Monday, 9 June 2025
ปลาหมอคางดำ

‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ เดินหน้าฟ้อง ‘กรมประมง-บิ๊กเอกชน’ ที่ศาลปกครองกลาง ชี้!! เป็น ‘อาชญากรรมด้านสิ่งแวดล้อม’ ทำชาวประมงเสียหาย หลายหมื่นล้าน

(29 ก.ค. 67) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฎเป็นการทั่วไปว่ากรมประมง โดยคณะกรรมการ IBC อนุญาตให้บิ๊กเอกชนเพียงรายเดียวนำเข้าปลาหมอคางดำจากประเทศกานาเมื่อปี 53 แม้จะมีการอ้างว่าได้ทำลายหมดไปแล้ว แต่ทว่าปลาชนิดดังกล่าวกลับมาแพร่ระบาดทำลายสัตว์น้ำอย่างล้างผลาญไปทั่วกว่า 25 จังหวัด ชาวประมงเพาะเเลี้ยงสัตว์น้ำเสียหายรวมนับหมื่นล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่อ่าวไทย-อันดามันในขณะนี้ ถือได้ว่าเป็น ‘อาชญากรรมด้านสิ่งแวดล้อม’ ที่ร้ายแรงที่สุดของชาติ กรมประมงรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นแต่กลับไม่ดำเนินการเอาผิดบิ๊กนายทุนที่นำเข้าแต่อย่างใด แต่กลับนำเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศมาแก้ไขปัญหาตลอดมาหลายพันล้านบาทและจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ละอาย

องค์การรักชาติ รักแผ่นดิน และชาวประมงที่เดือดร้อนและเสียหาย จึงไม่อาจปล่อยให้กรมประมงและบิ๊กนายทุนลอยนวลไปได้ จึงจะนำความไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อให้ศาลออกคำบังคับใช้กฎหมายให้เอาผิดบิ๊กเอกชนต้นเหตุของปัญหาและให้รับผิดชอบต่อความเสียหายของชาวประมงทั้ง 25 จังหวัด และสั่งให้ฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำที่สูญหายไปให้กลับมาดังเดิมต่อไป โดยจะไปยื่นฟ้องในวันอังคารที่ 30 ก.ค.67 เวลา 10.00 น. ณ ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ

ทำไม 'หมอคางดำ' ไม่รุกราน 'ระบบนิเวศแอฟริกา' ทั้งที่เป็นถิ่นกำเนิด เพราะยากที่จะรอดจากดงนักล่าเจ้าถิ่น-ภูมิประเทศไม่เอื้อแพร่พันธุ์

(30 ก.ค.67) สำนักข่าว Thaipost ได้นำเสนอเนื้อหาในหัวข้อ เหตุใดปลาหมอคางดำถึงไม่รุกรานระบบนิเวศของทวีปแอฟริกา ที่เป็นถิ่นกำเนิดของมัน แต่กลับเป็นปัญหากับระบบนิเวศประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศไทย ระบุว่า...

คำตอบอย่างแรกก็คือ เป็นเพราะความแตกต่างระหว่างสภาพทางภูมิศาสตร์และระบบนิเวศของไทยกับทวีปแอฟริกา ที่ไม่เหมือนกัน โดยปลาหมอคางดำ วิวัฒนาการมาพร้อมกับระบบนิเวศขอแอฟริกา โดยมันเป็นส่วนหนึ่งของ Food web ของทวีปแห่งนี้ที่มีทั้ง ผู้ล่า, คู่แข่งในการล่า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เป็นการจัดการตามธรรมชาติ และมีผลทำให้ควบคุมประชากรของปลาหมอคางดำไม่ให้มีมากเกินไป จนส่งผลเสียต่อระบบนิเวศโดยรวม

ผู้ล่าหลัก ๆ ในถิ่นเดิมของแอฟริกา ก็คือ ปลาในแอฟริกานั่นเอง เช่น ปลาดุกแอฟริกา, ปลากะพงขาวแอฟริกา, ปลาแอฟริกันไพด์, ปลาเสือแอฟริกัน ปลาหมอสี 5 แถบ 

สัตว์นักล่าเจ้าถิ่นเหล่านี้ จัดว่าเป็น Predator หรือเป็นปลานักล่าที่โหด และมีขนาดใหญ่กว่าปลาหมอคางดำหลายเท่ามาก เช่น ปลากะพงแม่น้ำไนล์ ที่ตัวใหญ่หนักเป็น 100 กิโลกรัม ใหญ่กว่ากะพงขาวไทยหลายเท่า อีกทั้งยังมีความดุร้ายและกินจุกว่ากะพงไทยมาก ขนาดที่มันสามารถอ้าปากแต่ละครั้งก็กลืนปลาหมอคางดำได้หมดทั้งฝูง แถมยังมีปลาไทเกอร์โกไลแอต ปลาตะเพียนกินเนื้อที่มีทั้งความเร็วขนาดที่ใหญ่มหึมาและฟันที่คมกริบ คอยล่าปลาหมอคางดำ

แม้ปลาหมอคางดำจะเป็นนักล่าด้วยเช่นกัน แต่มันก็ไม่สามารถลงทะเลได้เพราะภูมิประเทศของแอฟริกาเป็นน้ำลึก ชัน ไม่เหมาะกับการแพร่พันธุ์ และหากลงทะเลยังต้องเจอกับนักล่าทะเลลึกที่โหดขึ้นไปอีกระดับ ด้วยเหตุนี้ปลาหมอคางดำเมื่ออยู่ในแอฟริกา จึงมีสภาพเป็นเหยื่อ หรือหากมันจะว่ายมาริมฝั่งทะเล ก็จะต้องเจอพวกแรคคูน และอาจปะหน้า พวกนกตระกูล Heron, Kingfisher ที่เป็นนักล่า อีกทั้ง บางแหล่งยังเป็นดงจระเข้

ด้วยเหตุนี้ พอมาอยู่ไทยปลาหมอคางดำจึงกลายเป็นนักล่า เพราะที่ไทยไม่มีนักล่าเจ้าถิ่นที่โหดกว่ามัน อีกทั้งสภาพแวดล้อมยังเหมาะกับการแพร่พันธุ์ แตกต่างจากสภาพแวดล้อมภูมิศาสตร์ของแอฟริกา ที่ปากแม่น้ำเป็นทั้งน้ำลึกมีความเค็มในระดับที่ปลาหมอคางดำไม่สามารถปรับตัวขยายพันธุ์ได้

‘ดร.เจษฎา’ เฉลย!! ปมผวา ‘ปลานิลคางดำ’ ไม่มีจริง ชี้!! แค่ ‘ปลาหมอคางดำ’ ที่กินเยอะจนตัวใหญ่

(31 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ถึงประเด็นปลานิลกลายพันธุ์ หรือเป็นลูกผสมระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำ เป็นปลานิลคางดำ โดยระบุว่า…

มันคือ ‘ปลาหมอคางดำที่อ้วน’ แค่นั้นแหละครับ…ไม่ใช่ปลานิลที่กลายพันธุ์

เช้าวันนี้มีพาดหัวข่าว กันหลายสำนักข่าวเลย ว่าเจอ ‘ปลานิลคางดำ’ ปลานิลกลายพันธุ์มาจากปลาหมอคางดำ หรือเป็นลูกผสมระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำ!? 

ซึ่งผมว่า มันไม่ใช่ปลากลายพันธุ์หรือปลาลูกผสมอะไรหรอกครับ เพราะดูตามในรูป ในคลิปข่าวแล้ว ก็ปลาหมอคางดำนั่นแหละครับ... แค่มันกินจนอ้วนใหญ่ จนคนไม่คุ้นตากัน เพราะคิดว่ามันจะต้องผอมเรียวยาวเท่านั้น

จากข้อมูลของที่แอฟริกา ปลาหมอคางดำนั้น ถ้าเติบโตดี อาหารดี จะยาวเฉลี่ย 8 นิ้วนะครับ และสถิติตัวยาวสุดนี่ ถึงขนาด11 นิ้วเลยครับ (และเป็นปลาอาหารชนิดหนึ่ง ของคนในท้องถิ่นครับ)

การจำแนกความแตกต่างระหว่าง ‘ปลาหมอคางดำ’ ออกจาก ‘ปลาหมอเทศ’ และ ‘ปลานิล’ ให้ดูที่ลักษณะจำเพาะของมัน อย่าดูแต่ความอ้วนผอมครับ 

โดย ดร.ชวลิต วิทยานนท์ นักวิชาการอิสระ ด้านความหลากหลายของสัตว์น้ำ เคยโพสต์ข้อมูลไว้ว่า ปลาหมอคางดำ หรือ blackchin tilapia (หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron) จะมีลักษณะเด่นคือ ใต้คาง มักมีแต้มดำ หางเว้าเล็กน้อย และไม่มีลายใด ๆ 

ในขณะที่ ปลาหมอเทศ หรือ  Mozambique tilapia (ชื่อวิทยาศาสตร์ Oreochromis mossambicus) จะมีแก้ม ในตัวผู้มักมีแต้มขาว หางมน มีขอบแดงเสมอ 

ส่วนปลานิล หรือ Nile tilapia (ชื่อวิทยาศาสตร์ O. niloticus) จะมีแก้มและตัวสีคล้าย ๆ กัน หางมน และมีลายเส้นคล้ำขวางเสมอ

ซึ่งถ้าพิจารณาดูจากปลาต้องสงสัยในคลิปข่าวแล้ว ก็จะเห็นว่า ไม่ได้มีลักษณะ ‘ลายเส้นคล้ำขวาง (ตามลำตัว และหาง)’ แบบปลานิล ที่จะให้คิดว่าเป็นปลานิลกลายพันธุ์มาคล้ายปลาหมอคางดำ หรือเกิดลูกผสมกัน แต่มีรูปร่างหน้าตาสีสันไปทางเดียวกับปลาหมอคางดำตามปกติ เพียงแต่ตัวอ้วนกว่าเท่านั้นครับ!

ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ปลานิลและปลาหมอเทศนั้น (สกุล Oreochromis) เป็นปลาคนละสกุล กับปลาหมอคางดำ (สกุล Sarotherodon) เลยครับ การที่อยู่ ๆ ในเวลาไม่กี่ปีนี้ มันจะกลายพันธุ์มาคล้ายกันได้นั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลย 

ส่วนการเกิดลูกผสมข้ามสกุล ระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำนั้น เคยโพสต์อธิบายอย่างละเอียดแล้ว ว่ามีการทดลองทำได้จริงในระดับงานวิจัย แต่ทำลูกผสม F1 สำเร็จได้ในปริมาณที่น้อยมาก ๆ และไม่มีรายงานว่าเกิดขึ้นในธรรมชาติครับ 

‘ซีพีเอฟ’ เผยความคืบหน้าโครงการ ‘จัดการปลาหมอคางดำ’ ยอดรับซื้อล่าสุด 6 แสนกิโล เผย!! เร่งจับมือกับทุกภาคส่วน เพื่อแก้ปัญหา ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย และต่อเนื่อง

(17 ส.ค.67) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้ให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเร่งจับปลาหมอคางดำออกจากระบบอย่างต่อเนื่อง ในทุกจังหวัดที่พบปลาชนิดนี้

โดย ล่าสุดคณะฯหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ติดตามผลปฏิบัติการของบริษัท จากการเร่งดำเนินการใน 5 โครงการเชิงรุก โดยบูรณาการความร่วมมือกับทั้งกรมประมง โรงงานปลาป่น และสถาบันการศึกษาชั้นนำ เพื่อเร่งกำจัดปลาหมอคางดำให้ได้มากที่สุด

สำหรับโครงการเชิงรุกที่ CPF ดำเนินการ ประกอบด้วย 

1.ความร่วมมือกับกรมประมง สนับสนุนการรับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่พบปลาชนิดนี้ ตั้งเป้ารับซื้อจำนวน 2 ล้านกิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 15 บาท เพื่อนำไปผลิตเป็นปลาป่น ภายใต้ความร่วมมือกับโรงงานปลาป่น บริษัท ศิริแสงอารำพี จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร โดยรับซื้อปลาจากชาวประมงในสมุทรสาครไปแล้วมากกว่า 6 แสนกิโลกรัม (กก.) และบริษัทได้ขยายจุดรับซื้ออีกหลายจังหวัดต่อไป

2.โครงการสนับสนุนปลานักล่า จำนวน 200,000 ตัว เพื่อปล่อยสู่ลงแหล่งน้ำตามแนวทางของกรมประมง เพื่อกำจัดลูกปลาที่เหลือออกจากระบบนิเวศให้มากที่สุด จนถึงปัจจุบันบริษัทได้ส่งมอบปลากะพงขาวปลานักล่าไปแล้ว 54,000 ตัว ให้กับประมงจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และจันทบุรี

จากการดำเนินการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ปรากฏผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุด ประมงจังหวัดสมุทรสาคร ยืนยันว่าจังหวัดสามารถกำจัดปลาหมอคางดำไปแล้วกว่า 800,000 ตัว สอดคล้องกับชาวประมงจังหวัดสมุทรสาครที่ให้ข้อมูลว่า จำนวนปลาหมอคางดำในพื้นที่ลดลงถึง 80%

จัดกิจกรรมจับปลา เช่นกรมประมงเปิดปฏิบัติการ ‘ลงแขกลงคลอง’ โดยบริษัทสนับสนุนอุปกกรณ์ใช้แล้วขนาด 1,000 ลิตร จำนวน 200 ใบ จากโรงงานผลิตอาหารสัตว์ มอบแก่สำนักงานพัฒนาที่ดินจังหวัด เพื่อนำมาใช้ใหม่เป็นถังบรรจุน้ำหมักชีวภาพปลาหมอคางดำ เพื่อส่งต่อให้การยางแห่งประเทศไทยต่อไป ขณะนี้ได้ทยอยส่งมอบให้สำนักงานพัฒนาที่ดินฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และจังหวัดอื่น ๆ จนครบต่อไป

4.โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำ โดยมีสถาบันการศึกษาแสดงความสนใจร่วมดำเนินการ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ม.เกษตรฯ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ม.ขอนแก่น) และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ที่ได้ศึกษาวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร อาทิ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ร่วมพัฒนาเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำ ทั้งปลาร้าทรงเครื่อง ผงโรยข้าวญี่ปุ่น และน้ำพริกปลากรอบ

5.โครงการร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญ ในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว โดย สจล. และ ม.เกษตรฯ ได้แสดงเจตจำนงร่วมมือกับบริษัทในการบูรณาการเพื่อพัฒนาแนวทางที่จะบรรเทาปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และบริษัทยินดีที่จะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม ล่าสุด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ แสดงความสนใจเข้าร่วมด้วย

'อ.เจษฎา' แนะ!! ควรนำ DNA หมอคางดำแอฟริกาเทียบที่ระบาดในไทย อีกทั้งยังตัดเรื่องผู้ลักลอบนำเข้าปลาแบบที่ไม่ขออนุญาตทิ้งไม่ได้

(27 ก.ย. 67) หลังจากที่ คณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (อนุ กมธ.อว.) ได้แถลงสรุปผลการศึกษาปลาหมอคางดำ ว่ามีเอกชนเพียงรายเดียว ที่ดำเนินการขออนุญาตเพื่อนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาในราชอาณาจักร และผลศึกษาบ่งชี้ว่าปลาหมอคางดำที่ระบาดในไทยมีแหล่งที่มาร่วมกัน รวมถึงยังอ้างอิงข้อมูลของ อ.เจษฎา นั้น

ล่าสุด ศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นที่ปรึกษาของ 'อนุ กมธ.อว.' ชุดนี้ ได้แถลงสรุปผลการศึกษาปลาหมอคางดำที่ นายวาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงผลการดำเนินงาน การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พบว่ามีเอกชนเพียงรายเดียว ที่ดำเนินการขออนุญาตเพื่อนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย

อ.เจษฎา กล่าวว่า มีส่วนจริงที่บอกว่ามีบริษัทเอกชนเพียงรายเดียวที่ขออนุญาตนำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อนำมาวิจัย แต่ปลาตายหมดแล้วไม่สามารถทำวิจัยต่อได้ จึงทำให้หลายคนมองว่าบริษัทเอกชนดังกล่าวคือจุดกำเนิดการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ แต่ตอนนี้ถ้าจะให้สรุปผลแบบรวบรัด ก็ยังตัดเรื่องที่มีคนลักลอบนำเข้าปลาแบบที่ไม่ขออนุญาตทิ้งไม่ได้ เพราะในเชิงอุตสาหกรรม ในเชิงผู้เลี้ยงปลาสวยงามหรือปลาแปลก ๆ ทุกคนรู้ดีว่ามีการลักลอบนำเข้ามาสารพัดทางอยู่แล้วแม้จะมีการตรวจสอบแต่ในสมัยนั้นปลาพวกนี้ยังไม่มีกฎหมายห้ามนำเข้า 

ทางด้านผลการวิจัย DNA ปลาหมอคางดำ ความจริงแล้วอยากจะได้ DNA ของปลาสมัยที่บริษัทเอกชนนำเข้ามาเมื่อ 10 ปีก่อนมาสกัด DNA เพื่อเทียบว่า DNA ของปลาหมอคางดำในตอนนั้นตรงกับ DNA ของปลาหมอคางดำที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้หรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมาคือ บริษัทเอกชนได้นำเข้าปลาหมอคางดำจากประเทศกานา ก็เลยเสนออธิบดีกรมประมงว่ามีอีกทางหนึ่งก็คือ ขอ DNA ปลาหมอคางดำจากประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา เช่น กานา โกตดิวัวร์ มาเทียบกับตัวอย่างของปลาหมอคางดำในไทยเพื่อทำสโคปให้แคบลง

เอเลี่ยนสปีชีส์ตัวร้าย แพร่กระจายทำลายระบบนิเวศท้องถิ่น

ประเทศไทยกำลังเผชิญการแพร่ระบาดของ ปลาหมอคางดำ (Blackchin Tilapia) หรือที่เรียกกันว่า ปลาหมอสีคางดำ ในหลายพื้นที่ สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อเกษตรกรและส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำ โดยปลาชนิดนี้ถูกจัดให้เป็น เอเลียนสปีชีส์ ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด  

ปลาหมอคางดำมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา และแพร่กระจายจากแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือไปยังชายฝั่งในประเทศอย่างไนจีเรีย เซเนกัล และกานา โดยถูกนำเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2553 เพื่อทดลองเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม การทดลองล้มเหลวและปลาชนิดนี้เริ่มหลุดรอดออกมาสู่ธรรมชาติ  

ปลาหมอคางดำมีลักษณะเด่นคือ ขนาดตัวที่ยาวถึง 8 นิ้ว ตัวผู้มีสีดำเด่นบริเวณหัวและแผ่นปิดเหงือกเมื่อโตเต็มวัย มีความสามารถปรับตัวสูง สามารถอาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม และทนต่อการเปลี่ยนแปลงของความเค็มได้อย่างรวดเร็ว  

ในด้านพฤติกรรม ปลาหมอคางดำมีอัตราการขยายพันธุ์สูง ตัวเมียสามารถวางไข่ได้ 150-300 ฟองต่อรอบ โดยตัวผู้จะช่วยฟักไข่ในปากได้นาน 2-3 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีระบบย่อยอาหารที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ต้องการอาหารตลอดเวลา และมีพฤติกรรมการกินที่หลากหลาย ตั้งแต่แพลงก์ตอน ลูกหอย ลูกกุ้ง ไปจนถึงซากสิ่งมีชีวิต  

ปลาหมอคางดำเป็นภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์น้ำพื้นถิ่น ทำให้สัตว์น้ำบางชนิดเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และส่งผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ นอกจากนี้ ยังสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมประมง โดยเฉพาะการเลี้ยงกุ้ง เช่น กุ้งกุลาดำและกุ้งขาว  

ในปี พ.ศ. 2566 ปลาหมอคางดำถูกประกาศเป็นสัตว์น้ำต้องห้ามนำเข้าประเทศ แต่การแพร่ระบาดยังคงขยายวงกว้าง โดยพบการแพร่กระจายในจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ รวมถึงพื้นที่ชานเมืองและใจกลางกรุงเทพมหานคร  

รัฐบาลได้ประกาศให้การจัดการกับปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติในปี พ.ศ. 2567 และกำลังดำเนินมาตรการควบคุมประชากรปลาด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การปล่อยปลานักล่า เช่น ปลากะพงขาว ลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อลดจำนวนประชากรปลาหมอคางดำ  

การแก้ไขวิกฤตปลาหมอคางดำในประเทศไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร นักวิทยาศาสตร์ และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อปกป้องระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศจากการคุกคามของสายพันธุ์รุกรานชนิดนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top