Monday, 12 May 2025
Econbiz

'อ.พงษ์ภาณุ' มองท่องเที่ยวไทย ภายใต้เศรษฐกิจจีน 'เปราะบาง' ยกเว้นวีซ่า ช่วยได้แค่ไหน แม้ไทยจะเป็นจุดหมายเบอร์ 1

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น การท่องเที่ยวไทย ภายใต้เศรษฐกิจจีน 'เปราะบาง' และการยกเว้นวีซ่า จะช่วยได้จริงหรือไม่? เมื่อวันที่ 15 ต.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

การท่องเที่ยวของไทยปีนี้แม้ว่าจะยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนต้นปีและยังไม่สามารถกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิด 19 ได้ แต่ก็มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ กล่าวคือ 8 เดือนแรกของ 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 12 ล้านคน และอาจจะบรรลุเป้า 30 ล้านคน สร้างรายได้ 1.3 ล้านล้านบาท หากทุกฝ่ายร่วมมือกันเต็มที่

มาตรการยกเว้นวีซ่า (Visa Free) ชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยวจีน ของรัฐบาล จึงได้รับการจับตามองว่าจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้หรือไม่ แต่ต้องถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากทางการจีน โดยเฉพาะในจังหวะที่จีนกำลังเข้าสู่วันหยุด Golden Week เนื่องในวันชาติจีน (1 ตุลาคม) ซึ่งจากผลสำรวจของ Trip.com มักมีชาวจีนกว่า 20 ล้านคนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว และประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ 

ดังนั้น หากนโยบายยกเว้นวีซ่า ประสบความสำเร็จในการดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาในช่วง Golden Week นี้ น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปให้กลับมาคึกคักได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่จีนกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า ก็ยากที่จะด่วนสรุปว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่ 

เพราะตอนนี้ จีนเจอปัญหาหลายด้าน ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในภาวะฟองสบู่แตกกำลังประสบปัญหาหนี้สินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และยากที่จะแก้ไขได้ในเวลารวดเร็ว รวมถึงความขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกาในเชิงภูมิรัฐศาสตร์โลก ก็กำลังซ้ำเติมปัญหาภายในของจีน สะท้อนจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของมูลค่าการส่งออก และการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะที่รัฐบาลจีนเอง ก็ดูจะมีความล่าช้าที่จะใช้นโยบายการคลังและการเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทันการ 

ความเปราะบางของจีนขณะนี้ จึงถือเป็นความเสี่ยงใหญ่ที่อาจกระทบเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ซึ่งจริงๆ ก็กำลังเผชิญอยู่ จนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด...

‘พิมพ์ภัทรา’ ขานรับนโยบายรัฐบาล ยกระดับภาคอุตฯ เสริมแกร่งศักยภาพและมาตรฐาน ‘อุตฯ EV - AI’

เร่งรัดให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จัดทำมาตรฐานในปีงบประมาณ 2567 ที่ตอบโจทย์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยตามนโยบายรัฐบาล และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะมาตรฐานในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ เน้นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ ได้แก่ EV อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมชีวภาพ AI ฮาลาล และ Soft power ซึ่งคาดว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถนำเม็ดเงินมาสู่ภาคอุตสาหกรรมของไทยได้เป็นอย่างดี โดยตั้งเป้าหมายไว้ 600 มาตรฐาน 

ด้าน นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า สมอ. เตรียมขออนุมัติแผนการกำหนดมาตรฐานในปีงบประมาณ 2567 รวม 600 มาตรฐาน ในการประชุมบอร์ด สมอ. ในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2566 ที่สามารถจัดทำมาตรฐานได้ 478 มาตรฐาน ทั้งนี้ ให้เร่งผลักดันมาตรฐานที่เป็นเรื่องเร่งด่วนตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมก่อน เช่น มาตรฐานสถานีชาร์จรถไฟฟ้า สาธารณะ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มาตรฐานอาหารฮาลาล AI เครื่องมือแพทย์ BCG และหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เป็นต้น

“ภายหลังที่บอร์ดให้ความเห็นชอบมาตรฐานที่ สมอ. เสนอแล้ว จะเร่งรัดให้ สมอ. ดำเนินการจัดทำมาตรฐานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมเพื่อก้าวสู่ความเป็นอุตสาหกรรม 4.0 และคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน” นายวันชัยฯ กล่าว

‘พักชำระหนี้เกษตรกร’ นโยบายฮิตใช้โกยคะแนน ชนวนเหตุทำลาย ‘วินัยทางการเงิน’ ของลูกหนี้

หลัง ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้เกษตรกรรายย่อย ตามนโยบายรัฐบาลระยะที่ 1 ย่อมมีเสียงทั้งการสนับสนุน และคัดค้าน ในนโยบายดังกล่าว ว่าจะเป็น ‘การช่วยเหลือ’ อย่างแท้จริง หรือเป็น ‘การซ้ำเติม’ เกษตรกรมากกว่าเดิมกันแน่

มาตรการพักชำระหนี้เกษตรกร ภายใต้หลักการ ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ กำหนดให้มีการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ ธ.ก.ส. ผู้ที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรระยะเวลา 3 ปี โดยมีรายละเอียดมาตรการ ดังนี้

1. มาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล โดยเกษตรกรลูกค้ารายย่อย ธ.ก.ส. จำนวน 2.698 ล้านคน ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้คงเหลือทุกสัญญารวมกัน ณ วันที่ 30 ก.ย.2566 ไม่เกิน 300,000 บาท และมีสถานะเป็นหนี้ปกติและ/หรือเป็นหนี้ค้างชำระ (หนี้ 0-3 เดือน และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPLs) ได้รับสิทธิ์ในการพักชำระหนี้ระยะแรกดำเนินการ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2566 ถึงวันที่ 30 ก.ย.2567

เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ต้องการรับสิทธิ สามารถแสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2566 ถึงวันที่ 31 ม.ค.2567 สำหรับลูกหนี้ที่มีสถานะเป็น NPLs จะสามารถเข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ได้ เมื่อได้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ของ ธ.ก.ส.แล้ว

2. การพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ ธ.ก.ส. ผู้ที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ดังกล่าวภายใต้หลักการ ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระหนี้สินเกษตรกรอย่างบูรณาการ ธ.ก.ส. ร่วมกับส่วนงานราชการและหน่วยงานภายนอกดำเนินการอบรมเกษตรกรคู่ขนานไปกับมาตรการพักชำระหนี้ที่ได้เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรในการนำเงินไปลงทุนปรับเปลี่ยนหรือขยายการประกอบอาชีพ โดยการอบรมอาชีพเกษตรกรจะช่วยฟื้นฟูเกษตรกรให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีศักยภาพ มีความสามารถในการแข่งขัน มุ่งสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมวินัยการเงินซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

นอกจากนี้ เพื่อให้การกำหนดมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการ SMEs เป็นไปอย่างบูรณาการและให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดมาตรการในการพักหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เป็นประธาน โดยคณะทำงานมีอำนาจและหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ และกำหนดมาตรการในการพักชำระหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะในการแก้ไขสถานการณ์หนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการ SMEs

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ‘นโยบายพักชำระหนี้’ จะมีประกาศเป็นนโยบายจากพรรคการเมืองหลาย ๆ พรรค เพื่อที่จะหาเสียงจากกลุ่มเกษตรกร ลูกหนี้รายย่อย ซึ่งนักวิชาการหลาย ๆ ท่าน ก็ได้ให้ความเห็นคล้ายกันว่า นโยบายนี้ จะทำลายวินัยทางการเงินของลูกหนี้ ในวันข้างหน้า และมันก็ค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ๆ มาตลอด

การพักชำระหนี้ ถ้าในแง่เพื่อการส่งเสริมกระตุ้นเศรษฐกิจ การนำเงินที่จะต้องมาชำระหนี้ มาใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ ลงทุนในกิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ ย่อมจะเป็นประโยชน์ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

โครงการพักชำระหนี้ ‘ไม่ได้ห้ามส่งหนี้’ !! หากลูกหนี้ ที่เข้าร่วมโครงการนี้ สามารถที่จะบริการจัดการการเงินอย่างมีวินัยได้ ย่อมจะส่งผลดี และเกิดประโยชน์กับตัวลูกหนี้ได้ ดอกเบี้ยไม่เดิน จัดสรรเงินที่ไม่ต้องส่งชำระหนี้ มาลงทุนให้เกิดรายได้ แล้วแบ่งชำระหนี้บางส่วน จัดสรรใช้จ่าย อย่างเข้มงวด 3 ปี ย่อมบรรเทาภาระ แต่...จากอดีตที่ผ่านมา หากไม่มีอคติ ย่อมมองเห็นได้ว่า ปัจจุบัน มันเริ่มกลายเป็นการเสพติดพักหนี้ ที่ลูกหนี้ เฝ้ารอคอย ในทุกการเลือกตั้ง

‘รัดเกล้า’ ย้ำ!! รัฐฯ ตั้งเป้าลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือน ร้อยละ 80 พร้อมเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายให้ ปชช.

(13 ต.ค. 66) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน ซึ่งกำกับดูแลโดยกระทรวงการคลัง เดินหน้าแก้ไขปัญหา และลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินของประชาชนรายย่อย ตลอดจนให้ความรู้ทางการเงิน และพัฒนากำลังคน เพื่อรองรับการทำงานตามนโยบายรัฐบาลในอนาคต ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายและย้ำถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย แก้ปัญหาหนี้ภาคประชาชน โดยให้ดำเนินการให้ได้เร็วที่สุด

นางรัดเกล้า กล่าวว่า เพื่อเป็นการขานรับนโยบายของรัฐบาล ธนาคารออมสินจึงได้จัด โครงการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันนวมินทรมหาราช วันที่ 13 ตุลาคม 2566 มาตรการแก้ไขหนี้ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อลูกหนี้รายย่อยธนาคารออมสิน เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากการผ่อนชำระ และลูกหนี้บางส่วนที่มีสถานะ NPLs จากผลกระทบดังกล่าว โดยจะเปิดให้เข้าร่วมโครงการได้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2566

สำหรับมาตรการแก้ไขหนี้ดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยสินเชื่อธนาคารออมสิน ด้วยการให้พักชำระเงินต้นและให้ทางเลือกจ่ายดอกเบี้ยตั้งแต่ 25% - 100% แล้วแต่กรณี ตามเงื่อนไขธนาคารและสถานะของลูกหนี้แต่ละรายเมื่อสามารถผ่อนชำระได้ตามเงื่อนไขของมาตรการ ธนาคารจะยกเว้นดอกเบี้ยค้างชำระก่อนเข้ามาตรการให้

รวมถึงลูกหนี้ที่มีสถานะ NPLs อยู่ก่อนวันที่ 30 ธันวาคม 2565 ธนาคารจะชะลอกระบวนการดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่ฟ้อง ไม่ยึดทรัพย์ ไม่ขายทอดตลาด และไม่ฟ้องล้มละลาย แล้วแต่กรณี โดยให้ผ่อนชำระได้สูงสุด 10 ปี และคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษตามเงื่อนไขธนาคาร ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่ประสงค์เข้าร่วมมาตรการ สามารถติดต่อธนาคารออมสินสาขาเจ้าของบัญชีเงินกู้ หรือสาขาที่สะดวกได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2566

“รัฐบาลผลักดันนโยบายไปสู่การดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา พลิกฟื้นเศรษฐกิจ และยกระดับชีวิตประชาชน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเตรียมความพร้อมดำเนินมาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดและยั่งยืน ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนคลี่คลายขึ้นได้ในระยะต่อไปโดยมีเป้าหมายที่จะลดหนี้ภาพรวมให้ลดลงอยู่ในระดับที่ยั่งยืน หรือต่ำกว่า 80% ต่อจีดีพี” นางรัดเกล้า กล่าว

'สุกี้ตี๋น้อย' ปั้นแบรนด์ใหม่ 'Teenoi Express' ฝ่าดงหม่าล่าเกลื่อน ปักหมุด 'เมเจอร์รัชโยธิน' สาขาแรก 1 พ.ย.นี้ ราคาเดียว 439 บาท

เมื่อวานนี้ (13 ต.ค.66) เปิดเกมรุกบุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์สุกี้ชื่อดัง โดยบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด

มีสโลแกน ‘อร่อยไม่อั้น เที่ยงวันยันเช้า’ ในราคา 219 บาท ทำให้ฮิตติดลม จนแตกแขนงหลายสาขาทั้งกรุงเทพ ปริมณฑล ล่าสุดเริ่มบุกต่างจังหวัดแล้ว

ขณะที่รายได้เรียกว่าแม้จะเปิดตัวในปี 2562 หรือเพียงระยะเวลาแค่ 5 ปี แต่ก็สร้างรายได้เติบโตต่อเนื่อง

ปี 2562 มีรายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท, ปี 2563 มีรายได้ 1,223 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท, ปี 2564 มีรายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท และปี 2565 มีรายได้พุ่งทะยาน 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท

ส่วนปี 2566 น่าจับตาเส้นทางการเติบโตทั้งรายได้และกำไร หลัง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ปิดดีลความร่วมมือกับ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ที่เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 30% คิดเป็นเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท และทำให้กิจการสุกี้ตี๋น้อยมีมูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท โดยปีนี้วางแผนเปิด 12 สาขา

ล่าสุดออกแบรนด์ใหม่ ‘Teenoi Express’ (ตี๋น้อย เอ็กซ์เพรส) สุกี้ บุฟเฟต์ อร่อยไม่อั้น ราคาเดียว 439 บาท รวมเครื่องดื่มและของหวาน ครบจบที่เดียว พร้อมเปิดให้บริการวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 นี้ ที่ ‘อเวนิว เมเจอร์ รัชโยธิน’

มีเมนูไฮไลต์ เนื้อวากิวออสเตรเลีย บริสเกต MB 6, เนื้อ Rib Eye นิวซีแลนด์, เนื้อ Oyster Blade ออสเตรเลีย, ลิ้นวัว อาร์เจนตินา, ลูกชิ้นกุ้งปั้นสด, ปลาหมึกกระดอง, กุ้งแก้ว, เต้าหู้ม้วนทอด, ไส้เป็ด, ไส้อ่อน, เซี่ยงจี๊ และอื่นๆ อีกมากกว่า 50 รายการ

ส่วนน้ำซุป-น้ำจิ้ม เป็นสูตรซิกเนเจอร์ ไม่ว่าน้ำซุปหม่าล่า, น้ำซุปดำ, น้ำซุปกระดูกหมูทงคัตสึ, น้ำซุปเห็ดหอม และน้ำซุปต้มยำ

ด้านของหวาน มีวาฟเฟิลราดซอสช็อกโกแลต/สตรอเบอร์รี่ + ไอศกรีมวานิลลา ช็อก ชิป,ไอศกรีม พร้อมของทานเล่น

เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ หลังสร้างความฮือฮาเปิดตัวโปรเจกต์ใหม่ ‘ข้าวแกง ตี๋น้อยปันสุข’ ในราคาเริ่มต้น 39 บาท ที่สาขาเลียบทางด่วน 1 และ ‘ตี๋น้อย ป็อปอัพ คาเฟ่’ สาขาสยามสแควร์ซอย 2

คงต้องจับตาการบุกตลาดพรีเมียมครั้งแรกของ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ หลังทำตลาดมาแมส ที่ราคาเข้าถึงง่าย ใครๆ ก็กินได้ มานานหลายปี จะมีเสียงตอบรับมากน้อยขนาดไหน 

‘รัฐบาล’ กำชับพาณิชย์คุมเข้ม ‘ราคาสินค้า-ปริมาณ’ ป้องกันปชช.ถูกเอาเปรียบ ในช่วงเทศกาลกินเจ

(14 ต.ค.66) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เทศกาลกินเจของทุกปีจะเป็นช่วงที่ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมายังมีผู้ประกอบการบางรายเอาเปรียบผู้บริโภค ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า โดยคาดว่าในปีเทศกาลกินเจ ระหว่างวันที่ 15 - 23 ตุลาคม 2566 จะคึกคัก มีประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้า และทำบุญมากยิ่งขึ้น รัฐบาลห่วงใยปัญหาสุขภาพของประชาชน มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพดี เชิญชวนประชาชนลดการกินเค็มในทุกเมนูเจเพื่อสุขภาพที่ดี ตลอดช่วงเทศกาลกินเจ ประจำปี 2566 ขอให้รับประทานอาหารให้ได้สารอาหาร 5 หมู่ แนะนำให้ประชากรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,300 มก.ต่อวัน เพื่อช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้ถึง 20% โดยตั้งเป้าหมายลดพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมของคนไทยลง 30% ภายในปี 2568

นายคารม กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลเรื่องราคาสินค้า พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการค้าขายในราคาที่เป็นธรรม” โดยกรมการค้าภายใน ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สายตรวจ ออกตรวจสอบตลาด และแหล่งจำหน่ายวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารเจอย่างใกล้ชิด เพื่อกำกับดูแลพฤติกรรมทางการค้า สถานการณ์ด้านราคาและปริมาณ ตลอดจนการปิดป้ายแสดงราคาจำหน่าย เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าและเอาเปรียบผู้บริโภค ในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้ 

“สำหรับประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้าและบริการ หรือพบเห็นพฤติกรรมที่เอาเปรียบผู้บริโภคสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ หากพบการกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคามีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท กรณีจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธการจำหน่ายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นายคารม กล่าว

‘รัฐบาล’ ขอบคุณ ‘นทท.จีน’ ที่เชื่อมั่น ยืนยันมาไทยเกือบ 6 แสนคน หลังเกิดเหตุกราดยิง สัญญาจะคุมเข้มดูแลความปลอดภัยเต็มที่

(14 ต.ค.66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลขอบคุณความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวยังคงยืนยันเที่ยวบินและที่พักถึง 5.9 แสนคน รัฐบาลให้สัญญาจะดำเนินมาตรการ ดูแลความปลอดภัย แก่นักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยตัวเลขจากการท่าอากาศยานไทยแสดงว่านักท่องเที่ยวจีนที่จองการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย 6.5 แสนคน ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่สยามพารากอน ยังคงยืนยันที่พัก และเที่ยวบินมาที่ไทยถึง 5.9 แสนคน ลดน้อยลงเพียง 9.2% ซึ่งถือว่าเป็นความเบี่ยงเบนที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงสะท้อนได้ว่านักท่องเที่ยวจีนยังคงมีความเชื่อมั่นที่จะมาเที่ยวเมืองไทยเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า เมื่อเทียบกับภาวะปกติที่ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวจริงจะแตกต่างจากจำนวนที่จองเข้ามาล่วงหน้าราวๆ +-15% ดังนั้นจึงถือได้ว่า ความแตกต่างของตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวไทยก่อนและหลังเหตุการณ์ที่สยามพารากอนมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ในเกณฑ์ปกติ สะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวจีนยังคงมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย และยืนยันที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยเช่นเดิม

“รัฐบาลไทยขอขอบคุณนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าใจประเทศไทย และเชื่อมั่นในรัฐบาลไทย โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้สั่งการกำชับการทำงานให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการที่ยกมาตรฐานขึ้นอย่างดีที่สุด เพื่อดูแลนักท่องเที่ยว รวมทั้งเพื่อดูแลพี่น้องคนไทยทุกคน” นายชัย กล่าว

‘ECOT’ จับมือ ‘ICDL’ เดินหน้ายกระดับศักยภาพให้นายจ้าง-ลูกจ้าง เพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล-เท่าทันโลกยุคใหม่ มุ่งสู่ ‘ไทยแลนด์ 4.0’

(15 ต.ค. 66) สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย หรือ ‘ECOT’ โดยนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภาฯ จับมือ สถาบันพัฒนาและทดสอบทักษะด้านดิจิทัล หรือ ‘ICDL Thailand’ โดย Dr.Hugh O' Connell กรรมการผู้จัดการ ยกระดับสมรรถนะดิจิทัลให้เจ้าของธุรกิจ หรือ นายจ้างและลูกจ้างอยู่ในระดับมาตรฐานสากลและเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

นายเอกสิทธิ์ กล่าวว่า  ECOT ต้องหลอมรวมศักยภาพและทรัพยากร เพื่อร่วมกันยกระดับและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้องค์กรธุรกิจและบุคลากรของประเทศ มีสมรรถนะที่เหมาะสมกับการทำงานในยุคดิจิทัลและบรรลุถึงการเป็นไทยแลนด์ 4.0 ด้วยยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคมด้านการพัฒนาความสามารถด้านการใช้ดิจิทัล (Digital Literacy)

สำหรับการลงนามนั้น มีผู้บริหารของทั้งสององค์กร รวมถึงภาคี เข้าร่วม เช่น คุณจุลลดา มีจุล รักษาการผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ คุณสุปรีย์ ทองเพชร ประธาน สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย คุณกฤษฏิ์กัญญา กานต์จิรธันย์ Executive Director, ICDL Thailand พล.อ.ต.ศ.ดร.ประสงค์ ปราณีตพลกรัง ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ คุณสิริวัน ร่มฉัตรทอง เลขาธิการ ECOT ดร.ภูชิสส์ ศรีเจริญ รองประธานอาวุโสสภา SMEs

‘ศาลปกครองกลาง’ สั่งระงับซื้อไฟฟ้าพลังงานลม 1,500 MW หลังบริษัทย่อยกลุ่ม EA ร้องคำสั่ง กกพ. ไม่โปร่งใส-ยุติธรรม

(16 ต.ค. 66) ศาลปกครองมีคำสั่งระงับรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ในกลุ่มพลังงานลม ขนาด 1,500 เมกะวัตต์ เป็นการชั่วคราว หลังจากบริษัทย่อยของ EA ร้อง กกพ. ออกคำสั่งโดยอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่โปร่งใส และยุติธรรม  

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2566 บริษัท วินด์ ขอนแก่น 2 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ EA ในฐานะผู้ฟ้องคดี ได้ร้องคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เกี่ยวกับ การออกคำสั่งโดยอาจไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย ไม่โปร่งใส และยุติธรรม ต่อศาลปกครองกลาง

โดยสาระสำคัญที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งทางการปกครองไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ซึ่งศาลได้แถลงไว้ ดังนี้

“ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ยังไม่ได้แจ้งเหตุผลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทราบ โดยเฉพาะเกณฑ์การประเมินหรือการกำหนดคะแนนความพร้อมทางด้านเทคนิคด้านต่าง ๆ ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าตามระเบียบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2”

“ข้อเท็จจริงไม่มีการประกาศหรือกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินคะแนนความพร้อมทางเทคนิคด้านต่าง ๆ ให้ผู้อื่นขอผลิตไฟฟ้าทราบแต่อย่างใด อันทำให้เป็นการใช้ดุลพินิจของคณะอนุกรรมการคัดเลือกโดยแท้ซึ่งจะทำให้ขาดความโปร่งใสและเป็นธรรมแก่ผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้า”

“ผู้ฟ้องคดีเองได้ขอทราบคะแนนการประเมินของคณะอนุกรรมการก็ไม่ได้รับการชี้แจงหรือ แจ้งผลใด จากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงมีปัญหาว่าการพิจารณาและการประเมินให้น้ำหนักคะแนนของคณะอนุกรรมการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นการไม่ดำเนินการตามรูปแบบ ขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ ตามที่หลักเกณฑ์กำหนดกระบวนการคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้า”

“เมื่อคณะอนุกรรมการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กำหนดหลักเกณฑ์การให้น้ำหนักคะแนนความพร้อมทางเทคนิค แต่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงอาจมีการใช้ดุลพินิจ ตามอำเภอใจ โดยปราศจากหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและตรวจสอบได้”

“ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ก็ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการดังกล่าวเป็นผู้พิจารณาประเมินคะแนนความพร้อมทางเทคนิคในแต่ละด้านและยังให้คณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวเป็นผู้พิจารณา คัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อเสนอความเห็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พิจารณาให้ความเห็นชอบด้วย อันมีสภาพร้ายแรงอันอาจจะทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางอีกด้วย”

จากกรณีดังกล่าว จึงทำให้ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งทุเลาการบังคับมติของ กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 17/2566 (ครั้งที่ 845) เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 ที่พิจารณาเห็นชอบผลการคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าจำนวน 175 ราย เฉพาะในส่วนที่ไม่มีรายชื่อผู้ขอฟ้องคดีและทุเลาการบังคับตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่องรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ได้รับคัดเลือกตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี พ.ศ. 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 ลงวันที่ 5 เมษายน 2566 สำหรับพลังงานลมจำนวน 22 ราย ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง เป็นอย่างอื่นเนื่องจากการดำเนินการตามประกาศดังกล่าว ในเบื้องต้นน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับ ความชอบด้วยกฎหมาย

ครม.อนุมัติค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย  ประเดิม!! 'สายสีแดง-สายสีม่วง' คิกออฟบ่ายนี้  

(16 ต.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ประเดิมที่สายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต, บางซื่อ-ตลิ่งชัน) และสายสีม่วง (เตาปูน-บางไผ่) โดยรัฐบาลต้องใช้งบอุดหนุนปีละ 130 ล้านบาท 

ขณะที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะไปเป็นประธานพิธีเปิดที่สถานีกลางบางซื่อ หรือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อใช้ทันที เริ่มบ่ายวันนี้ (16 ต.ค.66)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top