Saturday, 10 May 2025
Econbiz

‘อ.พงษ์ภาณุ’ วิเคราะห์!! เหตุผลที่รายได้รัฐพลาดเป้า โครงสร้างภาษี-การจัดเก็บล้าสมัย ไม่มีประสิทธิภาพ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'ทำไมรายได้รัฐพลาดเป้า?' เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

การจัดเก็บภาษีอากรพลาดเป้าไป 40,000 ล้านบาทในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 เป็นสัญญาณที่ไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะในภาวะที่รัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายค่อนข้างสูง เพื่อดูแลสังคมและเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำไปกว่านี้ และการคลังยังขาดดุลและหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง

การที่รายได้รัฐต่ำกว่าประมาณการอาจมีสาเหตุหลายประการ…

- ประการแรก เป้าที่ตั้งไว้สูงเกินไปไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง 
- ประการที่สอง ภาวะเศรษฐกิจเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้ 
- และประการสุดท้าย โครงสร้างภาษีและการบริหารการจัดเก็บล้าสมัยและไม่มีประสิทธิภาพ

การตั้งประมาณการรายได้ที่สูงเกินไปมีอันตรายเพราะจะทำให้รัฐบาลโน้มเอียงที่จะตั้งงบประมาณรายจ่ายสูงเกินตัว เมื่อเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าก็จะต้องกู้เงินในจำนวนที่มากกว่าที่วางแผนไว้ ส่วนภาวะเศรษฐกิจเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้อาจอยู่นอกเหนือการควบคุมโดยตรง สำหรับสาเหตุสุดท้ายจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพราะโครงสร้างและการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรไม่ได้รับการปรับปรุงขั้นพื้นฐานมายาวนาน

เริ่มจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเริ่มนำมาใช้เมื่อมีการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ในปี 2535 ได้มีการออกแบบให้มีฐานกว้างและจัดเก็บที่อัตรา 10% แต่ปรากฏว่าฝ่ายการเมืองได้ประกาศลดอัตราลงเหลือ 7% มาตลอด 30 ปี และยังมีการกำหนดรายรับขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษีไว้ที่ระดับสูง ทำให้ฐานภาษีแคบลง นอกจากนี้การซื้อขายสินค้าและบริการแบบออนไลน์ยังทำให้การจัดเก็บรั่วไหลอีกด้วย

ภาษีเงินได้นิติบุคคลยังคงจัดเก็บโดยยึดหลักสถานประกอบการถาวร (Permanent Establishment) ซึ่งเป็นหลักการที่ยึดถือมาเกือบ 100 ปีและอาจไม่สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน ซึ่งธุรกิจสามารถเลือกตั้งถิ่นฐานในประเทศที่มีภาษีต่ำหรือไม่มีภาษี (Tax Heaven) แล้วให้บริการข้ามพรมแดนแบบออนไลน์ โดยที่ประเทศต้นทางที่เป็นแหล่งกำเนิดของรายได้ไม่ได้อะไรเลย

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็มีฐานภาษีที่พรุนไปด้วยรายการยกเว้นลดหย่อนภาษีมากมาย ทำให้รายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เติบโตเร็วเท่าที่ควรจะเป็น ค่าลดหย่อนหลายรายการมีมากเกินความจำเป็นและไม่มีความคุ้มค่า สมควรทีจะมีการทบทวนและพิจารณายกเลิกเพื่ออุดรูรั่วของฐานภาษีและเพื่อสร้างความยุติธรรมระหว่างผู้เสียภาษี

ภาษีสรรพสามิต ซึ่งเริ่มที่จะมีการจัดเก็บตามหลักการภาษีคาร์บอนอยู่บ้างในกรณีสินค้ารถยนต์ แต่ก็มีใช้การลดภาษีสรรพสามิตเพื่อพยุงราคาน้ำมัน ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้ว การอุดหนุนราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นพลังงาน Fossils นอกจากจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาลแล้ว ยังเป็นการดำเนินการที่สวนทางกับประชาคมโลกที่พยายามเปลี่ยนผ่านสู่โลกคาร์บอนต่ำตามความตกลงปารีสอีกด้วย วันนี้ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องจริงจังกับภาษีคาร์บอนได้แล้ว

นับจากการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่เมื่อปี 2535 รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แม้ว่าการปฏิรูปประเทศจะเป็นเหตุผลหลักของการรัฐประหารเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ดังนั้น จึงขอฝากความหวังไว้กับรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ที่จะดำเนินการปฏิรูปภาษีอย่างจริงจังเสียทีเพื่อให้ประเทศไทยกลับเข้าสู่ความสมดุลทางการคลัง

'เพจดัง' ชี้!! มีเศรษฐีรวยเงียบ ที่ 'ไม่มีเกียรติแต่มีกิน' รอให้เก็บภาษีอยู่อีกมาก ในจังหวะรายได้รายเดือน (ไม่สูง) จากคนที่อยู่ในระบบ เป็น 'เดอะแบก'

(8 มิ.ย.67) จากข้อความของเพจ 'คนงาม ฟินเน่' ซึ่งได้โพสต์เนื้อหา ระบุว่า...

อย่าดูถูกกัน!! #ไม่มีเกียรติแต่มีกิน ผมเคยเห็นคนขายก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ ใต้ทางด่วน 
ขายได้วันละ 7-8 พัน เดือนนึงกำไรไม่ถึงแสนก็เฉียดแสนต่อเดือน
ผมเคยเห็นคนขายไส้กรอกย่างชิ้นละบาท
ปั่นซาเล้งขายตอนกลางคืนขายได้วันละ 4-5 พัน  กลางวันขับรถคันเป็นล้านไปจ่ายตลาด
ผมเคยเห็น คนเข็นรถผลไม้
ขายได้วันละ 2-3 พัน แต่ขอโทษกำไรพวกนี้ 70%  เดือนๆ นึง มีเก็บเฉียดแสน
ผมเคยเห็นคนขายส้มตำไก่ย่าง
ขี่มอร์ไซค์พ่วงขายกับเมียสองคน
จอดตามไซด์งานก่อสร้าง จอดตามปั๊มน้ำมัน 
วันนึงมีกลับบ้าน 6-7 พัน กำไรครึ่งนึง เดือนนึงเกือบแสน
ผมเคยเห็นคนขายซูชิ 5 บาทตลาดนัด
ซื้อบ้านเงินสดหลังละ 5 ล้านมาแล้ว
ก็เล่นขายได้วันละ1-2 หมื่น จะซื้อไม่ได้ ได้ยังไง
5 บาทก็จริง เลือกไปเลือกมาคนเดียวเกือบร้อย!
คนเหล่านี้ รวยเงียบๆ
แม้ไม่ได้ใส่สูททำงานห้องแอร์
แต่ขอโทษ...พวกนี้เดือนนึงหาเงินได้มากกว่า
พนักงานทั่วไปถึง 10 เท่า
อย่าได้ดูถูกอาชีพเหล่านี้
อย่าได้ดูถูกคนที่เสื้อผ้า และสิ่งที่เห็น
คนพวกนี้ไม่มีหรอกนะบัตรเครดิต เขามีแต่เงินสด! คนพวกนี้มนุษย์เงินสด มนุษย์เงินล้าน 
ถ้าไม่ดีจริง เขาไม่ทิ้งนามาเข็นผลไม้ขายเต็มกรุงเทพหรอก
อย่าดูถูกกัน!! #ไม่มีเกียรติแต่มีกิน
ขอบคุณบทความ สิริทัศน์ สมเสงี่ยม
ขอบคุณภาพประกอบจาก สะพานใหม่

***ขณะที่เพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ก็ได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อความจากโพสต์ดังกล่าว ในมุมของเหล่าเศรษฐีรวยเงียบ ไว้ด้วยว่า...

เป็นบทความให้พลังบวกที่อ่านแล้วประทับใจมาก…จนอยากให้สรรพากรหาแนวทางเก็บภาษีจากเศรษฐีรวยเงียบเหล่านี้ซักที

กำไรเป็นแสนต่อเดือนแบบนี้ รายได้ต้องระดับสองแสนต่อเดือน แบบนี้ภาษีเงินได้ขั้น 20% ต้องได้สัมผัสแล้วนะ

ประเทศไทยเป็นประเทศที่หากินเงินภาษีจากคนที่อยู่ในระบบเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่ส่วนมากแล้วเป็นพนักงานออฟฟิศ ลูกจ้าง ข้าราชการ ที่รายได้ไม่ได้สูงอะไรมากมาย 

เป็นชนชั้นกลางที่ทำงานทั้งเดือนเพื่อรับเงินเดือนมากินสองอาทิตย์แรกของเดือน

เศรษฐกิจใต้ดิน (Black Market) ระดับ 50-70% ของ GDP ของประเทศไทยนี่คือ เงินภาษีอีกมหาศาล 

มีเศรษฐีรวยเงียบรอให้เก็บภาษีอีกเยอะ

‘รมว.ปุ้ย’ เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หนุนเอสเอ็มอีทั่วไทย บุกตลาดออนไลน์  กดไลค์!! SME D Bank ผนึก TikTok ลุยสอนไลฟ์ขายสินค้า ติดปีกธุรกิจโตก้าวกระโดด

(9 มิ.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน ‘Live commerce กับ TikToker ของแทร่’ Get Started With TikTok จัดโดย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กับ TikTok Thailand  ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า  หนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม คือ สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ หมายถึง รื้อ ลด ปลด สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการให้มากที่สุด และ ‘สร้าง’ สิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ   ซึ่งการเติมความรู้ด้านทำตลาดที่ทันสมัยผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะใช้การไลฟ์ขายสินค้า หรือ Live commerce ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง    ถือเป็นการสร้างมิติใหม่ของการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะรายย่อยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ให้สามารถคว้าโอกาส ผลักดันธุรกิจให้เติบโตก้าวกระโดด จากกำลังซื้อมหาศาลของลูกค้าทั่วโลก ทั้งในและต่างประเทศ นำไปสู่การต่อยอด สร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน  ขณะเดียวกัน ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทยจากฐานราก 

นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย มีความมุ่งมั่นสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผ่านกระบวนการด้าน ‘การเงิน’ ควบคู่กับด้าน ‘การพัฒนา’  ซึ่งการจัดงาน  “Live commerce กับ TikToker ของแทร่” สร้างประโยชน์ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีศักยภาพสามารถจะขยายช่องทางการขายได้อย่างไร้พรมแดนและมีโอกาสสร้างรายได้มหาศาล ซึ่งปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดออนไลน์กว่า 700,000 ล้านบาท และมีเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% ขณะที่ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก

ที่ผ่านมา SME D Bank และ TikTok Thailand จับมือจัดกิจกรรมเติมความรู้ การทำตลาดออนไลน์ให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมาอย่างต่อเนื่อง กระจายในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ  สำหรับการจัดงาน ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ที่รวบรวมคนดังบนโลกออนไลน์ในแพลตฟอร์ม TikTok  หรือ ‘TikToker’ ที่เป็นคนในพื้นที่ กว่า 15 ราย มียอดวิวรวมกันกว่า 10 ล้านวิว เช่น  ฟ้ารุ่ง ยุติธรรม (Miss Thailand Universe 2007) ,  คิตตี้นาตาชา (ทองเพชรเอวSศัลย์), ช่างเถอะ พี่ปี้ เป็นต้น มาถ่ายทอดประสบการณ์ “Live สด ขายสินค้า” อีกทั้ง มีกิจกรรม Workshop แนะนำเทคนิคสร้างคอนเทนต์ให้โดนใจ ช่วยยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เข้าสู่การตลาดยุคดิจิทัล รวมทั้ง มีการออกบูธจำหน่ายสินค้าของดีประจำท้องถิ่นกว่า 30 ราย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ควบคู่กับมีบริการพาเข้าถึงแหล่งทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ 

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมกิจกรรมเสริมศักยภาพธุรกิจจาก SME D Bank ได้ฟรี  รวมถึง ติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th)   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

'3 ฟันเฟือง' เดินเครื่องเศรษฐกิจไทยสะดุดหนัก โจทย์ใหญ่ที่รัฐต้องรีบแก้ไข ก่อนจะถึงทางตัน

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (RSI) เดือนพฤษภาคม ทั้งในปัจจุบัน และอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับลดลงจากเดือนก่อน จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย ที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และมีพฤติกรรมระมัดระวังการใช้จ่าย 

ความกังวลของผู้บริโภค ต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ต้องมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย เลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็น และคุ้มค่ามากขึ้น ประครองเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ภาพอนาคตทางเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน ดัชนีความเชื่อมั่นของฝั่งผู้ประกอบการร้านค้าปลีก ก็ลดลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้

เครื่องจักรหลัก ที่จะช่วยเดินเครื่องเศรษฐกิจ ก็ติดขัด เครื่องจักรตัวแรก 'การส่งออก-นำเข้า' คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ปรับลดตัวเลขประมาณการการขยายตัว เหลือเพียง 0.5-1.5% ลดลงจากที่เคยตั้งเป้าไว้ 3.7% จากช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการค้ากับประเทศจีน เราเสียเปรียบดุลการค้ามาก ในปี 2565-2566 ติดลบถึงปีละ 1.29 ล้านล้านบาท 

สินค้าจีนทะลักเข้ามาขายในประเทศ ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา ธปท. ประมาณการว่า 41% ของธุรกิจค้าปลีก ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด ส่งผลให้ต้องมีการปรับลดราคา เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้

เครื่องจักรตัวที่สอง 'การใช้จ่ายภาครัฐ' การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีของภาครัฐ ยังคงล่าช้า และใช้อย่างจำกัด เนื่องด้วยการต้องรอจัดสรรงบประมาณ ให้กับ ‘โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท’ ส่วนที่สามารถเบิกจ่ายได้ก็เหลือเพียงเล็กน้อย ต่อให้สามารถเข็นโครงการแจกเงินดิจิทัลออกมาได้ ก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด เพราะเม็ดเงินในโครงการ ส่วนใหญ่ก็เป็นเงินงบประมาณภาครัฐประจำปี 2567 และ 2568 ซึ่งเป็นเม็ดเงินตัวเดียวกันที่เตรียมจะมีการเบิกใช้จ่ายอยู่แล้ว

เครื่องจักรตัวที่สาม 'การลงทุนของภาคเอกชน' ข่าวการประกาศปิดตัวโรงงานผลิตรถยนต์ ของ 2 ค่ายญี่ปุ่น รวมทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรมเปิดเผยตัวเลข ไตรมาสแรก ปี 2567 มีโรงงานปิดกิจการสูงถึง 367 แห่ง เป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา (ไตรมาสแรก 2564-2567) พนักงานถูกเลิกจ้างมากถึง 10,066 คน ซึ่งกระทบความเชื่อมั่นในการลงทุนค่อนข้างมาก ต่างประเทศที่จะมาลงทุนโรงงานใหม่ๆ ยังมีไม่มากนัก 

เมื่อ 3 เครื่องจักรหลักที่ใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นอันสะดุด ราคาน้ำมันเริ่มคุมไม่ไหว ดีเซล พุ่งทะยานเกินระดับ 33 บาทต่อลิตร ย่อมกระทบต่อภาคธุรกิจขนส่ง ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ก็ยังอยู่ในภาวะราคาแพง ทีมเศรษฐกิจรัฐบาล การบ้าน เล่มหนามากแล้ว คงต้องเริ่มทยอยส่งการบ้าน ก่อนที่วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ จะ ‘เอาไม่อยู่’

‘สุริยะ’ กำชับทุกหน่วยงานเตรียมแผนรับรอง นทท. ไตรมาส 4 เล็งเพิ่ม ‘เที่ยวบินและเส้นทางรถไฟท่องเที่ยวธรรมชาติ-วัฒนธรรม’

(10 มิ.ย.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปจัดทำแผนรองรับนักท่องเที่ยวในทุกมิติ โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ปลายปี 2567 หรือไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ สอดรับกับมาตรการลดภาษีท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ที่คาดว่า จะมีจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก

*AOT คาด มิ.ย.-พ.ย.ผู้โดยสารทะลุ 60 ล้านคน

นายสุริยะ กล่าวว่า ได้สั่งการให้บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. ไปดำเนินการจัดเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งในส่วนของแผนเพิ่มจำนวนเครื่องบิน และเที่ยวบินให้เพียงพอต่อผู้โดยสารที่จะมาใช้บริการ ครอบคลุมผู้โดยสารระหว่างประเทศและในประเทศที่เดินทางผ่านเข้า-ออกท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่

จากการรายงานของ ทอท. พบว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 มีจำนวนผู้โดยสารเข้า-ออก 6 ท่าอากาศยานรวม 9,503,475 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.08% และมีจำนวนเที่ยวบิน 61,435 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 13.90% ขณะเดียวกัน ทอท. ยังได้คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในช่วงเดือนมิถุนายน - พฤศจิกายน 2567 มีจำนวนผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมจำนวน 60.3 ล้านคน และมีจำนวนเที่ยวบิน 380,000 เที่ยวบิน ดังนั้น เชื่อว่า ในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นด้านการท่องเที่ยว จึงมีแนวโน้มสูงว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ ทอท. จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการบริหารจัดการการให้บริการในท่าอากาศยานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง และบริเวณสายพานรับกระเป๋า รวมทั้งได้นำเทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมด้วย อย่างไรก็ตาม ทอท. ยังได้รายงานว่า ล่าสุด ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ดำเนินการติดตั้ง และทดลองใช้เครื่อง Automated Border Channel (ABC) เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการตรวจหนังสือเดินทางให้มีความคล่องตัวและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นครับ โดยระยะแรกได้ติดตั้งไว้ ณ บริเวณจุดตรวจหนังสือเดินทางขาออกระหว่างประเทศ โซน 2 จำนวน 13 เครื่อง

*รฟท. เพิ่มขบวนนำเที่ยวเส้นทางสายวัฒนธรรม-ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สั่งการให้จัดเตรียมเพิ่มขบวนรถไฟ ทั้งเส้นปกติและขบวนพิเศษ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดเตรียมแผนฯ โดยในเบื้องต้น จะเพิ่มขบวนนำเที่ยวเส้นทางสายวัฒนธรรมของไทย รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เพื่อสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย

จากก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการในหลายเส้นทาง ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในรูปแบบไปเช้า-เย็นกลับ (วันเดย์ทริป) เช่น ขบวนรถไฟนำเที่ยวน้ำตกไทรโยค, ขบวนรถไฟนำเที่ยวสวนสนประดิพัทธ์, ขบวนรถไฟนำเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังจัดรถขบวนพิเศษรถจักรไอน้ำนำเที่ยว ไปเช้า-เย็นกลับในวันสำคัญต่าง ๆ

*รฟม.เตรียมขบวนรถเสริม-ช่องทางพิเศษ

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้จัดทำแผนเตรียมความพร้อมขบวนรถไฟฟ้าและสถานีของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร ทั้ง 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สายสีม่วง, สายสีชมพู และสายสีเหลือง เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ในช่วงไฮซีซั่นไตรมาส 4/2567 เบื้องต้นได้เตรียมขบวนรถเสริมให้บริการในกรณีมีผู้โดยสารหนาแน่น พร้อมทั้ง จัดเตรียมช่องทางพิเศษสำหรับจำหน่ายเหรียญโดยสาร เตรียมไว้ในสถานีที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก

“ผมขอยืนยันว่า กระทรวงคมนาคม และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้การกำกับดูแล พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในทุก ๆ ด้าน และทุกการคมนาคมต้องมีความปลอดภัยในระดับสูงสุด เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยหากทุกหน่วยงานฯ มีความคืบหน้าของแผนรองรับการท่องเที่ยวสำหรับมาตรการลดภาษีท่องเที่ยว สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว จะดำเนินการรายงานต่อประชาชนให้ทราบโดยทันที” นายสุริยะ กล่าว

‘ททท.’ เล็งจีบ ‘4 อินฟลูฯดังของจีน’ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ หวัง กระตุ้นการท่องเที่ยวไทย หลัง ยอด ‘นทท.จีน’ ต่ำกว่าเป้า

(10 มิ.ย. 67) นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวไทยในช่วง 5 เดือนแรกปี 2567 (มกราคม-พฤษภาคม) นักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ บินไม่เกิน 6 ชั่วโมง อย่างตลาดเอเชียได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศต้นทางที่ยังไม่ฟื้น ทำให้เม็ดเงินมีไม่เพียงพอในการออกเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาด จีน ญี่ปุ่น ส่งผลให้แนวโน้มทั้งปีของนักท่องเที่ยวเอเชียโตไม่ถึงเป้าหมายที่คาดไว้ แต่ก็มีหลายตลาดในเอเชียที่ไม่ได้แย่ทั้งหมด เพราะบางประเทศเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ อาทิ สิงคโปร์ ไต้หวัน อินเดีย อินโดนีเซีย โดยประเมินจากสถิติการเดินทางเข้ามาในปัจจุบัน ที่หากแนวโน้มการเดินทางเฉลี่ยต่อเดือนยังสูงกว่าเป้าหมายที่ ททท. คาดการณ์ไว้ มั่นใจว่าจำนวนสะสมทั้งปี 2567 ของตลาดเหล่านี้จะเกินเป้าหมายแน่นอน

นายฉัททันต์ กล่าวว่า มาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ วีซ่าเป็นการถาวรให้กับจีน ถือว่าเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น แต่ด้วยปัจจัยแวดล้อมอื่น อาทิ คู่แข่งการตลาดจากประเทศเพื่อนบ้านที่ร้อนแรงมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวจีนยังโตต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ อย่างจุดหมายปลายทางของภูมิภาคอาเซียน ตอนนี้หลายคนจะพูดถึงตลาดเวียดนามมากกว่าเดิม รวมถึงมีหลายตลาดออกมาตรการกระตุ้นประชากรให้เที่ยวในประเทศ อาทิ รัฐบาลจีน ใส่เงินจำนวนมหาศาล เพื่อกระตุ้นการเดินทางในประเทศให้คนจีนเที่ยวในจีนมากขึ้น ทำให้ช่วงที่ผ่านมา จีนเดินทางออกนอกประเทศน้อยลง รวมทั้งเดินทางมาไทยไม่มากเท่าที่ควรด้วย

“เรามีหลายตลาดที่นักท่องเที่ยวจากประเทศต้นทางเข้ามาเที่ยวมากกว่าที่คาดไว้ อาทิ สิงคโปร์ ไต้หวัน อินเดีย อินโดนีเซีย แต่ต้องยอมรับว่า ประเทศเหล่านั้นไม่ได้สร้างจำนวนนักท่องเที่ยวให้ไทยได้เท่ากับตลาดจีน ญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดอินเดียดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยสถิติล่าสุดไต่ระดับขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 โดยปัจจัยอุปสรรคที่ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวไปไม่ถึงเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้คือ 3.5 ล้านล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากเศรษฐกิจเอเชียยังเติบโตไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ หลายประเทศหันมาใช้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาทิ จีน รัฐบาลจึงต้องกระตุ้นการเดินทางเพิ่มขึ้นผ่านมาตรการต่างๆ เพื่อเดินให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้” นายฉัททันต์ กล่าว

นายชูวิทย์ ศิริเวชกุล ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก ททท. กล่าวว่า หนึ่งในมาตรการที่เตรียมกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย คือ ททท.เตรียมทาบทาม 4 อินฟลูเอนเซอร์ดังของจีนเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่อยู่ระหว่างการทาบทาม เบื้องต้นมีการพูดคุยอยู่ 4 คน คือ จ้าวลู่ซือ (Zhao Lusi) หวังอี้ป๋อ (Wang Yibo) เซียวจ้าน (Xiao Zhan) และไป๋ลู่ (Bai Lu) เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี โดยจะเริ่มคิกออฟตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ ที่จะมีการนำตัวมาสคอต ‘ลาบูบู้ ไทยแลนด์ เอดิชัน’ เข้ามา ต่อด้วยงานหนีห่าวมันท์ ในช่วงเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งตรงกับวันชาติจีน พร้อมเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อสร้างกระแสการเดินทางท่องเที่ยวของชาวจีน และจะมีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นปี 2568 ที่จะมีเทศกาลตรุษจีนและวันครบรอบความสัมพันธ์ไทย-จีนด้วย

นายชูวิทย์ กล่าวว่า ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ต้องยอมรับว่า ยอดนักท่องเที่ยวจีนมีการชะลอตัวลง เพราะเป็นช่วงเดือนที่จะมีการสอบเอนทรานซ์ (เกาเข่า) เป็นการสอบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเด็กนักเรียนจีน ซึ่งโอกาสสอบมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น ผู้ปกครองหรือครอบครัวจะหยุดการเดินทางเพื่อเป็นกำลังใจให้บุตรหลานในช่วงสอบก่อน ในช่วงเดือนกรกฎาคม จะเริ่มเห็นการเดินทางอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะมีการเดินทางเพิ่มขึ้น ไทยต้องเตรียมรับการทะลักเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนหลังจากอั้นการเดินทางไปก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ต้องแล้วแต่มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย

‘บ.ค้าข้าว 8 ราย’ ยื่นประมูลข้าวเก่า 10 ปี จับตา 3-4 ราย กล้าสู้ราคา-พร้อมปิดดีล

(10 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยองค์การคลังสินค้า(อคส.)เปิดให้ยื่นซองเอกสารคุณสมบัติของเอกชนที่สนใจยื่นประมูลข้าวหอมมะลิ 1.5 หมื่นตัน ตามโครงการรับจำนำ ที่มีอายุการเก็บ 10 ปี ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. ปรากฏว่ามีจำนวน 8 ราย ส่งตัวแทนเข้ายื่นซอง ได้แก่

1)บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จังหวัดกำแพงเพชร
2)บริษัท ธนสรร ไรซ์ จังหวัดชัยนาท
3)หจก.อุบลไบโอเกษตร จังหวัดอุบลราชธานี
4)บริษัท อุบลไบโอเอทานอล จำกัด(มหาชน) จังหวัดอุบลราชธานี
5) บริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อา.การเกษตร จังหวัดนครสวรรค์
6) บริษัท ทรัพย์แสงทอง สุพรรณบุรี
7) บริษัท สหธัญ จังหวัดนครปฐม
8) บริษัท บีเอ็นเค การเกษตร 2024 จังหวัดนครสวรรค์

ทั้งนี้ อคส. จะตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้เสนอซื้อและประกาศรายชื่อ ผู้เสนอซื้อที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งผู้เสนอซื้อสามารถตรวจสอบรายชื่อของผู้เสนอซื้อที่มีคุณสมบัติครบถ้วนล่วงหน้าได้ทางเว็บไซต์ www.pwo.co.th ขององค์การคลังสินค้า

จากนั้น ให้ผู้เสนอซื้อที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสามารถยื่นซองเสนอซื้อได้ในวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 12.00 น. ที่อคส.

สำหรับข้าวที่นำมาประมูล มีปริมาณ 15,000 ตัน จากโครงการรับจำนำข้าว ในปี 2556/57 แยกเป็น 1.คลังกิตติชัย หลัง 2 (ข้าวหอมมะลิ 100%) รวม 26,094 ตัน หรือ 258,106 กระสอบจาก 24 โรงสี และได้ระบายข้าวสารแล้ว 3 ครั้ง คงเหลือ 11,656 ตัน หรือ 112,711 กระสอบ 2.คลัง บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 (ข้าวหอมมะลิ 100%) ปริมาณ 9,567 ตัน หรือ 94,637 กระสอบ ซึ่งระบายข้าวสารแล้ว 4 ครั้ง คงเหลือ 3,356 ตัน หรือ 32,879 กระสอบ

แหล่งข่าวในวงการค้าข้าว กล่าวว่า จากดูชื่อบริษัท คาดว่าการร่วมแข่งราคาประมูลในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ที่น่าจะให้ราคาดี 3-4 ร

“ดูจากตัวเลข 8 ราย ที่ยื่นซอง ถือว่าสูงกว่า คาดการณ์” แหล่งข่าว ระบุ

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! ดอกเบี้ยขาลงเริ่มต้นแล้ว หวัง 13 มิ.ย.นี้ 'กนง.' จะไม่ขวางโลกอีกต่อไป

(11 มิ.ย. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้เผยว่า ดอกเบี้ยขาลงเริ่มแล้ว โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank-ECB) ธนาคารแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์, ธนาคารกลางแห่งแคนาดา ทยอยปรับดอกเบี้ยนโยบายลงแห่งละ 0.25% และคาดว่าจะมีธนาคารกลางอีกหลายประเทศประกาศลดดอกเบี้ยตามมา รวมทั้ง Federal Reserve แห่งสหรัฐอเมริกา

ต้องถือว่าเป็นการประสานนโยบายดอกเบี้ยครั้งยิ่งใหญ่ของโลกอีกครั้งหนึ่ง และเป็นจุดหักเห (Turning Point) ครั้งแรกในรอบ 3 ปี เพราะการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ จะช่วยผ่อนคลายนโยบายการเงินและพยุงภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงอย่างชัดเจน ขณะที่เงินเฟ้อทั่วโลกเริ่มอ่อนตัวลงและเข้าใกล้กรอบเงินเฟ้อของธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ แล้ว

สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีความผันผวนทางการเงินมากที่สุดประเทศหนึ่ง และมีเงินเฟ้อติดลบและหลุดกรอบล่างมาเป็นเวลายาวนาน ก็เชื่อมั่นว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะใช้โอกาสของการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งหน้าในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.25% เสียที และประกาศแผนการลดดอกเบี้ยครั้งต่อ ๆ ไป ซึ่งจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างโปร่งใส และถ้าจะให้ดี พร้อม ๆ กับการลดดอกเบี้ย ธปท. ก็ควรจะออกมาแสดง ความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายต่อประชาชนกับความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความผิดพลาดของนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา

ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว ปี 2567 จะเป็นปีทองของการลงทุนไทย หลังจากที่งบประมาณแผ่นดิน 2567 เริ่มมีผลบังคับใช้ ส่วนราชการได้เบิกจ่ายงบลงทุนในเดือนพฤษภาคมเดือนเดียวแล้วกว่า 100,000 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วกว่าเท่าตัว และมีแนวโน้มที่จะมีการเบิกจ่ายงบลงทุนในระดับสูงจนสิ้นปีงบประมาณ งบประมาณแผ่นดินประจำปี 2568 ซึ่งมีวงเงินสูงถึงกว่า 3.7 ล้านล้านบาท ก็จะมุ่งเน้นการยกระดับการลงทุนภาครัฐ มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ โดย บสย. วงเงิน 50,000 ล้านบาท จะช่วยเอื้อให้ธุรกิจขนาดกลางและย่อมเข้าถึงสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ได้ง่ายขึ้น

"นโยบายรัฐบาลมุ่งเน้นการกระตุ้นการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ แล้ว ธปท.ล่ะ จะมัวเพิกเฉยทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองอยู่ได้อย่างไร" อ.พงษ์ภาณุ กล่าว

‘โบลท์’ เผยเทรนด์คนรุ่นใหม่ ‘เน้นเช่ามากกว่าซื้อ’  ไม่ต้องแบกภาระระยะยาว - แรงกดดันทางเศรษฐกิจ

(10 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริการ “Subscription Model” กลายเป็นเทรนด์มาแรงแห่งยุคที่สอดคล้องไปกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ของชิ้นใหญ่ที่เคยถูกให้ความสำคัญในฐานะสินทรัพย์ที่ควรมีไว้ในครอบครอง งานศึกษาทั้งในและต่างประเทศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนรุ่นใหม่เน้นเช่ามากกว่าซื้อ ไม่ต้องการแบกภาระระยะยาว บวกกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ทำให้การใช้ชีวิตแบบปลอดหนี้เป็นคุณค่าที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้น

สอดคล้องกับเทรนด์ที่ ‘โบลท์’ (Bolt) แอปพลิเคชันเรียกรถเจ้าแรกในยุโรป ที่เข้ามาเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่กลางปี 2566 เปิดเผยว่า ขณะนี้เทรนด์การไม่เป็นเจ้าของกำลังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก จากผลสำรวจหลายแห่งพบว่า เหตุผลที่ผู้บริโภคหันมาใช้บริการแอปฯ เรียกรถมากขึ้น เกิดจากมุมมองเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของที่เปลี่ยนไป

จากเดิมที่คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) มองว่า การเป็นเจ้าของสินทรัพย์อย่าง ‘บ้าน’ หรือ ‘รถยนต์’ เป็นสิ่งสำคัญ เปรียบเสมือนเครื่องยืนยันการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ทว่า ปัจจุบันทัศนคติดังกล่าวเปลี่ยนไปแล้ว คนรุ่นใหม่ให้น้ำหนักกับการซื้อประสบการณ์มากกว่าสิ่งของ Gen Z มองว่า การใช้จ่ายเป็นการแสดงออกถึงตัวตน

‘โบลต์’ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้น หนี้สินที่ติดพันต่อเนื่องจากระบบการศึกษา ส่งผลให้เทรนด์การไม่เป็นเจ้าของเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ‘Subscription Model’ จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น หลายแบรนด์ที่หันมาทำการตลาดด้วยโมเดลดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลง วิดีโอ ภาพยนตร์ หรือบริการในรูปแบบอื่นๆ ก็ด้วย

‘ณัฐดนย์ สุขศิริฐานนท์’ ผู้จัดการประจำโบลท์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ‘โบลท์’ มีการขยายช่องทางในการวิ่งงานเพิ่มขึ้นราว 19% ขณะที่สถิติการเรียกใช้บริการผ่านแอปฯ โบลท์นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เพิ่มขึ้นมากถึง 600% ยอดจำนวนผู้ใช้งานโตขึ้นอีก 800% จำนวนรถยนต์ 4 ล้อ ที่ให้บริการผ่านแอปฯ ก็เพิ่มมากขึ้น สอดรับไปกับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นราว 9.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาสำหรับรายได้ของ บริษัท โบลท์ ซัพพอร์ต เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ในปี 2566 พบว่า เติบโตจากปี 2565 พุ่งกระฉูด โกยรายได้กว่า 540 ล้านบาท กำไรสุทธิ 11 ล้านบาท แม้ขณะนี้พื้นที่ให้บริการจะยังไม่ครอบคลุมเท่ากับแอปฯ เรียกรถเจ้าตลาด แต่ก็นับเป็นสัญญาณที่ดีของ ‘โบลท์’ อยู่ไม่น้อย จับตาดูกันต่อไปว่า สมรภูมิที่ห้ำหั่นผ่านสงครามราคาเช่นนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

‘พีระพันธุ์’ ดึง ‘ฉางอาน’ ถ่ายทอดความรู้ 'ยานยนต์-พลังงานยุคใหม่' เสริมแกร่ง 'วิทยาลัยพลังงานแห่งชาติ-ผู้ประกอบการผลิตอะไหล่ไทย'

‘พีระพันธุ์’ ดึง ‘ฉางอาน’ ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านยานยนต์ยุคใหม่  หนุนวิทยาลัยพลังงานแห่งชาติ  เสริมสร้างทักษะแรงงานไทยสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน พร้อมดันไทยเป็น EV Hub ของอาเซียน 

เมื่อไม่นานมานี้ นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีสเอเชีย จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า CHANGAN (ฉางอาน) ได้เข้าพบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านยานยนต์ยุคใหม่ เพื่อสนับสนุนวิทยาลัยพลังงานแห่งชาติ ของกระทรวงพลังงาน รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังกลุ่มผู้ประกอบการผลิตอะไหล่รถยนต์ภายในประเทศ และการจัดหาพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานในอนาคต

นายเซิน ซิงหัว กล่าวว่า "ความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อประเทศไทยไม่เพียงแค่การผลิต และการดำเนินธุรกิจเท่านั้น แต่เรายังทุ่มเทในการมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี และการศึกษาของภาคยานยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งเรามุ่งหวังที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตยานยนต์ที่ยั่งยืนของประเทศ และเสริมสร้างทักษะแรงงานในท้องถิ่นให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้"

ทั้งนี้ ทาง CHANGAN ตั้งเป้าหมายให้ Local Content หรือวัตถุดิบในประเทศของรถยนต์ไฟฟ้า CHANGAN มีสัดส่วนอยู่ที่ 40% และเพิ่มเป็น 80% ภายในปีพ.ศ. 2570 ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยและส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น EV Hub อาเซียนในอนาคตอันใกล้นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top