Friday, 17 May 2024
วัคซีน

สำรวจความสนใจคนไทย ผ่าน FB และ IG จากรายงาน ‘ที่สุดของปี 2564’ ของ Meta

ในขณะที่ผู้คนต่างตั้งตารอปี 2565 ที่กำลังจะมาถึง Meta ได้เผยรายงาน “ที่สุดของปี 2564” (2021 Year in Review) เพื่อแบ่งปันเรื่องราว เหตุการณ์ และช่วงเวลาที่ส่งผลต่อคนไทย และทำให้ปีที่ผ่านมานี้สร้างการเชื่อมต่อถึงกันมากขึ้น และยังมีความหมายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เรื่องราวต่าง ๆ ครอบคลุมการพูดคุยและโพสต์บน Facebook และ Instagram ทั้งจากวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปจนถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวปี 2563 และแม้แต่การทำสวนและอาหาร

Meta กล่าวไว้ว่า “ทุก ๆ ปี รายงานที่สุดของปีสะท้อนแนวคิดที่กำหนดด้วยคำสำคัญยอดนิยมของปีนั้น ๆ สำหรับปี 2564 ได้แก่ โควิด สุขภาพ กีฬา และหลากหลายหัวข้อไลฟ์สไตล์ที่โดนใจคนไทยทั้งใน Facebook และ Instagram”

โควิดและสุขภาพ: คำว่า ‘วัคซีน’, ‘อาการ’ และ ‘การตรวจ’ เป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมสูงสุดในแนวคิดนี้ ขณะที่ประเทศไทยกำลังต่อสู้กับการระบาดของเวฟ 2 และ 3 ของโควิด-19 ที่ตามกันมาอย่างต่อเนื่อง และผู้คนก็ได้หันมาใช้ Facebook และ Instagram เพื่อขอความช่วยเหลือและเชื่อมต่อกัน และทำให้เกิดการค้นหาคำว่า ‘วัคซีน’ และหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน เนื่องจากคนไทยรู้จักที่จะอยู่อย่างปลอดภัยและมองหาการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองจากไวรัส

‘สื่อจีน’ ตีข่าว ประเด็นไฟเซอร์ทดลองกลายพันธุ์โควิด หวังกอบโกยเงิน จากการขายวัคซีนต้านไวรัส

สื่อมวลชนจีนออกมาชี้ว่าไฟเซอร์เสี่ยงเผชิญหายนะด้านประชาสัมพันธ์ ด้วยผู้ชมจำนวนมากอาจเชื่อว่าไฟเซอร์กำลังสร้างโควิดตัวกลายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาเพื่อโกยเงินจากการขายยาและวัคซีน หลังกลุ่มเคลื่อนไหวไม่แสวงหาผลกำไร Project Veritas เผยแพร่วิดีโออื้อฉาว เป็นภาพที่อ้างว่าผู้บริหารของไฟเซอร์ ยอมรับกำลังทำเช่นนั้นจริง แม้ผู้ผลิตยาสัญชาติสหรัฐฯ แห่งนี้ออกมาชี้แจงในวันศุกร์ (27 ม.ค.) ไม่ได้ทำการวิจัยแบบ gain-of-function หรือ directed evolution สำหรับกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตามคำกล่าวหาดังกล่าว

รายงานข่าวของสำนักข่าว CGTN สื่อมวลชนจีน ระบุว่าในวิดีโอความยาวเกือบ 10 นาที ส่วนใหญ่เป็นภาพบุคคลรายหนึ่งกำลังพูดเกี่ยวกับปฏิบัติการภายในของไฟเซอร์ ซึ่งในนั้นรวมถึงการวิจัยไวรัสนี้ผ่านเทคนิค directed evolution เช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ

บุคคลรายนี้บอกด้วยว่าโควิด-19 คือตัวทำเงินของทางบริษัท พร้อมเปิดเผยว่าทางไฟเซอร์ กำลังพยายามกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยเป็นการจงใจทำให้เชื้อกลายพันธุ์ด้วยฝีมือนักวิจัย ไม่ใช่การกลายพันธุ์เองโดยธรรมชาติเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

เขายังบอกกับคนที่คุยด้วยอีกว่า "คุณต้องสัญญาว่าคุณจะไม่บอกคนอื่น ๆ" วิดีโอนี้ดึงดูดผู้ชมบนทวิตเตอร์แล้วมากกว่า 23 ล้านวิว

Project Veritas อ้างว่าบุคคลดังกล่าวคือนายจอร์ดอน ทริชตัน วอล์คเกอร์ ผู้อำนวยการของไฟเซอร์ ด้านวิจัยและพัฒนา

ในเรื่องนี้ CGTN ยังไม่สามารถยืนยันตัวตนบุคคลดังกล่าวได้ แต่ระบุว่าในส่วนของไฟเซอร์เองก็ไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธว่า วอล์คเกอร์ เป็นพนักงานของบริษัทหรือไม่ และในถ้อยแถลงชี้แจงของทางไฟเซอร์ก็ไม่ได้พาดพิงถึงคลิปวิดีโอดังกล่าวแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม เจมส์ โอคีเฟ หัวหน้ากลุ่ม Project Veritas โพสต์วิดีโอและภาพบันทึกหน้าจอในสิ่งที่เขาอ้างว่า "เป็นเอกสารภายในของไฟเซอร์" แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของวอล์คเกอร์ ในบริษัทแห่งนี้ ตามรายงานของ CGTN

สำนักข่าว CGTN รายงานต่อว่า ทาง Project Veritas ได้โพสต์อีกคลิปหนึ่งลงบนยูทูบ เป็นภาพของบุคคลเดียวกันกำลังคว้าแล็ปท็อปไปจาก โอคีเฟ และเขวี้ยงมันลงกับพื้นด้วยความไม่พอใจ หลังจาก โอคีเฟ เปิดคลิปที่ทั้ง 2 พูดคุยกันให้เขาดู

เสียงในวิดีโอได้ยินบุคคลรายดังกล่าวพูดว่า "คุณไม่ควรบันทึกคลิปคนอื่นแบบนี้" และบอกกับ โอคีเฟ ด้วยว่า "เขาพูดโกหก" ในวิดีโอที่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อหวังสร้างความประทับใจแก่อีกฝ่าย

'หมอยง' เผย 'โควิด 'เข้าสู่โรคประจำฤดูกาล แนะ!! ฉีดวัคซีนประจำปีป้องกันระบาด

(6 ก.พ. 66) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

โควิด 19 end game โดยเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล

โรคโควิด 19 ไม่ได้หายไปไหน และน่าจะสิ้นสุดด้วยการเปลี่ยนเป็นโรคประจำฤดูกาลต่อไป 

ในปีที่ 4 นี้ การนับยอดผู้ป่วยติดเชื้อ ไม่เกิดประโยชน์ เพราะตัวเลขที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ขณะนี้ทั่วโลกน่าจะมีการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 70 หรือประมาณ 5 พันล้านคน ตัวเลขที่รายงานการติดเชื้อทั่วโลกมีประมาณเกือบ 700 ล้านคน ต่ำกว่าความเป็นจริงประมาณ 10 เท่า ประเทศไทยก็ไม่ได้รายงานตัวเลขติดเชื้อแล้ว รายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิตเท่านั้น 

องค์การอนามัยโลกคงจะเลิกนับตัวเลขในเร็ว ๆ นี้ หลังจากการระบาดในประเทศจีนลดลง (เพราะส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้ว)

ความรุนแรงของโรคลดลงมาโดยตลอด ผู้เสียชีวิตมากกว่าร้อยละ 80 เป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัว จะไม่มีการย้อนไปปิดบ้านปิดเมืองอีกแล้ว 

วัคซีน โดยเฉพาะ mRNA ตลาดควรเป็นของผู้ซื้อ วัคซีนมีอายุสั้น และขวดหนึ่ง ยังมีจำนวน 7-10 โดส จึงยากต่อการใช้ ให้มีการสูญเสียทิ้งให้น้อยที่สุด ประกอบกับมีราคาแพง มีอาการแทรกซ้อนที่พบได้ มากกว่าวัคซีนที่ใช้ในอดีต และในอนาคตเมื่อเทียบกับความรุนแรงของโรค จึงเป็นการยากที่ประเทศกำลังพัฒนาเข้าถึง ความจำเป็นที่จะต้องฉีดทุก 4-6 เดือนไม่มีอีกแล้ว เมื่อเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล การให้วัคซีนจะเหลือปีละ 1 ครั้ง การนัดคนมาฉีดพร้อมกันเพื่อลดการสูญเสียของวัคซีนจะทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะวัคซีนมีอายุสั้น การเก็บรักษายุ่งยาก ใช้อุณหภูมิติดลบ ยิ่งทำให้ราคาแพงขึ้น การให้ได้วัคซีนตรงกับสายพันธุ์ยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะการพัฒนาต้องมีต้นทุนสูงและเมื่อพัฒนาขึ้นมาแล้วไวรัสก็เปลี่ยนสายพันธุ์ไปอีก 

‘จามา เน็ตเวิร์ค’ เผยผลการศึกษาของ ‘วัคซีนโควิด-19’ ชี้ ประสิทธิภาพต้าน ‘โอไมครอน’ ลดทันทีหลังฉีด 6 เดือน

เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ในวารสารการแพทย์จามา เน็ตเวิร์ค (JAMA Network) เมื่อวันพุธ (3 พ.ค. 66) ชี้ว่าวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) มีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์โอไมครอนลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเวลาผ่านไป

รัฐฟลอริด้าประกาศ มหันตภัยจาก 'วัคซีน mRNA' ที่แท้ถูกสร้างมาเป็นอาวุธชีวภาพทำลายชีวิตผู้คน .

(21 ก.ค.66) ผู้ใช้ Blockdit 'ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

รัฐฟลอริด้ามีความกล้าหาญมากที่ออกมาแถลงว่าวัคซีน mRNA ที่ใช้ฉีดแก้โควิด-19 นั้น เป็นอาวุธชีวภาพที่เป็นอันตรายต่อชีวิตผู้ถูกฉีดมากกว่าเป็นคุณและกำลังดำเนินการเพื่อประกาศให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายภายในรัฐ (Florida declare mRNA Covid shots a ‘Bio-Weapon’.  Legislation looking to be passed to make it ILLEGAL to administer any mRNA Covid-19 Vaccine to anybody in the state)

เห็นหรือยังครับ? คำว่า *ทฤษฎีสมคบคิด* (Conspiracy Theory) เป็นวาทกรรมที่ CIA สร้างขึ้นมาเพื่อสกัดมิให้คนเชื่อเมื่อมีคนแฉอาชญากรรมของยิวไซออนิสต์ที่คิดครองโลก 

ข่าวใดก็ตามที่ถูกตราว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด วิญญูชนไทยต้องศึกษาให้ลึกหรือต้องวิจัย แล้วจะเข้าใจความจริงเอง ไม่ต้องรอให้ฝรั่งมาชี้นิ้วว่าควรจะเป็นอย่างไร จักรวรรดิ์นิยมอเมริกานี้เติบโตมาพร้อม ๆ กับนโยบายลดจำนวนประชากรโลก 

ถือว่าทีมผู้บริหารรัฐฟลอริด้ากล้าหาญมากครับ กล้าหาญมากว่าประเทศไทยที่นักการเมืองส่วนใหญ่ถูกล้างสมองด้วยข่าวโฆษณาชวนเชื่อ ไม่มีวิจารณญาณมากพอจะแยกแยะ 

น่าจะเรียกว่าเป็น *ประเทศฟลอริด้า* กันได้แล้วนะครับเพราะนโยบายแตกต่างจากรัฐบาลกลางอย่างสิ้นเชิง เมื่อเปโตรดอลล่าร์ล่มสลายลง ถ้าจะแยกตัวไปเป็นเอกราช ก็ขอให้สำเร็จ

ตอนนี้ เชื่อหรือยังว่าโควิด-19 มาพร้อมๆ กับนโยบายลดจำนวนประชากรโลก? แน่นอนครับ ขอให้ค้นคว้ากันเองและตัดสินใจเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

'มะเดี่ยว' เปิดใจ!! หลัง 'หมอยง' ไขกระจ่างทุกแง่มุมสถานการณ์โควิดไทย ยอมรับอดีตปิดหูปิดตา ทั้งที่ทีมวิจัยวัคซีนทำหน้าที่เพื่อคนไทยอย่างหนัก

(29 ส.ค. 66) จากเฟซบุ๊ก 'Chookiat Sakveerakul' โดยชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

เคยเข้าใจผิดจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน จนวันนี้ได้มีโอกาสได้มาพูดคุยกับอาจารย์หมอยง ท่านก็ได้เมตตาให้ความกระจ่างเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 เมื่อครั้งยังวิกฤติ ทำให้เรารู้ว่าทีมวิจัยวัคซีนทำงานหนักบนข้อจำกัดมากมายเพื่อให้คนไทยได้รับการดูแลที่ปลอดภัยที่สุด หลายเรื่องไม่เคยถูกสื่อสารออกมาและด้วยความร้อนรนของสังคม ณ เวลานั้นผู้คนจำนวนมากรวมทั้งเราเองก็อาจจะแสดงออกในทางที่ไม่ถูกไม่ควรกับอาจารย์ออกไปโดยเป็นการด่วนตัดสินไปตามอารมณ์หุนหันพลันแล่น

อาจารย์ให้เกียรติเราได้พบกันในห้องประชุมของทางโรงพยาบาลจุฬาฯ และได้ใช้เวลาพูดคุยอธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นกันเอง โดยไม่มีวี่แววของความขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย จนเมื่อเราได้เอ่ยขอขมาที่ได้ล่วงเกินท่านไปตามที่ตั้งใจไว้ อาจารย์ก็บอกว่าไม่เคยถือโทษโกรธเคืองกันเลยสักนิด แต่ท่านเมตตารับเอาไมตรีจิตไว้ แล้วยังเอ่ยปากเชิญชวนให้มาพบกันอีกในอนาคต

การพบกันในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการบังคับ หรือการมีคดีความอะไรต่อกันทั้งสิ้น เป็นความสมัครใจเมื่อมีโอกาสได้พบกับคุณพีท หลานชายของอาจารย์หมอและได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันถึงประเด็นนี้ เราเลยอยากขอพบกับอาจารย์เพื่อได้รู้จักไถ่ถามความเป็นจริงโดยไม่ผ่านสื่อใด ๆ และก็ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงจากอาจารย์หมอยงให้เข้าพบเจอ และพบว่าท่านคือผู้ใหญ่ที่ทำงานหนักเพื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ และได้สร้างหลายสิ่งที่ควรจะได้รับการยกย่องไว้อย่างสง่างาม

ขอบคุณทุกท่านที่ทำให้เกิดการพูดคุยในวันนี้ขึ้นมานะครับ เป็นประสบการณ์ดี ๆ ครั้งหนึ่ง ที่ทำให้รู้ว่าบางครั้งการด่วนตัดสินใจไปโดยที่ไม่รู้จักอาจจะพลาดโอกาสที่จะทำให้เราเปิดหูเปิดตาได้รู้ได้เห็นอะไรที่เป็นจะทำให้เรามองโลกนี้ได้กว้างขึ้น 😍

ปล. ขออนุญาตปิดเมนต์นะ เพราะคนเขาคุยกันดีแล้ว รำคาญพวกมาแซะมาเสี้ยม 😂

‘ชลน่าน’ เดินหน้าลุยฉีดวัคซีน HPV 1 ล้านโดส ฟรี!! ปกป้องหญิงไทยห่างไกลมะเร็งปากมดลูกทั่วประเทศ

‘หมอชลน่าน’ ประกาศเดินหน้านโยบาย 100 วันแรก เร่งฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกให้หญิงไทยอายุตั้งแต่ 11 - 20 ปีทั่วประเทศ จำนวน 1 ล้านโดสฟรี หลังตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มปีละประมาณ 6,500 ราย

เมื่อวานที่ 16 ก.ย. 66 นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศเดินหน้าโครงการ Quick Win ที่จะเห็นเป็นรูปธรรมภายใน 100 วัน หลังรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขโดยหนึ่งในนั้น คือ การฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูกให้กับหญิงไทยที่มีอายุ 11 - 20 ปีทั่วประเทศอย่างน้อย 1 ล้านโดส หลังพบมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 6,500 ราย

นายแพทย์ชลน่าน รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า มะเร็งปากมดลูก เป็นโรคที่พบมากในหญิงไทยเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม  มีผู้เสียชีวิตปีละประมาณ 2,000 รายโดยมะเร็งชนิดนี้ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human papillomavirus (HPV) ที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่ต้องฉีดตั้งแต่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า ประเทศไทยได้กำหนดให้บริการฉีดวัคซีน HPV จำนวน 2 เข็ม เป็นสิทธิประโยชน์สำหรับนักเรียนหญิงชั้น ป. 5 ตั้งแต่ พ.ศ. 2560 (ปัจจุบันมีอายุ 17 ปี) ดังนั้น ผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไป จึงยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนนี้ ประกอบกับในปี 2562-2565 ทั่วโลกประสบปัญหาวัคซีนขาดชั่วคราวในช่วงโควิดระบาด ทำให้กลุ่มเป้าหมาย ป.5 ในปีนั้น ซึ่งปัจจุบันอายุ 13-15 ปีไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

จึงได้กำหนดให้การฉีดวัคซีน HPV เป็นหนึ่งในนโยบาย Quick win “มะเร็งครบวงจร” โดยเร่งรัดการฉีดวัคซีนสำหรับหญิงอายุ 11-20 ปี ซึ่งได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรคเร่งกำหนดแนวทางการให้วัคซีน และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประเมินจำนวนกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งมอบให้ สปสช. เร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม

“การฉีดจะมี 2 ส่วน คือ กลุ่มเด็ก ป.5 - ม.6 จะฉีดผ่านสถานศึกษา (School-based program) โดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการฉีดเป็นกลุ่มเหมือนกับที่เคยฉีดวัคซีนโควิด ส่วนอีกกลุ่มที่เป็นเด็กนอกระบบการศึกษา รวมถึงหญิงอายุ 18-20 ปี ที่จบชั้น ม.6 แล้ว จะได้รับการฉีดที่สถานพยาบาล ตั้งเป้าหมายว่าต้องฉีดวัคซีน HPV ให้ได้อย่างน้อย 1 ล้านโดสภายในเวลา 100 วัน” รมว.สาธารณสุข กล่าวสรุปทิ้งท้าย

ศาลยกฟ้อง 'บุญระดม' หลัง 'สรยุทธ' ฟ้อง หมิ่นประมาท 1 ล้านบาท กรณี 'เจาะข่าวเด้ง' เผยสถานทูตจีนวอนบางสื่อหยุดเสนอด้อยค่าวัคซีนจีน

หลังจากกรณีเมื่อวันศุกร์ที่ 3 ก.ย.64 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของหน่วยงาน (Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย) เรียกร้องให้หยุดการด้อยค่าวัคซีน ซิโนแวค ชี้เป็นการกระทำผิดร้ายแรง ทำร้ายความหวังดี ไม่เคารพในข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก โดยมีทั้งคอมเมนต์ต่อว่า และคอมเมนต์จากคนไทยที่ขอโทษประเทศจีน

ต่อมาในวันเดียวกัน นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าว ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก 'สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว' ระบุถึงเรื่องนี้ว่า...

"โฆษกสถานทูตจีน แถลง เรียกร้องให้หยุดด้อยค่าใส่ร้ายวัคซีนของจีน ระบุเป็นการทำร้ายความหวังดีของจีน ครับ …

"… เมื่อเร็ว ๆ นี้ บางคนและบางองค์การของประเทศไทยได้ด้อยค่าและใส่ร้ายวัคซีนจีนโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ ซึ่งเป็นการกล่าวหามุ่งร้ายที่ไม่เคารพข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง และเป็นการทำร้ายความหวังดีของฝ่ายจีนในการสนับสนุนประชาชนไทยต่อสู้กับโรคระบาด สถานทูตจีนจึงขอคัดค้านอย่างเด็ดขาด และเรียกร้องให้บุคคลและองค์การที่เกี่ยวข้องยุติการกระทำผิดอย่างร้ายแรงเช่นนี้ …"

"#ร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยโควิด" พร้อมตามด้วยข้อความจากเพจสถานทูตจีน

หลังจากนั้น ในรายการ 'เจาะข่าวเด้ง' ที่นำเสนอผ่านช่องทางยูทูบ สถาบันทิศทางไทย ก็ได้นำเรื่องราวของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา มานำเสนอ ว่านายสรยุทธ ได้ออกมาแสดงท่าที ต่อการแถลงของสถานทูตจีน จนทำให้มีคอมเมนต์เข้าไปโจมตีสถานทูตเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนายสรยุทธ นำเอาคอมเมนต์ที่ 'ดี้ นิติพงษ์' เข้าไปขอโทษสถานทูตจีนมานำเสนอ ทำให้ต่อมา มีแก๊งทัวร์ไปลง ด่าหยาบคายในโพสต์ของดี้ นิติพงษ์ด้วย

และนั่นก็ทำให้ นายสรยุทธ ตัดสินใจฟ้องเรียกค่าเสียหาย ต่อ 'นางสาวบุญระดม จิตรดอน' จากรายการ 'เจาะข่าวเด้ง' พร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน 1 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดจาก เฟซบุ๊ก 'บุญระดม จิตรดอน' ได้โพสต์อัปเดตสถานการณ์การฟ้องร้องดังกล่าว ระบุว่า...

ล่าสุด ชนะแล้ว ??!! ศาลยกฟ้องคดี สรยุทธ ฟ้องหมิ่นประมาท เด้ง เพื่อเรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท !!!!

และจากคดีดังกล่าวนี้ เด้งถือเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าอย่างที่สุดที่ให้โอกาสเด้งได้มีประสบการณ์ในการเรียนรู้ในฐานะ 'จำเลย' เป็นครั้งแรก จากที่เคยมีโอกาสเป็นแค่เพียงพยานมา 3 คดีเท่านั้น และด้วยการเป็นจำเลยครั้งนี้ เด้งได้มีโอกาสค้นข้อมูลเรียนรู้ข้อกฎหมายเพื่อต่อสู้คดี จนครั้งหนึ่งในนัดสืบพยาน สามารถทำให้ทนายฝ่ายโจทก์ต้องขอเลื่อนการสืบพยานออกไป เพื่อหาข้อมูลในการต่อสู้คดีได้

เด้งต้องขอขอบคุณ พี่ทนุ 'ธนุ สุขบำเพิง' ทนายความผู้ไม่เคยแพ้คดีต่อใคร 

และยิ่งไปกว่านั้นค่ะ ขอขอบคุณ คนที่มีความสำคัญอย่างมากในคดีนี้ นั่นก็คือ...

พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค บุคคลซึ่งเปี่ยมไปด้วยน้ำใจ ที่แม้พี่ดี้จะไม่ได้รู้จักเด้งเลย แต่พี่ดี้ก็มีน้ำใจ เสียสละเวลาอันมีค่า มาเป็นพยานให้เด้ง ขอบคุณในน้ำใจของพี่ดี้มากๆ นะคะ 😍🙏

ป.ล. เด้งขอขอบคุณกับประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่เข้ามาในชีวิตครั้งนี้ค่ะ 🙏😍

‘หมอธีระวัฒน์’ เผยรายงาน ‘วัคซีน mRNA’ ยิ่งฉีดมาก ประสิทธิภาพยิ่งลด ชี้ อาจเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ย้ำ!! ใครฉีดกระตุ้นแล้วไม่จำเป็นฉีดอีก

(17 ธ.ค. 66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เปิดเผยเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงนี้ ว่า เรื่องการฉีดวัคซีนโควิดสำหรับคนทั่วไปที่มีการฉีดกระตุ้นมาก่อนแล้ว ณ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นอีก

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม ว่า รายงานในวารสาร Science ตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ธ.ค.2565 มีการอธิบายว่า เมื่อมีการฉีดวัคซีนชนิด mRNA มากขึ้น ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อและการป้องกันอาการหนักจะยิ่งลดลงกว่าที่คิด และน่าจะอธิบายถึงว่าทำไมในยุคโอมิครอน จึงมีการติดซ้ำอยู่เรื่อยๆ ซึ่งอธิบายเพิ่มเติมได้ ดังนี้

1.) จาก hybrid immune damping วัคซีนเมื่อฉีดไปแม้จะมากเข็มก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน ทั้งแอนติบอดี ระบบบีและทีเซลล์ จะเป็นต่อสายพันธุ์บรรพบุรุษอู่ฮ้่น และเมื่อติดเชื้อโอมิครอนก็เป็นในลักษณะเช่นเดียวกัน (อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.science.org/doi/10.1126/science.abq1841?utm_campaign=SciMag&utm_source=Social&utm_medium=Twitter%20Hybrid%20immune%20damping )

2.) รายงานล่าสุด เมื่อได้รับวัคซีนมากขึ้น แอนติบอดีจะปรับเปลี่ยนเป็น IgG4 ซึ่งทำให้หน้าที่ในการฆ่าไวรัสด้อยลงเมื่อเทียบกับ IgG 1 และ 3 และ อาจอธิบายประสิทธิภาพที่ถูกจำกัดลง (อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.science.org/doi/10.1126/sciimmunol.ade2798)

“ยังเป็นไปได้ว่ายังมีระบบต่อสู้กับไวรัสที่ไม่ผ่านทางเส้นทางดังกล่าว ที่เป็นระบบนักฆ่า จาก innate immunity ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติมากกว่าที่ได้จากวัคซีน หมายความว่า ถ้าติดตามธรรมชาติและอาการไม่หนักและไม่เกิดภาวะลองโควิด ก็จะส่งผลดีได้” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว และว่า จากการที่เบี่ยงเบนไปเป็น IgG4 และอาจเกี่ยวเนื่องไปถึงปรากฏการณ์ของโรคที่เกิดขึ้นหลากหลาย และที่เราเห็นในโรคทางระบบประสาทและโรคทางสมองอีกหลายชนิด

3.) รายงานจาก รศ.พญ.ปารวี ชีวะอิสระกุล คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ใน วารสาร Nature Scientific report วันที่ 15 มกราคม 2023 พูดถึงวัคซีนหลังเข็ม 3 จะทำให้ T cell exhaustion หรือ T เซลล์ หมดแรง แม้ว่าแอนติบอดีจะขึ้นก็ตาม

ในคนที่ใกล้ชิดผู้ที่ติดเชื้อมีถึง 24.4% ที่มีการติดเชื้อโดยไม่มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น และผลของการติดเชื้อแม้ว่าไม่มีอาการ จะทำให้มีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นเหมือนคนที่ติดเชื้อ

แต่จุดใหญ่สำคัญในรายงานนี้ก็คือ เมื่อพิจารณาถึงการตอบสนองในระบบทีเซลล์ T cell ซึ่งเป็นตัวสำคัญในระบบความจำและเป็นระบบเพชฌฆาตนักฆ่า การฉีดวัคซีนหลายเข็ม และเมื่อมีการติดเชื้อกลับทำให้ทีเซลล์หมดแรง เรียกว่า T cell exhaustion (https://www.nature.com/articles/s41598-023-28101-5)

ข้อมูลการศึกษาของรัฐบาลออสเตรเลียเอง ในสัตว์ทดลองจากการฉีดวัคซีน mRNA เข้าที่กล้ามเนื้อและดูการกระจายตัวของวัคซีนจากการติดตามตัวด้วย radioactive particle ซึ่งเป็นมาตรฐานในการศึกษาทั่วไป ทำในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 และข้อมูลไม่มีการเปิดเผยจนกระทั่งในปี 2023 ตามกฏหมายที่ต้องมีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลทุกชิ้นจึงทำให้ทราบความจริง

การศึกษาพบว่า แม้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อก็ตาม จะแทรกซึมเข้าไปในกระแสเลือดและเข้าไปในทุกส่วนของร่างกาย หมายความว่า ตัววัคซีนนั้นจะเข้าไปกำหนดให้เซลล์ในอวัยวะต่างๆ ผลิตโปรตีนหนามขึ้นมา และหมายความว่าจะสามารถอยู่ในร่างกายได้นานกว่าข้อมูลที่เราได้รับทราบแต่ต้นว่าวัคซีนจะอยู่เฉพาะที่กล้ามเนื้อที่แขนตรงตำแหน่งที่ฉีดเท่านั้นและจะสลายหายไปภายในสองถึงสามวัน

ความจริงดังกล่าวได้รับการยืนยันจากการติดตามผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ และรายงานในปี 2023 โดยพบว่าจะมีวัคซีนล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดได้นานอย่างน้อย 28 วันด้วยกัน และอาจจะเป็นเครื่องอธิบายได้ว่า ทำไมผลแทรกซ้อนของวัคซีนซึ่งดูเหมือนว่าตามรายงานว่าจะไม่มากก็ตาม แต่สามารถเกิดขึ้นได้ และยังเกิดได้ในระยะเวลาที่ห่างจากการฉีดได้เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนก็ได้ (จากผู้ป่วยที่เราได้รับและพิสูจน์ว่ามีส่วนของวัคซีนจริงในอวัยวะสำคัญที่ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง) [https://youtu.be/fVNFFtmb9gA 
Vaccine encephalitis and myocarditis
]

รายงานผู้เสียชีวิต 21 วัน หลังจากได้รับ mRNA วัคซีนซึ่งเป็นเข็มที่สาม ด้วยอาการสมองอักเสบและหัวใจอักเสบ ครอบครัวเรียกร้องให้มีการตรวจสอบพิสูจน์ การพิสูจน์ศพ พบโปรตีนหนาม spike ในสมองและเนื้อเยื่อหัวใจ และการอักเสบ โดยไม่พบโปรตีนอื่นของโควิด nucleocapsid protein (NP) ซึ่งเป็นการยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโควิดเพราะถ้าเกิดจากการติดเชื้อจะต้องพบ NP ด้วย

การเกิดในสักษณะเช่นนี้ พวกเราที่ดูผู้ป่วยมีความจำเป็นที่ต้องถามประวัติเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อและรวมทั้งประวัติการได้รับวัคซีนด้วย ทั้งนี้อาจจะมีการรักษาได้ทันท่วงที (https://www.mdpi.com/2076-393X/10/10/1651)

ดังนั้น การฉีดวัคซีน mRNA ต้องประเมินความเสี่ยงของหัวใจอักเสบ ถึงแม้เข้าใจว่าเกิดไม่มาก แต่ถ้าเกิดแล้วความรุนแรงอาจสูง

รายงานจากคณะแพทย์เยอรมัน ทางพยาธิวิทยาที่มีชื่อเสียง พิสูจน์จากการตรวจศพ ของผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA และเสียชีวิตเฉียบพลัน ภายใน 7 วัน จำนวน 25 ราย อายุ 45 -75 ปี โดยแสดงความผิดปกติในกล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มหัวใจ มีการอักเสบเป็นหย่อมๆ และทำให้สามารถสรุปได้ว่าทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดปกติ รายงานวันที่ 27 พฤศจิกายน 2022 [Clinical research in cardiology (Springer verlag)]

ทั้งนี้ ตัวเลขจริงอาจจะมากกว่าที่ประเมิน และความรุนแรงของกล้ามเนื่อหัวใจอักเสบอาจจะมากกว่าที่เคยคิดหรือไม่ เนื่องจากการรายงานทั่วโลกเป็น retrospective แบบย้อนหลัง และมักตัดประเด็นเฉียบพลันออก โดยลักษณะของอาการเช่นนี้ เป็น sudden death คือหัวใจหยุดเต้นกระทันหัน จากกระแสไฟฟ้าผิดปกติ ไม่ใช่หัวใจวาย ทujพอมีเวลาและมีอาการให้เห็นก่อน

ผลแทรกซ้อนของวัคซีนจากความเป็นไปได้ จะเพ่งเล็งประเด็นที่ (1) และ (2) โดยอาจมองข้าม (3)

1.) เรื่องเส้นเลือดในหัวใจตัน หรือ
2.) ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบทั่วไป คือหัวใจวาย แต่ในกรณีนี้
3.) เป็นกระจุกของเซลล์อักเสบที่อยู่ในกล้ามเนื้อหัวใจและเยี่อหุ้มหัวใจ ที่ไปขัดขวางเส้นใยประสาทนำไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้หยุดเต้นกระทันหัน และถ้ากระตุ้นหัวใจ ขึ้นมาได้ จะตามต่อด้วยกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบทั่วไป ทำให้หัวใจบีบตัวไม่ไหวตามด้วยหัวใจวาย

ศึกษาได้จาก VDO ซึ่งอธิบายรายละเอียดของรายงานชิ้นนี้ และ เอกสารตัวจริง และแสดงเนื้อเยื่อหัวใจที่มีการอักเสบเป็นหย่อมกระจุก
- https://youtu.be/j_DdSMn55cA
- https://link.springer.com/article/10.1007/s00392-022-02129-5#Sec3
- https://link.springer.com/article/10.1007/s00392-022-02129-5#Tab2

นอกจากนั้น มีการเปิดเผยผลข้างเคียงรุนแรงจากวัคซีน mRNA ในเดือนกันยายน 2022 ในวารสาร vaccine ทั้งนี้เป็นข้อมูลจริงที่ได้ระหว่างมีการดำเนินการศึกษาเฟสที่สามในมนุษย์ แต่ไม่ได้มีการเปิดเผยมาก่อน

ผู้ศึกษาและวิจัยได้เรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใสอย่างชัดเจนและต้องประเมินประโยชน์และผลข้างเคียงรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งนี้โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิดซึ่งเชื้ออ่อนกำลังลงไปมาก เมื่อฉีดไปมากขึ้นเรื่อยๆ
- https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/36055877/

26 มกราคม พ.ศ. 2366 ครบรอบ 201 ปี การจากไปของ ‘เอดเวิร์ด เจนเนอร์’ ผู้คิดค้น ‘วัคซีนโรคฝีดาษ’ ชนิดแรกของโลก

ย้อนกลับไป 201 ปี ‘เอดเวิร์ด เจนเนอร์’ เผชิญกับการตกเลือดในสมอง ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2366 ทำให้ส่วนขวาของร่างกายเป็นอัมพาต ส่งผลให้เขาไม่ได้ฟื้นตัวและเสียชีวิตในวันถัดมาด้วยอาการสโตรกที่ชัดเจนครั้งที่สองในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2366 โดยมีอายุ 73 ปี ซึ่งศพของเขาได้รับการฝังที่ห้องสุสานครอบครัวที่โบสถ์นักบุญแมรี บาร์กลีย์

โดย เอดเวิร์ด เจนเนอร์ เป็นแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษที่เป็นผู้บุกเบิกแนวคิดวัคซีนและผลิตวัคซีนโรคฝีดาษ วัคซีนชนิดแรกของโลก ทั้งนี้ คำว่า ‘วัคซีน’ และ ‘การให้วัคซีน’ มาจากคำว่า Variolae vaccinae (ตุ่มหนองของวัว) ซึ่งเป็นคำที่เจนเนอร์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเรียก ’ฝีดาษวัว‘ ใน พ.ศ. 2341 โดยเขาใช้ศัพท์นี้ในหัวข้อ Inquiry into the Variolae vaccinae known as the Cow Pox เพื่อกล่าวถึงผลการป้องกันโรคฝีดาษจากฝีดาษวัว

ทั้งนี้ ในโลกตะวันตก เจนเนอร์ มักได้รับการกล่าวถึงเป็น ‘บิดาแห่งวิทยาภูมิคุ้มกัน’ และกล่าวกันว่าผลงานของเขาได้ช่วยเหลือ ’หลายชีวิตมากกว่าผู้ใด‘ ซึ่งในสมัยของเจนเนอร์ ประชากรโลกประมาณ 10% เสียชีวิตจากโรคนี้ โดยในเมืองและนครที่โรคแพร่กระจายได้ง่าย ตัวเลขพุ่งสูงถึง 20% ใน พ.ศ. 2364 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นแพทย์ประจำสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 และได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีบาร์กลีย์ เป็นสมาชิกราชสมาคม ในด้านสัตววิทยา และเป็นหนึ่งในนักวิชาการสมัยใหม่กลุ่มแรกที่กล่าวถึงภาวะกาฝากของนกคัคคูอีกด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top