Friday, 6 June 2025
โควิด

'กอบศักดิ์' จับตาโอมิครอนบุกปักกิ่ง หวั่น!! กระทบเศรษฐกิจโซนเอเชีย

‘ดร.กอบศักดิ์’ ชี้ต้องจับตาผลกระทบโควิดในจีนอย่างใกล้ชิด เมื่อ ‘โอมิครอน’ ลามถึง ‘กรุงปักกิ่ง’ หวั่นกระทบเศรษฐกิจเอเชีย

วันที่ 26 เมษายน 2565 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศจีน ว่า …

เมื่อโอมิครอนบุกปักกิ่ง !!! 

วันนี้มีข่าวว่า หลังจีนได้ต่อสู้กับโอมิครอนที่เซี่ยงไฮ้มาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ล่าสุด โอมิครอนได้ไปบุกไปถึงเมืองปักกิ่งแล้ว

ผลที่ตามมา ก็คือ ตลาดการเงินจีนและโลก ต่างปรับตัวรับข่าวอย่างรุนแรง

- ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ลดลง 5.1% ทำให้ดัชนีได้กลับไปต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดเรียบร้อยแล้ว

- ค่าเงินหยวนอ่อนค่าเพิ่มเติมอีก 1% ไปที่ 6.559 หยวน/ดอลลาร์ อ่อนสุดในรอบ 1 ปี

- ดัชนีฮั่งเส็งลดลง 3.7%

- ราคาน้ำมันโลกลดลง 5%

- ราคาทองคำลงไปต่ำกว่า 1,900 ดอลลาร์/ออนซ์

- ราคาพาลาเดี่ยม ลดลง 10%

- ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ต่างลดลงกันถ้วนหน้า

ทั้งนี้ เนื่องจากทุกคนกังวลใจว่า จีนจะต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดในการจัดการโอมิครอนที่ปักกิ่ง หลังจากมีรายงานว่ามีผู้ป่วยในพื้นที่หลายสิบคน และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

'นพ.เฉลิมชัย' ย้อนไทม์ไลน์ 1,000 วันโควิด-19 ประวัติศาสตร์สำคัญที่ควรรู้ ตั้งแต่เริ่มถึงปัจจุบัน

(4 ต.ค. 65) นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่าน Blockdit ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย ระบุว่า...

ครบ 1000 วันของโควิด-19 แล้ว สรุปเรื่องสำคัญที่ควรทราบ ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน

นับตั้งแต่ที่ประเทศไทยพบโควิดเคสแรกเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2563  จนถึงปัจจุบัน (3 ตุลาคม 2565) นับได้เป็นเวลา 1000 วันเต็มแล้ว เราจะลองมาทบทวนดูเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรบ้าง

1) ชื่อโรคและชื่อเชื้อโรค ชื่อโรคคือ COVID-19 (Corona Virus Disease 2019)
ชื่อเชื้อโรคคือ SARS-CoV-2 (Severe Acute Respiratory Syndrome-Corona Virus) เป็นไวรัสโคโรนาลำดับที่ 7

2) จุดกำเนิดของผู้ติดเชื้อ
31 ธันวาคม 2562 พบเคสแรกของโลกที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน 
8 มกราคม 2563 พบเคสแรกของประเทศไทย เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากจีน

3) ช่วงสองเดือนแรกของการระบาด พบว่า ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 หรือเมื่อโควิดระบาดได้ครบสองเดือน พบว่าประเทศจีนซึ่งเป็นแหล่งกำเนิด มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 79,251 ราย เสียชีวิต 3.58% ส่วนประเทศในอีกสี่ลำดับถัดมา ได้แก่ เกาหลีใต้ อิตาลี อิหร่าน และญี่ปุ่น

4) มาตรการรับมือแบบต่าง ๆ ของโควิด-19 ในปี 2563 มี 3 มาตรการด้วยกัน ได้แก่

4.1 ไม่ทำอะไร (Unmitigation) ปล่อยให้มีการติดเชื้อตามธรรมชาติ โดยหวังว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) แล้วโรคจะสงบลงเอง

4.2 ชะลอผู้ติดเชื้อ (Mitigation) โดยปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อในระดับที่สาธารณสุขสามารถรับมือไหว แต่ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น

4.3 เข้มข้นสูงสุด (Suppression) ต้องเมีมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) หรือปิดเมืองปิดประเทศ ซึ่งจะคุมจำนวนได้ดี แต่ผลกระทบโดยเฉพาะทางสังคมและเศรษฐกิจรุนแรง

5) คลื่นระลอกต่าง ๆ ของโควิดในไทย

5.1 ระลอกแรก เกิดขึ้นในช่วงมีนาคมถึงพฤษภาคม 2563 เป็นไวรัสอู่ฮั่น(Clade S) เริ่มจากสนามมวยลุมพินีและผับบาร์ทองหล่อเป็นคลัสเคเตอร์ใหญ่ มีผู้ติดเชื้อ 4000 ราย เสียชีวิต 60 ราย ควบคุมโรคโดยใช้มาตรการล็อกดาวน์

5.2 ระลอกที่สอง เกิดขึ้นในช่วงธันวาคม 2563 ถึงมีนาคม 2564 ยังคงเป็นไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่น (Clade GH) เริ่มที่ตลาดกลางค้ากุ้งมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร มีผู้ติดเชื้อ 24,863 ราย เสียชีวิต 34 ราย

5.3 ระลอกที่สาม เกิดขึ้นในช่วงเมษายนถึงธันวาคม 2564 เริ่มต้นด้วยไวรัสสายพันธุ์อัลฟ่า (Clade GK) แล้วตามด้วยไวรัสสายพันธุ์เดลต้า (Clade GRY) โดยจุดเริ่มต้นจากแคมป์คนงานหลักสี่ มีผู้ติดเชื้อมากถึง 2,194,572 ราย เสียชีวิต 21,604 ราย

5.4 ระลอกที่สี่ เกิดขึ้นในช่วงมกราคม 2565 จนถึงปัจจุบัน (3 ตุลาคม 2565) เป็นไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน (Clade GRA) จนถึงขณะนี้ มีผู้ติดเชื้อ 2,458,697 ราย เสียชีวิต 11,073 ราย

6) ลักษณะของไวรัส

ปัจจุบันพบว่าในประเทศไทย ไวรัสสายพันธุ์หลักได้แก่ โอมิครอน ซึ่งมีการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ย่อย(Sub-variant) จาก BA.1 เรื่อยมาจนปัจจุบันเป็น BA.5 ซึ่งมีความสามารถในการแพร่ระบาดที่กว้างขวางรวดเร็วกว่าเดลต้านับเป็นเท่าตัว ขณะเดียวกันก็มีความรุนแรงก่อให้เกิดการเสียชีวิต น้อยกว่านับเป็นเท่าตัวด้วยเช่นกัน

7) สถานการณ์ปัจจุบัน

ในระดับโลก มีการระบาดครอบคลุมไปแล้ว 228 ประเทศและเขตการปกครอง พบผู้ติดเชื้อ 623 ล้านราย เสียชีวิต 6.5 ล้านราย คิดเป็น 1.05%

ในระดับประเทศไทย มีการระบาดจนครบ 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ (เฉพาะพีซีอาร์) 4.68 ล้านราย เสียชีวิต 32,771 ราย คิดเป็น 0.7%

8) การตรวจหาไวรัส

8.1 วิธี RT-PCR เป็นวิธีการตรวจแบบมาตรฐาน มีความแม่นยำสูง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูง รวมทั้งต้องใช้บุคลากรทางสาธารณสุขที่ได้รับการฝึกฝนในการเก็บตัวอย่างและดำเนินการทางห้องปฏิบัติการ

8.2 วิธี ATK เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น มีความแม่นยำค่อนข้างดี แต่ไม่เท่ากับวิธี RT-PCR แต่ค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก และไม่ต้องใช้บุคลากรทางสาธารณสุข ประชาชนสามารถทำเองที่บ้านได้

8.3 วิธี Genomic Sequencing เป็นการตรวจสารพันธุกรรม เพื่อหาชนิดของไวรัส

'หมอยง' เผย 'โควิด 'เข้าสู่โรคประจำฤดูกาล แนะ!! ฉีดวัคซีนประจำปีป้องกันระบาด

(6 ก.พ. 66) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

โควิด 19 end game โดยเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล

โรคโควิด 19 ไม่ได้หายไปไหน และน่าจะสิ้นสุดด้วยการเปลี่ยนเป็นโรคประจำฤดูกาลต่อไป 

ในปีที่ 4 นี้ การนับยอดผู้ป่วยติดเชื้อ ไม่เกิดประโยชน์ เพราะตัวเลขที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ขณะนี้ทั่วโลกน่าจะมีการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 70 หรือประมาณ 5 พันล้านคน ตัวเลขที่รายงานการติดเชื้อทั่วโลกมีประมาณเกือบ 700 ล้านคน ต่ำกว่าความเป็นจริงประมาณ 10 เท่า ประเทศไทยก็ไม่ได้รายงานตัวเลขติดเชื้อแล้ว รายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิตเท่านั้น 

องค์การอนามัยโลกคงจะเลิกนับตัวเลขในเร็ว ๆ นี้ หลังจากการระบาดในประเทศจีนลดลง (เพราะส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้ว)

ความรุนแรงของโรคลดลงมาโดยตลอด ผู้เสียชีวิตมากกว่าร้อยละ 80 เป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัว จะไม่มีการย้อนไปปิดบ้านปิดเมืองอีกแล้ว 

วัคซีน โดยเฉพาะ mRNA ตลาดควรเป็นของผู้ซื้อ วัคซีนมีอายุสั้น และขวดหนึ่ง ยังมีจำนวน 7-10 โดส จึงยากต่อการใช้ ให้มีการสูญเสียทิ้งให้น้อยที่สุด ประกอบกับมีราคาแพง มีอาการแทรกซ้อนที่พบได้ มากกว่าวัคซีนที่ใช้ในอดีต และในอนาคตเมื่อเทียบกับความรุนแรงของโรค จึงเป็นการยากที่ประเทศกำลังพัฒนาเข้าถึง ความจำเป็นที่จะต้องฉีดทุก 4-6 เดือนไม่มีอีกแล้ว เมื่อเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล การให้วัคซีนจะเหลือปีละ 1 ครั้ง การนัดคนมาฉีดพร้อมกันเพื่อลดการสูญเสียของวัคซีนจะทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะวัคซีนมีอายุสั้น การเก็บรักษายุ่งยาก ใช้อุณหภูมิติดลบ ยิ่งทำให้ราคาแพงขึ้น การให้ได้วัคซีนตรงกับสายพันธุ์ยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะการพัฒนาต้องมีต้นทุนสูงและเมื่อพัฒนาขึ้นมาแล้วไวรัสก็เปลี่ยนสายพันธุ์ไปอีก 

‘จามา เน็ตเวิร์ค’ เผยผลการศึกษาของ ‘วัคซีนโควิด-19’ ชี้ ประสิทธิภาพต้าน ‘โอไมครอน’ ลดทันทีหลังฉีด 6 เดือน

เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ในวารสารการแพทย์จามา เน็ตเวิร์ค (JAMA Network) เมื่อวันพุธ (3 พ.ค. 66) ชี้ว่าวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) มีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์โอไมครอนลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเวลาผ่านไป

'การท่องเที่ยวอิหร่าน' ผงาด!! หลังโควิดซา เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 3 เท่า

ไม่นานมานี้ Ezzatollah Zarghami รัฐมนตรีกระทรวงมรดกทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และศิลปะ-หัตถกรรมของอิหร่าน กล่าวว่า การเติบโตของการท่องเที่ยวของอิหร่านนั้นสูงกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกในยุคหลังโควิด

โดยข้อมูลจากองค์การการท่องเที่ยวโลกระบุว่า ในปี 2022 มีนักท่องเที่ยวไปเยือนอิหร่านทั้งหมด 4.1 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 31.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน

นอกจากนี้ สถิติโดยกระทรวงมรดกทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และศิลปะ-หัตถกรรมของอิหร่านแสดงให้เห็นว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศอิหร่านมากกว่า 3.3 ล้านคนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้าอิหร่านในปี 2022 พบว่า 55% เป็นชาวอิรัก ขณะที่นักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจานและตุรกีอยู่ที่ 6% และอันดับถัดไปที่ 5% คือ ปากีสถาน

ไม่เพียงเท่านี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติมียอดการใช้จ่ายมากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ในอิหร่านในปี 2022 หรือเพิ่มขึ้นราว 73% เมื่อเทียบกับปีก่อนกันเลยทีเดียว

ด้าน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมรดกทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และศิลปะ-หัตถกรรมของอิหร่าน กล่าวว่า ระยะเวลารอในการออกวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจะลดลงเหลือเพียงหนึ่งสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เตหะราน ยังแสวงหากลยุทธ์เพื่อผ่อนคลายชายแดน โดยอาจยกเลิกข้อกำหนดวีซ่าสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางของ 60 ประเทศเพียงฝ่ายเดียวด้วย

สำหรับ อิหร่าน นั้น ถือเป็นประเทศที่มีแหล่งมรดกโลกอยู่ในรายชื่อขององค์การยูเนสโกถึง 27 แห่ง และถูกจัดอยู่ในรายชื่อประเทศ 10 อันดับแรก ที่ผู้คนจะต้องเดินทางมามากกว่าหนึ่งครั้ง เพื่อไปเยี่ยมมรดกของพวกเขาทั้งหมด เนื่องจากมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ

โดยฤดูใบไม้ผลิ ถือเป็นฤดูที่น่ารื่นรมย์ในการไปเยือนอิหร่าน ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นสำหรับการเดินทางไปอิหร่าน ที่จะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมและต่อเนื่องไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม ส่วนผู้ที่สนใจเพลิดเพลินกับกีฬาฤดูหนาว เช่น สกีทางตอนเหนือของเตหะราน สามารถเดินทางได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์


ยิ่งไปกว่านั้น อิหร่านยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพอีกด้วย โดยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของอิหร่าน ได้เคยระบุไว้ว่า ในปี 2022 มีผู้ป่วยชาวต่างชาติมากกว่า 1.2 ล้านคน ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของอิหร่าน ภายใต้ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในด้านการแพทย์ต่างๆ ที่มีราคาไม่แพง อันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ดึงดูดผู้ป่วยชาวต่างชาติให้มายังประเทศแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง

ผลสำรวจพบ UK เป็นชาติที่มีความทุกข์มากสุดอันดับ 2 ของโลก สุขภาพจิตดำดิ่งตั้งแต่โควิดระบาด ยังไม่พบเห็นสัญญาณการฟื้นตัว

(11 มี.ค.67) สหราชอาณาจักรกลายเป็นชาติที่ไร้ความสุขมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก จากผลสำรวจที่จัดทำโดย Sapien Labs กองทุนประสาทวิทยาศาสตร์ โดยผลสำรวจพบ สุขภาพจิตของชาวสหราชอาณาจักรดำดิ่งนับตั้งแต่วิกฤตโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และยังไม่พบเห็นสัญญาณการฟื้นตัว

รายงานประจำปี ‘สถานะทางจิตของโลก’ Mental State of the World ของ Sapien Labs ซึ่งปีนี้จัดทำเป็นปีที่ 4 ได้ทำการประเมินสุขภาวะทางจิต (Mental Wellbeing) ของผู้เข้าร่วมทางอินเทอร์เน็ต 419,175 คน จาก 71 ประเทศ ซึ่งผลลัพธ์ได้ให้ภาพอันมัวหมองของโลกที่พูดภาษาอังกฤษ โดยใน 71 ประเทศ บรรดาชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ (Anglophone) ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย.และนิวซีแลนด์ อยู่ในลำดับล่างๆ โดยเฉพาะพลเมืองสหราชอาณาจักรที่มีความสุขมากกว่าประชาชนชาวอุซเบกิสถานเท่านั้น

ผลสำรวจจัดให้สหราชอาณาจักร ตามหลัง เยเมน 8 อันดับ และตามหลังยูเครน 12 อันดับ ในแง่ของสุขภาพจิตโดยรวมของประชาชน โดยประชาชนชาวสหราชอาณาจักรราว 36% บอกกับ Sapien Labs ว่าพวกเขาทั้ง "เป็นทุกข์และกำลังประสบปัญหา" ลดลงเพียงแค่ 0.7% จากปีที่แล้ว ครั้งที่พวกเขารั้งที่สุดท้าย ในการจัดอันดับ

เพื่อสรุปถึงสุขภาพจิตโดยรวมของประชาชนในแต่ละชาติ กองทุนแห่งนี้ได้ถามคำถามแต่ละคน 47 คำถาม เกี่ยวกับ ‘อารมณ์และทัศนะ’ ของพวกเขา อัตมโนทัศน์ด้านสังคม (Social-Self) แรงผลักดันและแรงจูงใจ การปรับตัวและความยืดหยุ่น เช่นดียวกับอื่นๆ แม้ Sapien Labs คำตอบของคำถามเหล่านี้เป็นลักษณะคำตอบแบบอัตนัย แต่รายงานต่างได้ผลสรุปออกมาคล้ายๆ กัน

ท่ามกลางมาตรฐานการดำรงชีพที่ตกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักรเผยแพร่รายงานเมื่อเดือนพฤศจิกายน พบว่า ชาวสหราชอาณาจักรมีความสุขและความพึงพอใจส่วนบุคคลลดลงในช่วงขวบปีสิ้นสุดเดือนมีนาคมปีก่อน และจากรายงานที่เผยแพร่ในนิตยสารทางการแพทย์ The Lancet เมื่อเดือนที่แล้ว พบว่าประชาชน 1.8 ล้านคน ปัจจุบันกำลังรอการเข้ารับการรักษาด้านสุขภาพจิต

ทั้งนี้ Sapien Labs ระบุว่า ระดับความผาสุกทางจิตของโลกที่พูดภาษาอังกฤษดำดิ่งลงระหว่างการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และภาวะตกต่ำนี้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่พบเห็นสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น รายงานพบว่าความผาสุกทางจิตใจลดต่ำลงในประเทศต่างๆ ที่รับประทานอาหารแปรรูปโดยทั่วไป เด็กๆ มีสมาร์ทโฟนตั้งแต่อายุยังน้อย และความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวเหินห่าง ซึ่งประเทศต่างๆ ที่พูดภาษาอังกฤษทำคะแนนได้ค่อนข้างน้อยในมาตรวัดทั้ง 3 นี้

สาธารณรัฐโดมินิกันรั้งอันดับสูงสุดในบัญชีประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ส่วนอันดับ 2 เป็นของศรีลังกาและแทนซาเนีย ตามมาเป็นอันดับ 3 โดยทุกประเทศที่ติดอันดับท็อปเท็นมาจากแอฟริกา เอเชีย หรือไม่ก็ละตินอเมริกา "รูปแบบดังกล่าวบ่งชี้ว่าความมั่งคั่งและเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วไม่จำเป็นต้องนำมาซึ่งความผาสุกทางจิตใจ" Sapien Labs ระบุ

เปิดข้อบ่งชี้สำคัญ!! เหตุใดหลังโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน ตอบ : ฝ่ายค้านในสมัยนั้นอาจจะเป็นตัวถ่วงความเจริญตัวสำคัญ

(26 มี.ค.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'LVanicha Liz' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

พฤติกรรมพร่ำบ่นคำว่าทศวรรษที่สูญหาย (the lost decade) กรอกหูประชาชนในทำนองที่น่าจะเป็นการดิสเครดิตการบริหารสองสมัยสองระบบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจเกิดจากการไม่มีความรู้เทคนิคการประเมินผล (รวบยอดประเมิน vs แยกประเมิน) หรืออาจเกิดจากความจงใจใช้ผลกระทบเสียหายจากวิกฤติโควิด (รวมทั้งการเข้ามามีบทบาทของฝ่ายค้าน) มาบิดเบือนหลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิดในผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้พรรคฝ่ายค้านชนะเลือกตั้ง ฯลฯ

สำหรับนายเศรษฐา ทวีสิน นอกจากจะวิจารณ์ ‘8-9 ปีที่ผ่านมา’ อย่างเผ็ดร้อนแล้ว ก็ยังได้แสดงอาการวิตกห่วงใยอย่างมาก ว่าอัตราการเพิ่ม GDP ของไทยไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน แล้วเลยทำท่าคล้ายจะพาลพาโลว่าเศรษฐกิจวิกฤตจนต้องสร้างหนี้เพิ่มให้ประเทศถึงห้าแสนล้านบาท เอามาให้คนกินๆใช้ๆ โดยหวังว่าจะทำให้ตัวเลข GDP กระโดดขึ้นสู่เป้าหมาย 5% จนบุคลากรระดับสูงด้านเศรษฐกิจการเงินของชาติจำนวนมากต้องออกโรงคัดค้านกันจ้าละหวั่น 

ในความเป็นจริง เพียงดูตัวเลข GDP growth บนแกนเวลา ก็พบข้อบ่งชี้สำคัญสำหรับประเด็น #เหตุใดหลังวิกฤติโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน (อ้างอิงภาพ ‘ข้อบ่งชี้สำคัญ !! …’ และภาพขยาย)
https://www.macrotrends.net/global-metrics/countries/THA/thailand/gdp-per-capita 
หมายเหตุ : GDP ในโพสต์นี้ ใช้ตัวเลข per capita (ต่อจำนวนประชากร) เพื่อตัดผลกระทบจากอัตรา

การเพิ่มจำนวนประชากรที่แต่ละประเทศมีไม่เท่ากัน (อ้างอิงภาพอัตราการเติบโตของประชากร)        

ข้อบ่งชี้สำคัญที่แสดงในกราฟของ macrotrends.net แสดงว่า อัตราการเติบโตของ GDP ไทย 8-9 ปีหรือทศวรรษที่ผ่านมา แบ่งออกได้เป็นสองช่วง คือช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) และช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) โดยมีการบริหารประเทศคนละระบบ มีปัจจัยที่เป็นผลกระทบต่างกัน และมีผลการดำเนินงานแตกต่างกันอย่างชัดเจน ตามหลักการจึงควรต้องแยกประเมิน

ช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) เป็นระบบที่บริหารโดยคณะรัฐประหาร ไม่มีฝ่ายค้าน การเติบโตของ GDP สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (contrast กับผลงานรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์-พรรคเพื่อไทย ที่การเติบโตลดลงอย่างต่อเนื่องมาจนติดลบ)

ส่วนช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) เป็นระบบที่บริหารโดยมีฝ่ายค้านเข้ามามีบทบาททั้งในและนอกสภาฯ (หลักๆ ประกอบด้วยพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล) การเติบโตของ GDP ก็ตกต่ำลงอย่างชัดเจน (อ้างอิงส่วนขยายของภาพ ‘ข้อบ่งชี้สำคัญ !! …’) จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงการเติบโตของ GDP จากสูงขึ้นกลายเป็นต่ำลงนั้น เกิดพร้อมกับการเข้ามามีบทบาทของฝ่ายค้าน และคงความตกต่ำอยู่ตลอดช่วงการคงอยู่ของฝ่ายค้าน

เมื่อพิจารณาลักษณะการเปลี่ยนปลง GDP ของไทยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน (ยกตัวอย่าง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม) จากกราฟเปรียบเทียบ (อ้างอิงภาพ GDP per capita ของ ID, PH, TH, VN) สังเกตได้ว่า

1. วิกฤติโควิดทำให้ GDP ของทั้งสี่ประเทศตกลงในปี 2020 เหมือนกันหมด

2. ช่วงก่อนโควิด ซึ่งเป็นช่วงการบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) นอกจากไทยจะมี GDP per capita สูงที่สุดใน 4 ประเทศแล้ว ตัวเลขของไทยยังไต่สูงขึ้นโดยมีความชันมากกว่าทั้งสามประเทศอีกด้วย แสดงถึง #ศักยภาพในการบริหารที่สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน

3. หลังจาก GDP ตกต่ำลงในปี 2020 ประเทศเพื่อนบ้านสามารถฟื้นฟูยอด GDP กลับขึ้นสู่ระดับก่อนโควิดได้ทั้ง 3 ประเทศ แต่ประเทศไทยไม่สามารถกลับสู่ระดับก่อนโควิดที่ คสช. ทำไว้ได้ ข้อแตกต่างของการดำเนินงานจากช่วงก่อนหน้าโควิด หลักๆคือการเปลี่ยนระบบการบริหารประเทศไปเป็นแบบเลือกตั้ง ทำให้ฝ่ายค้านเข้ามามีบทบาททั้งในและนอกสภาฯ

การมีฝ่ายค้าน มีจุดประสงค์เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร เห็นชอบ/ไม่เห็นชอบงบประมาณ ฯลฯ แต่หากฝ่ายค้านใช้อำนาจหน้าที่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ (เช่น แทนที่จะสนับสนุนระบอบการปกครอง กลับมาตั้งหน้าตั้งตาล้มระบอบการปกครอง แทนที่จะเปิดเผยความจริงต่อประชาชน กลับบิดเบือนหลอกหลวงประชาชน ฯลฯ) หรือศักยภาพไม่เพียงพอ (ดังที่ปรากฏภายหลังเลือกตั้งครั้งล่าสุด ว่ามีพรรคฝ่ายค้านที่กำหนดนโยบายหาเสียงแล้วต้องยอมรับหรือถูกตรวจพบในทันทีหรือไม่นานหลังจากได้รับเลือกตั้ง ว่าทำไม่ได้) ฝ่ายค้านก็จะกลายเป็นตัวถ่วงความเจริญขนาดใหญ่ ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าไม่ได้เท่าที่ควรแม้ฝ่ายบริหารจะมีศักยภาพก็ตาม

สรุปว่า macrotrends.net ได้ช่วยแสดงข้อบ่งชี้สำคัญสำหรับประเด็น #เหตุใดหลังวิกฤติโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) โดยชี้ให้เห็นได้ว่า ... ฝ่ายค้านในสมัยนั้นอาจจะเป็นตัวถ่วงความเจริญตัวสำคัญ

ณ เวลานี้ ฝ่ายค้านดังกล่าว 1 พรรค (เพื่อไทย) ได้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ปี 2023 เราจึงจะได้เห็นต่อไป ว่าอัตราการเพิ่ม GDP ของรัฐบาลใหม่นี้ แม้เพียงทำให้ได้เท่าที่ คสช. เคยทำไว้ จะทำได้หรือไม่ และเมื่อใด

อย่าให้สรุปได้ว่าทศวรรษที่สูญหายเริ่มต้นปี 2023 ก็แล้วกัน       

‘กรมควบคุมโรค’ ห่วง!! สถานการณ์ ‘โควิด-19’ ระบาดเพิ่มหลังสงกรานต์ สัปดาห์เดียวป่วยเข้า รพ. 1 พันราย ลุยกำชับทุกหน่วยดูแล ปชช.ให้ทั่วถึง

(22 เม.ย.67) นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการ สธ. มีความห่วงใยสถานการณ์โควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ แต่ยังไม่มีรายงานการระบาดรุนแรง ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจได้สั่งการทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อม กำชับทุกหน่วยงานดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง

นพ.ธงชัย กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 14-20 เมษายน 2567 มีรายงานพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 1,004 ราย เฉลี่ย 143 รายต่อวัน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ โดยพบผู้ป่วยมากขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวหลายแห่ง และมีผู้ป่วยอาการรุนแรงปอดอักเสบ 292 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 101 ราย และเสียชีวิต 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตทุกรายเป็นกลุ่มผู้สูงอายุหรือมีโรคเรื้อรัง (608)

“คาดสาเหตุที่ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ป่วยมีอาการเหมือนไข้หวัด ทำให้ไม่ระวัง ป้องกันตนเอง ส่งผลให้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการติดตามเฝ้าระวังสายพันธุ์ที่กำลังระบาดในประเทศไทย ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันว่ายังคงเป็นสายพันธุ์รุ่นลูกของเชื้อโอมิครอน โดยผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการคล้ายหวัด เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ มีน้ำมูก โดยยังไม่พบว่ามีระดับความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์โอมิครอนเดิมในปีที่ผ่านมา” นพ.ธงชัยกล่าว

อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวถึงโรคโควิด-19 ว่า ขณะนี้มีลักษณะเหมือนโรคประจำถิ่น สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี เพียงแต่จะมีจำนวนมากหรือน้อยแล้วแต่ช่วงเวลา โดยขณะนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจทั่วไป อาทิ โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด เป็นต้น ทั้งนี้ โรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร เตียงรองรับผู้ป่วย เวชภัณฑ์ ตลอดจนมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี

‘เนเธอร์แลนด์’ พบ ‘ชายชราวัย 72 ปี’ ติดเชื้อ ‘โควิด’ จนตาย หลังติดยาวนาน 613 วัน หวั่น!! เป็นตัวกลายพันธุ์อันตรายชนิดใหม่

(22 เม.ย.67) ทีมวิจัยชุดหนึ่งจากเนเธอร์แลนด์ พบการติดเชื้อโควิด-19 ยาวนานเป็นพิเศษในคนชรารายหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตจากไวรัสมรณะชนิดนี้เมื่อปีที่แล้ว ด้วยวัย 72 ปี ก่อความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวขึ้นมาของตัวกลายพันธุ์โคโรนาไวรัสที่อันตรายกว่าเดิม

ถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยพวกนักวิจัย ระบุว่า ชายชรารายนี้ ซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอยู่ก่อนแล้ว สืบเนื่องจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ก่อนหน้า เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในอัมสเตอร์ดัม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 หลังมีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก และไม่น่าเชื่อ ที่ผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของเขาออกมาเป็นบวกอยู่ตลอด จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในเดือนตุลาคม 2023 เท่ากับเป็นการติดเชื้อยาวนาน 613 วัน

ตัวอย่างการติดเชื้อโควิด-19 เป็นเวลานานของบุคคลหนึ่งที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เคยมีรายงานมากมายก่อนหน้านี้ แต่ในการค้นพบครั้งนี้ที่นำโดย แมกดา เวอร์กัวเว จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม เตรียมมีการนำเสนอต่อที่ประชุมด้านจุลชีววิทยาคลินิกและโรคติดเชื้อแห่งยุโรป ในบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 27 ถึง 30 เมษายนนี้

พวกนักวิจัยชี้ว่าเคสนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมันเน้นย้ำถึงความเป็นไปได้ที่โคโรนาไวรัสจะมีการกลายพันธุ์อย่างมีนัยสำคัญบ่อยครั้งระหว่างการติดเชื้อที่ยาวนาน เพราะฉะนั้นมันจึงก่อความเสี่ยงระดับสูงของการถือกำเนิดตัวกลายพันธุ์ที่มีศักยภาพหลบหลีกการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง

ผลวิคราะห์ตัวอย่างที่เก็บจากคนไข้รายนี้ พบว่ามีการกลายพันธุ์กว่า 50 ครั้งเมื่อเทียบกับตัวกลายพันธุ์ BA.1 โอมิครอน ที่กำลังแพร่ระบาดในวงกว้าง ณ ขณะนั้น บางส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน และสิ่งที่น่ากังวลคือ แค่ 21 วันหลังจากชายรายนี้ได้รับยาต่อต้านโคโรนาไวรัสพิเศษชนิดหนึ่ง ไวรัสได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการพัฒนาการต่อต้านยาดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ไวรัสมีพัฒนาการอย่างกว้างขวางในคนไข้รายนี้ แต่ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าเขาแพร่กระจายไวรัสตัวกลายพันธุ์ไปสู่คนอื่น ๆ

ทั้งนี้ ในถ้อยแถลง พวกนักวิจัยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดต่อวิวัฒนาการของโควิด-19 ในบุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง พวกเขาเตือนถึงความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวและการแพร่ระบาดตัวกลายพันธุ์ที่อาจก่อความท้าทายแก่ระบบภูมิคุ้มกันของบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง

'หมอธีระ' เตือน!! โควิด-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่กระจอก ชี้!! รอบนี้มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยหนัก ไม่ใช่ผู้สูงอายุ

(29 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Thira Woratanarat’ ระบุว่า... 

วิเคราะห์การระบาดของไทย…
สัปดาห์ล่าสุด 21-27 เมษายน 2024

จำนวนผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล 1,672 ราย เสียชีวิต 9 ราย ปอดอักเสบ 390 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 148 ราย

ผู้ป่วยนอนรักษาตัวใน รพ.มากกว่าสัปดาห์ก่อนถึง 66.5% และขึ้นต่อเนื่อง 7 สัปดาห์ติดต่อกัน เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3 เท่า

จำนวนปอดอักเสบ เพิ่มขึ้น 33.6% และใส่ท่อช่วยหายใจก็เพิ่มขึ้น 46.5%

คาดประมาณจำนวนคนติดเชื้อใหม่ต่อวันอย่างน้อย 11,943-16,588 ราย

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าจำนวนติดเชื้อจริงจะมากกว่านี้

ชัดเจนว่าการเพิ่มขึ้นข้างต้น ไม่ได้เป็นการเพิ่มเล็กน้อย แต่เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ

แม้จะมีลักษณะพุ่งขึ้นคล้ายปีก่อน แต่จำนวนผู้ป่วยเริ่มต้นก่อนสงกรานต์ปีนี้นั้นมากกว่าปีก่อนอย่างมาก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์จะหนักกว่าเดิม หากไม่ป้องกันควบคุมโรคให้ดี

หากดูจำนวนผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 148 ราย เป็นคนที่ไม่ใช่สูงอายุคือ 0-59 ปี ถึง 55 ราย คิดเป็น 37.1% มากกว่าหนึ่งในสามของทั้งหมด ดังนั้นแม้ไม่ใช่ผู้สูงอายุ ก็ควรป้องกันตัวให้ดีเช่นกัน

โควิด-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่กระจอก ไม่ได้เป็นไปตามฤดูกาล แต่แปรผันกันปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องเทศกาล กิจกรรม รวมถึงพฤติกรรมป้องกันตัวของประชาชน

ติดแต่ละครั้ง นอกจากเสี่ยงป่วย ป่วยรุนแรง หรือเสียชีวิตแล้ว ยังเสี่ยงต่อ Long COVID ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตระยะยาว

ช่วยกันป้องกันตัวนะครับ เพื่อให้ตัวเรา และคนที่เรารักปลอดภัย

อย่าปล่อยแบบ let it rip เพราะสุดท้ายแล้วผลลัพธ์สุขภาพที่เกิดขึ้น ไม่มีใครแบกรับ นอกจากตัวเราและครอบครัว…


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top