Friday, 23 May 2025
ฟิลิปปินส์

‘ฟิลิปปินส์’ ได้กลายเป็นผู้นำเข้า ‘ข้าว’ รายใหญ่ที่สุดของโลกประจำปี 2023/2024

รายงานจาก Satista เผย ‘ฟิลิปปินส์’ ได้กลายเป็นผู้นำเข้า ‘ข้าว’ รายใหญ่ที่สุดของโลกประจำปี 2023/2024 โดยวัดจาก 20 ประเทศชั้นนำของโลก 🌾🌍

ทั้งนี้ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มี 4 ประเทศที่นำเข้ามากที่สุด ได้แก่…

1.) ฟิลิปปินส์ 🇵🇭 นำเข้าข้าว 3.8 ล้านตัน 
2.) อินโดนีเซีย 🇮🇩 นำเข้าข้าว 2.5 ล้านตัน 
3.) เวียดนาม 🇻🇳 นำเข้าข้าว 1.4 ล้านตัน 
และ 4.) มาเลเซีย 🇲🇾 นำเข้าข้าว 1.2 ล้านตัน

'นักร้องปินส์' นำเพลงไทยไปแปลงเนื้ออังกฤษ ดังจนติดชาร์ต Spotify แต่ไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์

เมื่อวานนี้ (26 มี.ค. 67) เพิ่งเสร็จศึกสุขุมวิท 11 แก๊งกะเทยไทย - ฟิลิปปินส์ซัดกันนัว ล่าสุดก็มาเปิดศึกกันอีกครั้งเมื่อพบว่า ดาว TikTok ชาวฟิลิปปินส์ นำเพลงฮิตของไทยไปเปลี่ยนเนื้อเป็นภาษาอังกฤษแถมอัปลง Spotify ให้คนสตรีมมิ่งจนติดชาร์ต แต่งานนี้เหมาเงินเรียบแบบไม่ให้เครดิตคนทำงานฝั่งไทย แถมไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย ทำเอานักร้องเจ้าของเพลงเตรียมดำเนินการทางกฎหมาย

เรียกได้ว่าเพลง ‘พี่ชอบหนูที่สุดเลย’ ( I Like You The Most ) ของศิลปิน PONCHET ft. VARINZ ที่ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง แม้แต่ เตนล์ ชิตพล ลี้ชัยพรกุล จากวง NCT ก็นำไปร้องจนแฟนเพลงเค-ป็อปทั่วโลกให้ความสนใจ

งานนี้หนุ่มดาว TikTok ของฟิลิปปินส์ที่ชื่อว่า SHAD ก็ได้อาศัยกระแสมาชุบมือเปิบ นำเพลงไปเปลี่ยนเนื้อเป็นภาษาอังกฤษ แต่เท่านั้นไม่พอยังอัปลงสตรีมมิ่งดัง ๆ มากมายทั้ง Spotify, iTunes รวมถึง Melon สตรีมมิ่งเพลงของเกาหลีใต้

ซึ่งเพลงได้รับความสนใจจนถึงขั้นติดท็อปชาร์ต Spotify Viral Songs และ Spotify PH Viral Songs ซึ่งงานนี้ไม่มีการให้เครดิตทางฝั่งศิลปินไทย และกวาดรายได้รวมถึงค่าลิขสิทธิ์เข้ากระเป๋าตนเองคนเดียวเต็ม ๆ

ทำเอาชาวไทยไม่อยู่เฉย พากันเหมารถทัวร์ไปเปิดศึกช่วยกันรุมรีพอร์ตแถมยังพากันไปถล่มคอมเมนต์มากมายใส่ดาว TikTok รายนี้ และแนะนำไม่ให้คนสนับสนุนหรือดาวน์โหลดเพลงด้วย ซึ่งเบื้องต้นทางเจ้าของเพลงฝั่งไทยทราบเรื่องแล้ว และเตรียมดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุดกับเหตุการณ์ชุบมือเปิบครั้งนี้ด้วย

‘ฟิลิปปินส์’ โวย ‘สหรัฐฯ’ ป้ายสี วัคซีนซิโนแวค ของจีน ทำให้ประชาชนไม่กล้าฉีด สุดท้ายยอดตาย พุ่งหลายหมื่น

(23 มิ.ย.67) รายงานการสืบสวนหนึ่งของรอยเตอร์ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้เปิดยุทธการโฆษณาชวนเชื่อแบบลับๆ ในช่วงพีกสุดของโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์ สำหรับเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและก่ออิทธิพลสร้างวาทกรรมในวงกว้างเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวคของจีน เช่นเดียวกับอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือช่วยชีวิตอื่นๆ ที่จัดหาให้โดยปักกิ่ง

ยุทธการดังกล่าว ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2020 และลากยาวจนถึงช่วงกลางปี 2021 เกี่ยวข้องกับการใช้บัญชีปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งรอยเตอร์ตรวจพบอย่างน้อย 300 บัญชีบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยมีเจตนาเพื่อก่อความคลางแคลงใจต่อวัคซีนซิโนแวคในหมู่ประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ขณะที่รอยเตอร์รายงานอ้างว่ายุทธการนี้ถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อเอาคืนความพยายามของปักกิ่งที่กล่าวโทษวอชิงตัน เป็นต้นตอของโรคระบาดใหญ่

ซิโนแวค เป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวแรกที่เข้าถึงได้ในฟิลิปปินส์ แต่การแจกจ่ายวัคซีนตัวนี้ถูกบดบังจากความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของมัน ชาวฟิลิปปินส์มีความลังเลใจต่อวัคซีนซิโนแวคมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยจนถึงเดือนกันยายน 2021 มีถึงเกือบครั้งที่ไม่มีความตั้งใจหรือไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรรับวัคซีนยี่ห้อนี้หรือไม่ ตามข้อมูลของเวิลด์แบงก์

บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแนวหน้า ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล สถานพยาบาลหลักสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ของฟิลิปปินส์ ระบุว่าประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ต้องกลายเป็นผู้ชดใช้ในปฏิบัติการแอบแฝงของสหรัฐฯ ในความพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของวัคซีนจีน

ถ้าโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนข้อมูลนั้นเป็นจริง มุมมองของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับความสำคัญของวัคซีนอาจได้รับผลกระทบจากการยั่วยุปลุกปั่นทางสังคมในครั้งนี้ เรารู้ว่าชาวฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะคนชรา สามารถเชื่อสิ่งที่พวกเขาอ่านได้อย่างง่ายๆ" แอนโดรน คาร์ล โรโรเนโจ พยาบาลในหออภิบาลกุมารเวชของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล บอกกับอาหรับนิวส์ "ฉันคิดว่าถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้ จะมีคนยอมฉีดวัคซีนมากกว่านี้ในระยะแรกๆ และดังนั้น จะมีอีกหลายชีวิตที่ได้รับการปกป้อง

ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์พุ่งเหนือ 66,000 ราย ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นชาติที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นรองเพียงอินโดนีเซีย

ไบรอัน เอลวัมบูเอนา แพทย์ประจำโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล ในปี 2020 บอกว่าหลายชีวิตอาจอยู่รอดหากไม่มีการบิดเบือนข้อมูล เขาเชื่อว่ายุทธการของสหรัฐฯ ก่ออิทธิพลแก่คนไข้ของเขา หลายคนในนั้นติดเชื้อโควิด-19 อาการรุนแรง "ผมตกใจมาก และพบว่ามันไม่สร้างสรรค์และน่าสมเพช เพราะว่าเราพยายามอย่างสุดความสามารถ แจ้งให้ผู้คนเข้ารับวัคซีนยามที่วัคซีนมีพร้อมแล้ว"

พวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขฟิลิปปินส์ยังได้ย้อนความถึงกรณีที่โรคระบาดใหญ่ทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศอยู่บนขอบเหวของการพังครืน แพทย์และพยาบาลต้องดิ้นรนดูแลคนไข้โควิด-19 ท่ามกลางเคสผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูง

ไดแอนน์ เดอ คาสโตร พยาบาลรายหนึ่งของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล เปิดเผยว่าเธอต้องรับหน้าที่ดูแลคนไข้ 24 คนเพียงลำพัง โดยในนั้น 4 คน ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์พยุงชีพ

"มันทำให้ฉันคิดว่า เราอาจปกป้องหรืออย่างน้อยๆ ก็มีอัตราการเสียชีวิตที่น้อยกว่านี้ หลายชีวิตต้องมาสูญเสียไปในช่วงเวลาอันมืดมิดในยุคของเรา ฉันทำงานในด้านสาธารณสุขมาราว 4 ปีก่อนโควิด-19 ฮันไม่เคยรู้สึกกวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ที่ได้เห็นแม่ๆ พ่อๆ ลูกหลาน ญาติๆ และเพื่อนๆ ต้องมาตายในทุกๆ วัน" เดอ คาสโตร ให้สัมภาษณ์กับอาหรับนิวส์

อุบายเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนแก่สาธารณะ ทำให้ฉันโมโห ฉันยังคงมองว่าซิโนแวคเป็นวัคซีนที่มีศักยภาพสำหรับรับมือโควิด-19 และการเผยแพร่ข่าวลือนี้เท่ากับเป็นการตัดสายออกซิเจนคนคนหนึ่ง ที่กำลังต้องการอากาศหายใจและดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของชีวิต

สำหรับเธอแล้ว เดอ คาสโตร บอกว่ายุทธการโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฯ ‘เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ ปล้นโอกาสรอดชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ไปจากผู้คน และขโมยเหยื่อผู้เสียชีวิตไปจากครอบครัว

‘หนุ่มฟิลิปปินส์’ ลาโลก หลังไลฟ์กินข้าวกับไก่ทอดจำนวนมาก แพทย์เผย!! ‘เส้นเลือดในสมองแตก’ ผลพวงจากพฤติกรรมการกิน

เมื่อวานนี้ (4 ก.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้แชร์เรื่องราวของคอนเทนต์ครีเอเตอร์หนุ่มนักกิน ชาวฟิลิปปินส์ ที่ได้เสียชีวิต ภายหลังจากกินไก่ทอดพร้อมข้าวจำนวนมาก โดยระบุว่า…

“คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดังฟิลิปปินส์ เสียชีวิต หลังจากกินไก่ทอดจำนวนมาก”

“นายดงซ์ อปาตัน มีชื่อจริงว่า มาโนย อปาตัน มักโพสต์คลิปของตัวเองขณะกินอาหารท้องถิ่นจานใหญ่ ๆ จำนวนมาก เพื่อหารายได้ออนไลน์ เพื่อเพิ่มกระแส เพิ่มผู้ติดตาม”

“คลิปสุดท้ายวันที่ 13 มิถุนายน 2024 ขณะกินไก่ทอดจำนวนมาก กับ ข้าว หลังจากนั้นในวันต่อมา น้องสาวโพสต์แจ้งว่าเขาเสียชีวิตแล้ว”

“มาโนย อปาตัน วัย 38 ปี มีผู้ติดตาม 457,000 รายในเฟซบุ๊ก และเขาชอบรับประทานอาหารจานใหญ่ ๆ โชว์ ไก่จำนวนมาก ปลา หมู อื่น ๆ เกินคนทั่วไปจะรับประทานได้”

“ลีอาห์ อปาตัน น้องสาว โพสต์เฟซบุ๊กของเขาแจ้งว่า พี่ชายเกิดอาการหัวใจหยุดเต้นเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. 14/06 และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน”

“ชาวเน็ตแสดงความเห็นว่า สาเหตุอาจมาจากการกินที่มากเกินไป เกินพอดี น้องสาว อปาตัน แย้งว่า บางคลิปที่โชว์ก็กินไม่หมดทุกจาน และอย่ามองพี่ชายเป็นตัวตลก รายได้จากคลิปยังนำไปช่วยคนอื่น ๆ”

“แพทย์แจ้งว่า การเสียชีวิตของนายอปาตัน เกิดจากโรคหลอดเลือดในสมองแตก ตามคำบอกเล่าของแพทย์ที่รักษาเขาในห้องฉุกเฉิน กล่าวว่าเขามีลิ่มเลือดในสมอง โรคหลอดเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน นั่นหมายความว่าความดันโลหิตของเขาสูงขึ้น และเส้นเลือดในสมองแตก ตามคำอธิบาย”

“อาจมาจากอาหารรสเค็มและเนื้อสัตว์ หากรับประทานเป็นประจำ จำนวนมาก หลอดเลือดในสมองอาจอุดตันได้”

‘กรมการค้าต่างประเทศ’ นำทัพผู้ค้าข้าวไทยลุย ‘ฟิลิปปินส์’ ลงนาม MOU ซื้อ-ขาย 1.3 แสนตัน มูลค่า 2,800 ล้านบาท

(11 ก.ค. 67) นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการนำคณะผู้แทนการค้าข้าวไทย เดินทางไปฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ 3-5 กรกฎาคม 2567 ร่วมกับภาคเอกชน โดยมี ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และสมาชิกเข้าร่วม ว่า ในการเดินทางไปครั้งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สามารถลงนาม MOU การซื้อ-ขายข้าวระหว่างผู้ส่งออกไทยกับผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ จำนวน 9 ฉบับ ปริมาณรวม 130,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในฟิลิปปินส์ได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ กรมยังได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา เชิญผู้นำเข้าผู้ค้าข้าว ห้าง ร้านค้าปลีกผู้ประกอบการค้าข้าวรายสำคัญและผู้แทนหน่วยงานภาครัฐของฟิลิปปินส์ รวมถึงสื่อและอินฟลูเอนเซอร์กว่า 70 ราย เข้าร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์ข้าวไทยภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘PremiumThai Rice with Authentic Thai Food’ ณ ร้าน Mango Tree Manila ซึ่งเป็นร้านที่ได้รับตรา Thai SELECT จากกระทรวงพาณิชย์ โดยได้สาธิตการปรุงอาหารพร้อมเสิร์ฟกับข้าวไทย 3 รายการ ได้แก่ แกงเขียวหวานไก่ ผัดกะเพราหมู และข้าวเหนียวมะม่วง โดยเสิร์ฟทั้งข้าวหอมมะลิไทย ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ ได้เข้าพบหน่วยงาน National Food Authority (NFA) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการบริหารจัดการสต๊อกข้าวของฟิลิปปินส์ โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดข้าว รวมถึงนโยบายการลดภาษีนำเข้าข้าวจาก 35% เหลือ 15% ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2567 ไปจนถึงสิ้นปี 2571 โดยจะมีการทบทวนอัตราภาษีนำเข้าข้าวทุก 4 เดือน และยังได้หารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการแก้กฎหมายของรัฐบาลฟิลิปปินส์ให้ NFA สามารถนำเข้าข้าวในภาวะฉุกเฉินได้ ซึ่งขณะนี้กฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา โดยในโอกาสนี้ ฝ่ายไทยได้ให้ความเชื่อมั่นว่าไทยมีความพร้อมในการส่งออกข้าวเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของฟิลิปปินส์

สำหรับสถิติการส่งออกข้าวไทยไปยังฟิลิปปินส์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม - มิถุนายน) ประมาณ 299,787 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 381.66% และมีมูลค่าประมาณ 5,978 ล้านบาท (ประมาณ 167 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 558.97%

‘กองทัพสหรัฐฯ’ ส่งจดหมาย สารภาพความผิดให้ ‘ฟิลิปปินส์’ ยอมรับ!! อยู่เบื้องหลังดิสเครดิต ‘วัคซีนซิโนแวค’ ของจีน

(28 ก.ค. 67) กองทัพสหรัฐฯ ยอมรับสารภาพแล้วว่า เป็นผู้ดำเนินยุทธการลับ มีเป้าหมายทำลายความน่าเชื่อถือวัคซีนโควิด-19 ซิโนแวคของจีนในฟิลิปปินส์ รวมถึงทั่วเอเชียและตะวันออกกลาง ตามรายงานของรอยเตอร์

‘มันเป็นความจริงที่ (กระทรวงกลาโหม) ส่งสารถึงผู้รับฟิลิปปินส์ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค’ พวกเจ้าหน้าที่เพนตากอนเขียนถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมฟิลิปปนส์ ในจดหมายลงวันที่ 25 มิถุนายน และทางรอยเตอร์หยิบยกมารายงานในวันศุกร์ (26 ก.ค.)
.
ในจดหมายดังกล่าว กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ยอมรับว่าพวกเขาได้กระทำการผิดพลาดบางอย่างในด้านการส่งสารที่เกี่ยวข้องกับโควิด แต่ได้รับประกันกับมะนิลาว่า เพนตากอนได้ระงับปฏิบัติการดังกล่าวไปตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021 และนับตั้งแต่นั้นยกระดับการกำกับดูแลและเพิ่มความรับผิดชอบต่อปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารต่างๆ แล้ว

ปฏิบัติการที่เป็นเรื่องเป็นราวเริ่มขึ้นในปี 2020 หลังจากจีนประกาศว่าจะแจกจ่ายวัคซีนซิโนแวคให้ฟิลิปปินส์แบบไม่คิดค่าใช้จ่าย ในความพยายามตอบโต้ผลประโยชน์ทางประชาสัมพันธ์ที่ปักกิ่งจะได้รับจากโครงการนี้ ทางเพนตากอนออกคำสั่งให้ศูนย์ปฏิบัติการจิตวิทยาในฟลอริดา จัดตั้งบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอมขึ้นมาอย่างน้อย 300 บัญชี เพื่อใส่ร้ายป้ายสีวัคซีนจีน อ้างอิงผลการสืบสวนของรอยเตอร์ที่ออกมาแฉเมื่อเดือนที่แล้ว

โควิดมาจากจีนและวัคซีนมาจากจีน อย่าไปเชื่อใจจีน หนึ่งในรูปแบบข้อความที่สร้างโดยทีมงานปฏิบัติการทางจิตวิทยา ขณะที่อีกข้อความเน้นว่า PPE (ชุดป้องกันเชื้อโรค) หน้ากากอนามัย วัคซีน ล้วนเป็นของปลอม แต่โคโรนาไวรัสเป็นของจริง

รอยเตอร์อ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเพนตากอน ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ทหารหลายนายที่เกี่ยวข้องกับยุทธการนี้รู้ดีว่าเป้าหมายของแผนการไม่ได้ปกป้องชาวฟิลิปปินส์จากวัคซีนที่ไม่ปลอดภัย แต่เป็นการสร้างความแปดเปื้อนแก่ชื่อเสียงของจีน

รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า ไม่นานยุทธการโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวก็ถูกขยายวงออกไปนอกฟิลิปปินส์ โดยผู้รับสารมุสลิมทั่วเอเชียกลางและตะวันออกกลาง ได้รับการบอกเล่าว่าวัคซีนซิโนแวคปนเปื้อนเจลลาตินหมู เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งฮะรอมหรือเป็นสิ่งต้อมห้ามตามกฎหมายอิสลาม ยุทธการนี้บีบให้ทางซิโนแวคเผยแพร่ถ้อยแถลงยืนยันว่าวัคซีนผลิตโดยปราศจากส่วนประกอบของหมูใดๆ

เพนตากอนไม่ยอมรับต่อสาธารณะว่าได้ส่งหนังสือยอมรับสารภาพไปยังกองทัพฟิลิปปินส์ ขณะที่รัฐบาลของสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานของรอยเตอร์

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนที่แล้วโฆษกรายหนึ่งของเพนตากอนชี้แจงกับรอยเตอร์ ว่ากองทัพอเมริกา ใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ในนั้นรวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ ตอบโต้อิทธิพลมุ่งร้ายที่เล็งเป้าโจมตีสหรัฐฯ พันธมิตรและคู่หู และอ้างว่าวอชิงตีนแค่ตอบโต้ ยุทธการบิดเบือนของมูลของจีนที่กล่าวโทษอันเป็นเท็จ ว่าสหรัฐฯ เป็นผู้แพร่กระจายโควิด-19

กระทรวงการต่างประเทศของจีนบอกกับรอยเตอร์ว่า พวกเขาเน้นย้ำมานานแล้วว่า สหรัฐฯ เป็นผู้แพร่กระจายข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับจีน

ฟิลิปปินส์ รายงานของรอยเตอร์กระตุ้นให้คณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภาเปิดการสืบสวน และระหว่างการพิจารณาเมื่อเดือนที่แล้ว วุฒิสมาชิกไอมี มาร์กอส ประธานคณะกรรมาธิการ ประณามยุทธการของเพนตากอนว่าเป็น ปีศาจ ชั่วร้าย อันตรายและไม่มีจริยธรรม  และแย้มว่ามะนิลากำลังตรวจสอบความเป็นไปได้ว่าจะสามารถดำเนินการทางกฎหมายกับวอชิงตันได้หรือไม่

‘Nieves Fernandez’ ผู้นำกองโจรต้านทัพญี่ปุ่น ผู้สังหารทหารญี่ปุ่นกว่า 200 นาย ในสงครามโลกครั้งที่ 2

รู้จักคุณครู Nieves Fernandez วีรสตรีแห่งฟิลิปปินส์ ผู้นำกองกำลังต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้สังหารทหารญี่ปุ่นมากกว่า 200 นาย

ในช่วงทศวรรษที่ 1930 จักรวรรดิญี่ปุ่น ได้เริ่มบุกรุกขยายดินแดนในทวีปเอเชียเพื่อเพิ่มพลังอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ จนทำให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศตะวันตกและเอเชียหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาซึ่งมีดินแดนอาณานิคมขนาดใหญ่ในทวีปนี้ ต่อมาเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเหตุให้มีเริ่มสงครามระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่น เมื่อกองทัพญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีที่ตั้งของกองบัญชาการกองทัพสหรัฐฯในภูมิภาคแปซิฟิกที่อ่าวเพิร์ลในปี 1941 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามแปซิฟิกซึ่งเป็นพื้นที่ของความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าและรู้จักกันในชื่อสงครามโลกครั้งที่สอง

ในช่วงเวลานั้น ฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลเครือจักรภพแห่งฟิลิปปินส์ (ภายใต้สหรัฐฯ) พึ่งจัดตั้งขึ้น แต่เนื่องจากการที่ยุทธศาสตร์ทางการทหารของสหรัฐฯเน้นไปที่พื้นที่สงครามในยุโรปมากกว่า ทำให้กำลังทางทหารของสหรัฐฯและรัฐบาลเครือจักรภพแห่งฟิลิปปินส์จึงที่ด้อยกว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น จึงทำให้กองทัพญี่ปุ่นสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศฟิลิปปินส์ได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีการต่อต้านอย่างหนักจากกองกำลังของสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์แล้วก็ตาม

คุณครู Nieves Fernandez น่าจะแต่งงานแล้วเมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายที่คาดว่าเป็นของเธอ

พื้นที่แห่งหนึ่งที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดครองก็คือเมือง Tacloban ที่ซึ่งคุณครู Nieves Fernandez อาศัยอยู่ ก่อนสงคราม เธอทำงานเป็นคุณครูของโรงเรียนในพื้นที่ มีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของเธอ นอกเหนือไปจากการเกิดในราวปี 1906 ซึ่งอาจเป็นเชื้อสาย Waray (ชนพื้นเมืองชาติพันธุ์หนึ่งในฟิลิปปินส์) และน่าจะแต่งงานแล้วเมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายที่คาดว่าเป็นของเธอ ‘Nieves’ ชื่อของเธอเป็นภาษาสเปนแปลว่า ‘หิมะ’ และเธอเป็นที่รู้จักในฐานะ “ผู้หญิงผิวขาวกว่าผู้หญิงพื้นเมืองส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้” นักเรียนของเธอมักเรียกเธอว่า ‘Miss Fernandez’ ซึ่งเป็นชื่อที่เธอใช้ต่อไปหลังสงครามสิ้นสุดลง

ปืน 'Paltik'

ในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครอง ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และเขตเมืองโดยรอบของเกาะ Leyte ได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายจากทหารญี่ปุ่น รวมถึงการกดขี่ ขูดรีด ปล้น ฆ่า และข่มขืน คุณครู Fernandez กล่าวด้วยคำพูดของเธอเองว่า “ไม่มีใครสามารถเก็บอะไรไว้ได้ พวกเขาเอาทุกอย่างที่พวกเขาต้องการไป” คุณครู Fernandez เป็นหนึ่งในอีกหลาย ๆ คนที่ต่อสู้กับการยึดครองของญี่ปุ่นในฟิลิปปินส์ เธอเดินเท้าเปล่าและสวมชุดคลุม เธอเริ่มคัดเลือกชาวพื้นเมืองที่มีจำนวน 110 คน ในตอนแรกกลุ่มของเธอมีปืนเล็กยาวอเมริกันเพียงสามกระบอก โดยส่วนใหญ่ใช้ ปืน 'Paltik' (ปืนลูกซองทำเองจากแป๊บน้ำ) ระเบิดแสวงเครื่อง (จากปลอกกระสุนที่บรรจุตะปูเก่า ๆ ) และมีด Bolo ต่อมาพวกเขาได้หาซื้ออาวุธปืนของญี่ปุ่นและอเมริกันเพิ่มเติม แล้วทางใต้ของเมือง Tacloban ก็กลายเป็นสมรภูมิของคุณครู Fernandez และกองโจรของเธอกับกองทัพญี่ปุ่น

มีด Bolo

เธอได้รับฉายาว่า 'ผู้กอง Fernandez' และ 'ฆาตกรเงียบ (Silent killer)' ด้วยผลงานของเธอ โดยเธอได้ทำการฝึกฝนลูกน้องของเธออย่างแข็งขันทั้งในการผลิต-ดัดแปลงอาวุธ และการซุ่มโจมตี ตัวเธอเองมีความรู้ในการใช้มีด Bolo ระหว่างการซ่อนเร้นทั้งยังได้สาธิตให้ทหารอเมริกันที่พบเธอดูด้วย ปฏิบัติการของเธอทำให้กองทัพญี่ปุ่นต้องสูญเสียทหารไปกว่า 200 นาย และบังคับให้กองทัพญี่ปุ่นตั้งค่าหัวของเธอเป็นเงิน 10,000 เปโซ เธอได้รับบาดเจ็บสามครั้ง และได้ทิ้งรอยแผลเป็นบนหน้าผากอีกด้วย

ภาพประวัติศาสตร์ คุณครู Fernandez สาธิตการใช้มีด Bolo สังหารทหารญี่ปุ่น
ให้พลทหาร Andrew Lupiba ดู

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดฟิลิปปินส์ก็ได้รับการปลดปล่อยจากการยึดครองของญี่ปุ่นในปี 1945 แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณครู Fernandez ในช่วงหลายปีหลังจากนั้น แม้ว่าจะมีข่าวว่า เธออาศัยอยู่ที่เมือง Tacloban จนอายุ 90 ปีกับลูกชายและหลาน ๆ ของเธอ 

ประวัติการต่อสู้ของคุณครู Fernandez ได้รับการบันทึกไว้เป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ The Lewiston Daily Sun และ Associated Press ในปี 1944 เมื่อทหารอเมริกันมาเยี่ยมเธอหลังสงคราม Stanley Troutman หนึ่งในนั้น ได้ถ่ายรูปเธอขณะสอนพลทหารอเมริกัน Andrew Lupiba ฆ่าคนด้วยมีด Bolo ปัจจุบันภาพถ่ายประวัติศาสตร์นี้ถูกจัดเก็บโดยองค์กร Rare Historical Photos และ Dustin Koski จาก Top Tenz จัดให้คุณครู Fernandez อยู่ในอันดับที่ 8 ในรายชื่อ '10 สตรีที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์'

ฟิลิปปินส์บุกรังสแกมเมอร์กลางมะนิลา รวบผู้ต้องหากว่า 400 คน พบคนไทยเอี่ยว 2 ราย

(21 ก.พ.68) เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์บุกตรวจค้นศูนย์ปฏิบัติการพนันออนไลน์ในกรุงมะนิลา จับกุมผู้ต้องหากว่า 400 คน โดยพบว่ามีชาวจีนเป็นผู้ควบคุมเครือข่าย  

คณะกรรมการต่อต้านองค์กรอาชญากรรมแห่งฟิลิปปินส์เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (20 ก.พ.) ว่า ผู้ต้องหาประกอบด้วยชาวฟิลิปปินส์ 307 คน ชาวจีน 137 คน รวมถึงชาวเวียดนาม ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไต้หวันอีกจำนวนหนึ่ง โดยมีคนสัญชาติไทย 2 รายที่ถูกจับกุมจากปฏิบัติการนี้  

ตามรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก การสืบสวนเบื้องต้นพบว่า เครือข่ายดังกล่าวใช้แพลตฟอร์มการพนันกีฬาและการลงทุนเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงเหยื่อชาวจีนและอินเดีย  

แม้ว่าฟิลิปปินส์จะสั่งห้ามธุรกิจพนันออนไลน์ที่มุ่งเป้าไปยังชาวจีนตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่รัฐบาลยอมรับว่ายังคงมีชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจดังกล่าวตกค้างอยู่ในประเทศเป็นจำนวนมาก และกำลังอยู่ในกระบวนการเนรเทศ

‘โรดริโก ดูเตอร์เต’ ถูกจับกุมที่สนามบินนานาชาติมะนิลา ตามหมายจับศาล ICC จากกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติด และการใช้ความรุนแรงเกินขอบเขต

(11 มี.ค. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โรดริโก ดูเตอร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถูกจับกุมที่สนามบินนานาชาติมะนิลา ขณะเดินทางกลับจากฮ่องกง ตามหมายจับที่ออกโดยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

การจับกุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการสอบสวนของ ICC ที่ดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายสงครามปราบปรามยาเสพติดของดูเตอร์เตในช่วงดำรงตำแหน่ง ซึ่งได้มีการกล่าวหาว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์การสังหารผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับยาเสพติดโดยไม่มีการพิจารณาคดีตามกระบวนการยุติธรรม

เมื่อเดือนกันยายน 2564 ศาลอาญาระหว่างประเทศ ได้เริ่มการสอบสวนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว หลังจากที่มีการกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนจำนวนมาก ในช่วงที่ดูเตอร์เตดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2559-2564 โดยเขาได้ให้คำมั่นว่าจะปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด 

หนึ่งในนโยบายของดูเตอร์เตคือการให้รางวัลแก่เจ้าหน้าที่ที่สามารถจับกุมหรือสังหารผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติด กลายเป็นก่อให้เกิด “สงครามยาเสพติด” นำไปสู่การเสียชีวิตของ 6,200 ราย ที่ถูกสังหารระหว่างปฏิบัติการปราบปราม

โดยก่อนหน้านี้ดูเตอร์เตจะประกาศถอนฟิลิปปินส์ออกจากการเป็นสมาชิกของ ICC ในปี 2560 แต่หลังจากที่ศาลเริ่มตรวจสอบนโยบายของเขา นำมาสู่การหมายจับที่ออกมาในครั้งที่นี้ยังคงมีผลบังคับใช้ และทางการฟิลิปปินส์ได้ดำเนินการตามกระบวนการจับกุมอย่างเคร่งครัด

หลังการจับกุม ดูเตอร์เตถูกส่งตัวไปยังสถานที่คุมขังภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่คณะทนายความของเขากล่าวว่าพวกเขาจะยื่นอุทธรณ์ในเร็วๆ นี้ โดยยืนยันว่าอดีตประธานาธิบดีไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว และจะต่อสู้กับข้อกล่าวหานี้อย่างเต็มที่

การจับกุมดูเตอร์เตในครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทั้งการเมืองภายในประเทศฟิลิปปินส์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของสิทธิมนุษยชนและการดำเนินการของศาลฯ ICC

สตม.รวบฟิลิปปินส์สองผัวเมีย หนีหมายจับคดีหลอกลงทุนกว่า 150 หมาย ซุกไทย

(19 มี.ค. 68) บก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากสถานเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ ประจำประเทศไทย ขอความร่วมมือ  ให้ช่วยตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายกับ Mr.Cerrone (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี และ Mrs.Marve (สงวนนามสกุล) อายุ 47 ปี สองสามี-ภรรยา สัญชาติฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของทางการฟิลิปปินส์ และเป็นบุคคลที่องค์การตำรวจสากล ได้ออกประกาศสีแดง  (Interpol Red Notice) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงรูปแบบเครือข่ายหลอกให้ลงทุน” โดยมีผู้เสียหายจำนวนมาก เป็นเหตุให้ถูกหมายจับรวมกันกว่า 150 หมาย และได้หลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ในเบื้องต้น ผบก.สส.สตม. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติการณ์ของบุคคลต่างด้าวทั้งสองมีเหตุอันควรให้ เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว เนื่องจากเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศ ได้ออกหมายจับ จึงเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร พร้อมกับขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร และสั่งการให้ กก.2 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามหาตัว ต่อมาจากการสืบสวนทราบว่า Mr.Cerrone และ Mrs.Marve ได้เช่าบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.ชะอำ จว.เพชรบุรี จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ จนกระทั่งพบบุคคลทั้งสอง จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวไว้รอการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป จากการสอบถาม Mr.Cerrone และ Mrs.Marve ให้การว่า ทั้งสองคนเป็นประธานบริษัทการลงทุนแห่งหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ ได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการระดมทุน กระทั่งมีปัญหาเรื่องการเงิน ทำให้บริษัทขาดทุนอย่างหนัก และภายหลังได้ถูกออกหมายจับ จึงได้พาครอบครัวหลบหนีมายังประเทศไทย สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด   ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top