Thursday, 15 May 2025
Econbiz

‘ชินวัตร’ ขายที่ดินย่านลาดหญ้า 22 แปลง ให้ ‘เอสซีฯ’ รองรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เพื่อต่อยอดอสังหาฯ

ครอบครัวชินวัตร ขายที่ดินย่านลาดหญ้า 22 แปลง ให้ SC มูลค่า 1,239 ล้าน พัฒนาคอนโด
เมื่อวันที่ (17 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทให้นำวาระบริษัท เอสซี แอสเสท โฟร์ จำกัด (SC FOUR ) เป็นบริษัทย่อยของเอสชีที่มีแผนจะเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจำนวน 22 แปลง พื้นที่รวม 4 ไร่ 3 งาน 36.3 ตารางวา หรือ 1,936.3 ตารางวา มูลค่ารวม 1,239.23 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนลาดหญ้า จากบริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (RENDE) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวโยงกันกับบริษัท เพื่อนำที่ดินมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ตามแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 พิจารณาอนุมัติในวันที่ 19 เมษายน 2566

อย่างไรก็ตามเนื่องจากบริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (RENDE) ผู้ขายเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวโยงกันกับบริษัท การเข้าทำรายการดังกล่าว จะต้องขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเอสซี ซึ่งต้องได้รับคะแนนเสียงอนุมัติไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน โดยไม่นับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย และภายหลังได้รับอนุมัติจะเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายในเดือนพฤษภาคมนี้

โดยผู้ซื้อบริษัท เอสซี แอสเสท โฟร์ จำกัด กับผู้ขายบริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด มีความสัมพันธ์ ดังนี้ 

1. SC FOUR เป็นบริษัทย่อยของบริษัทโดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทถือหุ้น SC FOUR ในสัดส่วนร้อยละ 99.99 
2. ครอบครัวชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 60.29 ของทุนที่ชำระแล้ว และเป็นผู้มีอำนาจควบคุมกิจการ
3. ครอบครัวชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน RENDE ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 100 ของทุนที่ชำระแล้ว 
4. นายณัฐพรศ์ คุณากรวงศ์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานกรรมการของบริษัทและดำรงตำแหน่งกรรมการของ SC FOUR และเป็นสามีของนางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งถือหุ้นในบริษัทจำนวน 1,176,915,495 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 27.80 และถือหุ้นใน RENDE จำนวน 138,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30

การเข้าทำรายการซื้อที่ดินในครั้งนี้ จะทำให้ SC FOUR ได้ที่ดินเปล่าในบริเวณถนนลาดหญ้าขนาดพื้นที่ 4-3-36.3 ไร่ รวมกับที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ SC FOUR ขนาดพื้นที่ 0-3-10.9 ไร่ รวมเป็น 5-247.2 ไร่ เพื่อนำมาพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขายจำนวน 2 อาคาร พื้นที่ขายรวมประมาณ 33, 322 ตารางเมตร โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟส เฟสละ 1 อาคาร โดยทยอยก่อสร้างและเปิดขายที่ละเฟส ซึ่งจะทำให้ SC FOUR สามารถพัฒนาโครงการได้อย่างต่อเนื่อง

โดยทำเลที่ตั้งของที่ดินมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ ที่ดินแปลงนี้ตั้งอยู่บนถนนลาดหญ้า เป็นทำเลที่ดี มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เป็นศูนย์กลางการขยายตัวและเติบโตของเมืองจากฝั่งพระนครมายังอีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา มีการคมนาคมที่สะดวก ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีคลองสานเพียง 600 เมตร รวมถึงการเริ่มพัฒนาโครงการสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้

‘จุรินทร์’ เผย เริ่มจ่ายเงินประกันรายได้ยางพาราปี 4 แล้ว แนะ ชาวสวนยางอัปเดตสมุดบัญชี ธกส. เพื่อรับเงินส่วนต่าง

(18 เม.ย.66) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ประเด็นการเดินหน้าโครงการประกันรายได้ ปี 4 ที่บริเวณหน้าตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล

นายจุรินทร์กล่าวว่า โครงการประกันรายได้เราเดินหน้าปี 4 ทุกตัว แต่ตอนนี้การจ่ายเงินส่วนต่างในส่วนของข้าวโพด ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลังไม่มี เพราะราคาดีมาก มันสำปะหลังเราประกันที่ 2.50 บาท/กก. ตอนนี้ไป 3 บาทกว่าเกือบ 4 บาท/กก. และข้าวโพดประกันรายได้ที่ 8.50 บาท/กก. ตอนนี้ไป 12 บาท/กก. ส่วนปาล์มน้ำมัน ประกันรายได้ 4 บาท/กก. ตอนนี้ 5-6 บาท/กก. ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าดี ข้าวตอนนี้ราคาเกือบถึงราคาที่ประกัน ถือว่ายังราคาดีอยู่ ข้าวบางตัวราคาสูงกว่าที่ประกัน ส่วนยางพาราต้องจ่าย ซึ่งยางพาราปี 4 เริ่มจ่ายส่วนต่างแล้ว ขอเรียนข่าวดีให้พี่น้องชาวสวนยางทั่วประเทศ เริ่มจ่ายตั้งแต่ 12 เมษายน และจะทยอยจ่ายไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม มีวงเงินเตรียมไว้แล้ว 7,000 กว่าล้านบาทเสนอผ่านครม.ไปแล้ว

‘จุรินทร์’ ประกาศนับหนึ่ง FTA ‘ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์’ สร้างแต้มต่อการค้าไทย เปิดประตูสู่ตะวันออกกลาง

(18 เม.ย.66) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ประเด็นความคืบหน้าการทำ FTA ระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่บริเวณหน้าตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล

นายจุรินทร์กล่าวว่า ตนเพิ่งเดินทางไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ตั้งใจไปเจรจาทำ FTA ระหว่างไทยกับยูเออี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังจากนั้น ภายใน 3 เดือนไทยและยูเออีสามารถตกลงกันได้ว่าจะมีการประกาศนับหนึ่งการเจรจายกร่าง FTA ระหว่างกันอย่างเป็นทางการ โดยได้นัดหมายกับรัฐมนตรีที่มีหน้าที่โดยตรงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อประกาศเจรจาในวันที่ 9 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ ช่วงเที่ยง ถือว่าเป็นวันประวัติศาสตร์อีกวันหนึ่งที่เราสามารถทำ FTA กับยูเออีได้ภายในเวลา 3 เดือนหลังจากตนเดินทางไปเจรจา จะมีผลช่วยให้ได้แต้มต่อในการส่งสินค้าไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ถ้าเราได้ภาษีเป็นศูนย์ในการส่งไปยูเออีหรือดูไบ จะได้สิทธิกับกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council หรือ GCC ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และบาห์เรน) ไปด้วย

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม!! อโกด้าจัด ‘ขอนแก่น’ น่าเที่ยวอันดับ 1 ในภูมิภาค ชี้ นทท.เพียบ สะท้อนท่องเที่ยวไทยดีทั้งเมืองหลัก และเมืองรอง

(18 เม.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า การประชุมวันนี้ถึงแม้ว่าจะมีวาระไม่มากนัก แต่ก็เป็นหน้าที่ของ ครม.และรัฐบาลที่ต้องดำเนินการทุกอย่างให้เกิดความต่อเนื่อง

โดยสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศอยู่ในเกณฑ์ มีศักยภาพทำให้ความเชื่อมั่นสูงขึ้น ทุกอย่างฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สถานการณ์การเงิน การคลังของเราอยู่เกณฑ์ดี ซึ่ง รมว.คลังได้ชี้แจงว่าหลายเวทีในต่างประเทศทุกคนยอมรับ และมีความเชื่อมั่นศักยภาพการเงินการคลังของเรา ขอให้ฟังรัฐบาลบ้าง ตนเข้าใจดีว่าทุกคนไม่ได้มองไกลขนาดนั้น ทุกคนมองแต่เศรษฐกิจภายในครอบครัวเป็นหลัก เป็นธรรมดาที่ทุกคนต้องนึกถึงแต่ตัวเอง แต่ต้องนึกถึงภาพรวมด้วย เพราะจะต้องเติบโตไปด้วยกันทั้งหมด อะไรที่บกพร่องรัฐบาลพยายามแก้ไข และเดินหน้ายุทธศาสตร์ไปอย่างต่อเนื่อง

“การทำอะไรอย่างผลีผลาม ไม่มีข้อมูลอย่างแท้จริง ไม่ถ่องแท้ มันก็บริหารไม่ได้อย่างนี้หรอก อันนี้ขอให้เครดิตกับรัฐบาล และ ครม.ที่ทำให้สถานการณ์การเงิน การคลัง ยังแข็งแกร่งในปัจจุบัน ในมุมมองของต่างประเทศ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

‘ไทย’ ขึ้นแท่นประเทศที่มียอดขาย EV อันดับ 1 แห่งอาเซียน หลังโครงสร้างประเทศปรับ รับแรงขับเคลื่อนอุตฯ EV เต็มรูปแบบ

เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 66 ช่อง YouTube ‘Kim Propperty’ ได้เปิดเผยถึง ตลาดรถยนต์ EV ในประเทศไทย ที่ตอนนี้ต้องยอมรับว่าก้าวหน้าเกินประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ในแง่ของโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าหลากสัญชาติ รวมถึงความต้องการซื้อที่มากจนมีตัวเลขที่น่าสนใจจะมาแชร์...

ทว่าก่อนอื่น ต้องฉายภาพให้เห็นถึงตัวแปรที่ทำให้ EV กับประเทศไทยเดินเคียงคู่กันไปได้อย่างไร้รอยต่อ โดยต้องยอมรับว่า โครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยนั้นค่อนข้างดีมาก ตั้งแต่ไฟฟ้าเพียงพอต่อการใช้งาน ซึ่งแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านที่แม้จะมีแบรนด์เป็นของตนเองอย่างเวียดนาม (Vinfast) แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน หรือโครงสร้างที่เอื้อต่อการผลิต การขนส่งยังไม่ดีพอ 

ขณะเดียวกัน แม้จำนวนประชากรเวียดนามจะมีจำนวนมาก แต่กำลังซื้อก็ไม่สูง หรือยังไม่ได้มีกำลังทรัพย์มากพอ พอ Vinfast ขายในประเทศตัวเองไม่ได้ ก็เลือกไปตีตลาดที่ประเทศอเมริกาแทน แต่ก็ต้องเจอตออย่าง Tesla ส่งผลให้ยอดขายไม่ปัง แถมลูกค้ายังบอกว่าสินค้าไม่ตรงปกอีก เรียกว่าสารพัดปัญหากันเลยทีเดียว 

นี่คือภาพในเชิงของโครงสร้างพื้นฐานที่มีผลต่อการขยายตัวของตลาด EV ในประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย

ถัดมาคำถามที่น่าสนใจ คือ ในวันที่แบรนด์ยักษ์ใหญ่ของประเทศอเมริกากับจีนซัดกันนัวขนาดนี้ จนแม้แต่ประเทศเวียดนามก็ยังเอาแบรนด์ตัวเองเข้าไปแทรกยากเหมือนกัน แล้วแบรนด์รถยนต์ในประเทศนั้น ๆ เขาจะไปไหน แล้วที่ไหนที่พวกเขาควรไป...

1.) ประเทศที่มี อุปสงค์ (Demand) หรือ ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการ
2.) ประเทศที่มีโครงสร้างไฟฟ้าที่ครบครันและครอบคลุม 

>> เริ่มเอะใจกันแล้วใช่ไหม!! ก็ประเทศไทยนั่นแหละ

...และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ จากข้อมูลล่าสุดประเทศไทยของเรา เป็นประเทศที่มียอดขาย EV เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน แบรนด์รถยนต์ต่าง ๆ ที่ต่างตบเท้าเข้ามาในประเทศไทยโดยเฉพาะแบรนด์จีน ถึงกับเปรยคำหวานว่า “ไม่มีแบรนด์ไหนในประเทศจีนที่ไม่อยากมาในประเทศไทยหรอก”

หลายคนอาจจะมองว่า นี่เป็นความบังเอิญหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่ความบังเอิญ เนื่องจากยอดขายในประเทศไทย ซึ่งเป็นอันดับ 1 ทิ้งห่างอันดับ 2 และ 3 อย่าง ประเทศอินโดนีเซีย กับประเทศสิงคโปร์ แบบไม่เห็นฝุ่นนั้น หากให้มองจากสัดส่วนของยอดขายในเอเชียประมาณ 60% นั้น แทบจะมาจากประเทศไทยกันเลยทีเดียว

โดยตัวแปรสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ที่ทำให้ภาพเหล่านั้นเกิกขึ้น คือ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ประเทศไทยสามารถผลักดันปัจจัยที่เอื้อต่อการเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้าน EV อย่างมากและต่อเนื่อง ทำให้มีแบรนด์ดัง ๆ อย่าง BYD, Ford และอีกหลายเจ้า พร้อมเข้ามาหนุนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของพวกเขา ตัวอย่างเช่น BYD ที่เข้ามาซื้อที่ดินจาก WHA ไปกว่า 600 ไร่ เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถ EV แห่งใหม่ของอาเซียน ในประเทศไทย

รวมถึงดีลสุดมหัศจรรย์ ที่ทำให้หลายคนต้องอึ้ง อย่างการที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย สนใจลงทุนในประเทศไทย และทุ่มงบมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านบาท มาเลือกใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถ EV 

>> ข่าวดีที่ว่ามาดี มาจาก...

1.) ประเทศไทยสามารถดึงแบรนด์ดังๆ ให้เข้ามาผลิตที่ประเทศไทยได้จากโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐทุ่มลงทุน
2.) ในฟากฝั่งของผู้บริโภค รัฐบาลไทยได้ทำการออกนโยบายต่าง ๆ นานา เพื่อสนับสนุนให้คนเป็นเจ้าของรถยนต์ EV ได้ เช่น ลดหย่อนภาษีได้
3.) ความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า EV ของคนไทยมีความสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมีแรงสนับสนุนจากภาครัฐยิ่งทำให้คนอยากได้ EV มากยิ่งขึ้น

เหล่านี้ ส่งผลทำให้ราคารถยนต์ EV ในประเทศไทย เริ่มมีราคาที่ถูกลง เราเริ่มเห็นรถ Tesla ในราคาล้านกว่าบาทเท่านั้น จากแต่ก่อนนำเข้ามาเริ่มหลัก 3 ล้านบาท 

นั่นจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ฝั่งแบรนด์ผู้ผลิตต่าง ๆ จะขอเข้ามามีส่วนเสนอขายสินค้าและบริการ ภายใต้แผนพัฒนาไทยที่จะขอเป็น HUB EV ในย่านนี้ ย่านที่พร้อมไปด้วยโครงสร้างพื้นฐาน, การเดินทาง, การคมนาคม, กำลังซื้อ รวมถึงพลังงานไฟฟ้า ที่มีความยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ต่อให้ค่าแรงในประเทศไม่ถูกเหมือนที่อื่นก็ตาม เพราะหลายผู้ผลิตมองว่า ประเทศไทยของเราใจดี ใจกว้างเหลือเกิน ค้าขายในบ้านเราได้ ภาษีก็ไม่ค่อยเสีย แถมผู้บริโภคในประเทศไทยก็ยังชอบซื้ออีกด้วย (เราเป็นนักซื้อที่ยอดเยี่ยม) 

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 10-14 เม.ย.66  จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ พร้อมแนวโน้ม 17-21 เม.ย.66

ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยรายสัปดาห์ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 ท่ามกลางตามความต้องการใช้น้ำมันโลกมีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้น โดยรายงานฉบับเดือน เม.ย. 66 ของ IEA ประเมินอุปสงค์น้ำมันโลกในปี 65 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 99.91 ล้านบาร์เรลต่อวัน และคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 66 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.03 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 101.94 ล้านบาร์เรลต่อวัน 

ในขณะเดียวกัน เหตุอุปทานน้ำมันชะงักชะงันจากการส่งออกน้ำมันดิบจากเขตปกครองพิเศษเคอร์ดิสถานทางตอนเหนือของอิรักผ่านท่อ Kirkuk-Ceyhan ซึ่งสูบถ่ายน้ำมันดิบที่ระดับ 400,000-450,000 บาร์เรลต่อวัน (จากขีดความสามารถในการสูบถ่าย 700,000 บาร์เรลต่อวัน) หยุดดำเนินการวันที่ 25 มี.ค. 66 ยังไม่กลับมาดำเนินการ เนื่องจากตุรกีและรัฐบาลกลางอิรักยังเจรจาเรื่องค่าชดเชย 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ตุรกีต้องจ่ายให้อิรักก่อนกลับมาสูบถ่ายน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มถูกกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หลังตัวเลขเศรษฐกิจภาคการผลิตของสหรัฐฯ แข็งแกร่งขึ้น ล่าสุด นาย Thomas Barkin ประธาน Fed สาขา Richmond เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขับเคลื่อนไปได้กับอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงเติบโต ส่งผลให้นักลงทุนคาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% จากระดับปัจจุบันระดับที่ 4.75-5.00% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ในวันที่ 2-3 พ.ค. 66

ในสัปดาห์นี้คาดการณ์ราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวในกรอบ 83-88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากอุปทานในตลาดโลกตึงตัวมากขึ้นจาก OPEC+ ขยายระยะเวลาและลดปริมาณการผลิตเพิ่มเติมถึงสิ้นปี 66

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม นนท.แห่เข้าไทย 6.4 ล้านคน สร้างเม็ดเงินกว่า 2.5 แสนล้านบาท  ‘SCMP’ ชี้ สงกรานต์ไทย ช่วยฟื้นเศรษฐกิจ คาดเติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี

(19 เม.ย.66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยินดีที่ภาคการท่องเที่ยวไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ต้นปี 2566 โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย สะสมกว่า 6.4 ล้านคน สร้างรายได้รวม 2.5 แสนล้านบาท และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา Airbnb แพลตฟอร์มจองที่พักยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เผยยอดค้นหาที่พักในไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 310 ขณะที่สำนักข่าว South China Morning Post รายงานว่า เทศกาลสงกรานต์ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย พร้อมคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2566 เติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี 

นายอนุชา กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมอยู่ที่ 6,465,737 คน สร้างรายได้รวม 256,194 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทย สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย รัสเซีย จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ตามลำดับ ทั้งนี้ ททท. วางเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2566 รวม 25-30 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.5 ล้านล้านบาท พร้อมคาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 โดยมีจำนวนไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มจะสูงถึง 7-8 ล้านคน ขึ้นอยู่กับปริมาณเที่ยวบินในช่วงตารางบินฤดูหนาว รองลงมาคือ มาเลเซีย 4 ล้านคน อินเดีย 2 ล้านคน ส่วนรัสเซียและเกาหลีใต้ คาดว่ามีไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน นอกจากนี้ Airbnb เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องการมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมียอดค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 310 จากปี 2565 โดยกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติค้นหามากที่สุด รองลงมาได้แก่ พัทยา เชียงใหม่ กระบี่ และภูเก็ต ตามลำดับ นอกจากนี้ สำนักข่าว South China Morning Post รายงานว่า การท่องเที่ยวที่คึกคักในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรายได้จากภาคการท่องเที่ยวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ถึงร้อยละ 4 ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบ 5 ปี

‘อนุชา’ เผย ส่งออก ‘ข้าวไทย’ 2 เดือนแรก ส่งออกได้ 1.4 ล้านตัน มูลค่า 25,404.15 ลบ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.2% คาดปี 66 มีโอกาสขยายตัวตามเป้า

(19 เม.ย.66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ตัวเลขการส่งออกข้าวของไทย 2 เดือนแรกของปี 2566 ยังคงอยู่อันดับ 2 ประเทศผู้ส่งออกข้าวของโลก ปริมาณการส่งออกกว่า 1.4 ล้านตัน โดยส่งออกมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดการณ์แนวโน้มการส่งออกยังคงเพิ่มต่อเนื่อง จากความต้องการข้าวในตลาดโลก โดยตัวเลขการส่งออกข้าวของไทยจากกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากรพบว่า ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2566 ประเทศไทยส่งออกข้าวคิดเป็นมูลค่า 25,404.15 ล้านบาท หรือ 753.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตรามูลค่าการส่งออกขยายตัวมากขึ้นร้อยละ 38.2 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2565 ที่มีการส่งออกข้าวมูลค่า 18,376.8 ล้านบาท โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ อินโดนีเซีย อิรัก บังคลาเทศ และเซเนกัล เป็นต้น โดยประเทศไทยยังคงอยู่อันดับ 2 ประเทศผู้ส่งออกข้าวของโลก ตามหลังอินเดียที่ยังคงครองอันดับ 1 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้านสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดการณ์ว่า การส่งออกข้าวในเดือนมีนาคม 2566 ปริมาณส่งออกข้าวจะอยู่ที่ระดับประมาณ 700,000-730,000 ตัน เนื่องจากความต้องการนำเข้าข้าวในตลาดโลกมีมากขึ้นจากการที่อุปทานข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกที่สำคัญ ส่วนผู้นำเข้าที่สำคัญของไทยยังคงนำเข้าทั้งข้าวขาวและข้าวนึ่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อชดเชยสต็อกข้าวในประเทศที่มีปริมาณลดลง

ดัชนีความเชื่อมั่นอุตฯ ไทย มี.ค.66 พุ่งร้อยละ 97.8 อานิสงส์การท่องเที่ยวคึกคัก - การเกษตรเริ่มฟื้นตัว

(19 เม.ย.66) นายสรกิจ มั่นบุปผชาติ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมเปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2566 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับร้อยละ 97.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับร้อยละ 96.2 ในเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และสูงสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2556

ทั้งนี้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายของอุปสงค์ในประเทศ และกำลังซื้อในส่วนภูมิภาคจากรายได้ภาคเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการขยายตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติ และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศของภาครัฐ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีภาคการก่อสร้างที่ขยายตัวส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อปัญหาต้นทุนการผลิตสูง โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบ และค่าไฟฟ้า ขณะที่ราคาพลังงานยังคงผันผวน ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในทิศทางขาขึ้นเป็นอีกปัจจัยกดดันต่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs นอกจากนี้ อุปสงค์จากต่างประเทศที่อ่อนแอลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ตลอดจนความผันผวนของค่าเงินบาท ก็ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาคการส่งออกของไทย

INTERLINK-ภาครัฐ-เอกชน จัดการแข่งขัน ‘Cabling Contest ปีที่ 11’ ส่งเสริมความรู้-พัฒนาทักษะด้านสายสัญญาณแก่เยาวชนไทย

กลับมาอีกครั้ง บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ผนึกกำลังภาครัฐ และภาคเอกชน จัดการแข่งขันเป็นปีที่ 11 ‘Cabling Contest ปีที่ 11’ เป็นเวทีการแข่งขันระดับประเทศที่เฟ้นหาเยาวชน ผู้ที่มีทักษะชั้นเลิศด้านสายสัญญาณ จากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทานฯ พร้อมเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท

โดย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้าค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ ผลิตภัณฑ์ LINK จากสหรัฐอเมริกา พร้อมกับเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่ายตู้ RACK ผลิตภัณฑ์ 19 GERMANY EXPORT RACK และจากอุดมการณ์กับความตั้งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทยนั้น จึงได้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพเยาวชน ทั้งด้านพัฒนาผู้ที่มีฝีมือ ความรู้ ความสามารถเฉพาะด้าน ส่งเสริมยกระดับคุณภาพทางการศึกษา เพื่อการต่อยอดอาชีพ เพิ่มพูนประสบการณ์เยาวชนได้อย่างดีเยี่ยม นำสู่การเติบโตในอนาคตได้ทัดเทียมนานาชาติสู่มาตรฐานสากลต่อไป

สำหรับการแข่งขัน Cabling Contest ปีที่ 11 ได้ดำเนินการจัดทำโครงการมาอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปี และกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 11 ภายใต้ความร่วมมือจาก สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงแรงงาน โดยได้จัดการแข่งขัน เพื่อค้นหาผู้มีฝีมือ และมีทักษะสุดยอดด้านสายสัญญาณจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยจะเป็นการเสริมสร้างความรู้ ต่อยอด พัฒนาทักษะ และสร้างประสบการณ์ให้แก่ นิสิต นักศึกษา ในระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษา อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่ม นิสิต นักศึกษา ที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติอีกด้วย

โดยงานนี้ คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกล่าวเปิดงาน และพูดถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการแข่งขัน “นับเป็นเวทีการแข่งขันระดับประเทศที่เปิดโอกาสให้เยาวชน ในระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษา ได้เพิ่มพูนทักษะ ความรู้ ความสามารถทางด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับระบบเครือข่าย ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีทางด้านสายสัญญาณ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมในการเรียนรู้เฉพาะด้าน ทั้งเรื่องระบบสายสัญญาณอุปกรณ์การสื่อสาร และอุปกรณ์กระจายสัญญาณได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น โดยต้องการให้นำประสบการณ์จากการแข่งขันไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และต่อยอดอาชีพไปสู่ความสำเร็จในอนาคต เพื่อสามารถพัฒนาตนเองทางด้านเทคโนโลยีได้ทัดเทียมกับต่างประเทศได้อย่างเติบโต ต่อเนื่อง และยั่งยืน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top