Sunday, 25 May 2025
ม112

'อัยการสูงสุด' ยัน!! มีคำสั่งฟ้อง 'ทักษิณ' ม.112-พรบ.คอมพ์  อนุญาตเลื่อนนัดส่งฟ้องไป 18 มิ.ย.นี้ หลังเจ้าตัวติดเชื้อโควิด

จากกรณีที่อัยการสูงสุด นัดฟังคำสั่งฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตาม ป.อาญามาตรา 112 จากเหตุให้สัมภาษณ์กับสื่อของเกาหลีใต้ ในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ หลังเลื่อนมาจากเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากยังสอบสวนไม่แล้วเสร็จ กระทั่ง นายทักษิณส่งให้ทนายผู้รับมอบอำนาจยื่นหนังสือเพื่อขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งฟ้อง เนื่องจากติดโควิด-19

ล่าสุด (29 พ.ค.67) ที่ชั้น 4 สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายวิพุธ บุญประสาท อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 และ นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมแถลงคดี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

โดยระบุว่า สำนักงานอัยการสูงสุดแถลงกรณีอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

คดีนี้ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนคดีการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร จากพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ต .อ.โอฬาร สุขเกษม ผู้กล่าวหา พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินี รัชทายาท และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 ที่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้ และประเทศไทย เกี่ยวพันกันเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทย ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของอัยการสูงสุดเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินคดี)

โดยในชั้นแรก พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร หลบหนี ยังไม่ได้ตัวมาทำการสอบสวน ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด ในขณะนั้น พิจารณาแล้วได้มีคำสั่ง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2559 เห็นควรสั่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ตามข้อกล่าวหา

ต่อมาพันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร และถูกควบคุมตัวไว้ในคดีอื่น และในวันที่ 17 มกราคม 2567 อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และคณะ ร่วมกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี ได้เข้าแจ้งข้อกล่าวหา พร้อมกับพฤติการณ์และข้อเท็จจริงทางคดี นี้ให้กับพันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ทราบแล้ว

ปรากฏว่า ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ พร้อมกับยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด และต่อมา นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสด ได้มีคำสั่งสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นที่ผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรม และ พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมครบถ้วนแล้ว พร้อมได้ส่งบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเพิ่มเติมให้กับอัยการสูงสุดพิจารณา

บัดนี้ อัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาสำนวนและมีคำสั่งฟ้อง พันตำรวจโท หรือนายทักษิณ ชินวัตร ฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยว กับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 112 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม2519 ข้อ 1 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14(3) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8

วันนี้ (29 พ.ค. 67) พนักงานอัยการไม่สามารถยื่นฟ้อง พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ต่อศาลได้ เนื่องจาก พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้มาพบพนักงานอัยการตามกำหนดนัด โดยได้มอบอำนาจให้ทนายความมายื่นขอเลื่อนการฟังคำสั่งของพนักงานอัยการ ออกไปเป็นวันที่ 25 มิถุนยายน 2567 เวลา 09.00 น. พร้อมแนบใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าป่วย เนื่องจากติดโควิด โดยแพทย์ให้หยุดพักงานและสังเกตอาการเป็นเวลา 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2567

ซึ่งนายวิพุธ บุญประสาท อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 ในฐานะหัวหน้าพนักงานอัยการที่ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดให้เป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุขอเลื่อนคดีมีการอ้างการป่วยเพราะติดโควิด โดยหมอให้พักเพื่อสังเกตอาการ ถึงวันที่ 3 มิถุนายน 2567 จึงอนุญาตให้เลื่อนไปวันที่ 18 มิถุนายน 2567 เพื่อนัดให้พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร มาพบพนักงานอัยการ เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลในวันดังกล่าวต่อไป

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงาน นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาร่วมรับฟังคำสั่งฟ้องแต่อย่างใด

ส่วนประเด็นเรื่องการติดโควิดของนายทักษิณ นายประยุทธ เผยว่า ยืนยันว่ามีใบรับรองแพทย์ เป็นแพทย์รับรอง ออกวันที่ 28 พฤษภาคม ซึ่งในรายละเอียดอาจจะต้องไปดูอีกที ซึ่งไม่ได้ดูว่าจากรพ.ไหน แต่ยืนยันว่าตรวจสอบตามหลักการและเหตุ ส่วนการที่เลื่อนไปเรื่องเจ็บป่วยหรือมีเหตุขัดข้อง ถือว่าเป็นระบบงานทางธุรการ แต่หลักใหญ่ใจความคือท่านอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องเรียบร้อยแล้ว ซึ่งประเด็นการขอเลื่อนทำนองนี้ที่ดูเหตุขัดข้องมีหลายลักษณะ เช่น ถ้ามีผู้ต้องหาบางรายก็อาจจะมองว่ามีหลักทรัพย์ไม่พร้อมก็จะให้เลื่อนไป

“แน่นอนว่าการให้เลื่อนไปโดยมีคำยืนยันจากคุณหมอ เราก็ต้องเชื่อท่าน แต่อย่างไรก็ตามการที่ขอเลื่อนไป 25 มิ.ย.67 แต่เราก็เอ๊ะ หมอท่านให้แค่ ดูเอาวันที่ 3 เราก็ให้ถึงวันที่ 18 มิ.ย.67 ยังไงก็ยืนยันว่าการเลื่อนทำนองนี้ ไม่เสียหายต่อความยุติธรรม และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความเห็น คำสั่งของอสส.” นายประยุทธ กล่าว

112 ดีล(ไม่)ลับ สยบ 'นายใหญ่' ลุ้นชะตา 18 มิ.ย. คุกไม่คุก?

“..ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 112 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 1 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14(3) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8..”

คือ ข้อหาเต็ม ๆ ของท่านอัยการสูงสุด (อสส.) คนปัจจุบัน นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ ที่ลงนามสั่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2567 และทีมโฆษกมาเปิดอ่านแถลงกัน 29 พ.ค. แต่เสียดายที่ทักษิณรู้ทัน เมื่อวาน (28 พ.ค.) ให้ทนายยื่นหนังสือขอเลื่อน อ้างเหตุป่วยโควิด มีใบรับรองแพทย์ถูกต้องเรียบร้อย...

ว่ากันว่าถ้าทักษิณมาตามนัด อัยการนำตัวส่งศาล...ก็จะได้ลุ้นกันระทึกว่า 'ทักษิณ' จะต้องถูกคุมตัวเข้าเรือนจำหรือไม่ เพราะใครต่อใครพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าศาลไม่น่าจะให้ประกันตัว เหตุเพราะทักษิณยังมีคดีต้องโทษคุมขังอยู่อีกคดี และวันนี้ยังเป็นนักโทษที่ได้รับการพักโทษเท่านั้น ยังไม่พ้นโทษ...โน่น 20 ส.ค. จึงจะพ้นโทษ...

ศาลเคยมีแนวคำวินิจฉัยไม่อนุญาตให้ประกันตัวจำเลยที่มีคดีซ้อนทำนองนี้มาก่อน...งานนี้เลยมีหนาว...

ถ้าลากคดีค่อยสั่งฟ้องหลังวันที่ 20 ส.ค. ศาลก็คงอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้โดยสะดวก เพราะเหลือคดีเดียว เหมือนที่ศาลเมตตาให้ประกันตัวน้อง ๆ สามนิ้ว...

ถึงตอนนี้สรุปว่า ขณะที่คดีเศรษฐา ทวีสิน มีวิษณุ เครืองาม มาเป็นตัวช่วย แต่คดีทักษิณน่าเหนื่อยใจแทน มีเหลี่ยมมุมที่ชวนติดตามและชวนคิด

1) ต้องลุ้นกันวันที่ 18 มิ.ย. ทักษิณจะมาตามนัดของอัยการหรือไม่...ฟังทนายวิญญัติ ชาติมนตรี ก็ออกอาการแปลก ๆ แปร่ง ๆ เพราะบอกทำนองว่ารอให้ถึงวันนั้นแล้วจะรู้เอง แต่ตามหลักท่านมีหน้าที่ต้องไปตามนัด…

2) งานนี้ต้องชื่นชมท่าน อสส.คนปัจจุบัน นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ ที่จะเกษียณเดือน ก.ย.ปีนี้ ซึ่งทราบว่าปัจจุบันท่านป่วยอยู่ ถ้าจะหาทางลากยาวไปก็ย่อมทำได้ แต่ท่านไม่ยอมแม้จะมีใครต่อใครไปล็อบบี้ท่านถึงขอบเตียงโรงพยาบาลก็ตาม...ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณ อสส.ท่านก่อน...ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์   ยุทธภัณฑ์บริภาร ที่ได้สั่งฟ้องเอาไว้ก่อนแล้วตั้งแต่ 19 ก.ย. 2559

3) ถ้าคดีลากยาวไปถึง อสส.ท่านต่อไป คือนายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ ก็ไม่แน่ว่าจะมีการสั่งฟ้องหรือไม่ เพราะดูปูมหลังแล้ว นายไพรัชค่อนข้างทำงานใกล้ชิดกับนายชัยเกษม นิติสิริ อดีต อสส. ซึ่งวันนี้เป็นแคนดิเดตนายกศของพรรคเพื่อไทย...

4) ดีลลับมีจริง ไม่มีจริง ก็ว่ากันไป...แต่ข้อตกลงการกลับไทยของทักษิณนั้นมีแน่...ไม่แปลกที่วันนี้ทักษิณได้กลายเป็นตัวประกันในการรักษาสมดุลสมการอำนาจการเมืองแบบที่เป็นอยู่ ให้เดินหน้าต่อไป...แต่อย่านอกใจไปจับมือส้มหรือคิดล่มชาติล้มสถาบันเป็นอันขาด..!!

ดูกันดี ๆ ครับคุณผู้อ่านท่านผู้ชม...การเมืองเดือน มิ.ย.-ก.ค. มีอะไรให้หวาดเสียวตื่นเต้นอีก 3-4 เรื่อง...ขอยกยอดไปว่ากันครั้งต่อไป

'ลุงป้อม-พปชร.' ค้านสุดตัว นิรโทษฯ เหมาเข่งคดี 112 ยัน!! จุดยืนสำคัญของพรรค คือ การปกป้องสถาบันฯ

(31 พ.ค. 67) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ในการพิจารณาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่จะรวมมาตรา 112 ด้วยหรือไม่นั้น ว่า “จุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ตั้งแต่ต้นคือเราไม่เห็นด้วยที่จะมีการแก้ไขมาตรา 112 และไม่สนับสนุนให้มีการนำมาตรา 112 มาอยู่ในการนิรโทษกรรม เพราะหลักการที่สำคัญที่สุดของพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประวิตร คือ การปกป้องสถาบัน เป็นสิ่งสำคัญที่สุด”

พรรคอันดับ 14 ล้านเสียงสนับสนุน เดินหน้าล้ม 112 พรรคอันดับรอง 10 ล้านเสียง ขายข้าว 10 ปี

ผมนั่งมองดูประเทศของตัวเองในห้วงเวลานี้แล้ว เกิดความรู้สึกเศร้าใจลึก ๆ อย่างบอกไม่ถูก เห็นรัฐบาล 'ถุงเท้าแดง' ก็ไม่ต่างจาก 'นายกนอมินี' ในอดีตที่ผ่านมา เดินหน้าทำตามคำบัญชาของคน 'เหนือนายก' เพื่อผลประโยชน์เข้าตระกูลไม่หยุดหย่อน ประเทศชาติจะเสียหายอย่างไรก็ช่าง 

เอาแค่เรื่อง 'ข้าวค้างโกดังบาป 10 ปี' คนในรัฐบาล หรือ 'ตระกูลชั้น 14' เองยังไม่กล้าหุงข้าวและกินโชว์ แต่จะเข็นออกประมูลขายให้ได้ ประเทศใดจะซื้อไว้กิน จะป่วยไข้ เป็นโรคร้ายเพราะ 'ข้าวเน่า' ประเทศไทยจะถูกตราหน้าว่า 'ขายข้าวคุณภาพต่ำ' ก็ไม่สนใจ 

เงินมหาศาลสร้างอำนาจอันมหึมาให้กับคน ๆ หนึ่งได้จริง แม้จะทำผิดกับประเทศชาติ ทรยศประชาชน ไร้สัจจะ คอร์รัปชัน โกงกิน จนต้องหนีคดีไปนาน ก็ยังมี 'คนจำนวนไม่น้อย' คอยยกหาง และถวายชีวิตช่วยเหลือ แม้กระทั่งประชาชนคนไทยที่ถูกกระทำโดยตรงจากการบริหารบ้านเมืองก็ยัง 'ลืมง่าย' ช่วยกันกาเลือก 'พรรคเผาเมือง' กลับมาผงาดจนสร้างปัญหาได้อีกในปัจจุบัน

คำถามคือ เมื่อไหร่คนไทยถึงจะเข็ด คิดได้ และคิดเป็นกันเสียที? 

มาดูอีกพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่การเป็นฝ่ายค้านก็ไม่มีศักยภาพที่คนไทยจะหวังพึ่งพาอะไรได้ เพราะวัน ๆ นอกจากจะเดินหน้า 'ล้างสมองเด็ก' ลงลึกถึงเยาวชนของชาติทุกระดับเพื่อให้ 'เกลียดชังสถาบัน' และพยายามโค่นล้มกฎหมายมาตรา 112 ก็ไม่เคยเห็นผลงานอะไรที่สร้างสรรค์ เป็นชิ้นเป็นอัน และมีคุณค่ามากพอจะทำให้สังคมไทยน่าอยู่ขึ้นมาบ้าง 

มองเข้ามาก็จะเห็น 'ความป่วยไข้' ของคนไทยในมิติที่ชัดมาก ป่วยที่ลืมง่าย ป่วยที่ไม่ละเอียดกับอะไรเลย ป่วยที่คิดไม่เป็นจนไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรเลว ป่วยที่ลืมรากเหง้าของตัวเอง และป่วยถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเลือกเข้ามากำลังทำให้ประเทศชาติย่อยยับ 

พูดอีกกี่ครั้งก็คงเหมือนเดิมประมาณว่า นักการเมืองเลว ๆ ในบ้านเราไม่ได้ฉลาดล้ำ ค่อย ๆ มองก็จะพบคำตอบโดยง่าย วิธีคิดในการโกงชาติโกงแผ่นดินก็ไม่ต่างจากเดิม แต่เพราะเรามีประชาชนที่ 'โง่กว่า' อาศัยอยู่ในประเทศไทยในจำนวนที่มาก เราถึงยังคงได้ 'นักการเมืองที่ไม่ฉลาด' มาบริหารประเทศชาติเหมือนในขณะนี้  

อยากให้นักการเมืองเลว ๆ หมดจากแผ่นดิน ก็แค่กำจัด 'ประชาชนโง่ ๆ' ให้หมดไปจากสังคมไทย 

ฝากพรรคที่มุ่งขายข้าวเก่า หุงมาให้ประชาชน 24 ล้านคนกิน ก็คงจะดี 

ถึงเวลา 'คุณหญิงอ้อ' ลงบัญชาเกม ‘ปรับดีล’ ประคองทรง ‘เศรษฐา’ ปลดสลักให้ ‘โทนี่’

วันที่ 7 มิ.ย. 2567 นักข่าวจำนวนหนึ่งแอบไปสังเกตการณ์ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า พบว่ามีรถตู้วิ่งเข้าออกจำนวนหนึ่ง ตอกย้ำให้ข่าวที่ว่า ‘คุณหญิงอ้อ’ คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ ภริยา (หย่า) ของคุณทักษิณ  ชินวัตร ได้นัดหมายบุคคลในครอบครัวเพื่อพบปะพูดคุย...เป็นจริง

ยากที่จะหาข่าวอินไซด์จากวงพูดคุยได้...แต่พอที่จะไล่เรียงข่าว-ข้อมูลเบื้องต้นให้รับฟังได้ว่า...เบื้องหลังการเชิญ ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในหนนี้ได้

ผู้ที่ทำให้ ดร.วิษณุ ปฏิเสธได้ยากที่สุดคือ ‘นายหญิง’ ท่านนี้...

ภารกิจของดร.วิษณุนาทีนี้คือแก้ไขคำชี้แจงข้อกล่าวหาถอดถอนนายเศรษฐา...ก่อนจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 10 มิ.ย. หรือหากจำเป็นก็สามารถขอขยายเวลาได้...

กรณีเศรษฐาคือความเป็นความตายของพรรคเพื่อไทย...ว่ากันว่า ‘นายหญิง’ ก็มีส่วนสำคัญขอให้นายเศรษฐารับตำแหน่งนายกฯ แทน ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งผู้เป็นแม่รู้ดีว่าลูกสาวยังไม่พร้อม ไม่อยากเป็นแม่รังแกลูก...ดังนั้นงานนี้ต้องใช้บริการเนติบริกรผู้มีอภินิหาริย์ทางกฎหมาย…มาช่วยประคับประคองเศรษฐา..

ไม่แต่เท่านั้น…กรณีทักษิณเผชิญหน้าคดีมาตรา 112 ต้องลุ้นกันทีละช็อต ทีละศาล...ก็เป็นวิบากกรรม เป็นงานหนัก…ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นต้องใช้บริการจาก ดร.วิษณุ เช่นกัน รวมทั้งงานยากสุดคือการกลับบ้านอย่างเท่ ๆ ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร   

วิบากกรรมของครอบครัวชินวัตรรอบนี้ใหญ่หลวงไม่ใช่น้อย คดีมาตรา 112 ของทักษิณแม้วันที่ 18 มิ.ย.แนวโน้มจะได้รับประกันตัวแต่ชีวิตก็เหมือนถูกล่ามโซ่...การจะใช้บริการนิรโทษกรรมสุดซอย รวมคดี 112 เข้าไปด้วย ก็สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการล้มกระดานการเมือง...ห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยต้องยืดหยุ่น...และหนีไม่พ้น ‘คุณหญิงอ้อ’ ต้องเทคแอ็กชันในช็อตสำคัญ

สรุปทุบโต๊ะ…ตอนนี้มีเพียง ‘นายหญิง’ เท่านั้นที่ทรงอิทธิพลและน่าเชื่อถือมากที่สุด ที่จะช่วย ‘ปรับดีล’ การอยู่ร่วมกันกับอีกฝ่ายให้ราบรื่นได้...ภายใต้การปล่อยข่าวรัว ๆ จากมุมมืดว่า 18 มิ.ย. ทักษิณจะวืดประกันตัว, วันที่ 3 ก.ค. ดาบแรกศาลรธน. จะยุบพรรคก้าวไกล ดาบต่อไป 10 หรือ 17 ก.ค. จะลงดาบเศรษฐา...

ปล.หากย้อนอดีต…บารมีบวกกับความอ่อนน้อมกับผู้ใหญ่ ความเด็ดขาดและแน่นอนของ ‘นายหญิง’ เคยช่วยถอดสลักระเบิดเวลาให้ ‘นายใหญ่’ มาหลายต่อหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือความขัดแย้งของนายใหญ่กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แห่งบ้านสี่เสาเทเวศร์ อดีตประธานองคมนตรีผู้ล่วงลับ..

อย่างไรก็ตาม...ทั้งหลายทั้งปวง การ ‘ปรับดีล’ ให้สมดุล ต้องอยู่ที่ความอดทนของ ‘นายใหญ่’ ที่ฝ่ายความมั่นคงของฝั่งอนุรักษ์นิยมยังไม่สบายใจกับคำพูดคำจา การแสดงออกต่าง ๆ เช่น ที่โคราชเมื่อ 25 พ.ค. หรือแม้แต่วันที่ 8 มิ.ย. ที่ปทุมธานีที่อาจจะไปร่วมงานด้วยตัวเองหรือวิดีโอคอล..ที่จะต้องตามไปดู…

ถ้านายใหญ่พูดการเมืองเพียงว่า “ผมไม่รู้จักคนชื่อ(บิ๊ก)แจ๊ส” เพราะต้องช่วยชาญ พวงเพ็ชร์ ให้ชนะนายกอบจ.ในนามพรรคเพื่อไทยก็ไม่น่าจะเป็นไร...แต่เขาเกรงกันว่าจะพูดเรื่องอื่นที่มันชวนเสียวน่ะสิ..!!

‘ตระกูล’ อดีต อสส. สวน ‘ทักษิณ’ คดีม.112 ตามกม.อาญา ‘ไม่เคยมีใครข่มขู่’ ให้ทำคดี

(11 มิ.ย.67) นายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด โพสต์เฟซบุ๊ก 'ตระกูล วินิจนัยภาค' ระบุว่า ขอยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่า ในฐานะเป็น อสส. ในขณะนั้น ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีอาญานอกราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 ไม่เคยมีใครข่มขู่ โน้มน้าว ชักจูง ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสอบสวนครับ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.67 ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า ถูกยัดข้อหา ม.112 คดีแทบจะไม่มีมูลแบบนี้เขาเรียกว่าเป็นผลไม้ของต้นไม้ที่เป็นพิษ คือการทำคดีแต่ละข้อกล่าวหาตั้งแต่ต้นที่มีการข่มขู่ ตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวนโดยผู้บังคับบัญชา คดีไม่ควรเป็นคดี

‘ดร.อานนท์’ เผย ‘รุ้ง’ ไปศาลยอมรับสารภาพผิด ‘ม.112’ คาด!! มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง แต่กฎหมายเอื้อมไปไม่ถึง

เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า 

ได้ข่าวว่าน้องรุ้งไปศาลวันนี้ แล้วยอมรับสารภาพว่ากระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 สำหรับคดีวันนี้ทั้งหมด

อันอาจจะแปลความได้ว่า น้องรุ้งได้พิจารณาจากรูปคดีแล้ว คิดว่าสารภาพไปเลยให้ความร่วมมือยังจะได้ลดโทษบรรเทาโทษจากศาล

ขอให้น้องรุ้งได้รับความเมตตาจากศาลด้วยครับ ผมทราบว่าน้องรุ้งเองถูกผลักดันจากผู้ใหญ่ที่บงการเบื้องหลังน้อง แต่กฎหมายเอาตัวผู้บงการมิได้ คนบงการต่างหากที่ควรได้รับโทษเต็มๆ แต่กฎหมายเอื้อมไปไม่ถึงครับ

แม้กระทั่งวันที่มาดีเบตกับผม น้องรุ้งก็มิได้เต็มใจจะมา และมิได้เตรียมตัวมาเลย นักวิชาการ นักการเมือง สีส้ม ล้มเจ้า ไม่มีใครยอมมาดีเบตกับอานนท์ แล้วบังคับส่งน้องรุ้งมา พร้อมกับเอกสารเป็นปึกที่น้องยังไม่ได้อ่านให้รู้เรื่องเลย แต่ก็ต้องมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากมาดีเบตกับอานนท์เลย น้องรุ้งยังบอกอีกว่าวันนี้หากเป็นรุ่นเด็ก ก็ควรจะเป็นเพนกวิ้น ไม่ควรจะเป็นหนู แต่เพนกวิ้น หอบหืดหนักต้องไปพ่นยาที่โรงพยาบาลแล้วมาไม่ได้หนูเลยต้องมาแทน

นี่คือตัวตนและชะตากรรมของน้องรุ้ง

ขอให้ทุกคน ให้ความเมตตาน้องรุ้ง ปนัสยา ด้วยนะครับ ผมกราบขอร้องครับ

ปล. น้องรุ้งไม่ได้หนีคดีนะครับ ขอยกย่องในข้อนี้ไว้ก่อนนะครับ

นอกจากนี้ ดร.อานนท์ ก็ยังได้กล่าวเสริมอีกด้วยว่า...

น้อง ๆ กลุ่มคณะราษฎร 2563 กลุ่มทะลุวัง กลุ่มทะลุแก๊ส กลุ่มทะลุฟ้า กลุ่มอื่นๆ ที่เคยกระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทุกคนครับ อยากให้น้องทำเพื่อตัวเองโดยที่ 

หนึ่ง ให้ความร่วมมือกับศาลในการพิจารณาคดี อย่าแสดงพฤติกรรมไม่ร่วมมือกับศาลท่านตามคำยุยงของทะแนะทั้งหลายจะไม่ส่งผลดีต่อตัวน้องครับ

สอง ถ้ารูปคดีไม่มีทางต่อสู้ ยอมรับสารภาพผิดกับศาลท่านไปเถิดครับ จะได้รับความเมตตา โทษจะบรรเทาเบาบางลงไปมากกว่าครึ่ง

สาม อย่าหนีคดี คนเราทำสิ่งใดไว้ก็ต้องรับผลการกระทำนั้นอย่างกล้าหาญ

สี่ กลับใจ ถ้ารู้ว่าตนหลงผิดไป หรือรู้ว่าตนเองถูกหลอกใช้ แสดงพฤติกรรมที่ควรจะแสดงให้ถูกต้อง จะกราบขอพระราชทานอภัยโทษในที่สาธารณะก็ควรทำครับ 

ห้า ถ้ารู้ว่าตนเองถูกหลอกใช้ ถูกบังคับ ถูกละเมิด จะออกมาแฉเอง หรือจะให้สื่อช่วยแฉก็ทำได้ทั้งนั้น 

หก ถ้าคดีพิพากษาไปจนถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ประพฤติตนดีในเวลาที่รับโทษ แล้วให้ทำเรื่องถวายฎีกาขอรับพระราชทานพระเมตตาในการอภัยโทษ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจ

ผมมั่นใจว่า หลังจากคดีสิ้นสุดแล้ว การถวายฎีกาขอรับพระราชทานอภัยโทษ ขอรับพระราชทานพระเมตตา จะต้องถึงพระเนตรพระกรรณอย่างแน่นอน สำหรับคดีมาตรา 112 ที่น้อง ๆ ได้หลงผิดและพลาดไปแล้ว

'ธนกร-รวมไทยสร้างชาติ' ดักทาง 'กมธ.นิรโทษกรรม' ถอยปลดล็อก ม.112 เชื่อ!! คนไทยทั้งชาติรับไม่ได้ หากให้มีการนิรโทษฯคนหมิ่นสถาบันฯ

(12 ก.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์หลังจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน โดยกมธ.ไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องนิรโทษกรรมคดีมาตรา 110 และ คดีมาตรา 112 ซึ่งถือเป็นคดีที่มีความอ่อนไหว และ คดีที่มีความรุนแรง ตามมาตรา 289 ด้วยการลงมติได้ ว่า 

“ตนขอเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการได้พิจารณาตามหลักการกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในหมวด 2 มาตรา 6 เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ระบุว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ หากกรรมาธิการฝืนให้ลงมติให้คดีที่ผู้กระทำผิดเกี่ยวกับสถาบันฯ ให้ได้รับการนิรโทษกรรม อาจเสี่ยงต่อการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญได้”

เมื่อถามว่า การที่กมธ. ไม่สามารถลงมติได้ว่าไม่รวมคดีที่มีความอ่อนไหว ม.110, ม.112 และคดีร้ายแรง สะท้อนถึงความไม่ชัดเจนเรื่องข้อกฎหมายหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า 

“ความจริงแล้วถ้ายึดหลักการกฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมถึงจารีตประเพณีรากเหง้าของประเทศแล้ว ตนเชื่อว่า กรรมาธิการจะไม่เสียงแตกแบบนี้ เพราะทุกคนต่างทราบดีอยู่แล้วว่า หากเราไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์คงไม่มีประเทศไทยในวันนี้ ซึ่งการจะนิรโทษกรรมผู้ที่หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์จึงไม่ควรเกิดขึ้น ควรจะใช้ช่องทางอื่นเพื่อจะขอพระราชทานอภัยโทษจะเป็นทางออกที่ดีกว่า”

“แม้ว่ากมธ.นิรโทษกรรม ไม่มีข้อยุติเรื่องคดีม.110,112 โดยมีข้อสรุปให้ส่งเรื่องเสนอต่อสภาฯ และให้สส. เป็นผู้พิจารณาในรายละเอียด ของการบัญญัติเป็นกฎหมายก็ตาม ผมมองว่า การที่กมธ.ไม่ชี้ชัด ไม่มีข้อสรุปว่าจะไม่รวมคดีอ่อนไหวในการนิรโทษกรรมนั้น ก็ทำให้สังคมคิดได้ว่า เป็นการอะลุ่มอล่วย เห็นด้วยในการกระทำผิดโดยปริยายหรือไม่ ส่วนตัวขอคัดค้าน และหากถูกเสนอกฎหมายเข้าสภา ผมและสส.พรรครวมไทยสร้างชาติก็จะลงมติไม่เห็นด้วยให้มีการนิรโทษฯ ให้คนหมิ่นสถาบัน และเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศก็รับไม่ได้เช่นกัน” นายธนกร ย้ำ

‘ธนกร-รวมไทยสร้างชาติ’ ค้านสุดลิ่ม!! นิรโทษกรรม สอดไส้ ‘ม.110-112’ เชื่อ!! คนทำผิดหาข้ออ้างรอดไม่ยากและสุดท้ายก็ได้นิรโทษกรรม

(20 ก.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร เตรียมจัดทำรายงานเสนอต่อที่ประชุมสภาภายในเดือนก.ค.นี้ 

โดยมองว่า หากจะมีการเสนอสภาให้ตรากฎหมายนิรโทษกรรม แก่การกระทำที่มีเหตุแรงจูงใจทางการเมือง ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน แต่ไม่นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดต่อชีวิต และความผิดที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง 2 ประเด็นแรกนั้น ตนเห็นด้วย หากเป็นการกระทำที่ไม่รุนแรงถึงขั้นชีวิต แต่ควรพิจารณาในรายละเอียดอย่างรอบคอบ ตามหลักกฎหมาย เชื่อว่าจะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่ายได้

ส่วนการกระทำผิดที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และ มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท พระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาทฯ นั้น กรรมาธิการมีเสียงแตก เห็นเป็น 3 แนวทาง แนวทางแรก เห็นว่าไม่ควรนิรโทษกรรม แนวทางที่ 2 นิรโทษกรรมให้โดยไม่มีเงื่อนไข และแนวทางที่ 3 นิรโทษกรรมให้แบบมีมาตรการเงื่อนไขนั้น 

โดยนายธนกร เห็นว่า หากจะมีการนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำความผิด ที่ก้าวล่วงสถาบันฯ ตามมาตราดังกล่าว อาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ หมวด 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ในหลายมาตรา เช่น มาตรา 6 ที่ระบุชัดว่า ‘องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้’ ซึ่งจะเท่ากับว่ากฎหมายที่สภาจะตราออกมาใหม่เรื่องการนิรโทษกรรม ส่อไปขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง และทำให้ไม่ผ่านการพิจารณาถูกตีตกในสภาได้ 

นอกจากนั้น อาจเป็นการเปิดช่องให้คนนำเหตุผลมาอ้างว่า ทำลงไปเพราะมาจากแรงจูงใจทางการเมือง ถูกชักจูงโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนทำให้คนไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทำผิดซ้ำอีก เพราะสุดท้ายก็ได้นิรโทษกรรม แบบนี้ถือว่าเป็นความลักลั่นทางกฎหมาย เปิดช่องให้คนทำผิดมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่เปราะบาง เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว ถือเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะเป็นความมั่นคงของชาติ

“พรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดยนายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค ได้ย้ำจุดยืนมาตลอดแล้วว่า กฎหมายนิรโทษกรรม เราคัดค้าน จะต้องไม่รวมคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 และ 112 เด็ดขาด เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ใครจะดูหมิ่นก้าวล่วงไม่ได้ ซึ่งการจะตรากฎหมายใดออกมาก็ตาม ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ยึดประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก ไม่เอาพวกพ้องเป็นใหญ่ หากดันทุรังผลักดันเรื่องนี้ในสภา เชื่อว่าสส.ผู้แทนที่มาจากประชาชนทุกคน ไม่ยอมแน่ หากกระทำความผิดก็ต้องยอมรับและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” นายธนกร ระบุ

'ลอรี่ รวมไทยสร้างชาติ' เผยเหตุผล 4 ข้อสำคัญ ไม่หนุนนิรโทษกรรม ม.112 ชี้!! ขัดแย้งหลักปรองดอง-เสี่ยงทำผิดซ้ำ แนะ!! ขออภัยโทษเป็นรายกรณี

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ 'ลอรี่' รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ได้เปิดเผย ผลการศึกษาของคณะ กมธ.นิรโทษกรรม ตลอดการประชุม19 สัปดาห์ว่า

ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้ง 3 ท่าน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ที่จะไม่เห็นชอบให้มีการรวมนิรโทษกรรมคดี ม.112 และ ม.110 ได้แก่ นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส. ชุมพร เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ, นายเจือ ราชสีห์ กรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ และนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกคณะกรรมาธิการ

นายพงศ์พล กล่าวสรุปว่า ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เห็นด้วยที่จะรวมคดีอ่อนไหวทางการเมืองอย่าง ม.112, ม.110  ในการนิรโทษกรรม ด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้

1. ปัญหาเชิงคุณภาพ ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตั้งต้น ที่จะต้องการสร้างความปรองดองสังคม เพราะอาจเป็นการสร้างความขัดแย้งครั้งใหม่

2. ปัญหาเชิงปริมาณ ในแง่ของจำนวนคดีม.112 คิดเป็นจำนวนน้อย ไม่ถึง 2% เทียบกับคดีทั้งหมด แต่อาจทำให้การนิรโทษกรรมคดีที่เหลือ 98% มีปัญหาได้

3. กระทำผิดซ้ำ มีโอกาสในการกระทำผิดซ้ำสูง หลังการได้รับนิรโทษกรรม ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมถอย

4. คดีลักษณะเฉพาะ คดีม.112, 110 เป็นคดีลักษณะเฉพาะพิเศษ ไม่สามารถแก้โดยนิรโทษกรรมได้ คล้ายกับความผิดต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คดีม.135 ควรให้เป็นการพระราชทานอภัยโทษเป็นรายกรณีไป

คณะกรรมาธิการฯ ศึกษาแนวทางทางการตราพรบ.นิรโทษกรรม คดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ได้มีมติสุดท้าย ใช้กระบวนการ 'ผสมผสาน' นิรโทษกรรมโดยกรอบกฎหมาย ร่วมกับการมีคณะกรรมการ คอยวินิจฉัยและอุทธรณ์ 

ความเห็นคณะ กมธ.นิรโทษกรรม แบ่งออกเป็น 3 แนวทาง โดยเป็นการบันทึกความเห็นอย่างมีอิสระ ไม่มีการโหวต

ผลความเห็นล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 67 จากคณะ กมธ.นิรโทษกรรม 36 ท่าน ไม่รวมประธาน 1 ท่าน และคณะกรรมาธิการถอนตัว 1 ท่าน เหลือ จำนวน 34 เสียง ดังนี้

-  ไม่นิรโทษ 112 จำนวน 13เสียง
-  นิรโทษ 112 จำนวน 3 เสียง
-  นิรโทษ 112 โดยห้ามกระทำผิดซ้ำ จำนวน 12 เสียง 

“โดยผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ เตรียมยื่นให้ประธานสภาฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาบรรจุเข้าในวาระการประชุมสภา ในลำดับต่อไป ฝากถึงพี่น้องคนไทยที่รักสถาบัน และเชื่อมั่นในความถูกต้อง ติดตามเรื่องนี้ไปด้วยกันอย่างใกล้ชิด” นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top