Monday, 19 May 2025
ไต้หวัน

ทึ่ง!! ‘ไทเป 101’ มี ‘ลูกต้มยักษ์’ น้ำหนัก 660 ตัน เทียบเท่าช้าง 132 ตัว ช่วยป้องกันตึกถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหว ชี้ ถือเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด

เมื่อไม่นานมานี้ จากช่องติ๊กต็อก jadeforyouofficial ได้โพสต์คลิปขณะไปเยือน Taipei 101 ตึกที่สูงที่สุดในไต้หวัน และยังมีอีกหนึ่งความพิเศษนั่นก็คือ ‘ลูกตุ้มยักษ์’ หรือ Tuned Mass Damper หัวใจหลัก ถ้าหากเกิดเหตุ ‘แผ่นดินไหว’ ที่ตรงนี้จะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในไต้หวันเลยก็ว่าได้ โดยในคลิประบุว่า…

Taipei 101 คือตึกที่สูงที่สุดในไต้หวัน และเคยสูงที่สุดในเอเชีย มีทั้งหมด 101 ชั้น และมีความพิเศษอย่างนึงที่หลายตึกสูง ๆ ไม่มี นั่นก็คือ ‘การทนกับแผ่นดินไหว’ ที่ถึง 7 ริกเตอร์

แต่ก่อนจะเข้าถึงเรื่องนี้ ไต้หวันเป็นประเทศที่มีภูเขาเยอะมาก สำหรับพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ราบ มีแค่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่โดยรวม และคือ 2 ใน 3 นี้เป็นภูเขาหมดเลย ดังนั้น ผู้คนต้องอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทายอย่างมาก เพราะจะทํายังไงให้ใช้พื้นที่ที่มีอยู่จํากัดให้เกิดประโยชน์ที่สุด ซึ่งคนไต้หวันเลยเป็นอีกหนึ่งชาติในโลกที่เทียบเท่ากับคนญี่ปุ่น เนื่องจากต้องสู้กับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ

ถัดมาที่ชั้น 91 ซึ่งจะเป็นแบบเปิด และสามารถรับลมได้ 400 เมตร โดยมุมนี้จะมองเห็นเลยว่าไต้หวันถือว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญในระยะเวลาที่ไม่นาน เนื่องจากตึกเต็มไปหมด ถือเป็นความมหัศจรรย์ของมนุษย์จริง ๆ นอกจากนี้ การจัดวางแบบลักษณะภูเขาสูงและตึกสลับกันไปมา ซึ่งเราจะไม่ค่อยเห็นกันมากนัก

อย่างไรก็ตาม ถัดมาที่ไฮต์ไลท์เด็ดภายในตึก Taipei 101 ที่มี ‘ลูกตุ้มยักษ์’ หรือ Tuned Mass Damper อยู่ด้วย ซึ่งเวลาแผ่นดินไหว เจ้าลูกบอลใบนี้ มันก็จะเคลื่อนตัว โดยมีการแกว่งไปมา ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแผ่นดินไหวไปทางด้านไหน โดยมีน้ำหนัก 660 ตัน เท่ากับช้างประมาณ 132 ตัว ฉะนั้นถ้าเกิดแผ่นดินไหวที่ตรงนี้จะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในไต้หวัน ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักเลยทีเดียว…และถ้าหากตึกต่าง ๆ ในโลกมีแบบนี้ ก็จะสามารถช่วยรับแรงเคลื่อนไหวของ ‘แผ่นดินไหว’ ได้เช่นกัน

สำหรับตึกต่าง ๆ อาจจะรับน้ำหนัก รับแรงสั่นสะเทือนไม่ได้มาก แต่สำหรับตึก Taipei 101 นี้การสร้างของเขาคือสร้างมาเพื่อป้องกันแผ่นดินไหวโดยเฉพาะ และยังมีเคเบิ้ลทองที่เป็นตัวรองรับน้ำหนักของเจ้าลูกต้มนี้อีกที่นึง ส่วนข้างล่างก็มี Choke ซึ่งไม่ใช่ว่าจะแกว่งไปไหนก็ได้ และถ้าหากถูกแกว่งไปด้านไหน มันก็จะรับน้ำหนักแล้วก็จะกลับมาด้านเดิม

'ไต้หวัน' เตรียมรื้อถอน อนุสาวรีย์ 'เจียง ไคเชก' ทั่วประเทศ หวังล้างภาพลักษณ์เผด็จการ ยุคแห่งความน่าสะพรึงสีขาว

รัฐบาลไต้หวันประกาศที่จะรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก ประธานาธิบดีคนแรกของไต้หวัน ที่มีอยู่ถึง 760 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงอนุสรณ์สถานใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงไทเปด้วย ท่ามกลางการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานถึงภาพลักษณ์ 2 ขั้วอันย้อนแย้งว่า เจียง ไคเชก เคยเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำที่ต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น และ ลัทธิคอมมิวนิสต์จีน-โซเวียต จนนำไปสู่การก่อตั้งสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในเวลาต่อมา 

แต่ในอีกแง่หนึ่งเขาก็เป็นผู้นำเผด็จการทหาร ที่ปกครองไต้หวันด้วยกฏอัยการศึกยาวนานถึง 38 ปี โดยที่ใช้ความรุนแรงปราบปรามกลุ่มต่อต้านอย่างโหดเหี้ยมตลอดระยะเวลาที่ครองอำนาจในไต้หวัน

แม้จะถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งไต้หวัน แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ชาวไต้หวันรุ่นใหม่รู้สึกไม่สบายใจกับการมีอยู่ของอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จนทำให้ไต้หวันถูกมองว่าเป็นเกาะแห่งอนุสรณ์สถานของ เจียง ไคเชก และเรียกร้องให้รื้อถอนอนุสาวรีย์ของอดีตผู้นำคนสำคัญออกไป 

จนเมื่อปี พ.ศ. 2561 รัฐบาลไต้หวันได้จัดตั้งคณะกรรมการยุติธรรมเพื่อสอบสวนเรื่องราว และหลักฐาน การปกครองในช่วงสมัยของ เจียง ไคเชก ตั้งแต่เพิ่งเข้ามามีบทบาททางการเมือง จนถึงปีที่เขาถึงแก่อสัญกรรมในปี 2518 

และหนึ่งในข้อเสนอคือ การรื้อถอนรูปปั้นนับพันของเจียง ไคเชก จากทุกพื้นที่สาธารณะของไต้หวัน และในวันที่ 22 เม.ย.67 สภาไต้หวันก็ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่าจะเร่งรื้อถอนอนุสาวรีย์ที่ยังเหลืออยู่อีก 760 แห่ง ออกไปให้เร็วที่สุด เพื่อตอบสนองต่อเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ของประชาชนว่าดำเนินการช้าเกินไป 

ส่วนรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดของ เจียง ไคเชก ตั้งอยู่ที่ อนุสรณ์สถานใจกลางกรุงไทเป ที่เป็นเหมือนจุดไฮไลต์ของนักท่องเที่ยว มีแผนที่จะย้ายไปตั้งไปรวมกันในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของกรุงไทเป ที่จะเก็บรวบรวมรูปปั้น เจียง ไคเชก ที่ถูกรื้อถอนไปแล้วนับพันมาไว้รวมกัน

ทั้งนี้ การถอดถอนอนุสาวรีย์ของ เจียง ไคเชก เคยเป็นประเด็นถกเดือดในสภาไต้หวันอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ซึ่งปัจจุบันเป็นฝ่ายรัฐบาลมีความเห็นว่า ไต้หวันควรถอยห่างจากประเพณีการไว้อาลัยอดีตผู้นำผู้ก่อตั้งไต้หวันได้แล้ว เพราะ เจียง ไคเชก มีภาพลักษณ์ผู้นำเผด็จการทหาร ที่ใช้อำนาจปกครองไต้หวันมานานถึง 46 ปี

แต่ฝ่ายพรรคก๊กมินตั๋งของอดีตผู้นำ เจียง ไคเชก ที่เป็นฝ่ายค้าน ตอบโต้ว่า ชาวไต้หวันก็ไม่ควรลืมเกียรติยศต่าง ๆ ที่ เจียง ไคเชก เคยทำไว้ในการต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น เพื่อรวมชาติจีนให้กลับมาเป็นปึกแผ่น และการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ต้องการแผ่อิทธิพลเหนือเกาะไต้หวัน การรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จึงไม่ต่างจากความพยายามลบประวัติศาสตร์อันเป็นรากเหง้าของชาวไต้หวัน

สำหรับ เจียง ไคเชก เป็นทั้งนักการเมืองฝ่ายชาตินิยม และผู้นำทหารที่เคยร่วมคณะปฏิวัติของ ด็อกเตอร์ ซุน ยัตเซ็น ผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติซินไฮ่ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่สู่ระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ และยังเป็นผู้นำทัพต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลงหลังความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิญี่ปุ่น เจียง ไคเชก กลับต้องเผชิญหน้ากับสงครามกลางเมือง กับกองกำลังฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดย เหมา เจ๋อตง และสุดท้ายเขาพ่ายแพ้ เจียง ไคเชก ตัดสินใจพาคณะรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง มาสถาปนาสาธารณรัฐจีนพลัดถิ่นบนเกาะไต้หวันในปี พ.ศ. 2492 

หลังจากนั้น เจียง ไคเช็ก ใช้กฏอัยการศึกปกครองไต้หวัน ที่มีการปราบปรามศัตรูทางการเมือง และผู้ที่เห็นต่างอย่างโหดเหี้ยม จนถูกยกให้เป็นยุคแห่งความน่าสะพรึงสีขาวของไต้หวัน (白色恐怖) ซึ่งช่วงเวลาของการใช้กฎอัยการศึกในไต้หวันกินเวลานานถึง 38 ปี ที่มีผู้คนมากถึง 140,000 คนถูกจำคุก และเกือบ 4,000 คนถูกประหารชีวิตจากข้อหาต่อต้านรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง ของ เจียง ไคเชก

แต่ในขณะเดียวกัน ชาวไต้หวันบางส่วนก็มองว่า เจียง ไคเชก ก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และความเจริญรุ่งเรืองของไต้หวัน อีกทั้งยังเป็นผู้วางรากฐานระบบการเมืองที่เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์ในปัจจุบัน 

ดังนั้น เกียรติยศของ เจียง ไคเชก จึงเหมือนเหรียญ 2 ด้าน ในมุมมองของกลุ่มอนุรักษ์นิยม มองว่าเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติ ที่ชาวไต้หวันไม่สามารถเลือกที่จะลบทิ้งด้านใด ด้านหนึ่งได้ แต่ในส่วนของฝ่ายเสรีนิยมก็มองว่า ไต้หวันก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นั้นมานานแล้ว และสัญลักษณ์ของการบูชาเผด็จการอำนาจนิยม ก็ไม่ควรเป็นมรดกที่สืบทอดให้กับคนรุ่นลูก 

แต่เมื่อวันนี้ฝ่ายรัฐบาลไม่ใช่พรรคก๊กมินตั๋ง การรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จึงต้องดำเนินต่อไป เพราะเชื่อว่าไต้หวันยุคใหม่ควรก้าวไปข้างหน้าบนพื้นฐานอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย จึงจำเป็นต้องทิ้ง เจียง ไคเชก อดีตผู้นำเผด็จการทหารผู้ที่เคยสร้างชาติไว้ข้างหลัง 

'แอร์ฯ EVA AIR' สุดยอด!! เอาตัวขวางห้ามมวยผู้โดยสารก่อศึกเปลี่ยนที่นั่ง ต้นสังกัดชมรับมือเหตุการณ์ได้ดี คลี่คลายศึก-แยกคู่ก่อเหตุให้สงบลงได้

เป็นคลิปเหตุการณ์สุดชุลมุนที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบินโดยสารเที่ยวบินที่ BR08 ของสายการบิน EVA Air ของไต้หวัน หลังเดินทางออกจากกรุงไทเปของไต้หวัน เพื่อมุ่งหน้าไปยังนครซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา เมื่อผู้โดยสารชาย 2 คน เกิดมีปากเสียงถึงขั้นลงไม้ลงมือชกต่อยกัน จนแอร์โฮสเตสสาวต้องเข้ามาทำหน้าที่เป็นกรรมการห้ามมวยด้วยการเอาตัวเองเข้าขวางห้ามปรามและสั่งให้ทั้งสองฝ่ายหยุดชกต่อยกัน เรียกว่าทำเอาแอร์โฮสเตสเหนื่อยหอบ ก่อนที่สถานการณ์จะสงบลง

สถานีโทรทัศน์ TVBS และ SET News รายงานอ้างการเปิดเผยของสายการบิน EVA Air ถึงเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบินดังกล่าวว่า เหตุการณ์ชุลมุนดังกล่าวเกิดขึ้นราว 3 ชั่วโมง เมื่อผู้โดยสารชายคนหนึ่งตัดสินใจจะเปลี่ยนที่นั่ง เนื่องจากผู้โดยสารที่นั่งติดกับตนเองส่งเสียงไอ แต่ผู้โดยสารชายอีกคนคัดค้าน เนื่องจากที่นั่งที่ผู้โดยสารชายคนแรกจะเปลี่ยนไปนั่งนั้นไม่ได้ว่าง เพราะมีเจ้าของที่นั่งอยู่แล้ว จึงเกิดปากเสียงและมีการชกต่อยกันเกิดขึ้น

ในคลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวความยาวราว 1 นาที ที่มีการโพสต์ลงแพลตฟอร์มเอ็กซ์ จะได้ยินเสียงกรีดร้องบอกให้ “หยุด” “ขยับไป” และ “อย่าจับ” ท่ามกลางหมัดที่ถูกปล่อยออกมาซัดกันนัว ก่อนที่ผู้โดยสารชายคู่กรณีทั้งสองจะสงบลง หลังเหล่าแอร์โฮสเตสเข้าห้ามทัพและผู้โดยสารคนอื่น ๆ เข้าช่วยยื้อยุดฉุดห้ามด้วย หลังสถานการณ์คลี่คลายลงทั้งคู่ได้ถูกจับให้นั่งแยกห่างจากกัน

หลังนักบินประเมินสถานการณ์ว่าไม่ได้อยู่ในภาวะอันตรายแล้ว จึงนำเที่ยวบินมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางเดิมที่นครซานฟรานซิสโกต่อไป โดยไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นอีก

เมื่อเครื่องบินลงจอดถึงสนามบินในนครซานฟรานซิสโก ผู้โดยสารที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันทั้งคู่ถูกส่งมอบตัวให้กับตำรวจสหรัฐและการสอบสวนได้ดำเนินต่อไป จากการเปิดเผยของสายการบิน EVA Air ที่บอกกับสื่อไต้หวันในภายหลังด้วยว่า ทางบริษัทไม่มีนโยบายอดกลั้นต่อเหตุการณ์ในลักษณะนี้ พร้อมกับชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของเหล่าแอร์โฮสเตสสาวบนเที่ยวที่ทำได้อย่างดีในการเข้าแทรกแซงสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ได้อย่างทันท่วงที โดยทางบริษัทยังจะพิจารณามอบรางวัลให้อีกด้วย

จับตา ‘ไล่ ชิงเต๋อ’ สาบานตนเป็น ‘ปธน.ไต้หวัน’  สื่อจีนเตือนสัมพันธ์ข้ามช่องแคบส่อตึงเครียดหนัก

(20 พ.ค.67) รอยเตอร์ รายงานว่า ไล่ ชิงเต๋อ (Lai Ching-te) ได้เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันอย่างเป็นทางการวันนี้ (20 พ.ค.) ท่ามกลางท่าทีข่มขู่จากจีนซึ่งมองว่า ไล่ เป็นพวกจ้อง ‘แบ่งแยกดินแดน’ ขณะที่ความแตกแยกกับกลุ่มฝ่ายค้านในสภาส่อเค้ากลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบริหารของรัฐบาลชุดใหม่

พิธีสาบานตนถูกจัดขึ้นที่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงไทเป ซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่สมัยที่เกาะไต้หวันตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น โดย ไล่ ก้าวขึ้นรับไม้ต่อจากประธานาธิบดี ไช่ อิงเหวิน หลังจากที่เคยทำหน้าที่เป็นรองประธานาธิบดีตลอด 4 ปีที่ผ่านมา 

เจ้าหน้าที่อาวุโสของไต้หวันระบุว่า ไล่ เตรียมกล่าวสุนทรพจน์ที่แสดงความมีไมตรีจิตต่อจีน และเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกันแสวงหาสันติภาพ

ไล่ เดินเข้าสู่ห้องพิธีในชุดสูทผูกเนกไทสีม่วงซึ่งเป็นสีของผีเสื้อประจำถิ่นชนิดหนึ่งของไต้หวัน และติดเข็มกลัดรูปดอกมัสตาร์ดสีเหลือง ซึ่งเป็นพืชสามัญที่พบได้ทั่วไปตามท้องทุ่งบนเกาะแห่งนี้

ไล่ ได้รับมอบตราสัญลักษณ์แทนอำนาจของประธานาธิบดี จำนวน 2 ชิ้น จากประธานรัฐสภา ได้แก่ ตราแห่งสาธารณรัฐจีน (seal of the Republic of China) และตรา Seal of Honour โดยตราทั้งสองนี้ได้ถูกนำมายังไต้หวันระหว่างที่รัฐบาลสาธารณรัฐจีนหลบหนีมายังเกาะแห่งนี้ หลังพ่ายแพ้สงครามกลางเมืองให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง ในปี 1949

พิธีสาบานตนของ ไล่ ชิงเต๋อ มีอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนซึ่งถูกส่งไปร่วมงานโดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน รวมถึงสมาชิกรัฐสภาจากบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี แคนาดา และยังมีผู้นำจากอีก 12 ประเทศที่ยังคงมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันอยู่ เช่น ประธานาธิบดี ซันติอาโก เปญา แห่งปารากวัย เป็นต้น

แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้มีถ้อยแถลงแสดงความยินดีต่อ ไล่ ชิงเต๋อ โดยระบุว่าสหรัฐฯ รอคอยที่จะได้ทำงานร่วมกับเขา “เพื่อยกระดับผลประโยชน์และค่านิยมร่วม กระชับความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ตลอดจนร่วมกันธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพภายในช่องแคบไต้หวัน”

ล่าสุด สื่อรัฐบาลจีนยังไม่ได้มีการรายงานข่าวพิธีสาบานตนของ ไล่ ชิงเต๋อ แต่อย่างใด 

ปักกิ่งถือว่าไต้หวันซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตนเอง และไม่เคยปฏิเสธทางเลือกใช้กำลังทหารเพื่อนำไต้หวันมาอยู่ภายใต้การควบคุม ขณะที่ ไล่ ยืนยันว่าอนาคตของไต้หวันมีเพียงประชาชนไต้หวันเท่านั้นที่จะตัดสินได้ และเคยยื่นข้อเสนอเจรจากับจีนมาแล้วหลายครั้ง แต่ถูกปฏิเสธตลอด

ไต้หวันเผชิญแรงกดดันจากจีนหนักขึ้นกว่าเก่า ทั้งการส่งเครื่องบินรุกล้ำเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (ADIZ) และการทำกิจกรรมทางทหารเฉียดใกล้เกาะ หลังจากที่ ไล่ วัย 64 ปี ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา

กระทรวงกลาโหมไต้หวันระบุวันนี้ (20) ว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาจีนได้ส่งเครื่องบิน 6 ลำข้ามเส้นมัธยฐาน (median line) ซึ่งถือกันว่าเป็นเส้นแบ่งเขตแดนจีน-ไต้หวันอย่างไม่เป็นทางการ ทว่าปักกิ่งไม่ยอมรับการมีอยู่ของเส้นที่ว่านี้ โดยมีเครื่องบินจีนอย่างน้อย 1 ลำที่เข้าไปใกล้เมืองท่าจีหลง (Keelung) ทางตอนเหนือของเกาะไต้หวันในระยะเพียง 80 กิโลเมตร

สัปดาห์ที่แล้ว สำนักงานกิจการไต้หวันของจีนระบุว่า ไล่ ซึ่งฝ่ายจีนเรียกว่าเป็น “ผู้นำคนใหม่ของภูมิภาคไต้หวัน” จำเป็นต้องเลือกให้ชัดเจนระหว่างการพัฒนาอย่างสันติ (peaceful development) หรือการเผชิญหน้า (confrontation) ขณะที่หนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์สซึ่งเป็นสื่อของทางการจีนก็รายงานเมื่อวานนี้ (19) ว่า ไล่ “อาจจะแสดงพฤติกรรมยั่วยุมากขึ้นเรื่อยๆ” หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งผู้นำไทเป

“ดังนั้นในระยะยาว ความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบคงจะไม่เป็นไปในเชิงบวก” บทความของโกลบอลไทม์ส ระบุ

นอกจากภัยคุกคามจากจีนแล้ว คาดว่ารัฐบาล ไล่ ชิงเต๋อ ยังจะต้องเผชิญกับความท้าทายในประเทศอีกไม่น้อย หลังจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ของเขาสูญเสียเสียงข้างมากในสภาจากผลของศึกเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือน ม.ค.

สัญญาณความวุ่นวายเริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว (17) เมื่อ ส.ส.ไต้หวันเกิดทะเลาะวิวาทชกต่อยและตะโกนด่าทอกันไปมาในสภา สืบเนื่องมาจากกฎหมายปฏิรูปสภาที่ฝ่ายค้านพยายามผลักดัน และคาดว่าอาจจะมีศึกกลางสภาอีกรอบหลังจากที่บรรดา ส.ส.เปิดการอภิปรายอีกครั้งในวันอังคารนี้ (21)

สตม. รวบหนุ่มไต้หวันหัวหมออยู่เกินวีซ่า ปลอมใบรับรองแพทย์หลอกกลุ่มแรงงานข้ามชาติในไต้หวัน ตุ๋นเงินสวัสดิการรัฐไปนับล้าน

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามา แฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ท.ชูฉัตร ธารีฉัตร ผทค.พิเศษ ตร. รรท.รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ รอง ผบก.ตม.5 ปฏิบัติราชการ บก.ตม.1, พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4, พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้  

สตม. รวบหนุ่มไต้หวันหัวหมออยู่เกินวีซ่า ปลอมใบรับรองแพทย์หลอกกลุ่มแรงงานข้ามชาติในไต้หวัน ตุ๋นเงินสวัสดิการรัฐไปนับล้าน กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับแจ้งเบาะแสจากสายลับว่าพบเห็นชายสัญชาติไต้หวันพักอาศัยอยู่ซอยแจ้งวัฒนะ 10 ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ สงสัยว่าจะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย จึงได้สืบสวนหาข่าวจนทราบว่าชายชาวไต้หวันดังกล่าวคือ MR.WEI CHIA-MING (นามสมมติ) อายุ 53 ปี ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดแล้ว และได้ประสานงานกับ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปประจำประเทศไทย

เพื่อตรวจสอบประวัติพบว่า MR.WEI CHIA-MING มีประวัติก่ออาชญากรรมในความผิดฐานฉ้อโกงเงินของรัฐบาล โดยการปลอมแปลงเอกสารใบรับรองแพทย์ของบุคคลอื่นและแอบอ้างเป็นทนายความเพื่อเบิกเงินสวัสดิการประกันสังคม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานคนไทยที่เคยไปทำงานที่ไต้หวัน มูลค่าความเสียหายกว่า 1 ล้านบาท แล้วได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย กก.สส.บก.ตม.1 จึงเฝ้าติดตามสืบสวนหาข่าวจนทราบเบาะแสว่า MR.WEI CHIA-MING ได้แอบมาหลบซ่อนตัวอยู่กับหญิงไทยในย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ จึงได้วางแผนจับกุม จนกระทั่งพบ MR.WEI CHIA-MING ที่บริเวณกลางซอยแจ้งวัฒนะ 10 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ จึงได้จับกุมในข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘เศรษฐา’ โพสต์ข้อความผ่าน X เผย ‘นโยบายฟรีวีซ่า’ ทำท่องเที่ยวฟื้นตัว ชี้!! ยอดนักท่องเที่ยว ‘อินเดีย-ไต้หวัน’ พุ่งสูง คาดสิ้นปีนี้ มีทะลุ 2 ล้านคน

(27 ก.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่าน X ว่า … 

ปีนี้นักท่องเที่ยวไต้หวัน และอินเดียเดินทางเข้ามาในประเทศไทยทำสถิติสูงสุดเมื่อเทียบจากจำนวนนักท่องเที่ยวหลังโควิด และมีแนวโน้มจะสูงกว่าปี 2019 ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเรามีมาตรการยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวชาวอินเดียและไต้หวัน โดยการขยายระยะเวลาพำนักเป็น 60 วัน (เริ่มไปตั้งแต่ช่วงปลายปี 2023 และขยายโครงการไปจนถึงวันที่ 11 พ.ย. 67) ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนกำลังทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เพียงครึ่งปี 2024 เราดึงนักท่องเที่ยวจากตลาดใหญ่อย่างอินเดียได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% แล้ว และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้

นายเศรษฐา ยังได้ระบุอีกว่า เรายังเดินหน้าขยายเวลาการพำนัก 60 วัน ให้อีก 93 ประเทศ เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังใช้จ่ายต่อหัวสูงด้วย ขณะที่ทาง ททท. ก็เตรียมกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวจากแต่ละประเทศตลอดทุกเดือนด้วย ขอให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวเตรียมตัวให้พร้อม วันนี้ประตูบานใหญ่ของประเทศไทยเปิดแล้ว

‘ไต้หวัน’ แต่งตั้ง 'หลิน ยู่ถิง' เป็น 'ทูตด้านการต่อต้านการบูลลี่แห่งชาติ' หลังผ่านความขมขื่นเรื่องเพศ สู่เจ้าของเหรียญทองมวยสากลหญิง

ไต้หวันต้อนรับยิ่งใหญ่ นักกีฬาทีมชาติที่กลับจากการแข่งขันปารีส โอลิมปิก 2024 ซึ่งหนึ่งในนักกีฬาที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนไต้หวันมากที่สุด คือ หลิน ยู่ถิง นักกีฬามวยสากลหญิง ในรุ่น 57 กิโลกรัม ที่สามารถคว้าเหรียญทองมวยสากลให้กับไต้หวันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จนชาวไต้หวัน ต่างขั้นยกฉายาให้เธอว่าเป็น 'ลูกสาวของชาวไต้หวัน'

แต่กว่าที่ หลิน ยู่ถิง ก้าวมาถึงจุดนี้ เธอต้องผ่านความขมขื่นจากการถูกบูลลี่ ด้วยข้อความหยามเหยียด เกลียดชัง บนโลกออนไลน์มากมาย 

เช่นเดียวกับ อิมาน เคลิฟ นักชกหญิงจากแอลจีเรีย ในประเด็นความคลุมเครือเรื่องเพศสภาพ ที่ทำให้ทั้งคู่ไม่ผ่านการรับรองจากสมาคมมวยสากล (IBA) ให้เข้าแข่งขันในประเภทมวยสากลหญิง แต่ทว่า ทั้ง หลิน ยู่ถิง และ อิมาน เคลิฟ กลับผ่านเกณฑ์การพิจารณาจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ให้สามารถแข่งขันในงานโอลิมปิกได้

เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างร้อนแรง ถึงสิทธิ และความเท่าเทียมในการแข่งขันกีฬา ในกรณีความผิดปกติที่เกิดจากโครโมโซมเพศ ส่งผลให้เพศสภาพไม่ชัดเจน อันเป็นผลให้พวกเธอ ถูกโจมตีโดยชาวเน็ตจากทั่วโลก ที่มองว่าพวกเธอไม่ใช่ผู้หญิงแท้ และไม่เห็นด้วยที่ทั้งคู่จะได้ขึ้นชกกับนักมวยที่มีเพศสภาพเป็นหญิงชัดเจน 

แต่ในขณะเดียวกัน นักมวยทั้งคู่ก็ได้รับแรงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากเพื่อนร่วมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวไต้หวันที่พร้อมออกมาปกป้อง หลิน ยู่ถิง ในฐานะ 'ลูกสาวของชาวไต้หวัน' อีกทั้ง ไล่ ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน สั่งให้ทีมกฎหมายเตรียมดำเนินคดีเอาผิดกับชาวเน็ตที่ออกมาบูลลี่ลูกสาวแห่งชาติของชาวไต้หวัน 

และล่าสุด หลิน ยู่ถิง ได้รับการแต่งตั้งจากหน่วยงานด้านกีฬาให้เป็น 'ทูตด้านการต่อต้านการบูลลี่แห่งชาติ' และยังได้ตำแหน่งทางวิชาการเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในภาควิชาพลศึกษาของมหาวิทยาลัยวัฒนธรรมจีน โดยเธอจะได้สอนวิชาการชกมวยสากล และ ทักษะทางกีฬา ตั้งแต่ภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้เป็นต้นไป 

ประเด็นเรื่องความคลุมเครือทางเพศสภาพของ หลิน ยู่ถิง ทำให้เธอถูกเพิกถอนเหรียญรางวัลในการแข่งขันชิงแชมป์มวยโลก ที่จัดโดย IBA ที่ยังแสดงความเห็นขัดแย้งกับ IOC เรื่องสิทธิในการเข้าแข่งขันของเธอ อันเป็นเหตุให้หน่วยงานด้านกีฬาของไต้หวันกำลังพิจารณาฟ้องร้องเอาผิดทางกฎหมายกับ IBA  

ด้าน นายกรัฐมนตรี โช จุงไต เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการมอบเหรียญเกียรติยศ พร้อมเงินอัดฉีดอีก 9 แสนเหรียญไต้หวันย้อนหลังให้ แม้ หลิน ยู่ถิงจะถูกริบเหรียญจากการแข่งขันชิงแชมป์โลกก็ตาม 

แต่ทั้งนี้ หลิน ยู่ถิง ไม่ต้องการดำเนินคดีกับฝ่ายใดทั้งสิ้น และบอกว่าการได้รับเหรียญทองโอลิมปิกเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวตนของเธอแล้ว และเธอยินดีรับตำแหน่งทูตต่อต้านการบูลลี่ และ ทำหน้าที่สอนกีฬาเพื่อส่งเสริมนักกีฬารุ่นใหม่ของไต้หวันต่อไป

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'ไต้หวัน' โวย!! จีนแย่ง 'วิศวกรด้านชิป-ความลับทางการค้า' ทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมไฮเทค

(6 ก.ย.67) เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า บริษัทเทคโนโลยีของจีน 8 แห่ง ซึ่งรวมถึงยักษ์ใหญ่ด้านอุปกรณ์ผลิตชิปอย่าง ‘นอราเทคโนโลยีกรุ๊ป’ (Naura Technology Group Co.) ถูกทางการไต้หวันกล่าวหา แย่งชิงคนเก่งที่มีความสามารถไปอย่างผิดกฎหมาย นอกจากนั้น ยังขโมยความลับด้านการค้าของไต้หวันไปอีกด้วย

สำนักงานสืบสวนในสังกัดกระทรวงยุติธรรมไต้หวัน ได้มีการแถลงทางเว็บไซต์เมื่อวันพุธ (4 ก.ย. 67) ที่ผ่านมาว่า ได้บุกตรวจค้นสถานที่ 30 แห่ง และสอบสวนบุคคล 65 คนใน 4 เมือง รวมถึงไทเปและซินจู๋ โดยบริษัทจีนตกเป็นผู้ต้องสงสัยกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่ง ‘ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความสามารถในการแข่งขันของไต้หวันในด้านอุตสาหกรรมไฮเทค’

โดยบริษัทอีก 7 แห่งได้แก่ ไอคอมม์เซมิ (iCommsemi), เซี่ยงไฮ้นิววิชั่นไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (Shanghai New Vision Microelectronics), หนันจิง เอเวียคอมม์ เซมิคอนดักเตอร์ (Nanjing Aviacomm Semiconductor), อีโมติบอต (Emotibot), ทงฟาง (Tongfang), เฉิงตูอะนาล็อกเซอร์กิตเทคโนโลยี (Chengdu Analog Circuit Technology) และเฮสเทียเพาเวอร์ (Hestia Power)

ทั้งนี้ ‘นอรา’ ซึ่งมีฐานในกรุงปักกิ่ง เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีน เช่น SMIC YMTC และหัวหงเซมิคอนดักเตอร์กรุ๊ป (Hua Hong Semiconductor Group) โดย นอรา ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ตามล่าวิศวกรด้านอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ แต่ทางบริษัทยืนยันว่า สำนักงานในไต้หวันดำเนินการอย่างถูกต้องตามระเบียบและข้อกฎหมายของท้องถิ่น

หลายบริษัทที่ถูกกล่าวหา รวมถึงไอคอมม์เซมิ และเซี่ยงไฮ้นิววิชั่นไมโครอิเล็กทรอนิกส์นั้น เชี่ยวชาญด้านการออกแบบชิป ส่วนอีโมติบอตเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์อัตโนมัติ โดยอาศัยเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติ และการเรียนรู้เชิงลึก

สำนักงานสืบสวนระบุอีกว่า หลายบริษัทที่ถูกกล่าวหา เช่น ‘เฮสเทียเพาเวอร์’ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาวัสดุชิปในเซี่ยงไฮ้ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ผ่านกองทุนสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ ที่เรียกกันว่า ‘Big Fund’

ส่วนบริษัททงฟาง ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ มีผู้ก่อตั้งคือ ‘มหาวิทยาลัยชิงหวา’ ในปี 2540 บริษัทรู้จักกันในชื่อเดิมว่า ‘ชิงหวาทงฟาง’ แต่ปัจจุบันอยู่ในความควบคุมของบริษัทนิวเคลียร์แห่งชาติจีน โดยดำเนินธุรกิจในภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค พลังงาน และสิ่งแวดล้อม

สำนักงานสืบสวนกล่าวหา บริษัททงฟางแย่งตัวพนักงานด้านการวิจัยและพัฒนาเกือบหนึ่งร้อยคนผ่านบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในไต้หวัน

ข้อกล่าวหาของไต้หวันมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลจีนทุ่มเทความพยายามเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์ท่ามกลางมาตรการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงของสหรัฐอเมริกาให้แก่จีน

ด้าน แพลตฟอร์ม ‘Qichacha’ ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทต่างๆ ของจีนระบุว่า เมื่อเดือนที่แล้วเทศบาลกรุงปักกิ่งได้เปิดตัวกองทุนเพื่อการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์ด้วยทุนจดทะเบียน 8,500 ล้านหยวน ซึ่งเกิดขึ้น 3 เดือน หลังจากที่จีนจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนด้านชิปก้อนใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งเป็น ‘Big Fund’ เฟสที่ 3 ด้วยทุนจดทะเบียน 344,000 ล้านหยวน

'ไต้หวัน' เซ็ง!! ศักยภาพขีปนาวุธต่อต้านรถถัง TOW จากสหรัฐฯ ยิงถูกเป้าหมาย ‘ไม่ถึงครึ่ง’ ไม่รู้จากตัวอาวุธหรือผู้ที่ใช้งาน

เมื่อปลายเดือนสิงหาคม Taiwan News เปิดเผยว่า ทางกระทรวงกลาโหมไต้หวัน ได้ประกาศจะทบทวนการใช้ขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านรถถัง TOW 2A หลังพบว่าขีปนาวุธที่ยิงออกไประหว่างการฝึกซ้อม 'พลาดเป้า' เสียเป็นส่วนใหญ่

จากรายงาน ระบุว่า มีขีปนาวุธ TOW เพียง 7 ลูกจากทั้งหมด 17 ลูกที่ยิงถูกเป้าหมายระหว่างการซ้อมรบ 2 วัน และยังไม่แน่ชัดว่าความผิดพลาดนี้เกิดจากระบบอาวุธเอง หรือผู้ที่ใช้งาน

ด้านสื่อ CNA อ้างเจ้าหน้าที่กองทัพไต้หวันซึ่งออกมาชี้แจงว่า วัตถุประสงค์ในการฝึกครั้งนี้ก็เพื่อให้ทหารไต้หวันคุ้นเคยกับอาวุธมากกว่าที่จะเน้นเรื่องความแม่นยำหรือการทำผลงานได้อย่างเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับระบบขีปนาวุธชนิดนี้ภายในสัปดาห์หน้า

การซ้อมรบดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นที่ชายหาดของเทศมณฑลผิงตง (Pingtung) ทางตอนใต้ใกล้ช่องแคบไต้หวัน เน้นไปที่การใช้ขีปนาวุธ TOW เพื่อล็อกเป้าทำลายยานพาหนะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกที่จีนอาจนำมาใช้หากสงครามปะทุขึ้น และต้องการให้ทหารไต้หวันได้เห็นภาพว่าหากมีการรุกรานเกิดขึ้นจริง สถานการณ์น่าจะเป็นเช่นไร

สำหรับขีปนาวุธ TOW นั้นมีข้อดีตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายและมีการใช้งานที่ยืดหยุ่น โดยไต้หวันอาจนำแท่นยิงไปติดตั้งบนยานพาหนะทหาร เช่น รถฮัมวี และขับไปที่ชายหาดเพื่อใช้ยิงทำลายกองกำลังจีนที่ยกพลขึ้นบกได้

ไต้หวันเผชิญภัยคุกคามหลายด้านจากจีน ตั้งแต่การรุกรานไปจนถึงการปิดล้อม (blockade) ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ชี้ว่า ไต้หวันจำเป็นจะต้องใช้อาวุธแบบอสมมาตรที่ต้นทุนต่ำ เช่น ทุ่นระเบิดทะเล เพื่อป้องปรามกองทัพจีนซึ่งทั้งมีขนาดใหญ่และมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่าหลายเท่า แต่กระนั้นอาวุธแบบดั้งเดิม (Conventional) ก็ยังสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

รัฐบาลไต้หวันยังมีโครงการพัฒนาเรือดำน้ำภายในประเทศ และตั้งงบประมาณเอาไว้หลายพันล้านดอลลาร์สำหรับการจัดสร้างเรือดำน้ำให้ได้อีก 7 ลำ ภายใน 14 ปีข้างหน้า

ทั่วโลกรับมือภัยพิบัติธรรมชาติถ้วนหน้า สเปนอ่วม!! ภาวะน้ำท่วมทำตาย 95

(31 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะนี้ทั่วโลกอยู่ระหว่างการเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดย THE STATES TIMES รวบรวมมานำเสนอ ดังนี้

>>>ประเทศญี่ปุ่น
สื่อในประเทศญี่ปุ่นอย่าง Asahi ได้รายงานว่า ‘ภูเขาไฟฟูจิ’ หนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของประเทศญี่ปุ่น ไม่มีหิมะปกคลุมเมื่อเริ่มเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน นับเป็นครั้งแรกในรอบ 130 ปีที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น 

>>>ประเทศสเปน
สื่อดังประเทศเยอรมันอย่าง DW ได้รายงานว่า แคว้นบาเลนเซีย(Valencia) ประเทศสเปน ได้ประสบอุทกภัยอย่างหนัก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 92 ราย จากจำนวนผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วม 95 รายในประเทศสเปน ล่าสุดทางสหภาพยุโรป(EU) ได้เสนอความช่วยเหลือแล้ว 

>>>ไต้หวัน
สำนักข่าว CNN รายงานว่า เกาะไต้หวันกำลังเผชิญหน้ากับพายุไต้ฝุ่นที่มีความรุนแรงระดับสูง โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ราย นอกจากนี้ทางรัฐบาลไต้หวันได้เตรียมความพร้อมกำลังพลถึง 36,000 นายเพื่อให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูเกาะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top