Sunday, 15 December 2024
Econbiz

BOI เผยยอดรวมแผนการลงทุน Data Center-Cloud Service ในไทยทะลุ 1.6 แสนล้านบาท รวมกว่า 46 โครงการ เสริมแกร่งโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล

(2 ต.ค. 67) บีโอไอ ย้ำศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในด้านอุตสาหกรรมดิจิทัล หลังจากที่ Google และบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ทยอยประกาศแผนการลงทุนในไทย โดยเฉพาะในธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ยอดส่งเสริมลงทุนล่าสุด รวม 46 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 1.6 แสนล้านบาท เสริมแกร่งโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ช่วยพัฒนาบุคลากรและผู้ประกอบการ ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ตามที่ Google ได้ประกาศแผนลงทุนสร้าง Data Center และ Cloud Region ในประเทศไทย มูลค่าเงินลงทุนเฟสแรก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 36,000 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลของภูมิภาค จากข้อได้เปรียบในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่ 

1) โครงสร้างพื้นฐานมีคุณภาพสูง ทั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เครือข่าย 5G ระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียร มีศักยภาพด้านพลังงานสะอาด และกฎระเบียบด้านดิจิทัลที่มีมาตรฐานสากล 

2) มีความมั่นคงปลอดภัยและเป็นกลางในเวทีระหว่างประเทศ อีกทั้งทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะศักยภาพในการเป็น Connecting Hub สำหรับกลุ่มประเทศ CLMVT ที่มีประชากรรวมกันกว่า 250 ล้านคน 

3) บุคลากรที่มีคุณภาพและมีทักษะด้านดิจิทัล 

4) ตลาดในประเทศขยายตัวสูง ทั้งดีมานด์จากการยกระดับองค์กรไปสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) การกำหนดนโยบาย Cloud First Policy ของรัฐบาล สัดส่วนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับสูง และประชาชนมีทักษะในการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบดิจิทัล 

5) สิทธิประโยชน์ที่จูงใจ และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคธุรกิจ รวมถึงการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เพื่อดึงดูดบุคลากรทักษะสูงเข้าสู่ประเทศ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการลงทุน Data Center และ Cloud Service ของบริษัทระดับโลก เพื่อรองรับการขยายตัวของ AI และบริการด้านดิจิทัลต่าง ๆ ที่กำลังเติบโตสูงในภูมิภาค

ปัจจุบันมีโครงการ Data Center และ Cloud Service ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ รวม 46 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 167,989 ล้านบาท ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี และระยอง ซึ่งนอกจาก Google ที่ได้ประกาศแผนลงทุนและยื่นคำขอกับบีโอไอแล้ว ยังมีบริษัทชั้นนำระดับโลกได้เข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในประเทศไทยแล้วหลายราย อาทิ 

Amazon Web Service (AWS) ที่ประกาศลงทุนในไทยกว่า 2 แสนล้านบาท ภายในปี 2580 โดยในเฟสแรก ได้ลงทุนสร้าง Data Center แล้ว 3 แห่ง เงินลงทุนกว่า 25,000 ล้านบาท 

โครงการ NextDC จากออสเตรเลีย ลงทุน 13,700 ล้านบาท CtrlS จากอินเดีย ลงทุน 5,000 ล้านบาท STT GDC จากสิงคโปร์ ลงทุน 4,500 ล้านบาท Evolution Data Center จากสิงคโปร์ ลงทุน 4,000 ล้านบาท Supernap (Switch) จากสหรัฐอเมริกา ลงทุน 3,000 ล้านบาท Telehouse จากญี่ปุ่น ลงทุน 2,700 ล้านบาท และ One Asia จากฮ่องกง ลงทุน 2,000 ล้านบาท   

สำหรับธุรกิจการให้บริการคลาวด์ (Cloud Service) มีบริษัทชั้นนำที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก บีโอไอ เช่น Alibaba Cloud ลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท และ Huawei Technologies ลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท นอกจากบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศแล้ว ยังมีผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพสูงอีกหลายรายที่ลงทุนในธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ด้วย เช่น บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์, บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย และบริษัท GSA ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Gulf, Singtel และ AIS   

นอกจากธุรกิจ Data Center และ Cloud Service แล้ว บีโอไอยังส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัลอย่างครบวงจร ทั้งการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล ดิจิทัลคอนเทนต์ และกิจการสนับสนุนระบบนิเวศด้านดิจิทัล เช่น กิจการ Innovation Park, Maker Space หรือ Fabrication Lab และกิจการพัฒนาพื้นที่และระบบ Smart City เป็นต้น 

“Data Center และ Cloud Service ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และจะทำให้เกิดการทำงานประสานกันระหว่างคนและเทคโนโลยี เพื่อสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ประโยชน์ที่คนไทยจะได้รับมีมากมาย โดยเฉพาะการสร้างงานทักษะสูงทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้งช่วยส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น การผลิต การเงิน เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ธุรกิจด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว อีคอมเมิร์ซ และธุรกิจบริการต่าง ๆ ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสเข้าถึงบริการ Cloud ที่มีคุณภาพสูง และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ช่วยเร่งกระบวนการ Digital Transformation และสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจในโลกยุคใหม่ที่จำเป็นต้องมีทั้งความเร็วและความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล รวมทั้งยกระดับไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค” นายนฤตม์ กล่าว

ดีเดย์!! กฎหมายใหม่เริ่มบังคับใช้วันนี้ ซื้อสินค้าออนไลน์ เปิดดูได้ก่อนจ่ายเงิน

รายงานข่าวจาก สภาองค์กรผู้บริโภค ระบุ กฎหมายใหม่บังคับใช้ วันที่ 3 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ผู้บริโภคที่สั่งซื้อของออนไลน์ สามารถเปิดพัสดุเพื่อตรวจสอบสินค้าได้ก่อนจ่ายเงิน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสินค้าไม่ตรงปก รวมถึงการได้รับสินค้าทั้งที่ไม่ได้สั่งได้ สินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ ชำรุดบกพร่อง ไม่ต้องรับ ไม่ต้องจ่าย เว้นแต่กรณีไม่พอใจสินค้า ไม่สามารถคืนได้ 

การปฏิบัติของผู้ประกอบการขนส่ง และสิทธิของผู้บริโภค ดังนี้

ผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งที่เรียกเก็บเงินปลายทาง
1.จัดทำและส่งมอบ จัดทำหลักฐานการรับเงินและส่งมอบให้กับผู้บริโภคทันทีที่ผู้บริโภคชำระเงิน

2.ลงชื่อ พนักงานของผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่เป็นผู้รับเงินและผู้มีอำนาจออกหลักฐานการรับเงินต้องลงชื่อในหลักฐานการรับเงิน

3.ให้สิทธิผู้บริโภคเปิดสินค้าก่อนชำระเงิน หากผู้บริโภคประสงค์เปิดดูสินค้าก่อนชำระเงิน ต้องให้กระทำได้โดยบันทึกหลักฐานเป็นภาพถ่ายวิดีโอ หรืออื่นๆ และให้ผู้บริโภคตรวจสอบสินค้าทางกายภาพ หากพบสินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ หรือสินค้าชำรุดบกพร่อง หรือไม่ได้สั่งซื้อสินค้า สามารถปฏิเสธไม่รับสินค้าและไม่ชำระเงินได้

4.ระยะเวลาถือเงิน ถือเงินค่าสินค้าที่รับมาจากผู้บริโภคเป็นเวลา 5 วัน ก่อนนำเงินไปส่งให้กับผู้ส่งสินค้า

5.รับสินค้าคืน เมื่อได้รับแจ้งขอคืนสินค้าและขอรับเงินคืนจากผู้บริโภคภายใน 5 วัน เนื่องจากสินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ หรือสินค้าชำรุดบกพร่อง หรือไม่ได้สั่งซื้อสินค้า ผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งต้องไปรับสินค้าคืนจากผู้บริโภค ณ สถานที่ส่งมอบสินค้าโดยผู้บริโภคไม่มีค่าใช้จ่าย

6.ตรวจสอบเหตุการแจ้งคืนสินค้า ตรวจสอบสินค้าที่ถูกแจ้งคืน หากพบว่า เป็นไปตามเหตุผลที่ผู้บริโภคแจ้งมาจริง ต้องคืนเงินให้แก่ผู้บริโภคเต็มจำนวน ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และส่งมอบสินค้านั้นคืนให้กับผู้ส่งสินค้า

ด้านผู้บริโภค
1.เปิดสินค้า ต่อหน้าพนักงานขนส่ง พร้อมบันทึกหลักฐานเป็นภาพถ่าย วิดีโอ หรืออื่น ๆ โดยการตรวจสอบทางกายภาพ เช่น ประเภท สี ขนาด จำนวน หากสินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อหรือสินค้าชำรุดบกพร่อง หรือไม่ได้สั่งซื้อสินค้า สามารถปฏิเสธรับสินค้าและไม่ชำระเงินได้

2.คืนสินค้าและขอเงินคืน จากผู้ประกอบธุรกิจในกำหนดเวลา 5 วัน นับแต่วันที่ได้ชำระเงินและรับสินค้า หากสินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ หรือสินค้าชำรุดบกพร่อง หรือไม่ได้สั่งซื้อสินค้า พร้อมบันทึกหลักฐานเป็นภาพถ่าย วิดีโอ หรืออื่นๆ หากเป็นไปตามเหตุจริง จะได้รับเงินค่าสินค้าเต็มจำนวน ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง

3.การปฏิเสธสินค้าทั้งหมด กรณีสินค้าที่สั่งซื้อมีจำนวนมากกว่า 1 ชิ้นต่อหนึ่งกล่องพัสดุ หากปรากฏว่า สินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อหรือสินค้าชำรุดบกพร่อง ผู้บริโภคต้องปฏิเสธการรับ หรือแจ้งคืนสินค้าทั้งหมด รวมถึงของแถมและส่งคืนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ

4.ไม่พอใจสินค้า คืนไม่ได้ ไม่สามารถปฏิเสธไม่รับสินค้าหรือขอเงินคืนจากเหตุไม่พึงพอใจในสินค้า

ทั้งนี้ หากพบปัญหาการใช้สิทธิขอเปิดก่อนจ่าย สามารถร้องเรียนได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ 1166 และสามารถร้องเรียนมาได้ที่ สายด่วนสภาผู้บริโภค 1502

สกนช. ปรับลดเงินชดเชยราคา LPG ลงเหลือ 3.6842 บาท/กก. ขณะที่ภาพรวมบัญชี LPG ยังติดลบ 47,444 ล้านบาท

(3 ต.ค. 67) สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ประกาศปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ บัญชี LPG สำหรับโรงแยกก๊าซฯ เหลือ 6.9943 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมปรับลดเงินชดเชยราคา LPG เหลือ 3.6842 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคา LPG โลกอยู่ที่ระดับ 622.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ขณะที่บัญชี LPG มีเงินไหลเข้า 43.39 ล้านบาทต่อวัน แต่ภาพรวมบัญชี LPG ยังติดลบรวม 47,444 ล้านบาท

รายงานข่าวจากสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ว่า นางไพลิน ฟุ้งเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักการเงินและบัญชี และในฐานะรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ลงนามในประกาศ “การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนจากกองทุน และอัตราเงินชดเชยคืนกองทุนสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)” เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 โดยกำหนดเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในบัญชี LPG ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป

สำหรับประกาศดังกล่าวได้กำหนดให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ส่งเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับ LPG ที่ผลิตในประเทศเพื่อจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิง ในอัตรา 6.9943 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ 7.1798 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ไม่รวมถึง LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯของ บริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด อ.ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร และ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ของ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) อ.กงไกรลาศ จ. สุโขทัย

อย่างไรก็ตามให้ บริษัท ยูเอซี โกลบอลฯ ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ในอัตรา 3.1490 บาทต่อกิโลกรัม ลดลงจากเดิมที่กำหนดให้ส่งเข้า 3.3345 บาทต่อกิโลกรัม

พร้อมกันนี้ได้ปรับลดเงินชดเชยราคา LPG ลงเหลือ 3.6842 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยอยู่ 3.8697 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ไม่รวม LPG จากการแยกก๊าซฯ ที่ซื้อหรือได้จากรัฐ ผู้รับสัมปทาน หรือผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) โดยโรงแยกก๊าซฯ ของ บริษัท ปตท. สผ.สยาม จำกัด

รวมทั้งกำหนดเงินส่งเข้ากองทุนฯ สำหรับ LPG ที่ซื้อหรือได้มาจากโรงแยกก๊าซฯ ของ บริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด ในอัตรา 1.8518 บาทต่อกิโลกรัม

ส่วนกรณี LPG ที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกไปต่างประเทศ ตาม พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 และได้รับเงินชดเชยจากกองทุนฯ แล้ว ให้ส่งเงินชดเชยคืนกองทุนฯ 3.6842 บาทต่อกิโลกรัม

สำหรับปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ บัญชี LPG โดยภาพรวมติดลบอยู่ -47,444 ล้านบาท โดย กบน. กำหนดกรอบวงเงินสำหรับอุดหนุนราคา LPG ได้ไม่เกิน 50,000 ล้านบาท ปัจจุบันกองทุนฯ มีเงินไหลเข้าจาก LPG 43.39 ล้านบาทต่อวัน และใช้ชดเชยราคา LPG อยู่ 37.50 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่ราคา LPG โลกเดือน ต.ค. 2567 อยู่ที่ระดับ 622.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน  

สำหรับประกาศดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่กำหนดนโยบายให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) บริหารกองทุนฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความเสี่ยงกรณีเกิดวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงดังนี้

1.มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้นทุนการจัดหาจากโรงแยกก๊าซฯ ต้นทุนโรงแยกก๊าซฯ ของ ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และต้นทุนโรงแยกก๊าซฯ ของบริษัท ยูเอซี โกลบอลฯ มีราคาสูงกว่านำเข้า 2.มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคา LPG ของตลาดโลกเปลี่ยนแปลงใน 2 สัปดาห์ เฉลี่ยมากกว่า 35 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน 3. มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคา LPG  ในประเทศเปลี่ยนแปลงใน 2 สัปดาห์ รวมกันมากกว่า 1 บาทต่อกิโลกรัม  และ 4. มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคาขายปลีก LPG ในประเทศสูงขึ้นในระดับเกินกว่า 363 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ทั้งนี้เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนหรือชะลอการขาดแคลนภายในประเทศ และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ

'เอกนัฏ' สั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี 35,108 โรงงาน พร้อมเร่งเยียวยา-ฟื้นฟูความเสียหายหลังสถานการณ์ดีขึ้น

(3 ต.ค.67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบการโรงงานในพื้นที่น้ำท่วม เร่งเยียวยาความเสียหายหลังสถานการณ์น้ำดีขึ้น โดยมอบหมายกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ดำเนินการรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริงประกอบการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีโรงงานจำพวกที่ 2 และจำพวกที่ 3 และจากข้อมูลพื้นที่น้ำท่วมใน 57 จังหวัด คาดการณ์ว่าโรงงานจำพวกที่ 2 และ จำพวกที่ 3 ที่จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี จำนวน 35,108 โรงงาน มูลค่ากว่า 176 ล้านบาท

กรอ. ได้จัดทำประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่อง การช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการโรงงาน กรณีโรงงานได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติน้ำท่วม พ.ศ. 2567 ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 สามารถแจ้งข้อมูล ตามแบบแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานและความเสียหายที่โรงงานได้รับจากภัยธรรมชาติน้ำท่วม พ.ศ. 2567 โดยดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้

1.โรงงานที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติน้ำท่วมนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 สามารถแจ้งข้อมูลตั้งแต่บัดนี้ - 31 ตุลาคม 2567
2.ดาวน์โหลดแบบแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานและความเสียหายที่โรงงานได้รับจากภัยธรรมชาติน้ำท่วมพ.ศ.2567ได้ที่ https://www.diw.go.th/webdiw/25092567-01/
3.กรอกแบบแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานและความเสียหายที่โรงงานได้รับจากภัยธรรมชาติน้ำท่วม พ.ศ. 2567
4.กำลังแรงม้าเครื่องจักร / จำนวนคนงาน ต้องกรอกให้ตรงกับ ร.ง.2 หรือ ร.ง.4
5.แนบสำเนา ร.ง.2 หรือ ร.ง.4 พร้อมแนบภาพถ่าย/ข้อมูลความเสียหาย (ถ้ามี)
6.ยื่นเอกสารด้วยตนเอง ณ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่

“การยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่เจ้าของกิจการโรงงาน เป็นหนึ่งในมาตรการให้ความช่วยเหลือ ในการฟื้นฟูกิจการภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย เพื่อให้สามารถพลิกฟื้นจนก้าวเดินต่อได้อย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากวันที่ 31 ตุลาคม 2567 กรอ.จะรวบรวมข้อมูลความเสียหายและตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบการที่มีรายชื่อได้รับการยกเว้น สำหรับผู้ประกอบการที่ชำระค่าธรรมเนียมรายปีในปี 2567 แล้ว จะได้รับการยกเว้นในปี 2568” นายพงศ์พล กล่าวปิดท้าย

'พาณิชย์' ขานรับนโยบาย 'นายกฯ' ชูไทยเป็นคลังอาหารของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เสริมความมั่นคงทางอาหารโลก (Food Security) พร้อม ‘ผลิตสินค้า-เก็บรักษา-ส่งทันที 24 ชม.’ 

'นายพิชัย นริพทะพันธุ์' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุม ACD summit ครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แสดงบทบาทผู้นำของประเทศไทยอย่างยอดเยี่ยม และเป็นที่ชื่นชมของผู้นำต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งมีผู้นำหลายประเทศมาขอร่วมถ่ายภาพด้วย ล่าสุดติดอันดับ 100 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตของนิตยสาร TIME ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์ โดยเสนอว่าในภาวะที่ความไม่สงบและมีความผันผวนในบริเวณกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ที่อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นได้ จึงได้เสนอแนวคิดความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) 

โดยประเทศไทยจะเสนอเป็นประเทศที่จะผลิตอาหารเพื่อจำหน่าย อีกทั้งเก็บรักษาพร้อมส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางทันทีภายใน 24 ชม. หากมีความรุนแรงและความขาดแคลนในอาหารในกลุ่มประเทศดังกล่าว ซึ่งสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าประชาชนในกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางจะไม่ขาดแคลนอาหาร ซึ่งทำให้ประเทศต่างๆให้ความสนใจอย่างมาก เช่น UAE,  Qatar, Kuwait, Oman เป็นต้น โดยประเทศไทยจะสามารถขายสินค้าเกษตร และ อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานและเก็บรักษาในประเทศไทยพร้อมส่งมอบทันทีให้กับประเทศในตะวันออกกลาง

รมว.พาณิชย์ กล่าวต่อไปว่า ท่านนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์​ สานต่อความร่วมมือด้านการสร้างคลังอาหารกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเพื่อรับมือกับความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ต่อไปให้สำเร็จ โดยตนได้มีโอกาสหารือกับรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศโอมาน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและส่งเสริมโอกาสความร่วมมือการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งแสดงความพร้อมของไทยในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพเพื่อเป็นคลังอาหารให้แก่ทั้งสองประเทศเพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร

นอกจากนี้นายพิชัย ได้หารือกับดร.ธานี บินอาเหม็ด อัลเซ ยูดี (Dr. Thani Bin Ahmed Al Zeyoudi) รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยกล่าวว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของไทยในตะวันออกกลาง และไทยได้แสดงความพร้อมและศักยภาพที่จะเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จึงได้เชิญชวนมาลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและสินค้าเกษตรของไทย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังแสดงเจตนารมน์ที่จะสรุปผลการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ยูเออี ในโอกาสแรก

โดย รมว.พาณิชย์ ยังได้หารือกับ ดร. ซาอิด โมฮัมเหม็ด (Dr. Said Mohammed Al-Saqri) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจโอมาน เพื่อพูดคุยหารือแนวทางการขยายการค้าระหว่างกัน ทางฝ่ายโอมานได้ชื่นชมพัฒนาการด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจของไทย และเห็นว่าสองฝ่ายควรร่วมมือกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยฝ่ายโอมานแสดงความสนใจต่อบทบาทการเป็นคลังอาหารให้แก่โอมาน พร้อมทั้งเชิญชวนโอมานเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ฝ่ายโอมานแสดงความประสงค์ที่จะจัดทำความตกลงคุ้มครองการลงทุนระหว่างกันเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนอีกด้วย 

“กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของท่านนายกฯ ซึ่งได้เชิญชวน และแสดงความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นคลังอาหารให้กับประเทศตะวันออกกลาง โดยในการหารือทวิภาคีวงต่าง ๆ ระหว่างผมกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ก็ได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของไทยในการผลิตอาหารและการมีสินค้าฮาลาลคุณภาพสูง โดยประเทศต่าง ๆ มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทย และใช้ไทยเป็นคลังอาหารเพื่อจัดหาและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังประเทศในตะวันออกกลาง เพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร” นายพิชัยกล่าว

‘พันธุ์ไทย’ แจ้งเกิด 'ไทยริกาโน' อเมริกาโนสัญชาติไทย หวังปั้นแบรนด์กาแฟแห่งชาติ ยกระดับกาแฟไทยสู่เวทีโลก

(4 ต.ค.67) กาแฟพันธุ์ไทย ตอกย้ำ Brand DNA เครื่องดื่มหัวใจไทย บันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการกาแฟ เปิดตัว 'ไทยริกาโน' (Thairicano) กาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) สายพันธุ์อาราบิก้า 100% จากแหล่งปลูกที่ดีที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน รับเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่พิถีพิถันกับการดื่มกาแฟ

ชูจุดเด่น รสชาติกลมกล่อม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในราคาเข้าถึงง่าย พร้อมใส่ใจความยั่งยืนทั้งอุตสาหกรรมของกาแฟ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่พันธุ์ไทยตั้งใจให้เป็นกาแฟไทยที่ดีที่สุดสำหรับโลก ทั้งในด้านรสชาติ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน อยู่ดี มีสุข อย่างยั่งยืน 

นางสุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบัน คนนิยมดื่มกาแฟเพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ชอบรสชาติที่หลากหลาย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงคนรุ่นใหม่ยังมีความรู้ ความเข้าใจถึงกรรมวิธีการปลูกกาแฟที่ซับซ้อน และคุณภาพที่แตกต่างกันของกาแฟแต่ละประเภท เทรนด์การดื่มกาแฟที่มีรสชาติอ่อนลง กาแฟคั่วกลาง คั่วอ่อนจึงได้รับความนิยมสูงขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของเดต้าลูกค้าพันธุ์ไทย มีการเลือกสรรรสชาติ และระดับการคั่วมากขึ้น

เมนูขายดีที่สุดของพันธุ์ไทยก็คือ อเมริกาโน เป็นสัดส่วนแบบร้อน 14% และแบบเย็น 86% พันธุ์ไทยจึงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า ให้ตรงใจผู้บริโภค โดยยังคงเอกลักษณ์ของพันธุ์ไทย และยึดมั่นในวิสัยทัศน์ขององค์กร คือการสนับสนุนกาแฟไทย จึงเป็นที่มาของการสร้างสรรค์ ‘ไทยริกาโน’ กาแฟสเปเชียลตี้สัญชาติไทย ที่ตั้งใจให้เป็นกาแฟไทยที่ดีที่สุด ทั้งในแง่ของรสชาติ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน”

‘ไทยริกาโน’ คือ อเมริกาโน ของคนไทย เป็นกาแฟพิเศษ หรือ Specialty Coffee ที่ได้รับการประเมินคุณภาพเมล็ดกาแฟ จากสถาบันกาแฟพิเศษแห่งประเทศไทย (SCITH) โดยต้องผ่านการทดสอบจากนักชิมกาแฟ (Cupper หรือ Q Grader) และได้คะแนน 80 ขึ้นไป

พันธุ์ไทยตั้งใจให้ ‘ไทยริกาโน’ เป็น ‘กาแฟแห่งชาติ’ ที่คนไทยภาคภูมิใจ เพราะกาแฟดี มีคุณภาพ ไม่จําเป็นต้องอิมพอร์ต รสชาติกาแฟไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก สัมผัสรสชาติเฉพาะตัวของไทยริกาโนที่รวบรวมความพิเศษไว้ในแก้วเดียว ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ ดังนี้

กาแฟจากแหล่งปลูกที่ดีที่สุดในไทย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นแหล่งปลูกกาแฟที่ดีที่สุดในภาคเหนือของไทย ด้วยระดับความสูงจากน้ำทะเลตั้งแต่ 1,200 – 2,000 เมตร ทั้งยังมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม ภายใต้ร่มเงาของป่าใหญ่ จึงทำให้ต้นกาแฟงอกงาม เติบโตเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์

เมล็ดกาแฟไทย สายพันธุ์อาราบิก้า 100% เพราะเป็นสายพันธุ์คุณภาพสูง ที่ถูกปากคอกาแฟ ด้วยการคั่วระดับกลาง ที่มอบรสชาตินุ่ม ละมุน กลมกล่อม เพลิดเพลินไปกับรสชาติหลากหลายมิติ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโทนช็อกโกแลต และผลไม้ตระกูลเบอร์รี พีช พรุน กรุ่นกลิ่นหอมของดอกไม้สีขาวอันเป็นเอกลักษณ์

กาแฟที่ถูกคัดสรรเมล็ดพันธุ์อย่างพิถีพิถัน เพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด เพราะทุกเมล็ดในทุกแก้ว ผ่านการคัดสรรอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวเมล็ดจากต้นด้วยมือ การนำเมล็ดลอยน้ำเพื่อคัดแยกเมล็ดเสียออก ไปจนถึงการตรวจสอบเมล็ดด้วยมือและสายตาอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเมล็ดกาแฟที่ได้นั้นสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

พร้อมใส่ใจสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำ เพราะพันธุ์ไทยมุ่งมั่นพัฒนาป่า และภูเขาให้กลายเป็นไร่กาแฟที่อุดมสมบูรณ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยผสานการปลูกกาแฟเข้ากับการอนุรักษ์ป่าไม้ เพื่อผลิตเมล็ดกาแฟดีที่มีคุณภาพ รวมถึงเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“กาแฟพันธุ์ไทย มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ควบคู่กับการสนับสนุนชุมชน และดูแลรักษาธรรมชาติมาอย่างต่อเนื่อง ‘ไทยริกาโน’ จึงเป็นกาแฟสเปเชียลตี้สัญชาติไทย ที่มุ่งหวังให้ผู้บริโภคได้ดื่มด่ำรสชาติพรีเมียมในราคาเข้าถึงได้ พร้อมทั้งมีส่วนช่วยรักษาป่าเดิมและเพิ่มป่าใหม่ เพราะกาแฟเป็นพืชที่ต้องการร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ในการเติบโต ซึ่งการดูแลกาแฟนั้น ยังสามารถช่วยลดการเผาป่าและมลพิษ อันเป็นสาเหตุของวิกฤตภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ยัง ช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาชีพ และรายได้ที่มั่นคง และอยู่ดีมีสุข สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชนได้อย่างยั่งยืน” 

ปลัดกระทรวงพลังงาน เผย การประหยัดไฟคือภูมิคุ้มกันจากราคาพลังงานผันผวน กฟผ. เตรียมติดฉลากเบอร์ 5 เพิ่ม 3 ผลิตภัณฑ์ 'ตู้อบผ้า-ตู้แช่แข็ง-โคมไฟโซลาร์เซลล์'

(4 ต.ค. 67) ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาพื้นฐาน และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมลงนามความร่วมมือโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 พร้อมอบโล่โครงการที่ปรึกษาพลังงาน และโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ณ สำนักงานใหญ่ กฟผ. จ.นนทบุรี เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งสู่พลังงานสะอาดและความเป็นกลางทางคาร์บอน ตามเป้าหมายของประเทศ

ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า โครงการฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นโครงการที่ทั้งกระทรวงพลังงาน และ กฟผ. ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมา 29 ปีแล้ว เป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะด้านการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนและสังคม  และมีชื่อเสียงในระดับโลก 

ท่ามกลางสถานการณ์ Geopolitic ที่ผันผวน ซึ่งทำให้ราคาพลังงานไม่ว่าจะเป็นก๊าซและน้ำมันทั้งระดับโลกและประเทศไทยมีความผันผวน สิ่งที่เป็นภูมิคุ้มกันในการลดผลกระทบจากความผันผวนดังกล่าวได้ดีที่สุด คือการประหยัดพลังงาน 

ซึ่งมีมาตรฐานฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จะสามารถสร้างหรือเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมไทยได้ในอนาคต 

ด้านนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ. ได้ดำเนินงานจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า หรือ DSM ผ่านกลยุทธ์ 3 อ. เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลยุทธ์ 3 อ. ได้แก่ 

อ. ที่ 1 อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ซึ่งปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 แล้ว ทั้งหมด 26 ผลิตภัณฑ์ รวมมากกว่า 502 ฉลาก

อ. ที่ 2 อาคารและอุตสาหกรรมประสิทธิภาพพลังงานสูง

อ. ที่ 3 อุปนิสัยการใช้พลังงานคุ้มค่าและปลอดภัย เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา และภาคที่อยู่อาศัย ใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยมาตรการที่เหมาะสมและคุ้มค่า 

จากกลยุทธ์ในการดำเนินการดังกล่าวของ กฟผ. ส่งผลให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้กว่า 38,000 ล้านหน่วย คิดเป็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 21 ล้านตัน

นอกจากนี้ยังมีการลงนามความร่วมมือ 2 โครงการ คือ 

โครงการที่ 1 คือ โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ปี 2567 ระหว่าง กฟผ. กับผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาและยกระดับอุปกรณ์สู่มาตรฐานประสิทธิภาพสูง ช่วยลดค่าไฟฟ้า และตอบสนองนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ ทดสอบผลิตภัณฑ์เพื่อติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 รวม 40 ราย 3 ผลิตภัณฑ์ คือ 

เครื่องอบผ้า สำหรับอบเพื่อให้เสื้อผ้าแห้งสนิทด้วยความร้อน 

ตู้แช่แข็งฝาทึบ ตู้ที่ทำความเย็นทำให้วัตถุที่แช่แข็งมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง โดยทั่วไปจะทำอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -15 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า สำหรับเก็บรักษาอาหารที่ต้องการเก็บเป็นระยะเวลานาน เช่นไอศกรีม เนื้อสัตว์ หรืออาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง เป็นต้น 

และโคมไฟถนนแอลอีดีเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์ส่องสว่างประสิทธิภาพสูงที่ใช้แหล่งพลังงานจากแสงอาทิตย์สะสมพลังงานด้วยแบตเตอรี่ สำหรับส่องสว่างถนนหรือสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงกลางคืน

และโครงการที่ 2 คือ โครงการความร่วมมือด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษา (โครงการห้องเรียนสีเขียว) ระหว่าง กฟผ. กับ สพฐ. เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือในการส่งต่อองค์ความรู้ ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ แก่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียน มุ่งสู่สังคมแห่งการเรียนรู้สีเขียว (Green Learning Society) ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนในโครงการกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ 

ภายในงาน กฟผ. ได้มอบโล่แสดงความขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมโครงการกับ กฟผ.ในปี 2566 ที่ผ่านมา อาทิ องค์กรที่เข้าร่วมโครงการที่ปรึกษาพลังงาน ผู้เข้าร่วมโครงการบ้านและอาคารเบอร์ 5 ผู้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนเบอร์ 5 และผู้ประกอบการที่ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ใน 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย แผงเซลล์แสงอาทิตย์ โคมไฟถนน อินเวอร์เตอร์ที่ใช้กับระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่เชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศแบบหลายชุด แฟนคอยล์ (VRF)

นายจ้างไม่ปลื้มพนักงาน GenZ ‘ไม่พร้อมทำงาน-สื่อสารแย่’ แต่ยังมีมุมเด่น ‘เก่งดิจิทัล-อยากเป็นเจ้าของกิจการ-กล้าคิดกล้าพูด’

หนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยในโลกการทำงานสมัยนี้คือ วัยทำงานชาว Gen Z มักถูกโดนเหยียดอายุในที่ทำงาน นายจ้างบางบริษัทสะท้อนว่า การทำงานกับพนักงานรุ่นนี้ช่างยากเย็น และในที่สุดพวกเขาก็เลิกจ้างพนักงาน Gen Z ที่เพิ่งเรียนจบใหม่ หลังพวกเขาทำงานได้ไม่กี่เดือน

จากการสำรวจล่าสุดของ Intelligent แพลตฟอร์มช่วยเหลือด้านการทำงานอย่างมืออาชีพให้คนรุ่นใหม่ เปิดเผยความเห็น 6 ใน 10 ของนายจ้างกลุ่มตัวอย่าง ระบุว่า พวกเขาตัดสินใจไล่พนักงานกลุ่ม Gen Z ออกจากงาน ทั้งที่เพิ่งจ้างมาใหม่เมื่อต้นปีนี้ 

นอกจากนี้ 1 ใน 6 ของนายจ้างกลุ่มตัวอย่าง ระบุว่า พวกเขาลังเลที่จะจ้างงานเด็กจบใหม่ ขณะที่เจ้านาย 1 ใน 7 ยอมรับว่าพวกเขาอาจหลีกเลี่ยงไม่จ้างงานเด็กรุ่น Gen Z ที่จบใหม่ในปีหน้า (ผลสำรวจข้างต้นทำการสำรวจผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาเกือบ 1,000 คน) 

นายจ้างไม่ปลื้ม Gen Z เพราะ “ไม่พร้อมทำงาน และไม่เป็นมืออาชีพ” 
รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุถึงเหตุผลที่นายจ้างไม่พอใจพนักงานรุ่น Gen Z เป็นเพราะพวกเขามองว่า วัยทำงานรุ่นใหม่ในปัจจุบันขาดแรงจูงใจหรือความคิดริเริ่ม โดย 50% ของผู้บริหารองค์กรชี้ว่า สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้พนักงานรุ่นใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ยังมองว่าคนรุ่น Gen Z ขาดความเป็นมืออาชีพ ไม่มีระเบียบ และมีทักษะการสื่อสารที่ไม่ดี การมาทำงานและประชุมสายบ่อยครั้ง ไม่สวมเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับที่ทำงาน และการใช้ภาษาที่เหมาะสมกับสถานที่ทำงานฯลฯ สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบการการทำงานจนนายจ้างตัดสินใจไล่พนักงานกลุ่มนี้ออกจากงาน 

อีกทั้ง 50% ของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) กลุ่มตัวอย่าง ก็สะท้อนความเห็นว่า เด็กจบใหม่รุ่น Gen Z ไม่พร้อมสำหรับโลกของการทำงาน และอีกจำนวนหนึ่ง (20%) บอกว่า วัยทำงานรุ่นใหม่ไม่สามารถรับมือกับปริมาณงานได้ สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้เตรียมเด็กให้พร้อมก้าวเข้าสู่โลกการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเริ่มมีมหาวิทยาลัยบางแห่งมองเห็นถึงปัญหาดังกล่าว และได้เร่งแก้ไขด้วยการสอนให้นักศึกษาเตรียมพร้อมสู่การเป็นพนักงาน ตัวอย่างเช่นมหาวิทยาลัย Michigan State ได้เปิดคอร์สสอนนักศึกษาเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับบทสนทนาในการสร้างเครือข่ายด้านอาชีพการงาน รวมไปถึงวิธีการมองหาสัญญาณภาวะเบื่อหน่ายหมดไฟ และสัญญาณของการมองหาหางานใหม่ เป็นต้น

หาก Gen Z อยากมีโอกาสได้งานมากขึ้น ต้องปรับทัศนคติใหม่
นาย ฮุย เหงียน (Huy Nguyen) ที่ปรึกษาหลักด้านการศึกษาและการพัฒนาอาชีพของ Intelligent มีคำแนะนำให้วัยทำงานชาว Gen Z ที่เพิ่งจบใหม่ว่า ลองสังเกตและเรียนรู้วิธีการพูดคุย หรือการมีส่วนร่วมในการทำงานของพนักงานรุ่นพี่ ในที่ทำงาน เพื่อทำความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรในบริษัทที่พวกเขาอยากร่วมงานด้วย แล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม อีกทั้งควรให้ความสำคัญในการฝึกทักษะด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

“จงริเริ่มถามคำถามที่สร้างสรรค์ ขอคำติชม และนำไปใช้ในที่ทำงาน เพื่อแสดงให้หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานเห็นถึงแรงจูงใจที่อยากจะเติบโตในอาชีพการงานของคุณ อีกทั้งควรฝึกการมีทัศนคติเชิงบวก การปฏิบัติตามกำหนดเวลา และอาสาทำงานในโครงการต่างๆ แม้จะอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบโดยตรงของคุณก็ตาม สิ่งนี้จะช่วยให้คุณโดดเด่นและแข็งแกร่งในโลกการทำงาน” เหงียน กล่าวเสริม 
.
ผู้นำองค์กรบางคนยืนกรานว่าทัศนคติเชิงบวกในการทำงาน จะช่วยส่งเสริมอาชีพของคนงานรุ่นใหม่ได้มากกว่าการจบปริญญาตรี

ตามความเห็นของ แอนดี้ แจสซี (Andy Jassy) ซีอีโอคนล่าสุดของ Amazon เขามองว่า ความสำเร็จของหนุ่มสาวในช่วงวัย 20 ปีจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทัศนคติของคุณ เนื่องจากผู้บริหารหรือผู้จัดการในองค์กรส่วนใหญ่ มักชอบทำงานกับคนที่มีทัศนคติเชิงบวกมากกว่า ขณะที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของบริษัท Meta สะท้อนมุมมองว่า พรสวรรค์ในการทำงานและบุคลิกภาพที่เหมาะสม ทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า 

การไล่พนักงาน Gen Z ออก อาจเป็นเรื่องผิดพลาด! 
แม้นายจ้างบางส่วนอยากเลิกจ้างวัยทำงานชาว Gen Z แต่ในอีกมุมหนึ่ง การทำอย่างนั้นอาจเป็นเรื่องผิดพลาด โดย จอย เทย์เลอร์ (Joy Taylor) กรรมการผู้จัดการของบริษัทที่ปรึกษา Alliant อธิบายเรื่องนี้ผ่าน Newsweek ว่า นายจ้างยุคนี้จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับคนรุ่น Gen Z หากไล่พวกเขาออก “นั่นจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่” การดูแลเวิร์กโฟลว์ระหว่างพนักงานทุกรุ่นในองค์กรให้ราบรื่นนั้น มีความสำคัญต่อการรับมือความท้าทายทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2025 ตั้งแต่การวางแผนการสืบทอดตำแหน่ง ไปจนถึงการปรับแนวทางวัฒนธรรมองค์กร 

“ไม่ว่านายจ้างจะชอบหรือไม่ก็ตาม คนรุ่น Gen Z กำลังนำมุมมองแบบ Blue Ocean มาสู่วัฒนธรรมการทำงานยุคใหม่ และการต่อต้านความเปลี่ยนแปลงนี้ แทนที่จะยอมรับและปรับตัว ถือเป็นการทำร้ายบริษัทอย่างมาก ส่งผลให้ผู้นำกลุ่ม Gen X หรือ Baby Boomers จำนวนมากไม่สามารถจัดตั้งองค์กรให้ประสบความสำเร็จและมีความยืดหยุ่นในระยะยาวได้ อีกทั้งยังพลาดโอกาสในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของคนรุ่นใหม่” เทย์เลอร์กล่าว

เทย์เลอร์ บอกอีกว่า วัยทำงานรุ่น Gen Z มีพรสวรรค์บางอย่างที่นายจ้างสามารถเรียนรู้ได้ เช่น ความรู้ด้านดิจิทัล จิตวิญญาณของผู้ประกอบการ และความกล้าคิดกล้าพูด

อย่างไรก็ตาม เทย์เลอร์ มีข้อแนะนำถึงบริษัทต่าง ๆ ว่า การเรียนรู้ที่จะชื่นชมพรสวรรค์และความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของคนทุกเจเนอเรชัน จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ธุรกิจที่สามารถใช้ประโยชน์จากพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ได้ จะเป็นผู้ชนะของสนามธุรกิจในที่สุด

‘ดิ เอราวัณ กรุ๊ป’ ดึง Lapis Hospitality ร่วมทุน ‘ฮ็อป อินน์’ เตรียม Spin-off ธุรกิจ พร้อมลุยขยายโรงแรมเพิ่ม 3 ประเทศ

(5 ต.ค.67) ฮ็อป อินน์ ผู้นำโรงแรมระดับบัดเจ็ทที่ดำเนินงานอยู่ทั่วประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น พร้อมปรับกลยุทธ์เจาะตลาดใหม่ขยายฐานสร้างแบรนด์ระดับสากล ตอกย้ำมาตรฐานเดียวกันทุกที่ทุกประเทศ 'Consistency is Yours' เจาะตลาดนักเดินทางที่มองหาความคุ้มค่าทุกประเภททั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทสัญชาติไทยที่มีสาขามากกว่า 70 โรงแรม จำนวนห้องพักรวมมากกว่า 7,000 ห้อง ครอบคลุม 3 ประเทศ ภายใต้การพัฒนาและบริหารของบริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด ในเครือ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ตอบโจทย์นักเดินทางทุกประเภท ตั้งเป้าขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อย 3 ประเทศใหม่ ในเอเชียแปซิฟิก และเดินหน้าเป็นผู้นำเครือข่ายโรงแรมที่ครอบคลุมมากสุดในไทยมากกว่า 40 จังหวัด พร้อมแผนขยายสาขาในประเทศไทย ฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น เพื่อครองใจและเพิ่มฐานลูกค้า ตั้งเป้ารายได้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี(CAGR) มากกว่า 15% ปักธงในปี 2030 ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก

นางสาวพิชานันท์ บุญพร้อมกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพัฒนาธุรกิจ กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีที่ 10 ของโรงแรมฮ็อป อินน์ ตลอด 10 ปี เราสามารถทำได้ตามแผนทั้งการขยายและการรักษาคุณภาพการบริการ เราตั้งเป้าที่ใหญ่และสำคัญในปี 2030 จะขึ้นเป็นเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก เมื่อต้นปีที่ผ่านมาโรงแรมฮ็อป อินน์ ญี่ปุ่น เปิดให้บริการครบ 4 สาขา ในโตเกียวและเกียวโต โดยได้รับเสียงตอบรับที่ดีและเป็นการสร้างฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น จากหลายประเทศหลากหลายทวีป จึงทำให้เรามั่นใจว่าจะขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อยในอีก 3 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

"เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ฮ็อป อินน์ มีความพร้อมด้านการลงทุนตามแผนขยายระยะยาว แผนการ Spin-off ได้รับการอนุมัติโดยคณะกรรมการ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป  (ERW) มีการแยกส่วนบริหารงานและตั้งเป้าหมายแผนการทำงานของแต่ละปีอย่างชัดเจน ตอนนี้เราได้ Strategic partner คือ Lapis Hospitality Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่บริหารจัดการโดยกองทุน Lombard Asia V, L.P.

เข้าร่วมลงทุน 16.09% ที่ ฮ็อป อินน์ มูลค่า 700 ล้านบาท ซึ่งเป็น Partner ที่มีความสามารถประสบการณ์ด้านการลงทุนทั่วเอเชียแปซิฟิก เป็นการเสริมความพร้อมในการยกระดับโรงแรมฮ็อป อินน์ เพื่อก้าวสู่อันดับหนึ่งในเอเชียแปซิฟิก คาดการณ์ว่าจะยื่นเสนอบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2027 เพื่อให้สามารถนำหุ้นออกเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) เพื่อสนับสนุนแผนขยายงานระยะยาว ” คุณพิชานันท์ กล่าวเพิ่มเติม

ด้านนางสาวนลินี กฤษฎาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบริหารธุรกิจ กล่าวว่า “ฮ็อป อินน์ อยากทำให้ทุกการเดินทางของทุกคนง่ายขึ้น เราตั้งใจทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายทุกขั้นตอน หาง่าย จองง่าย พักสบาย ราคาเข้าถึงได้ เราให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องความสม่ำเสมอในทุกมิติ ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีทั้งก่อนและหลังเข้าพักให้กับลูกค้า เรามีนโยบายที่เป็นเจ้าของและบริหารโรงแรมทั้งหมดเอง เพื่อรักษาคุณภาพให้ได้ 100% ของทั้งเครือ โดย 95% เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ทุกโรงแรมมีความสม่ำเสมอ ทั้งด้านการออกแบบรูปลักษณ์ และมาตรฐานการบริการ ที่ไม่ว่าไปพักที่ประเทศใด สาขาไหน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่เพิ่งเปิด หรือเปิดบริการมา 10 ปี จะได้รับประสบการณ์เดียวกันทุกที่ ที่กล่าวมาข้างต้นมาจากความตั้งใจของทีมงานทุกคน ซึ่งสะท้อนคำมั่นสัญญาตลอด 10 ปี ที่มอบให้กับลูกค้า 'Consistency is Yours' หรือ 'ความสม่ำเสมอเป็นของคุณเสมอ' เราให้บริการลูกค้ามากกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี ทีมงานทุกคนขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่มาเข้าพักกับเรา ฮ็อป อินน์ มีความพร้อมที่จะมอบการบริการที่ดีมีคุณภาพในทุกประเทศที่เราไปขยายและมั่นใจว่าแบรนด์จะเป็นที่ยอมรับในระดับสากล” กล่าวทิ้งท้าย

‘เอกนัฏ’ ปิดช่องนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน สั่งการ!! สมอ.ร่วมกรมศุลฯ คุมเข้มสินค้า ‘กลุ่ม Exempt 5’

(5 ต.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้ามาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐานภายใต้นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมไทย โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดสั่ง สมอ. ร่วมกับกรมศุลกากร ปิดช่องทางการนำเข้าสินค้าที่ สมอ. ควบคุม ที่นำเข้ามาโดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการจำหน่ายและไม่เกินจำนวนที่กำหนด หรือ EXEMPT 5 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน 

นอกจากนี้ ได้เร่งรัดให้ สมอ. หารือกับกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายในการป้องกันและปราบปรามสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ตั้งแต่การนำเข้า ผลิต และจำหน่าย ให้ถึงมือประชาชนด้วยความปลอดภัย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ตนได้มอบให้หน่วยงานในสังกัดเดินหน้าปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย เพื่อรับโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของโลก

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สมอ. ได้ร่วมกับกรมศุลกากร ปิดช่องทาง EXEMPT 5 และเปิดเป็น 'ศูนย์เฉพาะกิจรับแจ้งการนำเข้า' ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเดิม EXEMPT 5 เป็นช่องทางที่อาจมีผู้นำเข้าอาศัยช่องว่างดังกล่าว ลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในประเทศ จึงต้องทำการปิดช่องทางนี้ และเปิดให้มายื่นขอบริการผ่านทางช่องทาง national single window (NSW) แทน ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะนำเข้าสินค้าควบคุมทั้ง 144 รายการ ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใด หรือนำเข้ามาจำนวนเพียงไม่กี่ชิ้นก็ตาม จะต้องยื่นคำขอผ่านระบบ NSW เพื่อแจ้งข้อมูลการนำเข้ากับ สมอ. ทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น สำหรับศูนย์เฉพาะกิจฯ มีผู้ประกอบการและประชาชนเข้ามารับบริการแล้วอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดต่อศูนย์เฉพาะกิจฯ ได้ที่ชั้น 1 สมอ. หรือ โทร. 0 2430 6815 ต่อ 3001 – 3003 ในวันและเวลาราชการ

“ฝากถึงผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ลักลอบนำสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจำหน่าย ไม่ว่าจะช่องทางใด หากตรวจพบ สมอ. จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ สำหรับคำแนะนำประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าให้สังเกตที่มีเครื่องหมาย มอก. คู่กับ QR Code ที่แสดงข้อมูลผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง อย่าดูที่ราคาถูกเพียงอย่างเดียวอาจได้สินค้าด้อยคุณภาพ” เลขาธิการ สมอ. กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top