Friday, 4 July 2025
AI

ตำรวจภูธรภาค 2 ยกระดับพนักงานสอบสวน สู่มืออาชีพยุคใหม่ ขับเคลื่อนด้วย AI เพิ่มประสิทธิภาพงานสอบสวน สะท้อนภาพลักษณ์องค์กรที่ทันสมัย

(15 พ.ค.68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาผู้ปฏิบัติงานต้นแบบสู่การเป็นตำรวจมืออาชีพของตำรวจภูธรภาค 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (รุ่นที่ 1) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 16 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (The Cop Seminar & Resort) อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยมีพนักงานสอบสวนจากทุกจังหวัดในสังกัดตำรวจภูธรภาค 2 เข้าร่วมจำนวน 40 นาย

สาระสำคัญของการสัมมนาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเวทีแลกเปลี่ยน รับฟังปัญหา อุปสรรค และความต้องการของผู้ปฏิบัติงานในสายงานสอบสวนเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการพัฒนาองค์ความรู้และเสริมสร้างทักษะใหม่ ๆ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้สนับสนุนกระบวนการสอบสวนให้มีความแม่นยำ รวดเร็ว และโปร่งใสมากยิ่งขึ้น

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า

“พนักงานสอบสวนคือด่านแรกของกระบวนการยุติธรรม ที่มีบทบาทสำคัญต่อความเป็นธรรมของสังคม หากระบบสอบสวนไม่เข้มแข็ง ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน การสัมมนาในครั้งนี้ นอกจากจะรับฟังเสียงสะท้อนจากพนักงานสอบสวนในพื้นที่จริงแล้ว เรายังผลักดันให้เกิดการนำเครื่องมือ AI มาใช้เป็นผู้ช่วยสำคัญ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลจากสำนวน, การจัดระเบียบพยานหลักฐาน, การตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิงลึก ตลอดจนการฝึกใช้แอปพลิเคชันสืบค้นข้อมูลอัจฉริยะ เพื่อให้พนักงานสอบสวนสามารถทำงานได้แม่นยำยิ่งขึ้น ลดภาระ และลดโอกาสผิดพลาด”

“เป้าหมายของเราคือให้พนักงานสอบสวนทำงานได้อย่างมีความสุข มีเครื่องมือที่ทันสมัย มีผู้บังคับบัญชาที่รับฟัง และมีระบบสนับสนุนที่มั่นคง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ตำรวจไทยเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง” ผบช.ภ.2 กล่าวเพิ่มเติม

การขับเคลื่อนพนักงานสอบสวนยุคใหม่ของตำรวจภูธรภาค 2 จึงไม่ใช่เพียงการพัฒนาทักษะส่วนบุคคล แต่เป็นการยกระดับทั้งระบบให้ก้าวทันโลก ก้าวทันเทคโนโลยี และก้าวทันความคาดหวังของประชาชนในศตวรรษที่ 21

คนจีนรุ่นใหม่แห่เรียน ‘ภาคค่ำ’ อัปสกิลแค่หลักพัน คอร์สหลากหลาย ตั้งแต่ใช้ AI ขับโดรน จนถึงชงกาแฟ-แต่งหน้า

(20 พ.ค. 68) หลังฤดูกาลหางานช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนผ่านไป คนหนุ่มสาวชาวจีนเริ่มหันมามองหาโอกาสใหม่ ๆ ไม่ใช่แค่สมัครงานหรือโปรโมตตัวเองในที่สาธารณะ แต่ยังเลือกเข้าเรียนใน “โรงเรียนภาคค่ำ” ซึ่งกำลังเป็นทางเลือกยอดนิยมในการอัปสกิลด้วยงบหลักพันบาท

กระแสโรงเรียนภาคค่ำกลับมาเป็นที่สนใจหลังโครงการ “โรงเรียนกลางคืนสำหรับประชาชน” ในเซี่ยงไฮ้กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์ ด้วยค่าเรียนเพียงราว 500 หยวน (ราว 2,300 บาท) หลักสูตรหลากหลายตั้งแต่การใช้ AI ไลฟ์ขายของ ไปจนถึงขับโดรนหรือทำเครื่องดื่ม ซึ่งตอบโจทย์ทั้งสายอาชีพและงานอดิเรก บางคอร์สยังมีโอกาสได้งานพาร์ตไทม์ต่อยอดหลังเรียนจบ

โรงเรียนเหล่านี้แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักคือ โรงเรียนที่ดำเนินการโดยภาครัฐ/ชุมชน และโรงเรียนของภาคเอกชนหรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ จุดเด่นคือราคาเข้าถึงง่ายและไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาเฉพาะทาง ผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานที่มีเป้าหมายชัดเจน ทั้งเพิ่มทักษะ รับมือกับเทคโนโลยีใหม่ หรือเตรียมตัวเปลี่ยนอาชีพในอนาคต

นอกจากผู้เรียนแล้ว ยังมีคนทำงานบางส่วนผันตัวมาเป็นผู้สอนในโรงเรียนภาคค่ำ โดยใช้ประสบการณ์ตรงเป็นใบเบิกทาง เช่น เสี่ยวเชียนในกว่างโจวที่สอนแต่งหน้า พร้อมช่วยแนะงานให้นักเรียนแบบไม่เป็นทางการ กลายเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนทั้งความรู้และเครือข่ายงาน

โรงเรียนภาคค่ำจึงไม่ใช่แค่คลาสเรียนหลังเลิกงาน แต่เป็นเวทีสร้างโอกาส ลดความเสี่ยงในการเปลี่ยนอาชีพ และเปิดทางเลือกใหม่ให้คนจีนรุ่นใหม่ได้พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ในราคาที่จับต้องได้และเรียนรู้ได้จริงจากประสบการณ์ตรง

สัมผัสเทคโนโลยีแห่งอนาคต!!

 🤖 ร่วมเปิดโลกหุ่นยนต์ และ AI แบบสนุก เข้าใจง่าย ในงาน “หุ่นยนต์ไม่กัด!” 
พบกับเวิร์กช็อปและการบรรยายสุดพิเศษ โดยทีมกูรูจาก FIBO มจธ. 
ที่จะพาทุกคนไปรู้จักกับเทคโนโลยีแห่งอนาคต พร้อมกิจกรรมมากมาย 
เข้าร่วมฟรีตลอดงาน!.

🚩 กิจกรรมไฮไลต์:
14.30 น. บรรยาย/Show “AI Service Robot หุ่นยนต์บริการอัจฉริยะ"
15.30 น. เสวนา “หุ่นยนต์และ AI เราคุมมัน หรือมันคุมเรา?” และ Talk "เรียนหุ่นยนต์ อนาคตไปไหน?"
17.00 น. เสวนา “จากเกิดจนโต AI ทำอะไรกับลูกคุณบ้าง?”

🚩 กิจกรรมพิเศษ:
13.00 น. โชว์และสาธิตเทคโนโลยี Mixed Reality | HoloLens
15.00 และ 16.30 น. เวิร์กช็อป: ไก่ชน Mobile Robot (รับจำนวนจำกัด!)

⭐️ พบกันวันจันทร์ที่ 2 มิ.ย. 2568 @ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 สยามพารากอน
▶️ สแกน QR Code เพื่อลงทะเบียนล่วงหน้า

เกาหลีใต้ดันหนังสือเรียน AI ใช้จริงแล้ว 30% ของโรงเรียน หวังยกระดับการศึกษา ปรับการสอนตามนักเรียนแต่ละคน

(21 พ.ค. 68) หลังจากกระทรวงศึกษาธิการเดินหน้าผลักดันการศึกษาแบบดิจิทัลในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โรงเรียนระดับประถม มัธยมต้น และมัธยมปลายในเกาหลีใต้กว่า 30% ได้เริ่มนำหนังสือเรียนที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการเรียนการสอน

ซอฟต์แวร์จากภาคเอกชนและรัฐช่วยให้ AI แจกโจทย์การบ้านเฉพาะบุคคล รวมถึงเขียนรายงานประเมินผลตามระดับความเข้าใจของนักเรียนแต่ละคน เพื่อให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แม้เทคโนโลยีจะเปิดทางสู่การเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล แต่ครูบางส่วนกังวลว่าอาจกลายเป็นภาระเพิ่มเติม ขณะที่ผู้ปกครองตั้งคำถามว่า AI จะช่วยพัฒนาการเรียนรู้ได้จริงหรือแค่ทำให้เด็กติดหน้าจอมากขึ้น

รัฐจึงตัดสินใจคงการใช้หนังสือกระดาษไว้ในบางวิชา เช่น ภาษาเกาหลีและหน้าที่พลเมือง พร้อมเลื่อนการใช้ AI ในวิชาอื่นออกไปก่อน และเตรียมอบรมครู 160,000 คน รวมถึงส่งติวเตอร์ดิจิทัลกว่า 1,200 คนลงพื้นที่ช่วยโรงเรียนทั่วประเทศ

ซีอีโอ NVIDIA ยอมรับ ‘หัวเว่ย’ ขึ้นแท่นผู้นำชิป AI ชี้เทียบชั้น H200 แถมระบบคลัสเตอร์เหนือกว่าคู่แข่งอเมริกัน

(5 มิ.ย. 68) เจนเซน หวง ซีอีโอของ NVIDIA เปิดเผยในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่า เทคโนโลยีชิป AI และระบบคลัสเตอร์ของหัวเว่ย (Huawei) มีศักยภาพเทียบเท่ากับ H200 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปประมวลผล AI รุ่นไฮเอนด์ของ NVIDIA โดยถือเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทออกมายอมรับความก้าวหน้าของคู่แข่งรายนี้อย่างชัดเจน

ซีอีโอ NVIDIA ระบุว่าหัวเว่ยมีพัฒนาการที่รวดเร็ว โดยเฉพาะระบบ AI แบบคลัสเตอร์ 'CloudMatrix' ที่ถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่กว่าระบบ 'Grace Blackwell' ของ NVIDIA เสียอีก โดยเวอร์ชันล่าสุด 'CloudMatrix 384' ใช้ชิป AI จำนวน 384 ตัว เชื่อมต่อแบบครบวงจร ส่งผลให้สามารถประมวลผลได้ถึง 300 PFLOPs (BF16) ซึ่งเกือบเป็น 2 เท่าของระบบ GB200 NVL72 ของ NVIDIA

เจนเซน หวง ยังย้ำว่าหัวเว่ยเป็นบริษัทที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป และยอมรับว่าเป็นคู่แข่งที่มีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงอย่างต่อเนื่อง แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่เขามักใช้ถ้อยคำระมัดระวังในการประเมินศักยภาพของหัวเว่ย

ทั้งนี้ การยอมรับของ NVIDIA สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านเทคโนโลยีระดับโลก ที่แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ แต่หัวเว่ยยังสามารถพัฒนาเทคโนโลยี AI ได้อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในเวทีโลกแล้วในเวลานี้

วิทยาลัยเกษตรบุรีรัมย์ จับมือ “ ม.เชียงใหม่และ เจริญชัย ” นำนวัตกรรม AI ( NiA ) “ ด้านลดค่าไฟ สู่ลดโลกร้อน ” ยกระดับเกษตรบุรีรัมย์ สู่ AI ต้นแบบนวัตกรรมพลังงาน สะอาด 

(10 มิ.ย. 68) นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อยกระดับและพัฒนาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์ ให้เป็นต้นแบบด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดและการลดคาร์บอน โดยนายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ ในการขับเคลื่อนและพัฒนาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีทั้งประเทศ ให้พลิกโฉมและพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ได้ประสานงานร่วมกับ “ ERDI-CMU  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ บริษัทเจริญชัย หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ” ซึ่งได้นำ นวัตกรรม NiA 🇹🇭 AI Transformer Green Management Platform พร้อมร่วมส่งเสริม ต้นแบบ ศูนย์นวัตกรรมเกษตรและพลังงานสะอาด ล้ำสมัย ด้าน AI ประหยัด พลังงาน และ Data Analytics เพื่อการเรียนการสอน พร้อมสู่ ประชาชน แบบ AI Real Time

วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์โชว์กึ๋น สร้างเกษตรนวัตกรรมดิจิตอลยุคใหม่  วันที่ 5 มิถุนายน 2568 บริหารงานโดย #นายสิทธิชนม์_คำแปล ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์ พร้อมคณะผู้บริหาร ครู ร่วมกับ #บริษัทเจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้าจำกัด โดย #นายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ ตำแหน่งกรรมการบริหารด้านนวัตกรรม ร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย #ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี ผู้แทนพิเศษด้านพลังงานสะอาด ร่วมจัดทำแผนพัฒนาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์ภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี จะเป็นศูนย์นวัตกรรมเกษตรและพลังงานสะอาดมุ่งสู่ผู้เรียน และประชาชน #ให้เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ เช่น AI, IOT, Drone และ Bigdata อย่างยั่งยืน ณ ห้องบรรยายสรุป วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์
คลิกอ่าน https://www.facebook.com/share/v/18wiFVQa3p/

ซีอีโอของหัวเว่ย ยอมรับชิปจีนล้าหลังสหรัฐฯ แต่ไม่ยอมแพ้!!...มั่นใจใช้เทคนิคพิเศษทดแทนได้

(11 มิ.ย. 68) เหริน เจิ้งเฟย (Ren Zhengfei) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของหัวเว่ย เทคโนโลยี (Huawei) เปิดเผยว่า ชิป Ascend ของบริษัทยังล้าหลังกว่าของสหรัฐฯ ราวหนึ่งเจเนอเรชัน แต่สามารถบรรลุประสิทธิภาพระดับสูงสุดได้ด้วยเทคนิคการจัดเรียงและการประมวลผลแบบกลุ่ม โดยหัวเว่ยได้จดสิทธิบัตรเทคโนโลยีในการวางชิปซ้อนกันเพื่อลดขนาดโปรเซสเซอร์

ในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ People's Daily ซีอีโอของหัวเว่ยระบุว่า การคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน โดยเฉพาะในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมชี้ว่าจีนมีข้อได้เปรียบหลายด้าน เช่น พลังงานไฟฟ้า เครือข่ายสื่อสาร และเยาวชนที่เก่งจำนวนมาก

เหริน เจิ้งเฟย กล่าวอีกว่า AI คือ “การปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งสุดท้ายของมนุษยชาติ” ควบคู่กับพลังงานสะอาดจากนิวเคลียร์ฟิวชัน และระบุว่าอัลกอริธึม AI จะถูกใช้งานจริงในภาคพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน ถ่านหิน และยา ไม่ใช่แค่ในวงการเทคโนโลยีสารสนเทศเท่านั้น

บทสัมภาษณ์นี้มีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ออกคำแนะนำใหม่ว่า การใช้ชิป Ascend ของหัวเว่ยในที่ใดก็ตามทั่วโลก อาจละเมิดมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ

ซีอีโอวัย 80 ปี เน้นย้ำว่าหัวเว่ยเป็นเพียงหนึ่งในบริษัทชิปของจีนอีกจำนวนมาก พร้อมระบุว่าสหรัฐฯ “พูดเกินจริง” ถึงความสำเร็จของหัวเว่ย และย้ำว่าจีนควรลงทุนในงานวิจัยพื้นฐานเพื่อพึ่งพาตนเองในระยะยาว แทนที่จะนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างชาติ

MIT เผยงานวิจัยชี้ ChatGPT บั่นทอนทักษะคิดวิเคราะห์ พบกลุ่มใช้ AI สมองทำงานน้อยลง จำงานตัวเองไม่ได้

(21 มิ.ย. 68) ทีมนักวิจัยจาก MIT Media Lab ในสหรัฐอเมริกา เผยผลการศึกษาใหม่ว่า การใช้ ChatGPT ในการทำงานด้านการเขียน อาจส่งผลลบต่อการทำงานของสมอง โดยเฉพาะความสามารถในการคิดวิเคราะห์และจดจำงานวิชาการ งานวิจัยนี้ศึกษาจากอาสาสมัคร 54 คนอายุระหว่าง 18–39 ปี โดยแบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกใช้ ChatGPT กลุ่มที่สองใช้ Google Search และกลุ่มสุดท้ายไม่ใช้เครื่องมือใดเลยในการเขียนเรียงความ

การวัดคลื่นสมองผ่าน EEG (Electroencephalogram) เผยว่ากลุ่มที่ใช้ ChatGPT มีการทำงานของสมองต่ำที่สุด ทั้งในแง่ของการคิดเชิงบริหาร การมีสมาธิ และความคิดสร้างสรรค์ โดยเมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน ผู้ใช้ ChatGPT เริ่มพึ่งพาเครื่องมือมากขึ้นจนถึงขั้นคัดลอกงานจาก AI โดยตรงโดยไม่พยายามเขียนเอง ส่งผลให้เรียงความขาดความคิดต้นฉบับและถูกครูประเมินว่า 'ไร้จิตวิญญาณ'

ในทางตรงข้าม กลุ่มที่เขียนเองโดยไม่ใช้เครื่องมือใด ๆ แสดงคลื่นสมองที่เชื่อมต่อกันอย่างสูงในคลื่นอัลฟาและเดลตา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการคิดสร้างสรรค์ การใช้ความจำ และการวิเคราะห์ความหมาย ส่วนกลุ่มที่ใช้ Google Search แม้จะมีสมองทำงานน้อยกว่ากลุ่มแรกเล็กน้อย แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมและความพึงพอใจสูงกว่ากลุ่ม ChatGPT อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ เมื่อลองให้แต่ละกลุ่มเขียนเรียงความซ้ำอีกครั้งภายใต้เงื่อนไขสลับกัน กลุ่มที่เคยใช้ ChatGPT กลับเขียนงานได้ยากลำบากเมื่อต้องลงมือเอง ขณะที่กลุ่มที่เคยเขียนเองกลับใช้ ChatGPT ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยยังคงมีการคิดวิเคราะห์ของตนเองอยู่ ทีมวิจัยจึงตั้งข้อสังเกตว่าการใช้ AI โดยไม่มีพื้นฐานการคิดที่ดี อาจทำให้สมองหยุดเรียนรู้ในระยะยาว

แม้งานวิจัยนี้ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ และมีขนาดกลุ่มตัวอย่างค่อนข้างจำกัด แต่นักวิจัยนำโดย นาตาเลีย คอสมีนา ยืนยันว่าควรเผยแพร่ข้อมูลนี้ทันทีเพื่อเตือนสังคมถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหาก AI ถูกใช้ในภาคการศึกษาโดยไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะกับเด็กที่สมองยังพัฒนาไม่เต็มที่

ปัจจุบัน MIT Media Lab ยังทำการศึกษาผลของ AI ต่อสาขาอื่น เช่น การเขียนโปรแกรม ซึ่งเบื้องต้นพบผลลบเช่นกัน ด้านจิตแพทย์เด็กเตือนว่าการพึ่งพาโมเดลพื้นฐานที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลทางภาษา หรือเรียกว่า LLM  มากเกินไป อาจทำให้ความสามารถในการจดจำและการคิดอย่างยืดหยุ่นของเด็กเสื่อมถอยลงในระยะยาว

ตำรวจภูธรภาค 2 เร่งเครื่องเสริมแกร่ง พนักงานสอบสวน ติดอาวุธสุดล้ำทักษะ AI ปั้นรุ่น 3 ลดภาระงาน เพิ่มประสิทธิภาพ

(25 มิ.ย. 68) ที่ ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 2 (ศฝร.ภ.2) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจพนักงานสอบสวนที่เข้าร่วม “การอบรมการใช้ AI เพื่อพัฒนางานสอบสวน รุ่นที่ 3” ซึ่งถือเป็นรุ่นสุดท้ายในโครงการยกระดับงานสอบสวนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ตำรวจภูธรภาค 2 ดำเนินการต่อเนื่อง

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เปิดเผยว่า การอบรมครั้งนี้จัดขึ้นอย่างเข้มข้นในรูปแบบค่ายฝึกเฉพาะกิจ โดยมีพนักงานสอบสวนจากตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทราเข้าร่วม หลายคนสละเวลาจากงานประจำเพื่อมาเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์คดี แปลผลข้อมูล และจัดการเอกสารสำนวน ซึ่งเป็นจุดที่มักใช้เวลานานในระบบสอบสวนแบบเดิม

“ผู้เข้าร่วมได้รับการถ่ายทอดความรู้จาก ดร.สุขยืน เทพทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ โดยเน้นการใช้งานจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ตั้งแต่ระบบช่วยวิเคราะห์หลักฐาน จัดเรียงเอกสารอัตโนมัติ ไปจนถึงการลดข้อผิดพลาดในการเขียนสำนวน โครงการนี้มีเป้าหมายหลัก 3 ประการ ได้แก่
•ลดภาระงานซ้ำซ้อน ของพนักงานสอบสวน ด้วยการใช้ระบบอัจฉริยะมาช่วยจัดการข้อมูล
•เพิ่มความแม่นยำของสำนวนคดี ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI
•เร่งขับเคลื่อนนวัตกรรมในกระบวนการยุติธรรม ให้เท่าทันโลกยุคดิจิทัล“

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เปิดเผยด้วยว่า การอบรมรุ่นที่ 3 นี้เป็นรุ่นสุดท้ายในเฟสแรกของโครงการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ เราไม่ได้แค่สอนใช้โปรแกรม แต่เรากำลังสร้างวัฒนธรรมใหม่ของการทำงานที่มีเครื่องมืออัจฉริยะเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ โดยเราได้อบรมติดอาวุธทางเทคโนโลยีให้พนักงานสอบสวนใน ภ.2 รวมแล้วร่วมเกือบ 1,000 นาย

ตำรวจภูธรภาค 2 เชื่อมั่นว่าหลังจบการอบรม พนักงานสอบสวนจะสามารถนำ AI ไปใช้ได้จริงในงานประจำวัน ทั้งในด้านความเร็ว ความถูกต้อง และประสิทธิภาพ โดยคาดว่าผลลัพธ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ไม่น้อยกว่า 3 เท่า

“แม้จะเป็นการอบรมรุ่นสุดท้ายของโครงการนี้ แต่ทางตำรวจภูธรภาค 2 ยังเตรียมแผนติดตามผลการใช้งานจริงในพื้นที่ พร้อมรวบรวมข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาแนวทางฝึกอบรมในอนาคตให้ตอบโจทย์ภาคสนามมากยิ่งขึ้นการเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ตำรวจภูธรภาค 2” ไม่ได้อยู่เฉยรอการเปลี่ยนแปลง แต่เลือกเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง พัฒนาเจ้าหน้าที่ให้พร้อมรับมือกับปัญหายุคใหม่ ทั้งการขาดแคลนบุคลากรและความซับซ้อนของคดี พร้อมเดินหน้าสู่การสอบสวนอัจฉริยะที่เท่าทันเทคโนโลยีโลกในทุกมิติ” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

เยอรมนีจี้ Apple–Google แบน DeepSeek หวั่นข้อมูลผู้ใช้ถูกส่งกลับจีน!! ชี้ละเมิดกฎหมายคุ้มครอง

(30 มิ.ย. 68) เยอรมนีออกคำเตือนถึง Apple และ Google ให้พิจารณาแบนแอป AI จากจีนชื่อ DeepSeek หลังพบว่ามีการส่งข้อมูลผู้ใช้ในเยอรมนีกลับไปยังจีนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อกำหนดด้านการปกป้องข้อมูลของสหภาพยุโรป (GDPR) โดยสำนักงานคุ้มครองข้อมูลของกรุงเบอร์ลินระบุว่า DeepSeek ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อมูลของผู้ใช้ชาวเยอรมันจะปลอดภัยเมื่อถูกส่งไปยังจีน

DeepSeek ได้รับความสนใจมากขึ้นหลังเปิดตัวโมเดล AI ราคาประหยัดที่อ้างว่าพัฒนาได้ด้วยต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง และปล่อยแอปแชตบอตที่มีผู้ดาวน์โหลดหลายล้านครั้งทั่วโลก อย่างไรก็ตาม แอปนี้มีการส่งข้อมูลผู้ใช้งานกลับไปยังจีน ซึ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจีนอาจเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรปได้ เรื่องนี้ขัดต่อกฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป ซึ่งกำหนดให้ต้องมีมาตรการคุ้มครองข้อมูลอย่างเข้มงวดก่อนจะส่งข้อมูลออกนอกยุโรป

ปัจจุบันหน่วยงานกำกับข้อมูลของเยอรมนีได้แจ้ง Apple และ Google ถึงข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้ว และคาดหวังว่าทั้งสองบริษัทจะรีบดำเนินการตรวจสอบว่าแอปพลิเคชั่น DeepSeek ควรถูกถอดออกจาก App Store และ Play Store หรือไม่ หากทั้งสองบริษัทดำเนินการตามคำแนะนำ ก็เท่ากับเป็นการแบน DeepSeek ทั่วทั้งสหภาพยุโรป

ทั้งนี้ DeepSeek เคยเผชิญปัญหาลักษณะเดียวกันมาแล้วในยุโรป โดยอิตาลีเคยสั่งระงับแอปดังกล่าวในประเทศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และไอร์แลนด์ก็เคยขอข้อมูลด้านการประมวลผลข้อมูลจากบริษัทในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หากแนวโน้มการตรวจสอบยังดำเนินต่อไป อาจส่งผลให้ DeepSeek สูญเสียตลาดสำคัญในยุโรปและสหราชอาณาจักรในไม่ช้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top