Tuesday, 13 May 2025
Crimes

‘ผู้ช่วยฯสมพงษ์-ศปอส.ตร.’เตือน 4 กลโกง-สวมรอย‘สรรพากร’ตุ๋นโหลดแอปดูดเงิน

(20 ก.พ. 66) พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) หัวหน้าอำนวยการด้านประชาสัมพันธ์ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) , พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สพฐ./หัวหน้าด้านข่าวสารและประชาสัมพันธ์ , พล.ต.ต.อรุษ แสงจันทร์ รอง ผบช.ศปก.ตร./หัวหน้าฝ่ายแถลงข่าวและประสานงานสื่อมวลชน ศปอส.ตร. , พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ฯ ปฏิบัติหน้าที่ ศปอส.ตร. และ พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก./รองหัวหน้าฝ่ายแถลงข่าวและประสานงานสื่อมวลชน ร่วมกันเปิดเผยว่า ฝ่ายบริหารการรับแจ้งความออนไลน์ ศปอส.ตร.ได้นำเสนอคดีที่ควรเตือนภัยประชาชนในรอบสัปดาห์ที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์ 2566 และวิธีป้องกันตัวเองจากภัยอาชญากรรมออนไลน์ดังกล่าว เพื่อเตือนภัยให้กับประชาชน โดยพบภัยที่ต้องเฝ้าระวังที่สำคัญ ดังนี้ 

4 กลโกงหลอกดูดเงินจากบัญชี 
1.) สร้างสถานการณ์ให้เหยื่อรู้สึกว่ามีความเร่งรีบ เล่นกับเวลา 
2.) เบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้โฟกัสสิ่งที่เรากำลังคลิก เช่น สื่อสารแบบมาตีสนิท 
3.) ใช้วิธีให้กลัว โทรเป็นคนรู้จัก หรือญาติ หลอกยืมเงินหลอกให้โอนเงินให้ 
4.) โทรมาแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือสรรพากร หลอกให้กลัวจนต้องโอนเงิน 

นอกจากนี้ในช่วงมกราคม-มีนาคมของทุกปี จะเป็นช่วงยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90/91) ซึ่งมิจฉาชีพมักจะใช้โอกาสในช่วงนี้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร โทรศัพท์เข้ามาหลอกลวงหรือส่งข้อความหลอกให้กดลิงก์ดาวน์โหลดแอปพลิชันกรมสรรพากรปลอม อ้างว่าจะตรวจสอบรายได้หรือให้ชำระภาษีผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าว หลังจากนั้นจะทำการดูดเงินในบัญชี 

'ตำรวจ ปส.' ลุยสกัดจับยาบ้า 6 คดี ขณะลำเลียงส่งออก ยึดยาบ้ารวม 12 ล้านเม็ด!! เร่งขยายผลหาเครือข่าย

(21 ก.พ. 66) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติจับคดียาเสพติดรายสำคัญ 6 คดี รวมผู้ต้องหา 24 ราย ยาบ้ากว่า 12 ล้านเม็ด, ยาไอซ์  200 กิโลกรัม, เคตามีน 290 กิโลกรัม, เฮโรอีน 7 กิโลกรัม และรถยนต์ที่ใช้กระทำความผิด 13 คัน

พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า คดีแรกตั้งด่านตรวจริมถนนเพชรเกษมบริเวณหน้าที่ทำการด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ตำบลหงษ์เจริญ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร พบรถยนต์กระบะตู้ทึบ (สงวนทะเบียน) พบนายณัฐวุฒิ หรือนัท เป็นผู้ขับขี่ นายปิยะวัฒน์ หรือ 'มิว' และ น.ส.โนราฟาซีรา หรือ 'โนรา' (ทั้งหมดสงวนนามสกุล) โดยสารมาด้วยมีพิรุธ ให้ขับรถเข้าไปในด่านตรวจ เพื่อ X-Ray รถ พบยาบ้า 3,000,000 เม็ด บรรจุอยู่ในกระสอบสีขาวห่อหุ้มด้วยพลาสติกสีดำ 7 ใบ ผู้ต้องหาให้การว่า รับการติดต่อจาก น.ส.นารี ชาวจังหวัดนราธิวาส ไม่ทราบนามสกุลให้ขนยาบ้าจากกรุงเทพฯ ไปส่งปลายทางจังหวัดนราธิวาส

คดีที่ 2 จับกุมนายยมนา หรือ 'หมี' (สงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี หลังสืบสวนทราบว่า เครือข่ายนี้จะลำเลียงยาเสพติดจาก จ.สระบุรี ส่งปลายทาง จ.นราธิวาส ใช้รถบรรทุก 12 ล้อ อีซูซุ (สงวนทะเบียน) กระทั่งติดตามจับกุมได้บริเวณหน่วยบริการตำรวจทางหลวงสมุทรสงคราม ถ.พระราม 2 ตรวจสอบพบซุกซ่อนยาบ้าปะปนมากับกระสอบข้าวสาร 7 กระสอบ รวมยาบ้า 3,104,000 เม็ด

คดีที่ 3 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 66 มีกลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติดหลบหนีการสืบสวน ตรวจสอบพบว่ามีความเคลื่อนไหวโดยเตรียมลำเลียงเคตามีน ไปประเทศที่ 3 ผ่านช่องทางธรรมชาติ ด้าน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว กระทั่งวันที่ 20 ก.พ. 66 พบรถยนต์ต้องสงสัยวิ่งมาด้วยความเร็วบนถนนทางหลวงใน ต.วัฒนานคร อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว มุ่งหน้าไป อ.คลองหาด ตรวจสอบพบ พบคีตามีน 7 กระสอบ น้ำหนัก 290 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ท้ายรถเก๋งและตรวจยึดรถกระบะที่ใช้เป็นรถนำทาง รวมรถ 2 คัน ผู้ต้องหา 3 คน

พล.ต.อ.ชินภัทรกล่าวอีกว่า คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 66 กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร ภ.1 จับกุมผู้ต้องหา 2 คน พร้อมยาบ้า 3 ล้านเม็ด ที่ ต.คลองน้อย อ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา ปส.2 ขยายผลกระทั่งวันที่ 18 ก.พ. 66 พบความเคลื่อนไหวของ 1 ในกลุ่มเครือข่ายเดินทางเข้ามาในพื้นที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ต่อเนื่อง อ.เมืองอุดรธานี และ อ.เมืองขอนแก่น ติดตามจับกุมผู้ต้องหา 5 คน พร้อมของกลางเฮโรอีน 20 แท่ง น้ำหนักประมาณ 7 กิโลกรัม ได้ที่แยกไฟแดงโนนศิลา อ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น

โฆษก ตร. แจง การแต่งตั้ง พ.ต.ท.ไพบูลย์ สว.เก็บกู้วัตถุระเบิด จชต. เป็นตำแหน่งเฉพาะทาง ไม่สามารถนับรวมอาวุโสทั่วไปได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย แต่จะเร่งวางหลักเกณฑ์ เปิดโอกาสให้ก้าวหน้าในสายงานเสี่ยงภัยต่อไป พร้อมเปิดรับหลักฐานข้อมูลแต่งตั้งมิชอบ

(20 ก.พ.66) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า “กรณีปรากฎข่าว พ.ต.ท.ไพบูลย์ พูนมะณี  สว.กก.เก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด บก.สส.จชต. มีหนังสือร้องทุกข์ กรณีไม่ใด้รับการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในการแต่งตั้งวาระประจำปี 2565

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ให้ความสำคัญกับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจทุกระดับ แม้ว่าการแต่งตั้งระดับ รอง ผกก.- ส.ว. จะเป็นอำนาจ ผบช. แต่ได้กำชับให้พิจารณาตามความเหมาะสม ยึดทั้งหลักอาวุโส ผลงาน ความรู้ความสามารถ เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย โดยหลังจากทราบเรื่องได้ให้ ภ.9 ชี้แจงการแต่งตั้งของ พ.ต.ท.ไพบูลย์ ให้ชัดเจน

โดย ภ.9 แจ้งว่า พ.ต.ท.ไพบูลย์ ดำรงตำแหน่งอยู่ในกลุ่มงานเทคนิค ซึ่งถูกกำหนดให้เป็น 'ตำแหน่งเฉพาะทาง' โดยตาม กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2561 ข้อ 28(2) ข้าราชการตำรวจที่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับ รอง ผบก. ลงมา ถึงระดับ สว. ให้พิจารณาเรียงตามลำดับอาวุโสจำนวนร้อยละ 33 ของจำนวนตำแหน่งว่าง แต่ให้ใช้บังคับกับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจซึ่ง ดำรงตำแหน่งทั่วไป ที่มิใช่ตำแหน่งเฉพาะทาง 

แม้ พ.ต.ท.ไพบูลย์  จะมีรายชื่อปรากฏอยู่ในบัญชีลำดับอาวุโสระดับ สว. ลำดับที่ 12 ของ ภ.9 แต่เนื่องจาก พ.ต.ท.ไพบูลย์ อยู่ในกลุ่มงานเทคนิค ซึ่งถูกกำหนดให้เป็น 'ตำแหน่งเฉพาะทาง' และไม่สามารถนำมารวมในกลุ่มอาวุโส 33% ของตำแหน่งทั่วไปได้ ต้องนำไปคิดในกลุ่มสายเทคนิคด้วยกัน ซึ่งในวาระประจำปี 2565 ไม่มีตำแหน่ง สายงานสรรพาวุธในระดับ รอง ผกก.ว่าง จึงไม่สามารถแต่งตั้ง พ.ต.ท.ไพบูลย์ พูนมะณี ดำรงตำแหน่ง รอง ผกก.สายงานสรรพาวุธ ในกลุ่มอาวุโสได้ 

ส่วนข้าราชการตำรวจระดับ สว. ที่ดำรงตำแหน่งทั่วไป ที่จะต้องเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็น รอง ผกก. ในกลุ่มอาวุโสร้อยละ 33 ตามกฎ ก.ตร.ฯ จำนวน 16 ราย จากตำแหน่งว่างทั้งหมด 50 ราย  ภ.9 ได้พิจารณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามลำดับอาวุโสทุกราย (ลำดับที่ 1 – 11และลำดับที่ 13-17 ) 

'แก๊งขนเขมร' ห้าว ยิงปืนสกัด 'ทหารพราน' ขณะบุกรวบแรงงานเถื่อน จนท.เร่งล่าตัวด่วน

(22 ก.พ. 66) พล.ต.สราวุธ ไชยสิทธิ์ ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา สั่งการให้ พ.อ.ปิยะเณศร์ ภัทรศาศวัตวงษ์ ผู้บังคับการชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 (ผบ.ชค.กรม.ทพ.12) นำกำลังกองร้อยทหารพรานที่ 1204 ร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 112 (ฉก.ร.112) ออกลาดตะเวนป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา บริเวณท้ายหมู่บ้านกุดผือ ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว หลังสืบทราบว่า จะมีแรงงานกัมพูชาลักลอบเข้ามาในประเทศไทยตามช่องทางธรรมชาติ บริเวณชายแดนท้ายหมู่บ้านกุดผือ

ต่อมาชุดปฏิบัติการ ร่วมฯ ได้ตรวจพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยกลุ่มใหญ่ เดินเท้าฝ่าความมืดลักลอบข้ามตะเข็บชายแดนช่องทางธรรมชาติ จากฝั่งกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทย ระหว่างจุดตรวจ จต.ส. 41 - จต.ส. 42 แล้วเดินลัดเลาะมาตามไร่อ้อยของชาวบ้าน เพื่อข้ามถนนศรีเพ็ญ ซึ่งเป็นถนนเลียบแนวชายแดนท้ายหมู่บ้านกุดผือ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ แต่ถูกบุคคลคาดว่าเป็นคนไทยแก๊งลักลอบขนแรงงานเถื่อนที่นำพาแรงงานกัมพูชา ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ยิงขึ้นฟ้าประมาณ 3-4 นัด

ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัยช่วงนี้ มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) กลับมาระบาด

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอเรียนประชาสัมพันธ์เตือนภัยระวังตกเป็นเหยื่อ Ransomware หรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ดังนี้

ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่ในอีกมุมหนึ่งมิจฉาชีพก็พัฒนาการหลอกลวงในรูปแบบใหม่ๆ และซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเช่นกัน Ransomware หรือที่เรียกกันว่า มัลแวร์เรียกค่าไถ่ เป็นมัลแวร์ประเภทหนึ่งที่จะเข้ามาล็อกข้อมูลผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ จนทำให้ไม่สามารถเปิดไฟล์ใดๆ ได้ โดยหากต้องการกู้ข้อมูลคืนมา จะต้องจ่ายเงินค่าไถ่ตามที่ผู้โจมตี หรือมิจฉาชีพเรียกร้อง จำนวนเงินค่าไถ่ก็จะแตกต่างกันไป และการชำระเงินจะต้องชำระผ่านระบบที่มีความยากต่อการตรวจสอบ หรือติดตาม เช่น การโอนเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์, การชำระเงินออนไลน์แบบเติมเงินโดยใช้บัตรกำนัล (Paysafecard), เงินสกุลดิจิทัล เป็นต้น

ในช่วงที่ผ่านมาพนักงานสอบสวน บช.สอท. ได้รับแจ้งความร้องทุกข์จากผู้เสียหายว่า บริษัทของผู้เสียหายได้รับความเสียหายจากการถูมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) ถูกล็อกไฟล์ข้อมูล ไม่สามารถเข้าถึงและใช้งานได้ มีการเรียกค่าไถ่เป็นบิตคอยน์ (Bitcoin) มูลค่าหลายล้านบาท กรณีดังกล่าว บช.สอท. ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ได้ทำการตรวจสอบและวิเคราะห์ในเบื้องต้นพบว่า คอมพิวเตอร์บริษัทของผู้เสียหายถูกโจมตีด้วย Faust Virus หรือ Ransomware ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อเข้าถึงข้อมูลของตนเอง โดยแผนประทุษกรรมของคนร้ายจะ สร้างมัลแวร์ที่มีลักษณะการทำงานแบบเข้ารหัส หรือล็อกไฟล์ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ ผู้ใช้งานจะไม่สามารถเปิดไฟล์ได้ จนกว่าจะได้รับรหัส หรือคีย์ที่ใช้ในการปลดล็อกไฟล์

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวน่าจะมาจากช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแฝงมาในรูปแบบเอกสารแนบมากับอีเมล โดยการสร้างเว็บไซต์ปลอม หรืออีเมลปลอม แล้วส่งข้อมูลมาในรูปเอกสารที่ใช้ไฟล์ .doc หรือ .xls แต่ความจริงคือเป็นไฟล์ '.doc .exe' หรือแฝงตัวมาในรูปแบบของโฆษณา (Malvertising) โดยการโฆษณาไปยังบริษัทเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการจ่ายเงินค่าไถ่ หรืออาจจะเกิดจากบุคคลในองค์กรเองที่ไปคลิกลิงก์ที่คนร้ายส่งมา ทำให้มัลแวร์ดังกล่าวติดตั้งตัวเองในระบบแล้วทำการเข้ารหัส หรือล็อกไฟล์ทั้งหมด จากนั้นจะมีข้อความเตือนที่หน้าจอให้ติดต่อกลับไป คนร้ายมักจะเรียกเป็นสกุลเงินดิจิทัล หากไม่ยอมจ่ายคนร้ายจะข่มขู่ว่าจะทำลายไฟล์ทั้งหมด หรือนำไปเปิดเผยต่อไป

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบงานในด้านการป้องกันปราบปราม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยออนไลน์ที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชน องค์กร หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ การเรียกค่าไถ่ทางคอมพิวเตอร์ (Ransomware) โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง

ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบ มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน หน่วยงานไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดฐาน “ ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง”

'ชูวิทย์' เร่งเดินหน้าปิดเกม 'สารวัตรซัว' แฉ!! ไม่เคยทำงาน แต่เบิกเบี้ยเลี้ยง-โอที

(22 ก.พ. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจกลางคืน ซึ่งเป็นผู้ออกมาเปิดโปงเกี่ยวกับ 'ทุนจีนสีเทา' และเว็บพนันออนไลน์จนแตกกระเจิง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์' มีเนื้อหาดังนี้...

แนวรับพนันออนไลน์

หลังจากผมจัดลำดับประเภท 'พนันออนไลน์' โดยจำแนกเงินทุนหมุนเวียนของแต่ละเจ้า เกิดอาการวงแตกกระเจิงคนละทิศคนละทาง บรรดาโปรแกรมเมอร์ไปพักร้อนต่างประเทศกันเป็นแถว ต้องขออภัย ผมไม่ได้ 'ตีกิน' ระดับผมไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินพนันยังชีพ

แต่หากใครจะกิน 'ตามน้ำ' ผมก็รู้ว่ามันเป็น 'ธรรมเนียม' ไทย ๆ จะให้จัดการทีเดียวคงยาก เช่น ของไอ้ซัว ทำทั้งเว็บพนัน สล็อต คอลเซ็นเตอร์ มีในเครือข่ายประมาณ 300 เว็บ เอากันง่าย ๆ จ่ายเว็บละ 30,000-50,000 บาท แล้วแต่เว็บไหนเป็นที่นิยม เดือนนึงตกประมาณ 10 กว่าล้าน

ค่าธรรมเนียมนี้จ่ายถึงใคร แผนกใด แม้ไม่มีใบกำกับภาษีมาแสดง แต่รู้อยู่ว่าแบ่งกันอย่างไร ใครรับ? ซัวดูแลทุกเดือน จะยอมละชามข้าวเดือนละ 10 ล้านไหวหรือ?

“เดี๋ยวชูวิทย์ก็หมดแรงไปเอง”

นี่ไม่ใช่คำพูดที่ผมไปเสกสรรปั้นแต่ง แต่เป็นคำพูดของซัวส่งไลน์ผ่านคนใกล้ชิด ได้เห็นได้อ่านกับตา รู้ซึ้งว่าเกมนี้ไม่ธรรมดา แม้ผมจะเข้าวัยเลยเกษียณ แต่ยังมีเขี้ยวเล็บ แต่ก่อนสังคมไม่เคยได้ยินชื่อ 'สารวัตรซัว' ผมจี้เอามันมาขึ้นเขียงว่าเป็น 'นายตำรวจ' และเป็น 'นายบ่อน' ด้วย ควบสองตำแหน่งอย่างนี้ไม่ไหว จนท่าน ผบ.ตร. เด่นเห็นด้วยกับผม จัดการฟันให้ออกจากราชการทันที

ผมเพิ่งมารู้เอาทีหลังว่า 'ซัว' ไม่เคยไปทำงานตำรวจ แต่ยังเสือกเบิกเบี้ยเลี้ยงโอทีอีกต่างหาก จะไปยกให้ใครไม่ทราบได้ แต่เป็นภาษีของประชาชนอย่างผมแน่นอน ที่ผมพูดเพราะไม่มีใครพูด

'กรมศุลฯ' จับมือ 'ตร.' เตรียมทำลายบุหรี่ไฟฟ้า ทลายโกดังสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ มูลค่า 150 ล้านบาท!!

(23 ก.พ. 66) ที่อาคารสโมสร ศุลกากร กรมศุลกากร นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาราชการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนา และบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงผลการทำลายบุหรี่ไฟฟ้าของกลางที่คดีสิ้นสุด และผลการตรวจยึดสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า พร้อมของกลาง น้ำยา-อุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมาก รวมมูลค่ากว่า 72 ล้านบาท และสินค้าแบรนด์เนม อาทิ กระเป๋า, เสื้อผ้า, พรม, รองเท้า, น้ำหอม แบรนด์ดัง รวมมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 150 ล้านบาท

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาราชการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนา และบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า...

คดีแรก คือ การระดมการกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า และทำลายของกลางในความผิดตามกฎหมายศุลกากรที่คดีสิ้นสุดแล้ว มูลค่ากว่า 72 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ กรมศุลกากรทำงานร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ได้จับกุมและตรวจยึดสินค้าจากห้างร้าน ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ รวมถึงโกดัง ซึ่งประกอบด้วย เครื่องบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า หัวบุหรี่ไฟฟ้าที่ใช้สำหรับดูด และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีการลักลอบนำเข้ามาในประเทศไทยมาโดยตลอด และมีการดำเนินคดีจนถึงที่สุด ซึ่งของกลางดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินและรอการทำลาย โดยของกลางที่นำไปทำลายครั้งนี้ ประกอบด้วย เครื่องบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า หัวบุหรี่ไฟฟ้าที่ใช้สำหรับดูด และอุปกรณ์อื่น ๆ รวมทั้งสิ้น 874,535 ชิ้น มูลค่าความเสียหาย 72,019,523.46 บาท

‘ปปง.’ ยึดเพนต์เฮาส์หรู ‘สามีหยาดทิพย์’ หลังตรวจพบรับซื้อทรัพย์สินจาก ‘อภิรักษ์ โกฎธิ’

สืบเนื่องจากกรณีการใช้เว็บไซต์ www.forex-3D.com เป็นช่องทางในการหลอกลวงโฆษณาชักชวนประชาชนทั่วไป ให้นำเงินไปลงทุนซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ (Forex) โดยเสนอผลตอบแทนสูงถึง 60 - 80% ของเงินผลกำไรที่ได้จากการเทรด Forex อันเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ซึ่งมีผู้เสียหายและมูลค่าความเสียหายที่เกิดจากการหลอกลวงเป็นจำนวนมาก และกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ได้มีการตรวจค้น ยึด และอายัดทรัพย์สินจากคดีแชร์ Forex-3D หรือที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจำนวนหลายรายการ อาทิ เพนต์เฮาส์หรู ภายในซอยสุขุมวิท มูลค่า 245 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของนายอภิรักษ์ โกฎธิ อดีตผู้บริหาร Forex-3D ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยเพนต์เฮาส์หรูดังกล่าว เป็นหนึ่งในบัญชีทรัพย์สินที่ดีเอสไอได้ประสานส่งมอบกับสำนักงาน ปปง. เพื่อดำเนินการในคดีแพ่งมาอย่างต่อเนื่อง

จากประเด็นที่เกิดขึ้น ปีที่ผ่านมา โลกออนไลน์ได้มีการออกมาตั้งข้อสังเกตว่า ‘นายรามา รัศมีรามา หรือ เมฆ’ สามีนักแสดงสาว ‘หยาดทิพย์ ราชปาล’ อาจเกี่ยวข้องนั้น เนื่องจาก หยาดทิพย์ มีความสนิทสนมกับ น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือ พิงกี้ ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดี อย่างไรก็ตาม หยาดทิพย์ ได้ออกมาชี้แจงผ่านบัญชีอินสตาแกรมส่วนตัว โดยยืนยันว่า สามีไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับคดี FOREX-3D พร้อมทั้งยังระบุว่า คอนโดฯ นั้นซื้อมาอย่างถูกต้อง มีหลักฐานครบถ้วนและซื้อแบบขายฝากผ่านนายหน้ามาก่อนที่นายอภิรักษ์จะถูกดำเนินคดี

วันนี้ (24 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากเจ้าหน้าที่ภายในสำนักงานคณะกรรมการ ปปง.ว่าภายหลังจากที่ดีเอสไอได้ส่งมอบบัญชีทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจากฐานคดีแชร์ Forex-3D มาให้ทางปปง. ดำเนินคดีทางแพ่งต่อนั้น ซึ่งรายการทรัพย์สิน เพนต์เฮาส์ มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิทของนายรามา รัศมีรามา ทาง ปปง. ได้ดำเนินการยึด อายัดไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าได้มีการแจ้งข้อหาฟอกเงินแก่นายรามา หรือไม่นั้น ผู้สื่อข่าวได้รับคำตอบว่า ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างขั้นตอนของศาล โดยเนื้อหารายละเอียดภายในสำนวน ทาง ปปง. ขอละเว้นการเปิดเผย เพราะอาจจะกระทบกับการสืบสวนสอบสวนทางคดีของเจ้าหน้าที่

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งขยายผลดำเนินคดีกับเครือข่ายค้ามนุษย์ หลอกหญิงไทยไปค้าประเวณีที่เมืองล๊อกกิ่ง ประเทศเมียนมา

จากกรณีเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 65 คุณปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้พา หญิงสาว 3 ราย ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่เมืองล๊อกกิ่ง ประเทศเมียนมา ที่ได้ประสานทหารไทย ทหารเมียนมา สถานทูตไทย เเละตำรวจไทยช่วยเหลือกลับมาได้เมื่อวันที่ 27 พ.ย.65 ที่ผ่านมา เข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่สโมสรตำรวจ วิภาวดีรังสิต เพื่อขอให้มีการขยายผลติดตามจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ดังกล่าวมาดำเนินคดี นั้น จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ดำเนินการสืบสวนขยายผลเกี่ยวกับเครือข่ายค้ามนุษย์ข้ามชาติดังกล่าว รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายถึงที่สุด

จากการสืบสวนของชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. ทราบว่า ผู้เสียหายทั้ง 3 รายได้รับการชักชวนจาก น.ส.ศิลาณีฯ หรือ แนน ให้ไปทำงานให้บริการนั่งดื่มกับลูกค้าที่เมืองล๊อกกิ่ง ประเทศเมียนมา โดยกล่าวอ้างว่า ใช้เวลาทำงานไม่นาน มีรายได้สูง และไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เมื่อตกลงรายละเอียดกันได้แล้ว น.ส.ศิลาณีฯ ได้พากลุ่มผู้เสียหายไปพักที่หอพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.พานทอง จ.ชลบุรี พร้อมกับ นายสมเกียรติฯ แฟนหนุ่ม เพื่อรอนำไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ และเดินทางต่อไปยังสนามบินเชียงใหม่ จากนั้นจะมี นายชัชวีร์ฯ รอรับกลุ่มผู้เสียหายพาไปพักคอยอยู่ที่หมู่บ้านอรุโณทัย พื้นที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จำนวน 1 คืน เพื่อรอเดินทางข้ามไปยังประเทศเมียนมาในช่วงเช้าตรู่ ซึ่งจะมี นายจายหารฯ ขับขี่รถยนต์บรรทุกผลแตงโมมารับกลุ่มผู้เสียหายเพื่อส่งต่อให้กับกลุ่มคนชาวเขา ซึ่งประกอบด้วย นายซ่าฯ, นางโหย่ง และ น.ส.อะเหลมะ บริเวณริมชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เพื่อเดินข้ามช่องทางธรรมชาติเข้าไปยังประเทศเมียนมา 

หลังจากนั้นจะมีกลุ่มชาวเมียนมา และอินเดีย รับช่วงต่อเพื่อพากลุ่มผู้เสียหายไปส่งที่ร้านคาราโอเกะภายในเมืองล๊อกกิ่ง ประเทศเมียนมา ซึ่งมี น.ส.พิชญ์สินีฯ ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลร้านและคนที่มาทำงาน แต่เมื่อผู้เสียหายไปถึงกลับถูกบังคับให้ไปค้าประเวณีแก่ลูกค้าในร้านดังกล่าว โดยระหว่างที่อยู่ภายในร้านจะมีกลุ่มชายติดอาวุธเฝ้าอยู่โดยตลอด ซึ่งผู้เสียหายทราบภายหลังว่า น.ส.ศิลาณีฯ จะได้ค่านายหน้าในการพากลุ่มผู้เสียหายมาทำงานดังกล่าว เมื่อผู้เสียหายทราบดังนั้นแล้วจึงได้ประสานขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณา ตำรวจและทหารไทย จนสามารถหลบหนีกลับมายังประเทศไทยได้โดยปลอดภัย

ต่อมา พนักงานสอบสวน สภ.พานทอง ภ.จว.ชลบุรี ได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขออนุมัติต่อ ศาลจังหวัดชลบุรีเพื่อขอหมายจับผู้ต้องหาในข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์ จำนวน 8 ราย ดังนี้

1. น.ส.ศิลาณีฯ ทำหน้าที่ ชักชวนกลุ่มผู้เสียหายให้ไปทำงานที่ประเทศเมียนมา และเป็นผู้ติดต่อประสานงานบุคคลต่างๆ เพื่อให้กลุ่มผู้เสียหายสามารถเดินทางไปทำงานที่ประเทศเมียนมาได้
2. น.ส.พิชญ์สินีฯ ทำหน้าที่รับกลุ่มผู้เสียหายไปทำงานที่ร้านที่ประเทศเมียนมา (หลบหนี)
3. นายสมเกียรติฯ ทำหน้าที่ พากลุ่มผู้เสียหายไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ
4. นายชัชวีร์ฯ ทำหน้าที่ รับกลุ่มผู้เสียหายจากสนามบินเชียงใหม่ไปส่งที่ห้องพักในหมู่บ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
5. นายจายหาร สัญชาติเมียนมา ทำหน้าที่รับกลุ่มผู้เสียหาย จากห้องพักในหมู่บ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ไปส่งที่จุดข้ามแดนไปยังประเทศเมียนมา ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
6. นายซ่า ทำหน้าที่พากลุ่มผู้เสียหายลักลอบข้ามไปยังประเทศเมียนมา
7. นางโหย่ง ทำหน้าที่พากลุ่มผู้เสียหายลักลอบข้ามไปยังประเทศเมียนมา
8. น.ส.อะเหลมะ มีหน้าที่พากลุ่มผู้เสียหายลักลอบข้ามไปยังประเทศเมียนมา (หลบหนี)

'แม่นิ่ม' เล่านาที 'น้องต่อ' ตกพื้นก่อนแน่นิ่ง เหตุกลัวความผิด จึงนำไปโยนทิ้งแม่น้ำ

(27 ก.พ.66) ความคืบหน้าคดี ‘น้องต่อ’ อายุ 8 เดือนที่หายตัวไปอย่างปริศนาตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. จนถึงตอนนี้ยังไร้วี่แวว ภายหลังตำรวจ สภ.บางหลวง จ.นครปฐม นำตัวนายพุดและนายแจ้ ไปฝากขังที่ศาลจังหวัดนครปฐม โดยนายพุด ถูกแจ้งข้อหาเป็นธุระจัดหาให้กระทำการค้าประเวณี โดยได้พา น.ส.นิ่ม ภรรยา ไปขายบริการให้กับเพื่อนพ่อ ส่วนนายแจ้ โดนแจ้ง 2 ข้อหา กระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และพรากผู้เยาว์นั้น

ต่อมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าทางคดีว่า นางสาวนิ่ม ซึ่งเป็นแม่ของน้องต่อ ยอมสารภาพแล้วว่า เป็นคนนำลูกไปทิ้งลงแม่น้ำ

โดยผลการเข้าเครื่องจับเท็จ ก็พบว่านางสาวนิ่มให้การเท็จทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ สอดคล้องกับผลตรวจสุขภาพจิตจากโรงพยาบาลตำรวจ ที่ยืนยันว่าไม่ได้มีการป่วยทางจิตแต่อย่างใด ดังนั้นผลการตรวจโดยเครื่องจับเท็จก็สามารถยืนยันได้ว่า สามารถนำมาประกอบสำนวนได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top