Tuesday, 20 May 2025
ประชาธิปัตย์

'อลงกรณ์' ตอบโจทย์วันนี้ประชาธิปัตย์ยังไม่มีมติร่วมรัฐบาล แจงยุทธศาสตร์ใหม่ปชป. ปลดแอกจากทุนการเมืองพร้อมเปิดพรรคกว้างสร้างพื้นที่ประชาชน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับประเด็นปมสมาชิกบางคนวิจารณ์พรรคในทางลบว่าไม่พัฒนาและไม่เห็นด้วยที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลซึ่งกำลังเป็นที่จับตาช่วงการฟอร์มรัฐบาลในขณะนี้ โดยมีข้อความว่า

“….ผมอ่านข่าวสมาชิกพรรคและอดีตสมาชิกพรรค 4-5 คนแสดงความเห็นไม่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย บางท่านวิจารณ์พรรคว่าไม่ได้พัฒนาตัวเองย่ำเท้าอยู่กับที่ ซึ่งในด้านหนึ่งผมดีใจที่แต่ละท่านยังสนใจและมีความห่วงใยในพรรคประชาธิปัตย์ แต่อีกด้านก็ไม่สบายใจที่มีการใช้ถ้อยคำด้อยค่าพรรคประชาธิปัตย์ทั้งที่ไม่เคยมาช่วยพรรคทำงานในยามที่พรรคตกต่ำจึงขอทำความเข้าใจในส่วนการพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับอุดมการณ์ การพัฒนาพรรคและการร่วมรัฐบาล ดังนี้

1.พรรคประชาธิปัตย์ยังคงยึดมั่นปฐมอุดมการณ์ของพรรคและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2.พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการปรับปรุงสำนักงานใหญ่ ระบบบริหารจัดการและสถานที่ทำงานให้ทันสมัยมากขึ้น
โดยเฉพาะการพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารพรรคและการบริการประชาชน เช่น การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อการสื่อสาร การรับสมัครสมาชิกพรรคแบบออนไลน์ การยกระดับการสื่อสารทุกโซเชียลแพลตฟอร์ม 

3.มีการจัดทำยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์เป็นครั้งแรกโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ขณะนี้ยกร่างยุทธศาสตร์ฯ.เสร็จแล้ว
4.ลดอิทธิพลของนายทุนการเมืองและการทุจริตในระบบการเมืองฉ้อฉลโดย
หัวหน้าพรรคแต่งตั้งคณะกรรมการ001ทำหน้าที่รณรงค์ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอุดหนุนเงินภาษีให้พรรคประชาธิปัตย์เพื่อเป็นพรรคการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง

5.เปิดพรรคกว้างสร้างพื้นที่ของประชาชนตามนโยบายโอเพ่นเฮ้าส์(Open House)โดยเปิดพรรคจัดกิจกรรม“ลานพระแม่ ฟอรั่ม”และ“เดโมแครต ฟอรั่ม”ที่พรรคประชาธิปัตย์และในภูมิภาคด้วยระบบออนไลน์และอินไซท์
6.ยกระดับความเป็นสถาบันทางการเมืองด้วยการจัดตั้ง“เดโมแครต อะคาเดมี่”(Democrat Academy)โดยเริ่มโครงการหลักสูตรผู้บริหารการเมืองเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่การเมืองที่สุจริตมีประสิทธิภาพและก้าวหน้าทันสมัยจะเริ่มต้นรุ่นแรกในเดือนตุลาคมนี้

สุดท้ายเป็นประเด็นเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลมีการวิเคราะห์คาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน

คำตอบอยู่ที่มติของที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารพรรคและสส.พรรค จนถึงวันนี้ยังไม่มีการประชุมใด ๆ สำหรับวันข้างหน้าไม่ว่าพรรคจะมีมติอย่างไร ผมและสมาชิกพรรคถือปฏิบัติเช่นเดียวกับท่านชวนคือเคารพมติพรรคไม่ว่าจะมีความเห็นพ้องหรือเห็นต่างเมื่อมีมติพรรคก็จบ นี่คือความเป็นประชาธิปไตยในพรรคของเรา

อลงกรณ์ พลบุตร
รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์
22 สิงหาคม 2567“

'ชวน' กรีด!! ใครอยากร่วมรัฐบาล อย่าอ้างคนอื่น ส่วนตนเองย้ำชัด!! ไม่เห็นด้วยร่วมรัฐบาลเพื่อไทย

(23 ส.ค.67) นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตหัวหน้าพรรคฯ กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาล ว่า ยังไม่มีการแจ้งมาจากกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคตามระเบียบข้อบังคับพรรคฯ จะต้องขออนุมัติจากที่ประชุม สส.และ กก.บห. แต่ทราบว่า มีความพยายามของ กก.บห. และ สส.บางคน ที่อยากจะเข้าร่วมรัฐบาลตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งเห็นได้จากพฤติกรรมในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ครั้งแรก และตอนลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณ จึงเห็นว่า ไม่ควรมาอ้างว่า ประชาชนอยากให้ร่วม หากอยากเป็นรัฐบาลก็ควรพูดตรง ๆ ว่าอยากเป็น

นายชวน กล่าวต่อว่า ส่วนตัวยังยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการร่วมรัฐบาล เนื่องจากเคยไปรณรงค์ให้ประชาชนในภาคใต้ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย เพราะถูกเลือกปฏิบัติ ไม่พัฒนาภาคใต้ เนื่องจากคนใต้ไม่เลือก จึงไม่อยากทรยศ แต่หากเสียงส่วนใหญ่มีมติให้เข้าร่วมรัฐบาล ก็ต้องว่ากันไปตามมติของพรรค ไม่มีปัญหา เพราะตนไม่ใช่ตัวปัญหาของพรรค ตนอยู่กับพรรคฯ มาเกือบ 60 ปี มีส่วนร่วมล้มลุกคลุกคลาน ตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกัน ฟื้นฟูพรรคจนกระทั่งได้เป็นรัฐบาล

“หากอยากเป็นก็บอกตรง ๆ ว่า อยากเป็นรัฐบาล อย่าไปอ้างคนอื่น เราควรพูดเรื่องจริงว่า เพราะอยากเป็น เราก็ไม่ว่าอะไร และหากมติส่วนใหญ่ให้เป็นเราก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าไปหลอก ไปอ้างเหตุผลอะไรมาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ทำให้คนที่ติดตามเราอยู่จะมีความรู้สึกในทางลบกับพรรคฯ” นายชวน กล่าว

ส่วนที่มีกระแสข่าวระบุว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลนายชวนจะลาออกนั้น นายชวนกล่าวว่า ตนไม่เคยพูด และตนเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดมาก ซึ่งตนเคยบอกว่า ใครชนะเลือกตั้งได้ที่ 1 เป็นรัฐบาล ตอนนั้นตนแพ้ไป 2 เสียง และรวมเสียงได้มากกว่าด้วยซ้ำ แต่ต้องรักษาคำพูด ตนเป็นนักการเมืองที่อยู่มาได้ เพราะประชาชนเลือก เพราะความเชื่อถือคำไหนคำนั้น อะไรทำได้ก็ทำ อะไรทำไม่ได้ก็บอกตรง ๆ ตนจึงไม่พูดว่าจะลาออกเพราะถ้าพูดต้องลาออก

เมื่อถามว่า นายชวนจะเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่แน่นอน เพราะตนเป็นนักการเมืองตัวจริง ไม่ใช่นักฉวยโอกาส ไม่ใช่นักกินเมือง ไม่ใช่นักปล้นเมืองโกงเมือง ตนเป็นนักการเมืองรู้ในกติกา จึงไม่เป็นฝ่ายค้านในรัฐบาล แต่จะใช้สิทธิ์โดยชอบธรรมที่มี เช่นกฎหมายที่ดีของรัฐบาลตนก็พร้อมที่จะสนับสนุน ยกเว้นบางเรื่องเช่นหากมีกรณีพฤติกรรมที่ทุจริต หากมีข้อมูลหลักฐานชัดเจนก็ไม่ควรที่จะยกขบวนกันไปยอมรับสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือจุดยืนของพรรคต้องมี ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ ซึ่งตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลในสมัยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการไปเจรจา ไม่ได้อยากเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้วขอร่วมหน่อย แต่เป็นการร่วมโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้อง แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและประกันรายได้เกษตรกร

“ผมไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว หรือไปอาฆาตแค้นอะไร กับนายกรัฐมนตรีหรือคนในพรรคเพื่อไทย แต่ผมต้องการตอบแทนบุญคุณคนภาคใต้ โดยการทำหน้าที่แทนชาวบ้าน และที่เหนือไปกว่านั้นคือพรรคฯมีเกียรติยศมายาวนาน เราไม่เคยถูกประณามว่าเป็นพรรคอะไหล่ หรือ ถูกกล่าวหาว่า เป็นพรรคที่คอยเสียบ ผมก็รู้สึกเจ็บร้อนแทน และรู้สึกว่าไม่เห็นมีใครออกมาปกป้องพรรค อยากขอร้องว่าหากจะพูดถึง พฤติกรรมคอยเสียบ ขอให้เจาะจงไปที่ตัวบุคคล ที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น เพราะพรรคฯ ไม่ได้ประกอบด้วย สส.เพียง 25 คน แต่ยังมีสมาชิกซึ่งอยู่ข้างนอกอีกจำนวนมาก และคงไม่พอใจกับพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดขึ้น แต่คงไม่สามารถทำอะไรได้ สังเกตว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้ติดใจที่อยากได้พรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลสักเท่าไหร่ แต่ปัญหาคือคนของเราอยากร่วมรัฐบาลมากกว่า” นายชวน กล่าว

สำหรับกรณีที่มีการวิจารณ์ว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะสูญพันธุ์นั้น นายชวน กล่าวยืนยันว่าไม่สูญ เพราะอย่างน้อยก็น่าจะเหลือตนอีกคน แต่ไม่มั่นใจว่าจะได้รับเลือกเข้ามาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เห็นว่ากก.บห.พรรคชุดนี้ก็มาจากชุดที่แล้ว จึงน่าจะทราบว่า จุดอ่อนอยู่ตรงไหน และยังเชื่อว่า สส.บัญชีรายชื่อในสมัยหน้าน่าจะได้มากกว่าเดิม เพราะจากการลงพื้นที่ เห็นปฏิกิริยาชาวบ้านก็พอจะรู้ว่าหลายคนก็ยังอาลัยและเสียดายพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ระบบการเลือกตั้งเปลี่ยนไปและคนก็เปลี่ยนไปมาก

นายชวน ยังกล่าวถึง นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และเลขาธิการพรรค ประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่ามีนักการเมือง มี 2 ประเภท มีพวกที่พูดเก่ง ชอบตำหนิ แต่ทำงานไม่เก่ง ว่า ตนอยู่สภาฯมากว่า 50 ปี ไม่เคยได้ยินว่าแบ่งกันเช่นนี้ และเห็นว่านายเดชอิศม์เป็นฝ่ายค้านมาเกือบ 1 ปีแทบไม่เคยพูดในสภาฯ เลย หรือจะพูดเพียง 1 ครั้ง ในขณะที่ลูกชายนายเดชอิศม์พูดเก่ง ซึ่งหากพูดอย่างนี้อยากย้อนถามว่าลูกชายทำงานไม่เก่งหรืออย่างไร เพราะลูกชายนายเดชอิศม์อภิปรายงบประมาณได้ดีมาก ตนอยู่สภาฯ มาเคยได้ยินแต่ว่านักการเมือง ที่โกงกับไม่โกง และคนที่เป็นคนอภิปรายได้ดีในสภาฯ เป็นเพราะเตรียมตัวมา ดังนั้นจึงไม่ควรพูดเช่นนี้

นายชวนกล่าวอีกว่า แม้มีความเห็นต่างในการที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ ก็ไม่ทำให้พรรคแตก เพราะพรรคประชาธิปัตย์อยู่มายาวนาน ผ่านอะไรมาเยอะ แต่สิ่งสำคัญคือพรรคต้องมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี

'ลุงชวน' ยัน!! ไม่เห็นด้วยผู้บริหารพรรคเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย ไม่หวั่น!! แม้จะเหลือเพียงคนเดียวในพรรคฯ ก็จะอยู่ประชาธิปัตย์

เมื่อวานนี้ (26 ส.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง นายชวน หลีกภัย สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย เดินทางเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง พร้อมเยี่ยมชมห้องประชุมมหาวิทยาลัยฯ และมีการประชุมหารือเตรียมเปิดโรงเรียนนานาชาติ ที่ จ.ตรัง โดยใช้เวลาในการประชุมกว่า 4 ชั่วโมง

หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม นายชวน หลีกภัย ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ถึงกรณีนายชวน ไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคประชาธิปัตย์ จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย และนายชวน อาจจะถูกขับออกจากพรรคประชาธิปัตย์ได้นั้น

นายชวน กล่าวว่า ตนต้องขอขอบพระคุณพี่น้องชาวตรัง ผมเกิดมาจากพี่น้อง ผมได้เป็นผู้แทนราษฎรมาจากระบบไม่ซื้อเสียงไม่โกงเลือกตั้ง เหมือนนักการเมืองบางกลุ่ม มาด้วยความบริสุทธิ์ตลอดมา และพี่น้องเมตตาผมมาตลอด 50 กว่าปี  เป็น สส.คนเดียวที่อยู่มานานที่สุด 17 สมัย ไม่เคยแพ้ ไม่เคยตก ไม่เคยหยุด และผมก็ยังมั่นคงในขณะที่พรรคฯ จะรุ่งเรือง จะตกต่ำ ผมไม่เคยทิ้ง เหมือนบ้านเก่าที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ตนเองไม่ไป แต่ก็มีคนในพรรคฯ บางกลุ่มเขาอยากไปร่วม

ขอเรียนพี่น้องว่าคนที่อยากเป็นรัฐบาลไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่ผมเป็นคนรณรงค์กับพี่น้องเองว่า พี่น้องปักษ์ใต้อย่าเลือกพรรคไทยรักไทย อย่าเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะเขามีนโยบายเลือกปฏิบัติแกล้งพวกเรา เขาบอกว่าจะพัฒนาเฉพาะจังหวัดที่เลือกเขา จังหวัดอื่นไว้ที่หลัง ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่ามาจากชุดยึดอำนาจ หรือชุดประชาธิปไตย ที่ใช้นโยบายแกล้งประชาชน เพราะไม่เลือกแล้วไม่พัฒนา แต่คุณทักษิณ เจ้าของพรรคเขาใช้มาตรการอันนี้ผมบอกว่าอย่าเลือก ปรากฏว่าเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ปักษ์ใต้เขาไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว ขณะที่ภาคอื่น ๆ เขาได้มาท่วมท้น แต่ภาคใต้ไม่ได้คนของพรรคเพื่อไทยเลย

ผมเป็นหนี้บุญคุณมากที่พี่น้องกรุณา เชื่อผมส่วนหนึ่งแล้วไม่เลือกพรรคฯ นี้ ดังนั้น เมื่อมีคนอยากจะไปร่วมรัฐบาลผมบอกว่าการไปร่วมก็ปกติ แต่ผมเคยประกาศไม่ให้เลือก บัดนี้ผมจะมาร่วมรัฐบาลที่ผมบอกว่าไม่ให้เลือก เท่ากับตนเองทรยศต่อประชาชน ผมขออนุญาตที่จะไม่เห็นในการไปร่วม เพราะฉะนั้นพี่น้องอย่างห่วง ผมเป็นเด็กบ้านนอก ผมเป็นคนต่างจังหวัด ที่พูดคำไหนคำนั้น แล้วก็เป็นคนรุ่นเก่า ยึดมั่นความกตัญญูรู้คุณต่อบ้านเมือง ต่อพรรคการเมือง ต่อผู้มีพระคุณ ผมรู้สึกบุญคุณที่พี่น้องทุกท่าน ท่านสนับสนุนมาโดยตลอด 

ในชีวิตการเมืองตั้ง 50 กว่าปี ซึ่งในประเทศไทยถือว่าผมเป็นผู้ที่อยู่นานที่สุดแล้ว ไม่เคยแพ้ ไม่เคยหยุด เพราะฉะนั้นผมก็ยังมั่นคงอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคฯ จะรุ่งเรืองหรือตกต่ำ แต่การที่คนส่วนหนึ่ง กรรมการชุดปัจจุบันนี้ เขามีความคิดแตกต่างกันไป ก็เป็นเรื่องของคนเหล่านั้น ถ้ายกมือผมก็คงแพ้ แต่ว่าผมก็บอกให้เขารู้ว่าตนเองไม่เห็นด้วย

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า กลัวว่าท่านชวนจะถูกขับออกจากพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายชวนยืนยันว่า ผมไม่ไป มีคนอื่นออกไปจากพรรคฯ หลายคน เสียดาย แม้กระทั่งคุณอภิสิทธิ์ฯ ซึ่งท่านเองก็ยังมีความผูกพันอยู่ ยังพบกันอยู่ประจำ ที่ท่านตัดสินใจลาออก เพราะว่าไม่สามารถที่จะเจรจาตกลงกันได้ แต่ผมอยู่ แม้เหลือผมคนเดียวผมก็จะอยู่ ไม่มีปัญหา

ทั้งนี้นายชวนฯ ได้พนมมือไหว้ขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนด้วยความเคารพ ยืนยันว่ายังทำงานอยู่เหมือนเดิม ยังดูแลปัญหาพี่น้องอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุด ในสภาฯ ก็ยังอภิปรายในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้อง ห่วงเรื่องราคายางจะตกก็พูดแทนพี่น้องชาวตรังและภาคใต้

'ศิริโชค โสภา' ยื่นใบลาออก ปิดฉาก 30 ปี คนพรรคประชาธิปัตย์ ทิ้งท้าย!! นักการเมืองต้องมีสัจจะวาจา และอุดมการณ์ที่ต้องรักษา

(29 ส.ค. 67) นายศิริโชค โสภา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้แจ้งข่าวการลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า...

เรียน  พี่น้องประชาชน และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคารพ

กระผมเริ่มชีวิตการเป็นนักการเมือง โดยเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งแรก เมื่อปีพ.ศ. 2544 และได้รับการเลือกตั้งต่อเนื่องอีก 4 สมัย  แม้ว่าจะเป็นฝ่ายค้านเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ผมก็ภูมิใจ ที่ได้ทำหน้าที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และได้มีส่วนร่วมกับทีมประชาธิปัตย์ทุกครั้งที่มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ 

ผมยังจำบรรยากาศในสมัยแรก ที่ผมเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ต้องลุกขึ้นอภิปราย ไม่ไว้วางใจ เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง กรณี บริษัทโทรคมนาคม แห่งหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่าหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร จนได้รับการเลือกจากสื่อมวลชนให้เป็นดาวสภาฯ และผลจากการอภิปรายฯ ในครั้งนั้น ทำให้ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า สองหมื่นล้านบาท

คณะบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ที่ผมต้องขอบคุณ มา ณ ที่นี่ ก็คือ พี่น้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ทุกท่านที่ช่วยกันต่อสู้ในสภาฯ อย่างเต็มที่ และที่ต้องขอบคุณเป็นพิเศษคือ นายชวน หลีกภัย และนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่คอยสนับสนุน และให้คำปรึกษาผมมาตลอด  และที่ขาดไม่ได้คือ พี่ถาวร เสนเนียม ที่คอยช่วยกัน ดูแลพยานปากสำคัญของผม ที่แม้ตอนหลังพยานผมจะเสียชีวิตก็ตาม 

ผมไม่เคยที่จะลืมบุญคุณ บุคคลคนเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคประชาธิปัตย์ และพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัด สงขลา ที่ให้โอกาสผมในการทำงาน เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี 

ผมไม่เคยคิดว่า วันนี้จะมาถึง เพราะตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปี ที่ผมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดเสมอว่า ที่นี่คือบ้านเดียวและบ้านหลังสุดท้ายของผม แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน มีอุดมการณ์ ที่ต่างไปจากพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต เป็นอย่างมาก ผมจึงมีความจำใจ ต้องเดินจากไป แม้จะมีความอาลัย อาวรณ์ต่อพรรคมากก็ตาม เพราะผมเชื่อเสมอว่า นักการเมืองต้องมีสัจจะวาจา และอุดมการณ์ที่ต้องรักษา หากปราศจากทั้งสองสิ่งนี้ ก็เป็นได้แค่นักเลือกตั้ง

คืนนี้ทั้งคืน เป็นคืนที่ผมนอนไม่หลับ เพราะเช้านี้แล้ว ที่ผมจำต้องยื่นหนังสือลาออกจากพรรคฯ ที่ผมรักและเทิดทูนที่สุด ทั้งน้ำตา 

แต่ผมก็ยังหวัง แม้จะเป็นความหวังอันน้อยๆ ว่าสักวัน พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมายิ่งใหญ่ อีกครั้ง พร้อมกับอุดมการณ์ที่มั่นคง และเป็นที่พึ่ง ที่หวังของประชาชนได้ แล้วผมจะเฝ้ารอดูครับ 

ขอแสดงความนับถือ 

นาย ศิริโชค โสภา 
อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์

'ลุงชวน' ย้ำ!! "ต้องไม่ทรยศประชาชน" เป็นเรื่องของตนคนอื่นไม่เกี่ยว รับสภาพ!! ไร้ผลเปลี่ยนแปลงมติ 'ปชป.' ร่วมรัฐบาล 'เพื่อไทย'

(29 ส.ค. 67) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมกรรมการบริหาร (กก.บห.) และ สส.ของพรรค ถึงความคาดหวังการเปลี่ยนแปลงมติพรรคในการเข้าร่วมรัฐบาล ว่า ตนไม่คิดว่าจะมีผลเปลี่ยนแปลงอะไร เพียงแต่ในส่วนของตนแสดงเหตุผลไว้ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยตั้งแต่เลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเหตุผลของตนไม่ใช่ข้อขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นเหตุผลในอดีตที่ตนเคยรณรงค์ไม่ให้ประชาชนภาคใต้เลือกพรรคไทยรักไทย ด้วยเหตุผลว่าพรรคนั้นประกาศว่าจะพัฒนาเฉพาะจังหวัดที่เลือก ส่วนจังหวัดที่ไม่ได้เลือกไว้ทีหลัง ทำให้ภาคใต้เสียโอกาส ฉะนั้นหากเลือกคนที่ไปบอกให้ชาวบ้านไม่เลือก มันทรยศชาวบ้าน ตนจึงต้องยืนอยู่ในจุดที่รักษาไว้ คือเมื่อเลือกปฏิบัติกับเรา เราก็อย่าไปเลือกเขา

"ใครที่บอกว่ามันผ่านมาแล้ว 20 ปี แต่ภาคใต้เสียโอกาสไปมาก ทั้งที่ความจริงภาคใต้เป็นพื้นที่ที่ทำรายได้เลี้ยงประเทศจำนวนมาก จึงไม่ควรไปเลือกปฏิบัติกับเขา นี่คือสิ่งที่ผมอยากยืนยัน ไม่ใช่ข้อขัดแย้งส่วนตัวระหว่างใคร เพราะผมไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใคร แต่ประโยชน์ประชาชนที่ถูกกลั่นแกล้ง อย่างน้อยมีผมคนหนึ่งที่พูด ขอให้ประชาชนอย่าสนับสนุนพรรคการเมืองใดก็ตามที่เลือกปฏิบัติ ผมเป็นนายกฯมา2สมัยไม่เคยเลือกปฏิบัติ นี่เป็นจุดแตกต่างระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกป้องผลประโยชน์ประชาชน ถ้าผมบิดเบือนเจตนารมณ์ คนอื่นต้องไม่เกี่ยว เป็นเรื่องส่วนตัวผม จึงขอยืนยันว่าไม่สามารถยอมรับวิธีที่เลือกปฏิบัติต่อพื้นที่ได้ ดังนั้นผมต้องแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ผมไปบอกประชาชน สำหรับผม คนอื่นไม่เกี่ยว ต้องยืนยันว่าอย่าทรยศประชาชน" นายชวน กล่าว

‘สุกฤษฏิ์ชัย-ปชป.’ ชวนทุกคนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม-ดูแลธรรมชาติ ร่วมสร้างโลกที่น่าอยู่-ส่งต่ออากาศบริสุทธิ์ให้รุ่นลูกหลานสืบต่อไป

(2 ก.ย. 67) นายสุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ (หน่วยงานดีเด่นแห่งชาติสาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) และที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... ในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า…

“ในเดือนกันยายน เป็นเดือนที่มีความสำคัญต่อวงการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไทยและสากลอย่างยิ่ง เนื่องจากในวันที่ 1 กันยายน เป็นวันสืบ นาคะเสถียร ซึ่งวันดังกล่าวมีขึ้นเพื่อให้เราร่วมกันรำลึกถึงคุณงามความดี และความเสียสละของวีรบุรุษของผืนป่าไทย ซึ่งได้เสียสละชีวิตเพื่อเรียกร้องและสะท้อนปัญหาของทรัพยากรธรรมชาติให้สาธารณชนได้รับรู้ และตระหนักถึงอุดมการณ์อย่างแน่วแน่ในการรักษาผืนป่า รวมถึงในวันที่ 7 กันยายน ยังเป็นวันอากาศสะอาดสากล ที่ทั่วโลกโดยเฉพาะภาคประชาสังคมและกลุ่มอนุรักษ์จะได้จัดกิจกรรม รณรงค์เพื่อการเรียกร้องและทวงคืนอากาศสะอาด ปราศจากมลพิษ ซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ทุกคนควรจะต้องได้รับ อย่างมิต้องสงสัย

ข้อมูลจากงานวิจัยที่นำโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโมนาชของออสเตรเลียเปิดเผยว่า มีประชากรโลกเพียง 0.001% เท่านั้น ที่มีอากาศสะอาด ความหมายคือ แทบไม่มีที่ไหนในโลกเลยที่ปราศจากหมอกควันหรือฝุ่นพิษ รวมถึงข้อมูลจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติระบุว่า ในปี 2020 จำนวนพื้นที่ป่าไม้บนโลกมีอยู่ที่ร้อยละ 31 ของพื้นที่บก และมีแนวโน้มลดลงทุกวัน ฉะนั้นแม้ว่าจะมีวันสำคัญไว้ให้ตระหนักหรือรำลึกนึกถึง แต่การรณรงค์และการลงมือทำคือสิ่งสำคัญยิ่ง และการลงมือทำด้วยตัวเราเองคือสิ่งสำคัญที่สุด โดยการสนับสนุนที่ถูกต้องและทั่วถึงจากทางภาครัฐ ก็จะเป็นส่วนเติมเต็มสำคัญได้และบรรลุเป้าหมายได้อย่างดี 

ดังนั้นการดูแลสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน ที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันสร้างโลกที่น่าอยู่ อนาคตที่ยั่งยืน มั่นคงและปลอดภัย สำหรับคนรุ่นหลังต่อไป

‘สุกฤษฏิ์ชัย’ ที่ปรึกษากมธ. ‘อากาศสะอาด’ เดินหน้ารณรงค์ ชี้!! ต้องเร่งผลักดันกม. - เตรียมความพร้อมรับมือ - สร้างการตระหนักรู้

(8 ก.ย. 67) นายสุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ (หน่วยงานดีเด่นแห่งชาติสาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) กล่าวถึงในกิจกรรม ‘Unmask the Future’ ซึ่งจัดโดยภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมและภาคประชาชนตื่นรู้ (Active Citizen) ในประเทศไทย เนื่องในโอกาสวันอากาศสะอาดสากล (International Clean Air Day) ซึ่งเริ่มขึ้นปี ค.ศ.2020 อันเป็นผลจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของอากาศบริสุทธิ์ต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของพวกเราทุกคน ซึ่งตนมีบทบาทในการเป็น ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... ในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยนั้น

ขอสนับสนุนและขอรณรงค์เรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน พร้อมมีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ

1.ภาคการเมือง ควรเร่งรัดและผลักดันให้กฎหมายอากาศสะอาด มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดการกับปัญหานี้ ให้ทันฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึง รวมถึงการประสานงานเรื่องฝุ่นควันข้ามแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 

2.ภาคราชการ ดำเนินการสั่งการและประสานงานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤติมลพิษฝุ่นควันพิษ ทั้งในแง่การป้องกัน การปราบปรามและดูแลด้านสุขภาพ เพื่อลดผลกระทบที่จะมีขึ้นต่อประชาชนให้น้อยที่สุด

3.ภาคประชาสังคมร่วมกันสร้างการตระหนักรู้และให้ความรู้ รวมถึงการป้องกันกับภาคประชาชนในพื้นที่อย่างเข้มข้น โดยภาคราชการไม่ว่าจะเป็นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุขและอื่นใดที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้ เป็นปัญหาสำคัญที่ใกล้ตัวพวกเรามาก เรารับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นการแก้ปัญหาร่วมกันจากทุกภาคส่วน จากทุกคน คือหนทางการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด

'ลิซ่า' อัด 'ประชาธิปัตย์' กระอักเลือดกลางสภา ไร้เงา สส.ปชป.ใช้สิทธิ์พาดพิง ชี้แจงข้อเท็จจริง

ผมไม่ใช่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ในประชาธิปัตย์จำนวนมาก ทั้งนิพนธ์ บุญญามณี, สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล, สมชาย โล่สถาพรพิพิธ เหล่านี้เป็นต้น ไม่อยากนับ เทพไท เสนพงศ์ ที่ทุกวันนี้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ก็ยังไม่ชัดว่า อนาคตจะเดินไปทางไหน 'ส้ม' หรือ 'ฟ้า' หรือ 'น้ำเงิน'

แต่บอกตามตรงว่า 'เจ็บลึก' หรือเจ็บแสบเข้าไปในทรวง แม้ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กับคำอภิปรายของ 'ลิซ่า' นางสาวภคมน หนุนอนันต์ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งเป็นคนถิ่นฐานบ้านเดิมอยู่พัทลุง ลุกขึ้นอภิปรายในฐานะที่เป็นคนใต้คนหนึ่ง เมื่อวันที่13 กันยายน ที่ผ่านมา

เนื้อหาการอภิปรายตอนหนึ่ง ลิซ่าได้กล่าวพาดพิงถึงพรรคการเมืองหนึ่ง โดยไม่ระบุชื่อว่าเป็นพรรคการเมืองใด แต่คนที่ฟังการอภิปรายก็สามารถรับรู้ได้ว่า หมายถึงพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ เพราะลิซ่าได้กล่าวถึงพรรคการเมืองน้องใหม่ล่าสุดเข้าร่วมรัฐบาลและเป็นพรรคการเมืองที่เคยเป็นคู่ต่อสู้กับระบอบทักษิณ และพรรคเพื่อไทยมาเป็นเวลาร่วม 20 ปี ได้ชวนคนภาคใต้ร่วมการต่อสู้กับระบอบทักษิณ แต่มาวันนี้ได้ละทิ้งอุดมการณ์ที่เคยมี ไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งไม่ได้อยู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่เป็นเพียงพรรคพลอยรัฐบาล ความหมายก็คือ ขออาศัยชายคาของพรรคเพื่อไทย เพื่อขอเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย

แหม…มันเจ็บในทรวง เจ็บเข้ากระดองใจกับคำว่า 'พลอยร่วม' ไม่รู้ว่าคนพรรคประชาธิปัตย์คิดอย่างไร แต่บางคนอาจจะกระอักเลือด เช่น ชวน หลีกภัย, บัญญัติ บรรทัดฐาน และแฟนคลับสายผู้อาวุโส

ตอนท้าย ลิซ่า ได้ขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ทำให้คนภาคใต้หูตาสว่างขึ้น และการเลือกตั้งในครั้งหน้า คนไทยทั้งประเทศและคนภาคใต้จะเลือกพรรคการเมืองที่มีสัจจะวาจา ตรงไปตรงมา หรือเลือกพรรคที่เอาประชาชนมาบังหน้า หรือพรรคสับปลับกลับไปกลับมา ก็ไม่รู้หมายถึงพรรคการเมืองไทย แต่น่าจะไม่ใช่ประชาธิปัตย์

ผมไม่ทราบว่าคนที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบัน และได้โหวตให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เพราะในที่ประชุมรัฐสภาไม่มีสส.พรรคประชาธิปัตย์คนใด ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิง อภิปราย ชี้แจงข้อเท็จจริง และตอบโต้ลิซ่าเลย หรือเพราะว่าลิซ่าพูดความจริงจนจุกอก ไม่สามารถหาเหตุผลมาชี้แจงได้

คนในพรรคประชาธิปัตย์จะเจ็บจะปวดหรือไม่ ไม่ทราบ แต่เราในฐานะคนนอก มันรับไม่ได้จนแทบกระอักเลือดตาย

ประชาธิปัตย์ถอดรหัสน้ำท่วมภัยแล้งกระทบประชาชนและเศรษฐกิจรุนแรง มุ่งแก้ต้นเหตุเดินหน้าโลว์คาร์บอนลดโลกเดือด

(29 ก.ย. 67) เปิดเวที “เดโมแครต ฟอรั่ม”พลิกโอกาสในวิกฤตโลกรวนสุดขั้วสู่เศรษฐกิจคาร์บอนมูลค่า 23 ล้านล้านบาทตามนโยบายเศรษฐกิจ-สิ่งแวดล้อมของ “เฉลิมชัย”

ตามที่นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการ สหประชาชาติ กล่าวเตือนไว้เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วว่า สามสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม 2023 ทำสถิติร้อนที่สุดเท่าที่เคยวัดกันมา โลกร้อนขึ้น 1.5 องศา การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก และนี่แค่จุดเริ่มต้นเป็นจุดจบของภาวะโลกร้อนและเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะโลกเดือด (Global Boiling) นอกจากนี้ธนาคารโลกได้เรียกร้องให้ประเทศไทยเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจที่มีคาร์บอนต่ำ โดยเน้นว่ามีโอกาสในการลงทุนที่ยั่งยืนถึงประมาณ 632 พันล้านเหรียญสหรัฐ (23ล้านล้านบาท)นั้น
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้ว่า หนึ่งในความท้าทายสำคัญในปัจจุบันและอนาคตคือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change)ที่รุนแรงและรวดเร็ว

จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศไทยต้องเร่งขับเคลื่อนสู่เป้าหมายว่าความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี 2050 และคาร์บอนเป็นศูนย์หรือซีโร่คาร์บอนภายในปี 2065 เพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนโลกร้อนทะเลเดือดแบบสุดขั้วซึ่งเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของประเทศไทย ในมุมมองของพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเราสามารถสร้างโอกาสในวิกฤตโดยสร้างโมเดลเศรษฐกิจคาร์บอน(Carbon Economy)ครอบคลุมตั้งแต่คาร์บอน ฟุ้ตปริ้นท์(carbon footprint) คาร์บอน เครดิต(carbon credit)จนถึงมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน(CBAM:Carbon Border Adjustment Mechanism)สามารถสร้างงานสร้างอาชีพสร้างเทคโนโลยีสร้างธุรกิจและสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศ

นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินหน้าสู่ยุคปรับเปลี่ยน(Democrat in Transformation)จากองค์กรพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดสู่องค์กรพรรคการเมืองของประชาชนที่ก้าวหน้าทันสมัยทันโลกเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศทุกมิติทั้งมิติการพัฒนา การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีรวมทั้งการเป็นพรรคการเมืองสีเขียว(Green Democrat Party) ตามนโยบายและวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นเรื่องเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคโดยเฉพาะประเด็นเมกะเทรนด์ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรงทั้งในปัจจุบันและอนาคต พรรคประชาธิปัตย์จึงได้จัดเวทีเดโมแครต ฟอรั่ม (Democrat Forum)ครั้งที่ 1 หัวข้อ  “เศรษฐกิจคาร์บอน : โอกาสในวิกฤตโลกรวนน้ำท่วมภัยแล้งสุดขั้ว“ ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ระหว่างเวลา 9.00 -11.00 ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์ โดยมีวิทยากรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคเกษตรกรและภาคประชาชน 

1.นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน
2.นายสนั่น อังอุบลกุล
ประธานคณะกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน
3. ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช
อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
4. ดร.ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน
รักษาการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก 
5.ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล บรรณาธิการ Green Innovation
6.นายสานิตย์ จิตต์นุพงศ์ 
ตัวแทนเกษตรกร
ผู้ริเริ่มโครงการข้าวรักษ์โลก
BCG Model
7.ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำเสนอ
“บทเรียนในต่างประเทศสู่การแก้ปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทย“
มาร่วมในการเสวนาครั้งนี้มี ดร.เจนจิรารัตนเพียร โฆษกพรรคเป็นพิธีกร(MC)นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา(moderator)

สำหรับผู้สนใจร่วมงานเดโมแครต ฟอรั่ม สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่: https://form.democrat.or.th/democrat-forum1 (50ท่านแรกที่ลงทะเบียน ได้รับต้นกล้าไม้คนละ2ต้นเพื่อปลูกลดโลกเดือด)

ทั้งนี้มีการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live พรรคประชาธิปัตย์
http://www.facebook.com/democratpartyth
หรือสอบถามเพิ่มเติม
โทร: 080 052 7574

#ประชาธิปัตย์ #พรรคประชาธิปัตย์ #DemocratPartyTH #DemocratForum #สภาพภูมิอากาศ
#โลกร้อนโลกรวน #เศรษฐกิจคาร์บอน
#คาร์บอน เครดิต #ซีโร่ คาร์บอน

ประชาธิปัตย์นำร่อง 'เมืองคอนโมเดล' สำเร็จ สส.ปชป.นครศรีธรรมราช ขอบคุณ 'รัฐมนตรี เฉลิมชัย' แก้ปัญหาฉับไวมอบสมุดที่ดินทำกินคทช.ล็อตแรก1หมื่นราย8หมื่นไร่รอของขวัญปีใหม่ครบ 3 แสนไร่

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช เปิดเผยวันนี้ว่า ต้องขอขอบคุณ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะที่ได้เดินทางมาแจกสมุดประจำตัวผู้ได้รับการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติท้องที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการที่ตนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์นครศรีธรรมราชได้หารือในสภาผู้แทนราษฎรเรื่องที่ดินทำกินทับซ้อนระหว่างรัฐและประชาชน ในนครศรีธรรมราชมีทั้งหมด 380,000 ไร่ในความเป็นจริงแล้วมีที่ดินมากกว่านี้ เป็นปัญหามาอย่างยาวนานนับร้อยปีบางพื้นที่อยู่กันมาหลายชั่วอายุคนไม่ได้มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินเลย หลังจากได้มีการหารือในสภา รมว ทส.จึงได้เรียกไปพูดคุยกันหาแนวทางในการแก้ไข สุดท้าย รมว.ทส. จึงได้นำเสนอเข้าสู่โครงการ คทช.จึงได้แจกสมุดคู่มือให้กับเกษตรกรทุกท่าน ทั้ง 11 อำเภอ ทั้งหมดกว่า 10,000 ราย ที่ดินจำนวน 80,000ไร่ และเหลือพื้นที่เข้าโครงการแล้วอีก 300,000 ไร่ รมว มา รับปรกแล้วปีใหม่นี้จะมอบให้กับเกษตรกรทั้งหมด ทั้งนี้ สส.นครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 6 ท่านได้เดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชนในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องภายใต้” เมืองคอนโมเดล“

”ต้องยอมรับว่า โครงการ คทช.นอกเหนือจากแจกคู่มือที่ดินทำกินแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีปัญหาเข้าไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ไม่ได้ก็สามารถเข้าไปดำเนินการได้เป็นสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชต้องขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีนโยบายเรื่องนี้มองเห็นและทำงานอย่างรวดเร็วในการคิกออฟแจกคู่มือที่ดินทำกินให้กับเกษตรกรในพื้นที่และต่อไปแจกทั่วทั้งประเทศ 12 ล้านไร่โดยนครศรีธรรมราชเป็นพื้นที่นำร่อง

ต่อข้อถามนครศรีธรรมราชยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจอีกมากน้อยเพียงใดว่า “ผมเชื่อว่ายังคงมีพื้นที่ไม่ได้สำรวจอีกประมาณ 5-6 แสนไร่ ซึ่งในพื้นที่นั้นอาจจะอยู่ในพื้นที่สูงต้องดูว่าอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน อุทยาน รวมถึงพื้นที่ลุ่มน้ำหรือไม่ จึงเป็นหน้าที่ของ สส.ปชป.ที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป” 'ส.ส.ชัยชนะ'กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top