Sunday, 15 June 2025
ไทยกัมพูชา

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมคณะผู้แทนไทย ร่วมประชุมทวิภาคีไทย-กัมพูชา ร่วมแก้ปัญหาการเยียวยาเหยื่อค้ามนุษย์ ส่งต่อข้อมูลการคัดแยกเหยื่อ อย่างไร้รอยต่อ

(18 ม.ค. 66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ได้ร่วมกับคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมทวิภาคีไทย-กัมพูชา เพื่อหารือการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมสำหรับการดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 ม.ค.66 โดยมีผู้แทนจากหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม โดยมีนายประวิทย์ ร้อยแก้ว รองอธิบดีอัยการ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย นอกจากนี้ยังมีผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม กรมการปกครอง กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งผู้แทนจากมูลนิธิต่างๆ อีกจำนวนมาก โดยมีองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) เป็นเจ้าภาพในการประสานงาน และมีท่านโช บุน เฮือง ปลัดกระทรวงมหาดไทย/รองประธานคณะกรรมการต่อต้านการค้ามนุษย์ เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชา

ในการประชุมนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มีโอกาสในการนำเสนอผลงานการดำเนินคดีค้ามนุษย์ของประเทศไทยซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทำงานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจกำกับติดตามและช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นประธานอนุกรรมการดังกล่าว ทำหน้าที่ในการติดตามการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและเหมาะสม นอกจากนี้ยังได้กล่าวขอบคุณทางการกัมพูชา ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้มีการประสานความร่วมมือกันในการช่วยเหลือเหยื่อคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับมาได้มากกว่า 1,105 คน 

จันทบุรี เป็นเจ้าภาพจัดประชุมร่วมคณะกรรมการชายแดน ส่วนภูมิภาค ไทย – กัมพูชา ครั้งที่ 25 CBC – 25 เสริมสร้างความมั่นคง กระชับสัมพันธไมตรี

วันนี้ ( 19 พ.ค.66 ) ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมนิวส์แทรเวิลลอร์ดจังหวัดจันทบุรี พลเรือโท เผดิมชัย สุคนธมัต ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด นำหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจากจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด อาทิ นายสันติ รังษิรุจิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี, นายกัฬชัย เทพวรชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 จังหวัดร่วมประชุมหารือกับผู้แทนจากราชอาณาจักรกัมพูชาที่มี พลเอก เยือน โซะคน รองผู้บัญชาการกองทัพบก และ ผู้บัญชาการภูมิภาคที่ 3 ราชอาณาจักรกัมพูชา พร้อมด้วย คุณหญิง มิถุนา ภูทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง นำหัวหน้าส่วนราชการจากจังหวัดเกาะกง ราชอาณาจักรกัมพูชาร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดน ส่วนภูมิภาค ไทย – กัมพูชา  ครั้งที่ 25 หรือ CBC – 25 โดยครั้งนี้เป็นการกระชับสัมพันธไมตรี ความร่วมมือชายแดน การค้า เศรษฐกิจ  ความมั่นคงชายแดน รวมทั้งประเพณีสังคมที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนาน โดยครั้งที่ประชุมเลขานุการคณะกรรมการฯ ฝ่ายไทย และเลขานุการคณะกรรมการฯ ฝ่ายกัมพูชาได้อ่านทบทวน ผลการประชุมร่วมคณะทำงาน กองเลขานุการฯ  ประธานคณะกรรมการฯ ทั้ง 2 ฝ่ายรับทราบบันทึกการประชุมร่วมกองเลขานุการฯ และอนุญาตให้เลขานุการทั้ง 2 ฝ่าย จัดทำเอกสารเป็นทางการเพื่อลงนามต่อไป ซึ่งผลการประชุมของคณะกรรมการชายแดน ส่วนภูมิภาค ไทย – กัมพูชา  ครั้งที่ 25 จะเป็นข้อมูลในการประชุมคณะกรรมการทั่วไป ระดับประเทศของทั้ง 2 ประเทศในโอกาสต่อไป 

ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา จ.จันทบุรี
พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์รวมข่าวภาคตะวันออก

ทหารกัมพูชา ดับ 1 จากการปะทะทหารไทยที่ ‘เขาช่องบก’ โฆษก ‘ทบ.กัมพูชา’ อ้างไทยเริ่มก่อน ทำเหตุการณ์บานปลาย

(28 พ.ค. 68) จากกรณีเหตุยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา บริเวณชายแดนพื้นที่พิพาท เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยโฆษกกองทัพกัมพูชา เหมา พัลลา ระบุว่า ทหารกัมพูชากำลังลาดตระเวนตามปกติ ก่อนถูกฝ่ายไทยเปิดฉากยิง

ด้านกองทัพไทยชี้แจงว่า ทหารกัมพูชาได้เข้ามาในพื้นที่พิพาท จึงส่งกำลังไปเจรจา แต่เกิดความเข้าใจผิด ทำให้ฝั่งกัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน และไทยจึงตอบโต้ การปะทะยืดเยื้อราว 10 นาที ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาท้องถิ่นจะสื่อสารกันและสั่งหยุดยิง

กัมพูชาระบุว่ามีทหารเสียชีวิต 1 นาย และได้เคลื่อนย้ายศพออกจากพื้นที่เพื่อประกอบพิธี ขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้

ไทยและกัมพูชามีประวัติข้อพิพาทเรื่องดินแดนมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะบริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งได้รับสถานะมรดกโลกเมื่อปี 2551 และศาลโลกตัดสินให้กัมพูชามีอธิปไตยในปี 2556 ซึ่งก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ก็เคยเกิดเหตุปะทะเล็กน้อยจากกรณีกำลังพลกัมพูชานำครอบครัวเข้าพื้นที่และร้องเพลงชาติใกล้ชายแดน ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้น

‘ฮุน เซน’ เตือนปมชายแดนไทย-กัมพูชา อาจกลายเป็น ‘กาซา’ เสนอพึ่งศาลโลก หวั่นความขัดแย้งเรื้อรังไม่สิ้นสุด

(2 มิ.ย. 68) สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เตือนว่าหากปัญหาพรมแดนระหว่างกัมพูชากับไทยไม่ได้รับการแก้ไขผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) อาจนำไปสู่ความขัดแย้งเรื้อรังคล้ายสถานการณ์ในกาซาระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ พร้อมย้ำว่า “หากเราจริงใจ ทำไมต้องกลัวศาลโลก?”

ล่าสุด ฮุน เซนโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ในการประชุมร่วมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภาเช้าวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา สมาชิก 182 คนลงมติเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ ต่อแผนการของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ในการยื่นข้อพิพาทพรมแดนกับไทยเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยถือเป็นมติสนับสนุนจากฝ่ายนิติบัญญัติอย่างชัดเจน

ฮุน เซนยังกล่าวว่า บันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อปี 2000 ที่เคยลงนามร่วมกับไทยนั้น “หมดความหมาย” หลังผ่านมา 25 ปีโดยไม่มีความคืบหน้า พร้อมเปิดเผยว่ามีทหารกัมพูชาถูกยิงเสียชีวิตในเหตุปะทะล่าสุด ถือเป็นอีกหลักฐานว่าความขัดแย้งยังไม่ยุติ

ด้านนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ระบุว่ากัมพูชาจะเดินหน้ายื่นเรื่องต่อ ICJ ไม่ว่าจะได้รับความร่วมมือจากไทยหรือไม่ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนทุกฝ่ายสามัคคี สนับสนุนกองทัพ และงดการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงเวลาสำคัญนี้

หากสถานการณ์บานปลาย ฮุน เซนยืนยันว่ากัมพูชาจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อขอการแทรกแซงระหว่างประเทศ โดยย้ำว่ากัมพูชาไม่มีเจตนายึดครองดินแดน แต่จะไม่ยอมสูญเสียพื้นที่อีกแม้แต่ตารางนิ้วเดียว 

ขณะที่กองทัพบกของไทย ชี้แจงว่าการเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่จะนำข้อพิพาทไปยังศาลโลกนั้น เป็นเรื่องทางกฎหมายระหว่างประเทศที่มีมาก่อนหน้า และ “ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง” กับกรณีเหตุการณ์ล่าสุดบริเวณชายแดน 

รัฐบาลไทย เบรกแผนกองทัพปิดด่าน หลังผู้นำกัมพูชาต่อสายร้องขอ หวั่นกระทบเศรษฐกิจชายแดน

(2 มิ.ย. 68) มีรายงานว่า รัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ขอให้กองทัพใช้ความอดทนอดกลั้นต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังพบว่ากัมพูชาเพิ่มกำลังทหารและอาวุธหนักในพื้นที่ช่องบก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ โดยฝ่ายกัมพูชาหันปืนใหญ่เข้าสู่ฝั่งไทย

กองทัพไทยแจ้งต่อรัฐบาลว่า ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามายังเขตแดนของไทย จึงเสนอปิดด่านชายแดนทั้งหมด เพื่อกดดันให้กัมพูชาถอนกำลังออกไป โดยมองว่าหากนิ่งเฉยจะเป็นการยอมรับการล้ำแดน ซึ่งสร้างความไม่สบายใจต่อฝ่ายทหาร

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ ขอให้ชะลอแผนปิดด่านออกไป เนื่องจากกังวลว่าจะกระทบต่อการค้าชายแดน และซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ พร้อมระบุว่ากำลังจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นเวทีทางการทูตที่ควรให้โอกาสก่อน

รายงานระบุเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ. เตีย เซ็ยฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา ได้โทรศัพท์หานายภูมิธรรม ร้องขอไม่ให้ไทยปิดด่านชายแดน ซึ่งนำไปสู่การพูดคุยภายในรัฐบาล และมีคำสั่งให้กองทัพยับยั้งมาตรการแข็งกร้าวไว้ชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดที่จะลุกลามบานปลาย

ชายแดนตึงเครียด!..ทหารกัมพูชาลาดตระเวนเข้ม พบวางทุ่นระเบิดเพิ่ม เตือนประชาชนหลีกเลี่ยงเข้าป่า

(4 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊กข่าวทหาร รายงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาให้เพิ่มความระมัดระวังขั้นสูงสุด หลังพบรายงานว่าทหารกัมพูชาได้เพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน และมีการวางทุ่นระเบิดเพิ่มเติมในบางจุด ซึ่งเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต หากเผลอเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว

โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มที่นิยมเข้าป่า หาเห็ด หรือหาของป่า ถูกขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงการเดินทางในพื้นที่แนวชายแดนในช่วงนี้อย่างเด็ดขาด ห้ามเข้าไปคนเดียว และควรแจ้งผู้นำชุมชนหรือเจ้าหน้าที่ก่อนทุกครั้งหากมีความจำเป็น รวมทั้งควรระวังบุคคลแปลกหน้า ทหารต่างชาติ หรือวัตถุต้องสงสัยต่าง ๆ

ทั้งนี้ สถานการณ์ล่าสุดยังไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น แต่ความเสี่ยงยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง ประชาชนจึงควรติดตามประกาศจากทางการอย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนกันภายในชุมชนเพื่อความปลอดภัยร่วมกัน หากพบสิ่งผิดปกติให้โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีเพื่อรับความช่วยเหลือโดยเร็ว

‘ฮุน มาเนต’ ยันจะไม่คุย 2 ฝ่ายกับไทย ขอไปพึ่งศาลโลก ชี้ กลไก JBC ไม่สามารถชี้ขาดพิพาทชายแดนได้

‘ฮุน มาเนต’ ออกแถลงการณ์ ย้ำจุดยืน เตรียมส่ง 4 พื้นที่ ช่องบก -ปราสาทตาเมือนธม -ปราสาทตาเมือนโต๊ด -ปราสาทตาควาย เข้าสู่ศาลโลก พร้อมปฏิเสธการเข้าร่วมประชุม JBC กับไทย 14 มิ.ย.นี้ ชี้ ไม่สามารถชี้ขาดพิพาทชายแดนได้

วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า พนมเปญ – สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่คลี่คลาย เมื่อล่าสุด พลเอก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ย้ำจุดยืนชัดเจนว่า รัฐบาลของเขาจะไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ณ กรุงพนมเปญ พร้อมประกาศขอใช้ช่องทางทางกฎหมายระหว่างประเทศโดยการยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) แทนการเจรจาทวิภาคีกับไทย

ฮุน มาเนต ระบุว่าท่าทีนี้สอดคล้องกับแนวทางของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา ซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีคนก่อน และยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองสูง โดยระบุชัดว่า กัมพูชาจะไม่ประนีประนอมในพื้นที่พิพาทสำคัญ ๆ อาทิ ช่องบกในเขตชายแดนอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ไปจนถึงกลุ่มปราสาทโบราณสำคัญ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ซึ่งทอดยาวตามแนวชายแดนกว่า 200 กิโลเมตร

ในทางกลับกัน ฝั่งรัฐบาลไทยโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าไทยยังยึดหลักเจรจาอย่างสันติ และจะไม่ขยายกรอบการหารือไปยังพื้นที่อื่นโดยไม่จำเป็น

"เราไม่ได้เสียอธิปไตยไป และเรายังเชื่อในพลังของการเจรจาเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย…ไทยจะไม่ไล่ตามไปทุกประเด็นที่กัมพูชาขยายออกมา เราขอพูดเฉพาะจุดที่เกิดเหตุจริงๆ เท่านั้น"นายภูมิธรรมกล่าว

สำหรับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชานั้นถือเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานกว่า 20 ปี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีโบราณสถาน เช่น กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเคยเป็นกรณีฟ้องร้องต่อศาลโลกในอดีต และยังคงทิ้งบาดแผลทางประวัติศาสตร์และอธิปไตยไว้ทั้งสองฝ่าย

การที่กัมพูชาตัดสินใจไม่เข้าร่วม JBC ครั้งนี้ อาจเป็นสัญญาณของความตึงเครียดที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจบริเวณชายแดนในอนาคต

ถอดรหัสความเงียบของชายแดน เมื่อเขมรแสดงสิทธิ์ แต่คนไทยกลับถอย

(7 มิ.ย. 68) เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเอย่าได้นัดแนะกับพี่ทหารที่ชายแดนแม่สอด พี่เค้าบอกว่าจะพาเอย่าไปที่ปราสาทตาเมือนธมและช่องบก 

พอไปถึงพี่แกก็พาเอย่าไปพบเพื่อนเขาที่เป็นทหารคุมชายแดนแถวนั้น เอย่าก็ไม่รอช้าถามพี่เขาเลยว่าทำไมไม่เห็นมีคนไทยมาเที่ยวเลย มีแต่คนเขมรมาและคำตอบที่ได้ก็ทำให้เอย่าอดจะตกใจไม่ใช่น้อย พี่เขาบอกว่า

“คนเขมรเขาไม่คิดหรอกว่าจะมีสงคราม เขารู้ว่าฝั่งไทยไม่อยากรบ” เอย่าเลยถามต่อ

“อ้าวงั้นทำไมคนไทยไม่มาเที่ยวละ”

คำตอบที่ได้นั้นน่าสนใจยิ่ง พี่เขาบอกว่า คนไทยไม่ไว้ใจพวกเขมร มีแต่คนเขมรเท่านั้นที่เขาคิดว่าทหารเขมรจะไม่ยิง แต่คนไทยไม่มีใครพร้อมสู้นะ คนไทยนะเอาจริงๆเก่งก็แค่ในโซเชียล มาถึงวันนี้ความใจกล้า บ้าบิ่นต่างจากฝั่งเขมรเยอะ ต้องยอมรับว่าหลายสิบปีมานี้ที่ฮุนเซนมีอำนาจ เขาได้สร้างชุดความคิดหนึ่ง การเคลมซอฟต์พาวเวอร์ต่างๆ จากไทย เป็นแผนการสร้างชาติของเขมรยุคใหม่ที่ใช้ทฤษฎีแบบขโมยเอามาแบบดื้อๆ ส่วนผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไทย ณ วันนี้ก็เห็นแค่ผลประโยชน์ทางธุรกิจของคนบางกลุ่มแต่กลับไม่ได้สนใจที่จะแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมด้วยซ้ำ

เอย่าแย้งต่อทันทีคะ ว่าก็นี่เขาประชุม JBC กันไงคะ พี่ทหารส่วนกลับทันทีเช่นกัน ว่าฝั่งพม่าประชุม TBC มากี่รอบแล้วแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ถามว่าฝั่งไทยรู้ทั้งรู้ว่ายาเสพติดอยู่จุดไหน ค้ามนุษย์ตรงไหน แล้วแก้อะไรได้บ้าง สิ่งที่โชคดีของฝั่งชายแดนพม่าคือพวกกะเหรี่ยงยังไม่มายึดดินแดนไทยแบบเอิกเกริกเท่านั้นเอง เขาใช้วิธีกองทัพมดเปลี่ยนสัญชาติแทน

คำตอบนี้ยอมรับว่าทำให้เอย่าอึ้งไปไม่น้อย สุดท้ายก่อนจากกันพี่ทหารย้ำว่า คนไทยเก่งแต่บริจาคแต่ให้มาช่วยปกป้องทำสิ่งที่ถูกต้องน้อยคนจะทำ เก่งสุดคือในโซเชียล ดูได้จากยามเขมรที่ทำงานในไทยมันโพสต์เฟซบุ๊กขู่ฟ่อๆ รัฐบาลไทยไม่เห็นทำอะไรเลย ลองไปทำในประเทศอื่นสิป่านนี้มันโดนดำเนินคดีและเนรเทศไปนานแล้ว คนไทยพึ่งพาพวกแรงงานชาติข้างๆ จนลืมไปว่าคนพวกนี้เขาอยากมีตัวตนในประเทศเรามากแค่ไหน และนั่นทำให้การแก้ปัญหาของไทยถึงป้อแป้เแบบนี้ไง 

คำตอบนี้แม้เป็นการสะท้อนความเห็นของคนเพียงคนเดียวแต่มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า คนไทยเรากำลังถูกคนต่างชาติเข้ามาลิดรอนสิทธิ์หรือไม่ บางทีการใช้นโยบาย Thai First แก้การจัดการกับพวกคนต่างชาติอย่างจริงจังอาจจะแก้ปัญหาเหล่านี้ในระยะยาว ก่อนที่คนไทยจะสิ้นชาติและสูญพันธุ์

กองทัพไทยประชุมเข้ม ปมปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำหลักสันติภาพ แต่พร้อมตอบโต้เมื่อจำเป็น

(7 มิ.ย. 68) กองบัญชาการกองทัพไทยจัดการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 4 ประจำปี 2568 ณ กองบัญชาการกองทัพอากาศ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยมี พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธาน พร้อมผู้บัญชาการเหล่าทัพและ ผบ.ตร. เข้าร่วม ย้ำความพร้อมปกป้องอธิปไตยชาติและความปลอดภัยของประชาชนบริเวณชายแดน

กองทัพบกได้รายงานเหตุปะทะบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี โดยระบุว่า ทหารไทยถูกเปิดฉากยิงขณะลาดตระเวนในฝั่งไทย จึงตอบโต้ตามกรอบกฎหมายและกฎการใช้กำลัง พร้อมดำเนินการชี้แจงผ่านช่องทางทางการแล้วครบถ้วน แม้ไทยพยายามประสานผ่านกลไก JBC แต่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย และฝ่ายกัมพูชายังเพิ่มกำลังในพื้นที่

ผบ.ทบ. จึงสั่งยกระดับความพร้อมทั้งกำลังพล อาวุธ และแผนเผชิญเหตุ เพื่อเตรียมการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านเหล่าทัพอื่น ๆ และตำรวจแห่งชาติ ยืนยันสนับสนุนภารกิจของกองทัพบกอย่างเต็มที่ ทั้งด้านยุทธการ การข่าว และการสนับสนุนข้อมูลต่อหน่วยงานภาครัฐ พร้อมเตรียมชี้แจงผู้ช่วยทูตทหารใน-ต่างประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เพิ่มมาตรการคัดกรองชายแดน สืบสวนเชิงลึก และป้องกันภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการสกัดข่าวปลอมและการแทรกซึมของต่างด้าว เพื่อสนับสนุนภารกิจร่วมกับกองทัพในทุกมิติอย่างใกล้ชิดทั้งแนวหน้าและแนวหลัง

ทั้งนี้ กองทัพไทยขอให้ประชาชนมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ของทุกหน่วย พร้อมเชิญชวนคนไทยร่วมใจ ใช้วิจารณญาณรับข่าวสารอย่างมีสติ และเป็นพลังสำคัญในการรักษาเสถียรภาพ ความมั่นคง และสามัคคีของชาติอย่างยั่งยืน

กระทรวงการต่างประเทศย้ำใช้กลไก JBC แก้ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาอย่างสันติ

(7 มิ.ย. 68) กระทรวงการต่างประเทศแถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยย้ำการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในการประชุมวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ควบคู่กับกลไกคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีและลดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าที่ประชุมได้หารือการเตรียมการในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีเป้าหมายหลักในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี โดยใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เช่น การประชุม JBC, GBC และ RBC ซึ่งมีหน้าที่หลักในการดูแลสถานการณ์ชายแดนให้มีความสงบเรียบร้อย

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยมีความพร้อมในการประชุม JBC ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ณ ประเทศกัมพูชา และหวังว่าการประชุมดังกล่าวจะช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดน ให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top