Friday, 6 June 2025
แผ่นดินไหว

‘ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ สวนกลับ สก.พรรคเส้นด้าย ปมพูดแรงบอกคนในพื้นที่ตึกถล่ม “เสียชีวิตหมดแล้ว” ลั่นยังมีความหวังเสมอ

เมื่อวันที่ (2 เม.ย. 68) ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เขตดินแดง ได้มีการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สอง (ครั้งที่ 1) ประจำปี โดยมีวาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ที่กำลังทวีความรุนแรง

ระหว่างการประชุม นายพีรพล กนกวลัย สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เขตพญาไท พรรคเส้นด้าย ได้ตั้งกระทู้ถามสดถึงการเตรียมการรับมือของกรุงเทพมหานคร โดยระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 1 มีนาคม 2568 มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สะสมกว่า 160,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง

“ทุกคนเป็นคนไทย ต้องดูแลทุกคนให้ได้รับวัคซีนครบถ้วน กลุ่มที่มีรายได้สามารถฉีดวัคซีนเองในราคา 600 – 1,200 บาท แต่ยังมีกลุ่มคนยากจนที่เสี่ยงสูงมาก จึงอยากทราบว่ากรุงเทพมหานครมีแผนช่วยเหลือพวกเขาอย่างไร” นายพีรพล กล่าว

ด้าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ได้มอบหมายให้ น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. เป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับมาตรการป้องกันโรค และแนวทางแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการอภิปราย นายพีรพลได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ท่านต้องดูแลประชาชนให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ตั้งศูนย์สาธารณสุขแล้วรอให้ประชาชนเดินทางไปหาเอง กลุ่มเสี่ยงเป็นคนไทย ต้องดูแลให้ได้รับวัคซีนก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต”

คำพูดดังกล่าวทำให้ นายชัชชาติ ลุกขึ้นตอบกลับว่า “ขอความกรุณาอย่าใช้คำว่า ‘เสียชีวิตหมดแล้ว’ เพราะยังมีความหวัง ขอให้เชื่อว่าเรายังมีโอกาสช่วยเหลือผู้ป่วยและป้องกันการสูญเสีย ขออย่าใช้คำที่ทำให้หมดกำลังใจ เพราะญาติของผู้ป่วยยังมีความหวัง”

รัฐบาลทหารเมียนมา สั่งหยุดยิงทั่วประเทศ จนถึง 22 เม.ย. เปิดทางช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวรุนแรง

(3 เม.ย. 68) รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศหยุดยิงชั่วคราวทั่วประเทศจนถึงวันที่ 22 เมษายน 2568 เพื่อเปิดทางให้หน่วยกู้ภัยสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุ แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.7 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายพื้นที่ของประเทศ

แถลงการณ์จากกองทัพเมียนมาระบุว่า “รัฐบาลทหารตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชน และต้องการให้การช่วยเหลือดำเนินไปอย่างเต็มที่” โดยในช่วงเวลาหยุดยิงนี้ หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรด้านมนุษยธรรมทั้งภายในและต่างประเทศจะสามารถเข้าถึงพื้นที่ภัยพิบัติได้ง่ายขึ้น

ข้อมูลล่าสุดจากทางการเมียนมาเผยว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 3,000 ราย บาดเจ็บกว่า 4,500 ราย และยังมีผู้สูญหายอีกหลายร้อยชีวิต ขณะที่อาคารบ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงถนนและสะพานได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศ

เจ้าหน้าที่กู้ภัยยังคงเร่งค้นหาผู้รอดชีวิตตามซากอาคารที่พังถล่ม ท่ามกลางความท้าทายจาก ดินถล่ม ไฟฟ้าดับ และเส้นทางคมนาคมที่ถูกตัดขาด ในหลายพื้นที่ ซึ่งเมื่อวานนี้ (2 เม.ย.) ทีมข้อมูลสภาบริหารแห่งรัฐของเมียนมารายงานว่าพนักงานโรงแรม วัย 26 ปี ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากซากโรงแรมที่พังถล่มในกรุงเนปิดอว์ หลังติดอยู่ใต้ซากนาน 5 วัน

ด้านกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์หลายกลุ่ม ซึ่งมีการปะทะกับรัฐบาลทหารในช่วงที่ผ่านมา แสดงท่าทีตอบรับคำสั่งหยุดยิง เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยสามารถดำเนินไปได้โดยไม่มีอุปสรรค 

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์ระบุว่า สถานการณ์ยังคงเปราะบาง และอาจเกิดการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงได้

ขณะเดียวกัน องค์การสหประชาชาติ (UN), สภากาชาด, อาเซียน และรัฐบาลหลายประเทศ กำลังเตรียมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมา โดยเฉพาะ อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค และที่พักชั่วคราว เพื่อรองรับผู้พลัดถิ่นหลายหมื่นคน

แม้ว่าการหยุดยิงครั้งนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว แต่หลายฝ่ายกังวลว่า เมื่อหมดกำหนดในวันที่ 22 เมษายน ความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลังชาติพันธุ์อาจปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

รัฐบาลทหารเมียนมา ไม่สนประกาศหยุดยิงกู้ภัยแผ่นดินไหว ระดมเครื่องบินทิ้งระเบิด โจมตีกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) ต่อเนื่อง

(4 เม.ย. 68) แม้ว่า กองทัพเมียนมา ได้ประกาศหยุดยิงชั่วคราววันที่ 2-22 เม.ย.นี้ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการกู้ภัยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว แต่ในความเป็นจริงการโจมตีทางอากาศของรัฐบาลเมียนมายังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีท่าทีหยุดยั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการควบคุมโดยกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งขัดแย้งกับการประกาศหยุดยิงอย่างชัดเจน

การโจมตีทางอากาศของกองทัพเมียนมาในพื้นที่รัฐคะฉิ่นและเขตสะกาย ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าประเทศจะประสบกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและสูญหายเป็นจำนวนมากเช่นกัน

เจ้าหน้าที่จากองค์กรช่วยเหลือในพื้นที่กล่าวว่า “การโจมตีทางอากาศของกองทัพเมียนมา ทำให้การดำเนินงานของหน่วยกู้ภัย ถูกขัดขวางอย่างรุนแรง เพราะอากาศยานทหารยังคงบินโจมตีไปทั่วเมืองพะโม และเขตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มเอกราชชาติพันธุ์ โดยไม่สนใจการหยุดยิงที่ได้รับการประกาศเอาไว้”

พล.ท. กุน มอว์ รองผู้บัญชาการกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) ได้โพสต์แผนที่สงครามบนเฟซบุ๊กเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาโดยเผยว่า รัฐบาลเมียนมาได้เปิดฉาก โจมตีฐานที่มั่นของกองทัพ KIA ในเมือง เวียงหม่อ หลังจากที่ได้ทำการโจมตีทางอากาศเมื่อวันพุธ (2 เม.ย.) โดยกล่าวว่า การโจมตีครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่ไม่สนคำประกาศหยุดยิงจากฝ่ายต่อต้าน

ตามรายงานจากสื่อท้องถิ่นในรัฐคะฉิ่น โดยอ้างอิงข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ ระบุว่า รัฐบาลเมียนมาใช้การยิงถล่มและโดรนโจมตี บริเวณพื้นที่ที่ควบคุมโดย KIA ในเมืองเวียงหม่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญที่มีการควบคุมของกลุ่มชาติพันธุ์

รายงานเพิ่มเติมระบุว่า เมื่อเช้าวันพุธที่ 3 เม.ย. เครื่องบิน Y12 ของกองทัพเมียนมาได้ ทิ้งระเบิด 30 ลูก ที่เมืองพะโม และ 45 ลูก ที่เมืองอินดอว์ ในภูมิภาคสะกาย ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ KIA และพันธมิตร

พ.อ. นอว์ บู โฆษกของ KIA โฆษกของกองทัพกล่าวว่า “เราเห็นพวกเขาออกแถลงการณ์หยุดยิง อย่างไรก็ตามการสู้รบยังไม่หยุดลง หากพวกเขาโจมตี แน่นอนว่าเราจะป้องกันตัวเองด้วยการสู้กลับ ดังนั้นเราคาดว่าจะมีการสู้รบมากขึ้น”

ก่อนหน้านี้ มิน อ่อง ไหล่ ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาได้ปฏิเสธการหยุดยิงจากฝ่ายตรงข้าม รวมถึงกลุ่ม กองกำลังป้องกันประชาชน (PDF) ที่ภักดีต่อ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) และ องค์กรติดอาวุธอื่น ๆ โดยมิน อ่อง ไหล่ได้ให้คำมั่นว่า จะยังคงปฏิบัติการทางทหารต่อกลุ่มฝ่ายค้านต่อไป

ทั้งนี้ การโจมตีดังกล่าวได้ยกระดับความรุนแรงในพื้นที่ที่กำลังเกิดการต่อสู้ระหว่างกองทัพเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ยังคงประสบกับความยากลำบากจากการโจมตีที่ไม่หยุดยั้ง

เปิด 2 เรื่องที่น่ากลัวกว่าเกิด ‘แผ่นดินไหว’ ไทย-เมียนมา เฟกนิวส์-มิจฉาชีพระบาด พอๆ กับความเกลียดชังที่ไร้เหตุผล

เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครประกาศยกเลิกการเป็นเขตธรณีพิบัติภัยแล้วยกเว้นแค่จุดอาคารถล่มเพียงเท่านั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากกรณีธรณีพิบัติภัยครั้งนี้ที่เอย่ามองว่า นี่มันช่างน่ากลัวเสียยิ่งกว่าแผ่นดินไหว วันนี้เอย่าจะหยิบยกมาให้รู้กัน

1. เฟกนิวส์และมิจฉาชีพที่มาในรูป AI ตามที่เราเห็นตามสื่อสังคมออนไลน์ตอนนี้ที่ยังพบได้คือภาพ VDO เฟกนิวส์ที่อ้างว่าเป็นภาพธรณีพิบัติภัยในเมียนมาและประเทศไทยสร้างภาพความเสียหายที่ดูรุนแรงจนเข้าใจผิด แต่ที่หนักกว่านั้นที่เอย่าพบตอนนี้คือการพบว่ามีการนำวิดีโอที่สร้างจาก AI มาใช้เรียกร้องขอเงินบริจาคของพวกกลุ่มมิจฉาชีพและสแกมเมอร์แล้ว

2. ความเกลียดชังที่ไร้เหตุผล จากเหตุธรณีพิบัติภัยครั้งนี้เราจะเห็นได้ถึงน้ำใจของเหล่าประเทศที่ส่งทีมกู้ภัยเข้าไปช่วยเมียนมาในวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่ตั้งธงทำร้ายเมียนมามาตลอดอย่างสหรัฐอเมริกาหรือประเทศที่ตั้งโต๊ะแถลงคว่ำบาตรอย่างเกาหลีใต้ก็ยังบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐช่วยเหตุการณ์นี้ 

และเช่นกัน เราก็ได้เห็นบางประเทศอ้างว่ายกเลิกส่งทีมช่วยเหลือไปเพราะเมียนมาไม่ปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้มีประกาศยุติสงครามทั่วประเทศเพราะความเดือดร้อนของประชาชนต้องมาก่อนและดูเหมือนกลุ่มติดอาวุธก็ยอมปฏิบัติตามข้อเสนอนี้เสียด้วย

อย่างไรก็ดีก็มีคนบางกลุ่มและสื่อบางสื่อพยายามอ้างว่าการที่ผู้นำทหารเมียนมาได้เข้าร่วมประชุม BIMSTEC เป็นการที่ไทยฟอกขาวให้เขา ทั้งที่อีกมุมที่หลายคนไม่รู้คือ หลังเหตุการณ์รัฐประหารไทยแทบจะปิดประตูความช่วยเหลือให้แก่เมียนมา 

ยังไม่พอ ไทยคือฐานนอกประเทศของกลุ่มก่อความไม่สงบไม่เมียนมา อีกทั้งการที่เมียนมาเริ่มตีตัวออกห่างจากไทย นั่นก็เพราะหลายครั้งที่ไทยละเลยคำขอของเพื่อนบ้าน หลายคนคงไม่ทราบว่า ทางการไทยพยายามร้องขอการปล่อยตัวของลูกเรือ 4 คนมาตลอด จนล่าสุดที่ ‘ลุงป้อม’ ไปขอผ่านเจ้ายอดศึกให้คุยกับนายพล มินอ่องหล่ายให้ เขาก็ยอมปล่อยตัวออกมา ทางรัฐบาลเมียนมาขอน้ำมันวันละ 5,000 ลิตรเพื่อมาใช้ปั่นไฟในโรงพยาบาลในเมืองเมียวดี เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากกลุ่มจีนเทา ไทยกลับเพิกเฉย 

ดังนั้นเอย่าถามว่าการประชุม BIMSTEC ครั้งนี้เป็นการฟอกขาวหรือการกลับมาสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศอีกครั้งกันแน่

กลุ่มผู้อพยพผิดกฎหมายในไทยพยายามอ้างตลอดว่า เขาหนีเข้าไทยเพราะรัฐประหารในเมียนมา แต่ทุกคนควรทราบก่อนว่า เหตุผลใหญ่ในตอนนั้นที่กองทัพต้องทำรัฐประหารนอกจากเรื่องการตรวจสอบการเลือกตั้งไม่ได้แล้ว ยังมีเรื่องการยกหมู่เกาะโคโต่ให้เป็นฐานนอกประเทศของอเมริกาด้วย ซึ่งนั่นหากมีการเกิดสงครามจริง อเมริกาสามารถยิงขีปนาวุธเข้ามาที่เมืองย่างกุ้งหรือเนปิดอว์ได้เลย โดยใช้หมู่เกาะโคโต่เป็นฐาน

และการที่ประชาชนในประเทศเขาหนีส่วนใหญ่ เพราะไปเชื่อตามข่าวลือของกลุ่มต่อต้านที่ปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังและอีกส่วนคือหนีสงครามที่เริ่มต้นโดยกลุ่มชาติพันธุ์นั่นเอง 

ส่วนในไทยสิ่งที่น่ากลัวคือการที่คนไทยผู้มีอำนาจเพิกเฉยและให้คนเหล่านี้เข้ามามีสิทธิ์มีเสียงในสังคมต่างหาก นั่นแหละที่เรียกว่าฟอกขาวที่แท้จริง

‘อ.เจษฎ์’ ยืนยัน!! ‘ต้นไมยราบ’ ใช้เตือนภัยแผ่นดินไหวไม่ได้ ตอบสนองไวต่อ ‘ลม-น้ำฝน-แมลง’ มากกว่าแรงสั่นแผ่นดินไหว

(5 เม.ย. 68) จากกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางประเทศเมียนมา แต่ส่งผลกระทบกับไทยในหลายจังหวัดและเป็นสาเหตุของตึก สตง. ถล่มจนทำให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและ สูญหายหลายราย หลังจากนั้นในโซเชียลก็ได้มีข้อมูลส่งต่อกันว่า ‘ต้นไมยราบ’ สามารถเตือนแผ่นดินไหวได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ‘อ.เจษฎ์’ หรือ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Jessada Denduangboripant’ ว่า….

“ถึงแม้ว่า ต้นไมยราบ หรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mimosa pudica จะถูกตั้งสมญานามให้กว่า เป็น earthquake plant เพราะคิดกันว่ามันน่าจะหุบใบได้ ตอนที่เกิดแผ่นดินไหว พอลองตรวจสอบแล้ว ไม่พบว่าเป็นความจริงนะครับ ที่บอกว่าคนญี่ปุ่นนิยมปลูกต้นไมยราบเพื่อแจ้งเหตุล่วงหน้า แถมก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ ว่า ต้นไมยราบมันสามารถทำเช่นนั้นได้จริง ออกจะเป็นเรื่องเล่า เชื่อตามกันมากกว่า”

“โดยทาง IG ของ wachistudio ซึ่งเป็น content creator ด้านการเพาะพันธุ์และจำหน่ายพืชไม้ประดับ ได้ไปหาข้อมูลและสอบถามคนญี่ปุ่นเพื่อหาคำตอบเรื่องนี้ ว่าจริงหรือไม่ที่ชาวญี่ปุ่นปลูกต้นไมยราบเพื่อตรวจเช็กแผ่นดินไหว?”

“ไม่จริงครับ แม้ว่าไมยราบจะเป็นพืชที่ไวต่อการสัมผัส ใบจะหุบเมื่อถูกกระทบ จนบางคนตั้งสมมติฐานว่า น่าจะเอามาตรวจจับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้”

“แต่ในความเป็นจริง ไมยราบไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในการตรวจแผ่นดินไหว เพราะการตอบสนองของมัน อ่อนไหวต่อปัจจัยอื่น ๆ เช่น ลม หรือน้ำฝน หรือการสัมผัสจากสัตว์เล็ก ๆ มากกว่าจากแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวนั่นเอง”

“สำหรับการตรวจจับแผ่นดินไหว ญี่ปุ่นจะใช้เซ็นเซอร์ และระบบเครื่องมือทันสมัย ในการตรวจจับ แทนการที่จะใช้พืช อย่างไมยราบครับสำหรับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ พฤติกรรมของต้นไมยราบกับแผ่นดินไหวนั้น เคยมีการทำในสมัยทศวรรษที่ 1970 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ตามที่มีเรื่องเล่าว่า ใบของต้นไมยราบก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวได้”

“โดยในปี 1977 มีนักวิจัยพยายามวัดค่า Tree Bio-electric Potential (TBP) ด้วยการติดอิเล็กโทรด ขั้วหนึ่งไว้ที่ใบของต้น กับอีกขั้วหนึ่งฝังลงในดิน วัดค่าศักย์ไฟฟ้า electricpotential ระหว่างอิเล็กโทรดทั้งสอง ขณะที่เกิดแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น ขนาดประมาณ 7.0 จำนวน 28 ครั้ง ซึ่งพบว่ามีอยู่ 17 ครั้งที่แสดงสัญญาณที่ผิดปกติไป และคาดว่าอาจจะเกิดจากการได้รับสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า (electric magnetic, EM) ห่างจากดินสู่ราก หรือได้รับประจุไอออนบางอย่างจากอากาศ”

“แต่นักวิจัยก็สรุปว่ายังไม่สามารถจะอธิบายได้ชัดเจนถึงกลไกที่เกิดขึ้น และความเป็นไปได้ที่จะใช้มาทำนายการเกิดแผ่นดินไหว ทั้งในเรื่องของเวลา สถานที่และขนาด นั้นอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก”

“คำสรุปก็คือว่า เรื่อง ‘ต้นไมยราบบอกเหตุแจ้งเตือนแผ่นดินไหวล่วงหน้า’ ก็ไม่น่าจะเป็นความจริง เป็นแค่เรื่องเล่า ไม่ค่อยต่างอะไรกับที่บอกว่าสัตว์ต่าง ๆ สามารถแจ้งเตือนแผ่นดินไหวช่วงหน้าได้ ซึ่งไปทางธรณีวิทยานั้น ก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่าจริงครับ”

‘จิรายุ’ ชวนเที่ยว!! เชียงใหม่ งานสงกรานต์ปี๋ใหม่เมือง ยัน!! ปลอดภัย ไร้ผลกระทบ จากเหตุแผ่นดินไหว

(7 เม.ย. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วันนี้ตนได้ลงพื้นที่พร้อมกับ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายณัชฐเดช มุลาลี นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ เข้าตรวจสอบอาคารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีเพียง 3 อาคาร ที่ได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันไป โดยอาคารที่ 1 เป็นอาคารเก่า ‘ดวงกมลคอนโดมิเนียม’ ก่อสร้างมานานมากกว่า 30 ปีเป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีจำนวน 102 ห้อง อยู่ที่ตำบล ช้างคลานอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ขณะนี้ จังหวัดเชียงใหม่ได้ประกาศปิดห้ามใช้อาคารทั้งหมดและได้ใช้เหล็กค้ำยันที่ชั้น 1 มากกว่า 10 จุด เพื่อป้องกันไม่ให้อาคารทรุดเนื่องจากโครงสร้างด้านล่างชั้น 1 บิดงอและมีรอยแตกร้าว โดยฝ่ายโยธาก็จะประสานงานเพื่อดำเนินการให้เจ้าของตึกแก้ไขปรับปรุงต่อไป ส่วนอาคารหลังที่ 2 และ 3 นั้น เป็นอาคารคอนโดมิเนียมสูง 22 ชั้น ซึ่งไม่มีผลกระทบทางโครงสร้าง เป็นเพียงอุปกรณ์ตกแต่งและปูนที่ฉาบแตกร้าว ขณะนี้ จังหวัดได้ให้นิติบุคคลเร่งแก้ไขเนื่องจากผู้อยู่อาศัยทั้งหมดได้ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกชั่วคราว

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ผลกระทบด้านอื่นๆของจังหวัดเชียงใหม่มีน้อยมาก และกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากว่า 5 วันแล้ว สำหรับบรรยากาศต่างๆโดยเฉพาะการท่องเที่ยวของเมืองเชียงใหม่ ทั้งถนนนิมมานฯ ถนนคนเดิน และร้านอาหาร บริเวณรอบคูเมือง ยังคึกคัก นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติยังคงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยเฉพาะช่วง เทศกาลสงกรานต์ที่จะเริ่มต้นขึ้นในปลายสัปดาห์นี้

“ยืนยันจังหวัดเชียงใหม่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์เชียงใหม่ หรือ ประเพณีปี๋ใหม่เมือง ด้วยความวัฒนธรรมและประเพณีที่งดงาม” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย

ทีมกู้ภัยยูนนาน เดินทางกลับจีน หลังเสร็จสิ้น!! ภารกิจ ในเมียนมา

(7 เม.ย. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยและบุคลากรการแพทย์จากมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน จำนวน 37 คน ได้เดินทางกลับจากเมียนมาเมื่อช่วงบ่ายวันอาทิตย์ (6 เม.ย.) หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว

เมียนมาประสบเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ขนาด 7.9 ตามมาตราแมกนิจูด เมื่อวันที่ 28 มี.ค. และทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยและบุคลากรการแพทย์จากมณฑลอวิ๋นหนาน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเมียนมา ได้เดินทางจากเมืองคุนหมิงสู่พื้นที่ประสบภัยในวันที่ 29 มี.ค. พร้อมอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณชีพ ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว โทรศัพท์ดาวเทียมแบบพกพา และโดรน

ทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยและบุคลากรการแพทย์จากมณฑลอวิ๋นหนานในฐานะทีมกู้ภัยจากจีนชุดแรกที่เดินทางถึงเมียนมาได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและหน่วยกู้ภัยท้องถิ่นทันที เพื่อดำเนินการช่วยเหลือและรักษาพยาบาลนานกว่า 150 ชั่วโมงในกรุงเนปิดอว์ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง

ทั้งนี้ ทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยและบุคลากรการแพทย์จากมณฑลอวิ๋นหนานร่วมกับทีมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสามารถช่วยเหลือผู้สูงอายุรายหนึ่งที่ติดค้างอยู่ข้างใต้ซากปรักหักพังจากแผ่นดินไหวนานเกือบ 40 ชั่วโมงสำเร็จ ตอน 05.00 น. ของวันที่ 30 มี.ค. ตามเวลาท้องถิ่น

เมื่อวันพุธ (2 เม.ย.) ไชน่า มีเดีย กรุ๊ป (CMG) รายงานว่ามีเจ้าหน้าที่กู้ภัยจากจีนมากกว่า 500 คน ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในเมียนมา และสามารถช่วยเหลือผู้รอดชีวิตได้ 9 ราย เมื่อนับถึงวันพฤหัสบดี (3 เม.ย.) ที่ผ่านมา

‘ชัชวาลล์-ชื่นชอบ’ ร่วมกับ สมาคมศิษย์เก่าก่อสร้างดุสิต ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน ตรวจสอบอาคาร ที่พักอาศัย ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ในบางซื่อ

(7 เม.ย. 68) สส.ชัชวาลล์ คงอุดม และนายชื่นชอบ คงอุดม รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมกับสมาคมศิษย์เก่าก่อสร้างดุสิตและบริษัทตรวจสอบอาคารที่ได้รับการรับรองจากสภาวิศวกร ลงตรวจพื้นที่อาคารพักอาศัยในบริเวณเขตบางซื่อที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งในวันนี้ตรวจสอบทั้งหมด 5 โครงการ 14 อาคารพักอาศัย

โดยโครงการนี้จะช่วยตรวจสอบตัวอาคาร และห้องพักของพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเสียหาย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆและในกรณีที่เป็นอาคารที่ได้รับผลกระทบมากจะตรวจสอบโดยละเอียด และออกใบรับรองให้หากผ่านการตรวจสอบและมีความปลอดภัยในการพักอาศัย พร้อมให้ข้อมูลที่เป็นไปตามหลักวิชาการและคำแนะนำที่เหมาะสมในกรณีต้องปรับปรุงอาคารหรือห้องชุดดังกล่าว และรายงานรับรองผลภายในวันที่ 11 เม.ย.68

รัฐบาลญี่ปุ่นเตือน หากเกิดแผ่นดินไหว 9 แมกนิจูด ที่ร่องลึกนันไค เกิดแน่ ‘สึนามิ-อาคารถล่ม’ ซึ่งอาจคร่าชีวิตผู้คนกว่า 298,000 ชีวิต

(8 เม.ย. 68) รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานประเมินภัยพิบัติฉบับใหม่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่าหากเกิดแผ่นดินไหวขนาดรุนแรงประมาณ 9 แมกนิจูด บริเวณร่องลึกนันไค (Nankai Trough) ซึ่งทอดตัวตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของประเทศ อาจมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 298,000 คน

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นโดย คณะผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติและการป้องกันภัยของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งระบุว่า สาเหตุหลักของการสูญเสียชีวิตจำนวนมากมาจาก “คลื่นสึนามิ” ที่จะพัดถล่มชายฝั่งภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังเกิดแผ่นดินไหว รวมถึงการพังถล่มของอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

สำหรับร่องลึกนันไค เป็นพื้นที่ที่นักวิทยาศาสตร์จับตามองมานาน เนื่องจากมีประวัติการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอดีตหลายครั้ง และมีศักยภาพที่จะปลดปล่อยพลังงานสะสมขนาดมหาศาลในอนาคต

ส่งผลให้ รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมลงทุนกว่า 20 ล้านล้านเยน (ราว 5 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เพื่อเสริมความสามารถในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ

รัฐบาลเตือนว่า หากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นจริง หลายเมืองใหญ่ในภูมิภาคคันไซและชูโงกุ รวมถึงบางส่วนของภูมิภาคโทไก อาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งจากคลื่นยักษ์ ความเสียหายของระบบคมนาคม และการหยุดชะงักของโครงข่ายสาธารณูปโภค

ด้าน คณะรัฐมนตรี รัฐบาลกล่าวว่าแผ่นดินไหวจะผลักดันให้การผลิตและบริการภายในประเทศลดลงสูงถึง 45.4 ล้านล้านเยน ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งจะมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิตอื่น ๆ จึงเรียกร้องให้ผู้ผลิตกระจายฐานการผลิตและซัพพลายเออร์ เพื่อบรรเทาความเสี่ยงและปรับปรุงความต้านทานแผ่นดินไหวของโรงงาน

โดย บริษัทโตโยต้ากำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการย้ายสายการผลิตบางส่วนในภูมิภาคโทไกซึ่งเป็นภูมิภาคหลัก ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากแผ่นดินไหวนันไก ไปยังภูมิภาคโทโฮกุและเกาะคิวชู

ขณะที่ บริษัทฮอนด้า มอเตอร์ ถูกบังคับให้ลดการผลิตรถยนต์มินิวีครุ่นเรือธง N-Box เป็นการชั่วคราว หลังจากที่ซัพพลายเออร์ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรโนโตะในปี 2567

“เรากำลังสร้างการจำลองเพื่อให้แน่ใจถึงความปลอดภัยของพนักงานเป็นอันดับแรก และเพื่อรักษาการดำเนินงานให้ได้มากที่สุด แม้ว่าการจัดหาชิ้นส่วนจะหยุดชะงักก็ตาม” เจ้าหน้าที่ของฮอนด้ากล่าว

นอกจากนี้ บริษัท Panasonic Holdings ได้สร้างกำแพงกั้นน้ำทะเลสำหรับโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองมัตสึชิเกะ จังหวัดโทคุชิมะ โดยที่โรงงานในเมืองสึ จังหวัดมิเอะ สายการผลิตแปรรูปโลหะที่สำคัญได้ถูกย้ายจากชั้น 1 ไปยังชั้น 3 เป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมลงทุนกว่า 20 ล้านล้านเยน (ราว 5 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เพื่อเสริมความสามารถในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวขนาดใหญ่จากรอยเลื่อนนังไก ตามร่างแผนฉบับใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568

กองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพไทย จัดชุดปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว เมียนมา

พลเรือโท วัชระ พัฒนรัฐ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ กล่าวให้โอวาทเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับ ชุดปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ระดับสูงในภาวะภัยพิบัติ (Medical Emergency Response Team : MERT) ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนหน่วยแพทย์ กองบัญชาการกองทัพไทย ประสานผ่านกรมแพทย์ทหารเรือ​ ได้ให้โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์​ ฐานทัพเรือสัตหีบ​ จัดชุดปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งพร้อมเดินทางปฏิบัติภารกิจ​เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม​ ในวันที่​ 11 เมษายน​ 2568 

โดยได้ทำพิธีดังกล่าว ณ ห้องประชุมกฤษณจันทร์ กิจการสโมสรโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top