนังเมืองแคน ครั้งที่ 8 ส่งท้ายปีด้วยความ 'แซ่บ' ปลุกกระแส Soft Power อีสานสู่เวทีโล

(14 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่น รายงานว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับเครือข่ายภาครัฐและเอกชน จัดพิธีเปิดงาน 'เทศกาลหนังเมืองแคน ครั้งที่ 8' (KAEN FILM FESTIVAL 8th) โดยมี นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายประจวบ รักแพทย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และ รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ รองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรม และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมพิธี ในการนี้มีผู้กำกับชื่อดัง นักแสดงจากไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา คณาจารย์ นักศึกษา และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ที่ ขอนแก่นฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา

รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ กล่าวว่า เทศกาลหนังเมืองแคนครั้งนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. 2568-2571 ที่มุ่งสร้างความเป็นนานาชาติและคุณูปการต่อสังคม “เราไม่เพียงต้องการสร้างพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพ แต่ยังเป็นการวางรากฐานอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในภูมิภาค การจัดงานครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าพลังสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ไม่มีขีดจำกัด เราได้เห็นการผสานศิลปะ วัฒนธรรม และนวัตกรรมเข้าด้วยกันผ่านผลงานของผู้เข้าประกวดทั้ง 84 ทีม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอีสานมีศักยภาพไม่แพ้ภูมิภาคอื่น เทศกาลหนังเมืองแคนจึงไม่ใช่แค่เวทีประกวด แต่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ ผ่านการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และการพัฒนาบุคลากรด้านการผลิตสื่อ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันวงการภาพยนตร์ไทยสู่เวทีโลกต่อไป”

นายประจวบ รักแพทย์ กล่าวว่า จังหวัดขอนแก่นกำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของภาคอีสาน “เทศกาลหนังเมืองแคนไม่ใช่แค่งานฉายหนัง แต่เป็นการปักหมุดขอนแก่นบนแผนที่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ระดับประเทศ สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ และดึงดูดการลงทุนด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์สู่ภูมิภาค ทั้งยังสอดรับกับทิศทางการพัฒนาจังหวัดที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์”

ด้านนางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี กล่าวว่า รัฐบาลกำลังผลักดันนโยบาย Soft Power ผ่าน 5F ซึ่งเทศกาลหนังเมืองแคนตอบโจทย์ทั้งด้าน Film และ Festival “นี่คือตัวอย่างที่ดีของการผสานศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการนำเสนอเอกลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านภาพยนตร์ ซึ่งจะช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมอีสานสู่สายตาชาวโลก”

สำหรับเทศกาลหนังเมืองแคน ครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-12 ธันวาคม 2567 มีกิจกรรมสำคัญประกอบด้วย การประกวดหนังสั้นหัวใจแก่น ภายใต้ธีม 'แซ่บ' ซึ่งมีทีมส่งผลงานเข้าประกวดถึง 84 ทีม และคัดเลือกเหลือ 20 ทีมสุดท้าย กิจกรรม 'เบิ่งฮูปเงาเล่าเรื่องหนัง' จัดฉายภาพยนตร์คุณภาพจากประเทศในอาเซียน ณ ลานวัฒนธรรม หอศิลป์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น การเสวนาด้านภาพยนตร์ 'เก่งนักก็ทำเอง เจ๋งนักก็ดูเอง' และ 'อนาคต…ทางออกของคนทำหนัง' โดยผู้กำกับและผู้เชี่ยวชาญในวงการ ณ โฟกัสอารีน่า ขอนแก่น และห้องประชุมพุทธศิลป์ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น

การจัดงานครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานสำคัญทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม Thailand Creative & Culture Agency (TCCA) และเครือข่ายอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ขอนแก่นก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของภูมิภาค และสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านภาพยนตร์อย่างยั่งยืน

ผู้สนใจสามารถชมภาพกิจกรรมของเทศกาลหนังเมืองแคนได้ทางเพจเฟซบุ๊ก 'เทศกาลหนังเมืองแคน' https://www.facebook.com/share/p/14W9q922vD/

‘สุริยะ’ มั่นใจ!! โครงการแลนด์บริดจ์ ยังไปต่อ เผย!! มีนักลงทุนจากทุกมุมโลก สนใจมาลงทุน

(15 ธ.ค. 67) การพัฒนาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย - อันดามัน (แลนด์บริดจ์) มูลค่าลงทุนสูงถึง 1 ล้านล้านบาท กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2568 หลังจากตลอดทั้งปี 2567 ที่ผ่านมา รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมเดินสายโรดโชว์เชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลก ซึ่งได้การตอบรับเป็นอย่าง โดยเฉพาะกลุ่มสายการเดินเรือขนาดใหญ่ Dubai Port World (DP World) ประสานลงพื้นที่จริงเพื่อประเมินศักยภาพของโครงการแลนด์บริดจ์

‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการแลนด์บริดจ์ โดยระบุว่า ตลอดทั้งปี 2567 ที่ผ่านมา กระทรวงฯ เดินทางไปโรดโชว์เชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลก และตอนนี้ก็มีต่างชาติแสดงความสนใจที่จะมาลงทุนในโครงการ ขั้นตอนระหว่างนี้จึงอยู่ในช่วงของการผลักดันพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ พ.ร.บ. SEC ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดข้อกฎหมายต่างๆ ที่จะมาใช้ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ SEC คล้ายกับ EEC

อย่างไรก็ดี ตอนนี้ต้องรอให้คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน จัดการประชุมเพื่อให้ความเห็นชอบ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดทำร่าง พ.ร.บ.SEC และรายละเอียดของข้อกำหนดกฎหมายต่างๆ พร้อมทั้งเตรียมจัดตั้งหน่วยงานเพื่อกำกับดูแลเขตเศรษฐกิจพิเศษ SEC ต่อไป

นายสุริยะ กล่าวด้วยว่า ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ให้เห็นเป็นรูปธรรม เพราะจะมีการจัดทำ พ.ร.บ.SEC ข้อกำหนดกฎหมายที่ชัดเจน และกระทรวงฯ จะทำควบคู่ไปกับการร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนในการร่วมลงทุนโครงการ (RFP) เพื่อให้มีความพร้อมในการเปิดประมูลทันทีหลังจากที่กฎหมายต่างๆ ผ่านการพิจารณาแล้ว

ทั้งนี้ มั่นใจว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนทั่วโลก และเข้าร่วมการประมูลโครงการนี้ เพราะสัญญาณบวกในช่วงโรดโชว์ที่ผ่านมา มีนักลงทุนสนใจติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติม และประสานลงพื้นที่จริงเพื่อประเมินศักยภาพของโครงการ อาทิ กลุ่มดูไบ จีน และญี่ปุ่น ซึ่งนักลงทุนก็เห็นพร้อมกันว่าโครงการนี้มีศักยภาพ เห็นด้วยกับแผนพัฒนาและรายละเอียดโครงการที่ศึกษาไว้

สำหรับแผนดำเนินงานของโครงการแลนด์บริดจ์ เดิมประเมินว่า พ.ร.บ. SEC และการจัดตั้งสำนักงาน SEC จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/2568 ส่วนออกแบบทางรถไฟ และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) รวมถึงการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และคาดว่าสำนักงานนโยบาย และแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พิจารณา EIA แล้วเสร็จปี 2568

โดยการดำเนินงานส่วนนี้จะสอดคล้องกับการออกแบบท่าเรือ และการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ที่จะแล้วเสร็จภายในปี 2567 และส่งให้ สผ. พิจารณาแล้วเสร็จในปี 2568 หลังจากนั้นจะเริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชน โดยตั้งเป้าจัดทำร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนในการร่วมลงทุนโครงการ (RFP) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 ก่อนที่จะคัดเลือกผู้ลงทุนในไตรมาส 3/2568 จากนั้นจะเสนอ ครม. อนุมัติโครงการในปี 2568

ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญากับผู้ชนะการประกวดราคาได้ในต้นปี 2569 ขณะที่การก่อสร้าง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เริ่มก่อสร้างปี 2569 แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2573 ระยะที่ 2 เริ่มก่อสร้างปี 2574 แล้วเสร็จปลายปี 2577 และระยะที่ 3 เริ่มก่อสร้างปี 2578 แล้วเสร็จปลายปี 2579

สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์มีมูลค่าลงทุนประมาณ 1.001 ล้านล้านบาท จะแบ่งเป็น ท่าเรือฝั่งระนอง 330,810 ล้านบาท ท่าเรือฝั่งชุมพร 305,666 ล้านบาท อีกทั้งยังมีโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อ ได้แก่ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางรถไฟ 358,517 ล้านบาท ส่วนอัตราผลตอบแทนภายในทางการเงิน (FIRR) ที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากโครงการเบื้องต้น เท่ากับ 8.62% โดยมีระยะเวลาคืนทุนปีที่ 24

อีกถึงรายงานของ สนข. ยังพบว่าโครงการแลนด์บริดจ์ จะช่วยทำให้ GDP ของประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประมาณการโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ 4.0% ต่อปี เป็น 5.5% ต่อปี พร้อมทั้ง จะทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ จำนวน 280,000 ตำแหน่ง แบ่งเป็น จ.ระนอง จำนวน 130,000 ตำแหน่ง และ จ.ชุมพร 150,000 ตำแหน่ง

'คอมเปค' ผู้ผลิต PCB เปิดโรงงานผลิตแผงวงจร ตั้งเป้าไทยเป็นฐานผลิตสำคัญ รองรับตลาดโลกโต

(16 ธ.ค. 67) บีโอไอร่วมเปิดโรงงาน "คอมเปค" (compeq) ผู้ผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ยักษ์ใหญ่จากไต้หวัน ลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าผลิตเพื่อรองรับตลาด PCB โลก ขยายตัวสูง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมพิธีเปิดโรงงานผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ของบริษัท คอมเปค (ประเทศไทย) จำกัด ณ นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ว่าอุตสาหกรรม PCB ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ได้รับการลงทุนจากผู้ผลิตรายใหญ่ทั่วโลกอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น

บริษัท คอมเปค (Compeq) ซึ่งเป็นผู้ผลิต PCB อันดับ 5 ของโลกจากไต้หวัน ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเมื่อเดือนธันวาคม 2566 และได้ก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่บนพื้นที่ 112 ไร่ ด้วยเงินลงทุนในเฟสแรก 10,417 ล้านบาท โรงงานได้ติดตั้งเครื่องจักรและพร้อมเดินเครื่องผลิตตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 เป็นต้นไป

ผลิตภัณฑ์หลักของโรงงานคอมเปคในประเทศไทย คือ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ชนิด Multilayer PCB ซึ่งสามารถสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์สูงสุดถึง 34 ชั้นในแผงวงจรเดียว รองรับการผลิตสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น ระบบสื่อสาร ดาวเทียม รถยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ สมาร์ทโฟน และเครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศคิดเป็นกว่า 90% หรือประมาณ 6,600 ล้านบาทต่อปี โรงงานนี้จะจ้างงานบุคลากรไทยจำนวนประมาณ 600 คนในเฟสแรก และคาดว่าจะขยายการจ้างงานเพิ่มเป็น 1,500 คนในปีหน้า

นายนฤตม์กล่าวว่า การลงทุนของคอมเปคในประเทศไทยซึ่งเป็นครั้งแรกนอกไต้หวันและจีน ถือเป็นการยืนยันความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยในการเป็นฐานผลิต PCB ที่สำคัญในอาเซียน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซัพพลายเชนที่รองรับ และบุคลากรที่มีคุณภาพ นอกจากนี้การลงทุนนี้ยังเสริมความเข้มแข็งให้กับซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และสามารถเป็นฐานผลิตสำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงอื่นๆ เช่น EV, Data Center, Digital และ AI ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ของเศรษฐกิจไทยในอนาคต

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2566 - พฤศจิกายน 2567) มีการลงทุนจากผู้ผลิต PCB ชั้นนำจำนวน 107 โครงการ รวมมูลค่าลงทุนกว่า 173,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น รวมถึงการขยายการลงทุนจากกลุ่มผู้ผลิตเดิม เช่น Delta Electronics, Mektec, และ KCE Electronics ซึ่งทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำการผลิต PCB ในอาเซียน และติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก

‘พลังงาน’ จับมือ ‘อุตสาหกรรม’ เพิ่มศักยภาพประเทศ เร่งปลดล็อกอนุมัติด้านไฟฟ้าเร็วขึ้น - หนุนใช้พลังงานสะอาด

(17 ธ.ค. 67) ‘พลังงาน’ เดินเกมรุกจับมือ ‘อุตสาหกรรม’ เร่งปลดล็อกการอนุมัติด้านไฟฟ้าให้เร็วขึ้น หนุนใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในอุตสาหกรรม S-Curve พร้อมผลักดันการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน มุ่งลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และเพิ่มศักยภาพธุรกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม

เปิดมิติใหม่ของการบูรณาการงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งปลดล็อกลดขั้นตอนขออนุญาตด้านไฟฟ้ายกระดับสู่ One Stop Service ชูแนวทางผลักดันเชื้อเพลิงชีวภาพไปสู่อุตสาหกรรมเพิ่มมูลค่ารองรับการยกเลิกอุดหนุน และร่วมผลักดันกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน คิดไกลดูแลเทคโนโลยีพลังงานตั้งแต่ผลิตถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ที่หมดอายุ นำระบบ Big Data ยกระดับการอนุรักษ์พลังงาน พร้อมประสานพลังพลิกโฉมภาคอุตสาหกรรมรองรับพลังงานไฮโดรเจนและการลงทุนจากต่างประเทศ

เมื่อวันที่ (16 ธันวาคม 2567) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งนำโดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมผู้บริหารระดับสูงทั้ง 2 กระทรวง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายสำคัญระหว่างกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ได้แก่

ประเด็นการดำเนินการ One Stop Service การอนุมัติ/อนุญาตด้านไฟฟ้า เพื่อลดขั้นตอนกระบวนการและระยะเวลาการอนุมัติ/อนุญาตด้านไฟฟ้าให้ผู้ประกอบการมีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากขึ้น ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการยกเลิกขั้นตอนขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4 ลำดับที่ 88) จาก พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 แล้ว โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างยกร่างกฎหมายว่าด้วยการยกเลิกใบอนุญาต รง.4 ดังกล่าว รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สำหรับภาคประชาชนที่กระทรวงพลังงานเตรียมส่งเสริมในปีหน้า เพื่อลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น

ที่ประชุมยังมีการหารือประเด็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เชื้อเพลิงชีวภาพในอุตสาหกรรม S-Curve เพื่อเพิ่มมูลค่า เนื่องจากมาตรการชดเชยราคาเชื้อเพลิงชีวภาพจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2569 ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นต้นทางของเอทานอลจะได้รับผลกระทบ กระทรวงพลังงานจึงเตรียมมาตรการเพื่อส่งเสริมการใช้ทดแทนเอทานอลในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมยา เครื่องสำอาง การสกัดสมุนไพร สุราสามทับ พลาสติกชีวภาพ หรือการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง คาดว่าจะสามารถผลักดันให้สามารถจำหน่ายเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นเพื่อชดเชยบางส่วนได้ในทันที ส่วนปริมาณที่เหลือจะหารือเพื่อลดผลกระทบต่อเกษตรกรและเป็นการเพิ่มมูลค่าให้เอทานอลมากขึ้นต่อไป

ในส่วนของไบโอดีเซล จะร่วมกันผลักดันกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน เพื่อสร้างกรอบในการกำหนดทิศทางการใช้ประโยชน์ของปาล์มน้ำมัน พร้อมไปกับการเพิ่มโอกาสนำเชื้อเพลิงชีวภาพให้สามารถผ่านเกณฑ์ความยั่งยืนของสากลเพื่อนำไปผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) รองรับความต้องการที่สูงขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือแนวทางการรับซื้อใบอ้อย/ยอดอ้อยเพื่อผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ประชาชนต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องในฤดูเก็บเกี่ยวอ้อย โดยข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) พบว่า โรงไฟฟ้าชีวมวลสามารถรองรับการใช้ใบอ้อย/ยอดอ้อยในสัดส่วน 10 - 30% พร้อมร่วมพิจารณาการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสมโดยไม่กระทบค่าไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ ซึ่งกระทรวงพลังงานประเมินอัตรารับซื้อโรงไฟฟ้าชีวมวลจากใบอ้อย/ยอดอ้อยอยู่ในระดับ 2.67 บาท/หน่วย ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมรับข้อเสนอและคาดว่าในปีหน้าจะสามารถเพิ่มปริมาณการใช้ใบอ้อยในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นหลังจากดำเนินนโยบายการรับซื้อในราคาที่จูงใจ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ลดการเผาแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งในการลดฝุ่น PM2.5 ได้อีกด้วย

รวมทั้งประเด็นหารือความร่วมมือแนวทางการจัดการแผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ที่หมดอายุใช้งาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วจากการใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านพลังงาน ซึ่งทั้งสองกระทรวงเล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงขอความร่วมมือจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กำกับคุณภาพและความปลอดภัยของแผงโซลาร์เซลล์ และให้ทบทวนมาตรฐานแผงโซลาร์เซลล์ โดยเพิ่มเติมแนวทางการบริหารจัดการแผงโซลาร์เซลล์ให้ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดการแผงที่หมดอายุใช้งานทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน รวมทั้งกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีการร่างกฎหมายและจัดตั้งกองทุนเพื่อบริหารจัดการสำหรับแก้ไขปัญหาและชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากแผงโซลาร์เซลล์ ทั้งนี้กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงาน กกพ. มีฐานข้อมูล ปริมาณการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่ผลิตไฟฟ้าทั้งในระบบและนอกระบบที่สามารถนำไปประเมินปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จากแผงโซลาร์เซลล์ที่หมดอายุในอนาคตได้ รวมทั้งจะร่วมมือพัฒนาส่งเสริมการนำแบตเตอรี่จากยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) มาใช้งานเป็น 2nd Life Battery คือนำไปใช้งานร่วมกับแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน หรือเป็นระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) สำหรับบ้าน อาคาร โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น

ในด้านประเด็นการส่งเสริมการใช้ไฮโดรเจนในภาคอุตสาหกรรมนั้น ตามแผนการพัฒนาการผลิตและการใช้ไฮโดรเจนในภาคพลังงาน ซึ่งเชื่อมโยงกับร่างแผน PDP2024 มีการกำหนดสัดส่วนผสมไฮโดรเจนกับก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนร้อยละ 5 ภายในปี 2573 เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในภาคพลังงาน โดยขอความร่วมมือจากกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันเตรียมการให้โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงพิจารณาแนวทางการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และเครื่องจักร รองรับการใช้เชื้อเพลิงผสมดังกล่าว โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมตามแนวท่อก๊าซธรรมชาติ โดยทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้นี้ เพื่อประเมินความคุ้มค่าทางการเงินและเศรษฐศาสตร์สำหรับการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือถึงการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในภาคอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) อยู่ระหว่างผลักดันการใช้ Factory Energy Code ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก ผ่านการดำเนินนโยบาย BCG พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลโรงงาน เครื่องจักรของอุตสาหกรรม และข้อมูลการใช้พลังงานในโรงงานควบคุมและนอกข่ายควบคุม

“ผมถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้กำกับดูแลทั้งกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งโดยเนื้อหาของงานทั้งในภาคนโยบายและภาคปฏิบัติมีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันอย่างมาก การได้หารือร่วมกับหน่วยงานกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมท่าน เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นมิติใหม่ที่จะสร้างความร่วมมือให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งเป้าหมายที่สำคัญคือการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานทั้งภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมที่ส่งผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน รวมทั้งสร้างความชัดเจนในการพลิกโฉมการบริหารจัดการพลังงานสะอาดและการอนุรักษ์พลังงานในภาคอุตสาหกรรมด้วยมาตรการที่เป็นรูปธรรม ช่วยนำประเทศเข้าใกล้เป้าหมายที่ประกาศจะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2065” นายพีระพันธุ์ กล่าว

ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ กล่าวว่า “รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมได้ทำงานกันอย่างใกล้ชิด โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าที่จะให้ภาคอุตสาหกรรมดัน GDP ของไทยให้เพิ่มขึ้น 1% โดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณ เน้นการเพิ่มมูลค่าในด้านการผลิต ด้านการเกษตร และผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อในการเกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่สำคัญจะต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมแบบมีความรับผิดชอบ และพร้อมที่จะส่งเสริมธุรกิจใหม่อย่างการนำขยะมาสร้างมูลค่า ซึ่งก็ต้องใช้กฎหมายเข้ามาเป็นตัวช่วยผู้ประกอบการไทย ซึ่งจะพยายามดำเนินการให้เสร็จให้เร็วที่สุด”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top