Friday, 6 June 2025
แผ่นดินไหว

ด้วยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในสภาวะวิกฤติ ตัวชี้วัดสภาวะผู้นำในสถานการณ์ฉุกเฉิน

(30 มี.ค. 68) ในช่วงสถานการณ์ไม่ปรกติแบบนี้ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในสภาวะวิกฤติเป็นสิ่งสำคัญอย่างอย่างยิ่งครับ โดยเฉพาะในบริบทของการบริหารจัดการในยามคับขัน หรือ Crisis Management เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดความตื่นตระหนกของประชาชน ป้องกันความเข้าใจผิด และเพิ่มโอกาสในการจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพนะครับ 

ขออนุญาตงดเว้นการยกตัวอย่างผู้นำท่านต่างๆที่ปรากฏตัวออกสื่อในช่วงเวลานี้ เพราะพวกเราก็คงจะเห็นและประเมินสภาวะผู้นำของแต่ละท่านผ่านสื่อได้ตามวิจารณญาณของแต่ละคน ในฐานะของคนที่เล่าเรียนมาทางด้านรัฐศาสตร์และการสื่อสารทางการเมือง ขออนุญาตสรุปแนวทางการสื่อสารในสภาวะวิกฤติไว้ให้นะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย 

1. ความชัดเจนและกระชับ
- ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน หลีกเลี่ยงศัพท์เฉพาะหรือคำที่อาจก่อให้เกิดความสับสนหรือคลุมเครือ
- ส่งสารอย่างตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ เนื้อๆเน้นๆ 
- สรุปโครงสร้างการจัดการปัญหาที่ชัดเจน เช่น ใครต้องทำอะไร เมื่อไหร่ และอย่างไร  

2. การสื่อสารอย่างรวดเร็วและทันท่วงที
- ส่งสารโดยเร็วที่สุดเพื่อลดความสับสนและความกังวลของคนจำนวนมาก
- ให้ข้อมูลปัจจุบัน และ update เป็นระยะ 
- ใช้ช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทันที เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หรือ Social Media ต่างๆ

3. การใช้แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
- ข้อมูลที่เผยแพร่ต้องมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น หน่วยงานรัฐ หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์
- ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเผยแพร่ เพื่อหลีกเลี่ยงข่าวลือหรือข้อมูลเท็จ  

4. การใช้ช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย
- ผสมผสานช่องทางการสื่อสาร เช่น การแถลงข่าว อีเมล ข้อความ SMS และ Social Media
- คำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีข้อจำกัด เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้พิการ  

5. การสื่อสารแบบสองทาง (Two-Way Communication) 
- เปิดโอกาสให้ประชาชนหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถสอบถามหรือให้ข้อมูลกลับมาได้  
- มีช่องทางติดต่อที่ชัดเจน เช่น ศูนย์ข้อมูล หรือสายด่วน 

6. การสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจและความมั่นใจ
- แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความกังวลของประชาชน  
- ให้ข้อมูลที่สร้างความมั่นใจ พร้อมแนวทางแก้ปัญหา  

โดยสรุปก็คือ 
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในภาวะวิกฤติ ต้องเป็น “ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน ทันเวลา เชื่อถือได้ และเปิดกว้างสำหรับการตอบกลับ” เพื่อช่วยลดความตื่นตระหนก และเพิ่มความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาจากผู้เชี่ยวชาญและประชาชนครับ

ชาวเน็ตชื่นชม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของห้างซีคอนฯ อาสาพาลูกค้ากลับบ้าน หลังแผ่นดินไหวทำจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ

(30 มี.ค. 68) จากกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้การจราจรติดขัดอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับบ้านด้วยความยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความวุ่นวายยังมีเรื่องราวดีๆ ที่สร้างรอยยิ้มให้กับสังคม

โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก Chaiyaporn Chinaprayoon ได้แชร์ภาพและข้อความชื่นชมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้าซีคอน บางแค ที่อาสานำมอเตอร์ไซค์ส่วนตัวออกมาช่วยรับ-ส่งลูกค้าที่ติดอยู่ภายในห้างฯ และบริเวณใกล้เคียงจนถึงช่วงดึก เพื่อให้ทุกคนได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย

“ลูกค้าไม่ท้อ รปภ. ไม่ทิ้ง” เฟซบุ๊กของ Chaiyaporn Chinaprayoon โพสต์ข้อความดังกล่าว สะท้อนถึงน้ำใจของเจ้าหน้าที่ที่อาสาขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกค้าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน นอกจากนี้ยังมีลูกค้าหลายคนที่ได้รับความช่วยเหลือเข้ามาเขียนข้อความขอบคุณทีมงานรักษาความปลอดภัยของห้างฯ ที่ทุ่มเทช่วยเหลือประชาชนในช่วงเวลาคับขัน

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวโซเชียลอย่างมาก โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นและชื่นชมเจ้าหน้าที่ รปภ. ที่แสดงออกถึงความมีน้ำใจและจิตอาสา หลายคนมองว่านี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความมีน้ำใจของคนไทยที่ช่วยเหลือกันแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหว แต่ยังแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ดีงามของคนไทย ที่ไม่ทอดทิ้งกันแม้ในยามวิกฤติ

กลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า ประกาศหยุดสู้รบ 2 สัปดาห์ เพื่อเปิดพื้นที่ให้กู้ภัยช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหว

(30 มี.ค. 68) กลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ประกาศหยุดยิงเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยและองค์กรด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตเนปิดอว์ ภาคซะไกง์ และภาคมัณฑะเลย์

แถลงการณ์จากแนวร่วมกลุ่มติดอาวุธระบุว่า การหยุดยิงชั่วคราวครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอุปสรรคจากสถานการณ์สู้รบ และป้องกันไม่ให้ประชาชนต้องเผชิญความยากลำบากมากขึ้นจากทั้งภัยพิบัติและความขัดแย้งทางทหาร

“กองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) จะหยุดดำเนินการปฏิบัติการทางทหารเชิงรุกเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ยกเว้นปฏิบัติการเชิงป้องกัน ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. 2568” รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ที่เป็นรัฐบาลเงาระบุในคำแถลง

ด้านองค์กรบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศและกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้ออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างจริงจัง และเปิดทางให้ความช่วยเหลือเข้าถึงทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าการเมืองไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน

ขณะที่รัฐบาลทหารเมียนมายังไม่มีท่าทีตอบสนองต่อแถลงการณ์หยุดยิงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าองค์กรกาชาดสากล และศูนย์ประสานงานอาเซียนด้านมนุษยธรรม (AHA Centre) กำลังเร่งประสานงานกับทั้งสองฝ่ายเพื่อส่งความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ภัยพิบัติโดยเร็วที่สุด

สงครามกลางเมืองปะทะภัยธรรมชาติ ประชาชนเผชิญความสิ้นหวัง หายนะที่ยังไร้จุดจบ

(30 มี.ค. 68) เมียนมาเผชิญกับอนาคตที่มืดมนยิ่งขึ้น หลังจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.7 เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง และส่งผลกระทบไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ตามรายงานของ เดลิเมล สื่ออังกฤษ

ขอบเขตของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ยังไม่แน่ชัด โดยเฉพาะในเมียนมา ซึ่งกำลังอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมืองและการควบคุมข้อมูลข่าวสารอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,600 ราย ในเมียนมา และอีกอย่างน้อย 10 รายในกรุงเทพฯ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ายอดผู้เสียชีวิตสุดท้ายอาจแตะระดับหลายพันคน

ก่อนเกิดแผ่นดินไหว สถานการณ์ในเมียนมาก็เลวร้ายอยู่แล้ว ประชาชนมากกว่า 3 ล้านคนต้องพลัดถิ่นฐาน และอีกหลายแสนคนถูกตัดขาดจากโครงการช่วยเหลือด้านอาหารและสาธารณสุข ผลจากสงครามกลางเมืองที่ดำเนินมานานกว่า 4 ปี โดยองค์กรสิทธิมนุษยชนกล่าวหารัฐบาลทหารว่าใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีพลเรือนอย่างไม่เลือกหน้า

เมียนมาตกอยู่ในความวุ่นวายตั้งแต่กองทัพยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ อองซาน ซูจี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 จุดชนวนให้เกิดการต่อต้านทั่วประเทศ การประท้วงที่เริ่มต้นอย่างสันติถูกปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องจับอาวุธต่อต้าน ส่งผลให้ความขัดแย้งกระจายไปทั่วประเทศ

หลังเกิดแผ่นดินไหว รัฐบาลทหารเมียนมาออกแถลงการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ขอรับความช่วยเหลือจากนานาชาติ โดยระบุว่าต้องการโลหิตเป็นจำนวนมากในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก

เทเลกราฟ รายงานโดยอ้างแพทย์คนหนึ่งในเมียนมาว่า ระบบสาธารณสุขในประเทศอ่อนแออยู่แล้ว และไม่มีทรัพยากรหรือบุคลากรทางการแพทย์เพียงพอรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ ขณะที่ ทอม แอนดรูว์ ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมา ให้สัมภาษณ์กับ ไทม์เรดิโอ ว่า

“นี่อาจเป็นหายนะซ้อนหายนะ ประชาชน 20 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตั้งแต่ก่อนแผ่นดินไหวแล้ว มีผู้พลัดถิ่น 3 ล้านคน และมากกว่าครึ่งของประชากรเมียนมาดำดิ่งสู่ความยากจนขั้นรุนแรง”

โจ ฟรีแลนด์ นักวิจัยด้านเมียนมาของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเมียนมา ซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติด้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรงอยู่แล้ว”

แผ่นดินไหวครั้งนี้ยังส่งผลกระทบต่อไทย โดยมีรายงานว่ากรุงเทพฯได้รับแรงสั่นสะเทือนและมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่ามาตรการตัดลดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประกาศระงับโครงการช่วยเหลือต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง โดยเฉพาะในแคมป์ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในไทยที่มีผู้พักพิงมากกว่า 100,000 คน

โครงการอาหารโลก (WFP) รายงานว่าการปันส่วนอาหารในเมียนมาจะถูกตัดขาดเกือบทั้งหมดในเดือนเมษายน แม้ว่าประเทศกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารรุนแรง

ปัจจุบัน มีประชากร 15.2 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ไม่มีอาหารเพียงพอ และราว 2.3 ล้านคน ต้องเผชิญกับภาวะหิวโหยระดับฉุกเฉิน

สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) คาดการณ์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตอาจสูงถึง 10,000 - 100,000 ราย พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์เมียนมาว่า “ยอดผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่านี้”

รัฐบาลทหารประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใน 5 ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ มัณฑะเลย์, สะกาย, มะกเว, ฉาน และบะโก ด้านองค์การสหประชาชาติจัดสรรงบประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ สำหรับความช่วยเหลือเบื้องต้น

อย่างไรก็ตาม ภาพถ่ายจากพื้นที่ภัยพิบัติแสดงให้เห็นถนนแตกร้าว สะพานถล่ม และเขื่อนแตก สร้างความกังวลว่าทีมกู้ภัยจะเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยได้ยาก ในประเทศที่กำลังจมดิ่งสู่ภาวะวิกฤติอยู่แล้ว

หนังสือพิมพ์ Global New Light of Myanmar รายงานว่า เมืองและหมู่บ้าน 5 แห่ง พบเห็นอาคารพังถล่ม และมีสะพานพัง 2 แห่ง หนึ่งในนั้นเป็นสะพานหลักที่เชื่อมไปยัง มัณฑะเลย์ โดย โมฮัมเหมด ริยาส ผู้อำนวยการด้านเมียนมาของ คณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ (IRC) ระบุว่า

"อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะทราบถึงขอบเขตความเสียหายที่แท้จริง และอาจมีผลกระทบร้ายแรงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้"

จากสงครามกลางเมืองที่ยังไม่มีจุดจบ สู่ภัยธรรมชาติร้ายแรงที่ซ้ำเติม เมียนมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งขึ้น ความช่วยเหลือจากนานาชาติจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะที่ประชาชนจำนวนมากยังต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดในประเทศที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

เอกอัครราชทูตจีนแสดงความเสียใจ พร้อมหนุนไทยหาสาเหตุอาคารถล่ม

(1 เม.ย. 68) นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย กล่าวแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิต และยืนยันว่าทางการจีนจะร่วมมือกับไทยในการสืบหาสาเหตุ เนื่องจากมีบริษัทจีนเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารนี้ โดยรัฐบาลจีนได้สั่งให้บริษัทผู้ก่อสร้างให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พร้อมทั้งให้ความเชื่อมั่นว่าการสอบสวนของทางการไทยจะเป็นไปอย่างยุติธรรม

ขณะที่ นายอนุทินกล่าวขอบคุณทางการจีนที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือประเทศไทยเมื่อเกิดเหตุสาธารณภัยมาโดยตลอด โดยเฉพาะเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ ซึ่งสร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดที่อาคาร สตง. แห่งใหม่ที่พังถล่ม 

ส่วนอาคารอื่น ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่น ๆ ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยและยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทางการไทยจึงเร่งสืบหาสาเหตุของการถล่ม เนื่องจากอาคารดังกล่าวเพิ่งสร้างเสร็จและถูกออกแบบให้ทนต่อแผ่นดินไหว กระทรวงมหาดไทยจึงแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยให้รายงานผลภายใน 7 วัน

ไต้หวันถอนทีมกู้ภัยที่เตรียมเดินทางไปเมียนมา เหตุวิกฤติการเมืองภายในยังคงรุนแรง กองทัพกบฏยังทิ้งระเบิดไม่เลิก

(1 เม.ย. 68) สำนักข่าว Focus Taowan รายงานว่า นายหลิว ซื่อ ฟาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของไต้หวัน แถลงเมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2568 ว่ารัฐบาลได้ตัดสินใจยุบทีมกู้ภัยที่เตรียมเดินทางไปยังเมียนมาเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา

นายหลิวระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากกระทรวงมหาดไทยไต้หวันได้พิจารณาสถานการณ์ด้านความปลอดภัยอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะความขัดแย้งทางทหารที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างกองทัพเมียนมาและกลุ่มกบฏในพื้นที่ ทำให้การส่งทีมกู้ภัยเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบภัยอาจเป็นอันตรายอย่างมาก

“แม้เราต้องการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่สถานการณ์ความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่ทำให้เราต้องตัดสินใจเช่นนี้เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่” นายหลิวกล่าว

ขณะที่ รายงานของสื่อระหว่างประเทศระบุว่า กองทัพเมียนมายังคงโจมตีพื้นที่บางส่วนในประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะสงคราม ซึ่งเป็นช่วงหลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศ จนถึงขณะนี้มีรายงานว่าคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 1,700 ราย โดยสหประชาชาติได้กล่าวถึงการโจมตีครั้งนี้ว่า “เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง”

สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลายพื้นที่ของเมียนมา โดยมีรายงานความเสียหายเป็นวงกว้าง ขณะที่ประชาคมระหว่างประเทศกำลังเร่งพิจารณาวิธีการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้ รัฐบาลไต้หวันยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมให้การสนับสนุนในรูปแบบอื่นที่เหมาะสมโดยไม่กระทบต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร

ทีมกู้ภัยจากจีน 15 คน เดินทางถึงมัณฑะเลย์แล้ว พร้อมเริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือภัยพิบัติแผ่นดินไหวในเมียนมา

(1 เม.ย. 68) สมาชิกจากหน่วยรับมือเหตุฉุกเฉินระหว่างประเทศของสภากาชาดจีนจำนวน 15 คน เดินทางถึงเมืองมัณฑะเลย์ของเมียนมาเมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อเริ่มปฏิบัติการบรรเทาภัยจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในพื้นที่

การเดินทางของทีมกู้ภัยครั้งนี้ได้รับการประสานงานจากกระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉินของจีน และสภากาชาดจีน โดยทีมงานจะทำหน้าที่ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมกับประเมินสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งนี้

เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาร์ครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหลายพื้นที่ รวมถึงเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ทีมกู้ภัยจากจีนจะทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิต และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว

“ด้วยความร่วมมือกับสภากาชาดเมียนมา เราเตรียมให้การสนับสนุนฉุกเฉินในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่พักพิง อาหาร และน้ำ การช่วยเหลือทางการแพทย์สำหรับผู้บาดเจ็บ การสนับสนุนการจัดการศพอย่างปลอดภัย การช่วยให้สมาชิกในครอบครัวที่พลัดพรากจากกัน หรือไม่ทราบชะตากรรมและที่อยู่ของคนที่พวกเขารัก ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง” เดอ แบ็ก ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ประจำประเทศเมียนมา กล่าว

ทั้งนี้ ทีมกู้ภัยจีนถือเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ พร้อมทั้งแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว
 

สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัย และความห่วงใยถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังแผ่นดินไหวในประเทศไทย

(1 เม.ย. 68) สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรทรงส่งพระราชสาส์นถึงพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เมียนมา และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในพระราชสาส์น พระราชเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ฝ่าพระบาท หม่อมฉันและพระราชินีรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศเมียนมา ประเทศไทย และประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค หม่อมฉันรับทราบถึงความโศกเศร้าและความสูญเสียที่ประชาชนในประเทศไทยกำลังประสบอยู่ อันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก”

พระราชสาส์นยังทรงกล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งพระองค์และพระราชินีขอแสดงความเห็นใจอย่างสุดซึ้งและร่วมปวดร้าวไปกับประชาชนไทยที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้ 

ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ยังทรงยืนยันความพร้อมในการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทางการบรรเทาภัยพิบัติแก่ประเทศไทยในทุกด้าน

พระราชสาส์นฉบับนี้เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและการแสดงออกถึงความห่วงใยระหว่างพระราชวงศ์แห่งสหราชอาณาจักรและราชวงศ์ไทยในยามที่มีเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดขึ้น

ญี่ปุ่นทุ่มงบ 20 ล้านล้านเยน เสริมโครงสร้างสู้ภัยพิบัติใหญ่ใน 5 ปี พร้อมรับมือภัยเงียบใต้ดิน ‘รอยเลื่อนนังไก’ ที่อาจรุนแรงถึง 9 แมกนิจูด

(1 เม.ย. 68) รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแผนลงทุนกว่า 20 ล้านล้านเยน (ราว 4.564 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจเกิดจากรอยเลื่อนนังไก (Nankai Trough Earthquake)

ตามรายงานของสำนักข่าวท้องถิ่น มาตรการที่รัฐบาลเตรียมดำเนินการประกอบด้วย การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปรับปรุงตึกสูง โรงพยาบาล และสะพานให้มีความทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนมากขึ้น พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่แม่นยำและสามารถอพยพได้ทันเวลา เสริมศักยภาพหน่วยกู้ภัยและเครือข่ายฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

นายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ เน้นย้ำความสำคัญของมาตรการลดความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ระหว่างการประชุมของสำนักงานส่งเสริมความสามารถในการรับมือภัยพิบัติแห่งชาติ โดยกล่าวว่า “เราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดความเสียหายอย่างต่อเนื่อง”

นายอิชิบะยังกล่าวถึง ความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นจากรอยเลื่อนนังไก (Nankai Trough) ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 298,000 คน นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับ โครงสร้างพื้นฐานที่เสื่อมสภาพ โดยเฉพาะระบบท่อระบายน้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ หลุมยุบในเมืองยะชิโอ จังหวัดไซตามะ ที่ทำให้รถบรรทุกพร้อมคนขับตกลงไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

สำหรับ รอยเลื่อนนังไกถือเป็นหนึ่งในเขตที่มีความเสี่ยงสูงต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสึนามิรุนแรงและสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อเมืองชายฝั่งของญี่ปุ่น โดยนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 แมกนิจูด ในบริเวณนี้ อาจมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และเศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดความเสียหายจากภัยพิบัติเป็นลำดับแรก และหวังว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน พร้อมทั้งลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 

นักวิชาการด้านแผ่นดินไหว ชี้ เหตุอาคาร สตง.ถล่ม ไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุทางวิศวกรรมอย่างเดียว

(2 เม.ย. 68) ดร.ไพบูลย์ นวลนิล นักวิชาการด้านแผ่นดินไหว โพสต์เฟซบุ๊ก Namom Thoongpoh ถึงกรณีอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้างถล่ม ว่า “สาเหตุอาคาร สตง. ถล่ม ไม่ได้เป็นเพราะเหตุทางวิศวกรรมอย่างเดียว แต่เป็นเพราะต้นกำเนิดแผ่นดินไหวที่มีแนวพังทลายซูเปอร์เชียด้วยนะครับ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top