Sunday, 19 May 2024
นักท่องเที่ยวจีน

'เพจดัง' ติง!! กรณีนักท่องเที่ยวจีนถูก 'โกง-ทำร้าย' ที่ภูเก็ต "ถ้า จนท.ช่วยจริงจังแต่แรก เรื่องแบบนี้อาจไม่เกิดขึ้น"

ไม่นานมานี้ เพจ 'ลุยจีน' ได้โพสต์ข้อความแจ้ง กรณีนักท่องเที่ยวจีนถูกบริษัททัวร์ภูเก็ตทำร้ายและโกง (อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้ที่ >> https://facebook.com/100064606066871/posts/pfbid02ircqQ1vk7gPwecVSsJUi9gtevFucTeqJQRoKZEPkfiuqKXmffXjCkeAs52VVKDgtl/) โดยล่าสุดได้มีการจับกุมผู้กระทำผิดแล้ว ว่า...

จับแล้วเมื่อวานครับ เคสพนักงานบริษัททัวร์อักษรย่อ บ ที่ทำร้าย นทท.จีนปลาย ม.ค. จนเป็นคลิปไวรัลที่จีน

เบื้องต้นให้การรับสารภาพ มีการตรวจยึดมีดที่ใช้ก่อเหตุ และส่งฟ้องศาลต่อไป

แต่ประเด็นที่คนจีนตั้งคำถามกันคือ "ถ้า ตร. ท่องเที่ยวไทย ไปช่วยเรื่องนี้อย่างจริงจังแต่แรก ไม่โยนเรื่องให้คนอื่น เรื่องแบบนี้อาจไม่เกิดขึ้นมั้ย?" 

‘นทท.จีน’ ปลื้ม!! ‘ตร.บางรัก’ ติดตามค้นหาไอโฟน ใช้เวลาเพียง 5 ชม. ส่งคืนถึงมืออย่างปลอดภัย

(25 ก.พ. 66) เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ที่สน.บางรัก พ.ต.ท.เกียรติภูมิ ทินาโชติ รอง ผกก.สส.สน.บางรัก พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน นำโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน (Iphone 14 pro max สีม่วง) ที่สามารถติดตามกลับคืนมาได้จากกล้องวงจรปิดโครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งมอบคืนให้ MISS SHIYI DENG นักท่องเที่ยวสัญชาติจีน

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากได้มีนักท่องเที่ยวชาวจีน เดินทางมาร้องทุกข์ต่อ พงส.สน.บางรัก ได้นั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างทั่วไป ไม่ทราบทะเบียน และไม่รู้จักคนขับ ในระหว่างทางคนขับ ใส่เสื้อมีฮู้ด ผู้แจ้งซึ่งนั่งซ้อนท้าย ได้เอาโทรศัพท์ IPhone 14 Pro Max สีม่วง ใส่เคสใส ใส่ไว้ในฮู้ดคนขับ และเมื่อมาถึงบริเวณหน้าโรงแรมมณเฑียรสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กทม. ผู้แจ้งได้ลืมโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวไว้ และพยายามเรียกแล้วแต่ไม่ทัน และไม่สามารถติดต่อคนขับได้ จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อให้ตำรวจบางรัก ช่วยติดตามโทรศัพท์เครื่องดังกล่าว

ภายหลังรับทราบ พ.ต.อ.วัชรวีร์ ธรรมเสมา ผกก.สน.บางรัก ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.เกียรติภูมิ ทินาโชติ รอง ผกก.สส.สน.บางรัก จัดทีมนำโดย พ.ต.ต.สมถวิล ไสลจักร์ สว.สส. ร.ต.อ.วรพัฒน์ เจริญมาก รอง สว.สส.สน.บางรัก ร.ต.ต.สุระสิทธิ์ คำล้นธนิสร์กุล ร.ต.ต.จิรัฏฐ์ วงษ์วิวงษ์ รอง สว.(สส.) และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิด บริเวณที่เกิดเหตุและใกล้เคียง พบชื่อผู้ครอบครองทะเบียนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว จึงเดินทางไปพบกับชายคนดังกล่าว

โดยเจ้าตัวยอมรับว่า โทรศัพท์เครื่องดังกล่าวอยู่ที่ตนจริง แต่ทราบเมื่อหลังจากได้กลับมาถึงบ้านพักซึ่งอยู่ในฮู้ดของเสื้อคลุม แต่ไม่รู้จะนำส่งคืนที่ใด จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางรัก ตามมาพบที่บ้าน ส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อนำส่งคืนให้กับเจ้าของต่อไป

พ.ต.ท.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ภายหลังรับทราบข้อมูลจากเจ้าทุกข์ จึงนำเรียน พ.ต.อ.วัชรวีร์ ธรรมเสมา ผกก.สน.บางรัก ท่านรีบสั่งการให้ดำเนินการ ตามแผนป้องกันเหตุ การบริการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ที่มีต่อกองบัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เจ้าหน้าที่ไม่เคยละเลย มองข้าม รีบดำเนินการภายในระยะเวลาอันสั้น จนนำทรัพย์สินดังกล่าวส่งคนเจ้าของโดยเร็วภายในระยะเวลา 5 ชั่วโมง

เสี่ยงผิดกฎหมาย!! 'ทนายรัชพล' เตือน!! นทท.ฮิตใส่ชุดนักเรียน อาจผิดกฎหมาย หากปักชื่ออักษรย่อ แล้วตรงกับชื่อของโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง

ทนายรัชพล ออกโรงเตือนใส่ชุดนักเรียนทั้งที่ไม่ได้เป็นนักเรียน ผิดกฎหมาย-เสี่ยงถูกปรับ หลังเกิดเทรนด์ใหม่คนจีนฮิตใส่เที่ยวไทย

กลายเป็นกระแส Soft Power ของประเทศไทย เมื่อนักท่องเที่ยวและดาราซุปตาร์คนดังชาวจีนที่ได้เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย ต่างแห่ซื้อชุดนักเรียนไทยสวมใส่ถ่ายภาพเผยแพร่บนโลกโซเชียล จนกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของนักท่องเที่ยวชาวจีน ส่งผลทำให้ร้านขายชุดนักเรียนย่านบางลำพูขายดีขึ้นกว่าเดิม

อย่าซีเรียส!! ‘ปลัด ศธ.’ เผย นทท. จีนแต่งชุดนักเรียนไทย ไม่เสียหาย ชี้!! เสริมด้านการท่องเที่ยว ห่วงใส่เที่ยวสถานบันเทิง

ปลัด ศธ. มองเทรนด์ นทท.จีนแต่งชุดนักเรียนไทย ยืนยันต้องดูที่เจตนา ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว

(8 มี.ค.66) ที่ผ่านมาร นายอรรถพล สังขวาสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นเทรนด์นักท่องเที่ยวจีนแต่งชุดนักเรียนไทย โดยกล่าวว่า ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. 2551 มุ่งเน้นไม่ให้ผู้ใดแต่งกายเลียนแบบนักเรียน เจตนารมณ์ที่ออกกฎนี้ขึ้นมา เพราะจะมีบางคนที่แต่งเครื่องแบบนักเรียน มีเครื่องหมาย มีตราสัญลักษณ์ที่แสดงชื่อสถาบัน ไปก่อเหตุวิวาทแล้วอ้างชื่อสถาบัน รวมถึงเรื่องของการค้าบริการทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงในยุคนั้น

แต่ในส่วนของนักท่องเที่ยวแต่งชุดนักเรียนเที่ยวเมืองไทย เราก็ต้องดูที่เจตนาว่า แต่งเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีเจตนาที่จะลบหลู่ หรือสร้างความเสียหายกับสถาบันการศึกษา

“ผมได้เห็นในสื่อออนไลน์ว่า มีการใส่ชื่อของเค้าที่หน้าอกเสื้อ แสดงความน่ารัก มีความสวยงาม ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย แสดงว่านักท่องเที่ยวได้มองเห็นว่าเครื่องแบบนักเรียนไทย เป็นที่น่ารัก จนสนใจที่จะแต่งตาม”

“ในอดีตเราก็มองเครื่องแบบนักเรียนญี่ปุ่นในยุคนั้นว่าสวยงามจนแต่งตาม มายุคนี้เค้าให้ความสำคัญกับชุดนักเรียนไทย ก็อย่าไปซีเรียส ดูที่เจตนาเป็นหลัก มองในเรื่องของความบันเทิงและการท่องเที่ยว ศธ.มองที่ภาพรวมในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากกว่า อยากฝากเรื่องของความเหมาะสมในสถานที่ และเวลาที่ควรระวังคือ ยามวิกาลอาจไม่เหมาะสม อาจเกิดอันตรายให้กับนักท่องเที่ยว และสร้างการเข้าใจผิดแก่สังคมได้ ตรงนี้ทีมท่องเที่ยวหรือหัวหน้าไกด์ต้องทำความเข้าใจร่วมกัน”

ชาวจีน แห่ร่วมงานเทศกาลไทยในปักกิ่ง  หลายคนตั้งตารอเยือนเมืองไทยอีกครั้ง 

ปักกิ่ง, 14 มี.ค. (ซินหัว) — ประชาชนต่อแถวยาวเหยียดรอเข้าร่วมงานเทศกาลไทย ประจำปี 2023 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11-12 มี.ค. ที่ผ่านมา ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน ท่ามกลางสภาพอากาศอันแปรปรวนในช่วงเดือนมีนาคม

งานเทศกาลไทยปีนี้เพียบพร้อมด้วยบูธขายอาหารและขนมไทย โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อนนำเข้าจากไทยที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมจำนวนมาก ขณะผู้เข้าชมสามารถเลือกที่จะแต่งกายด้วยชุดไทยโบราณเดินถ่ายภาพภายในงาน ซึ่งให้บรรยากาศราวกับเดินอยู่ในตลาดเมืองไทย

งานเทศกาลไทยประจำปีเป็นหนึ่งในกิจกรรมทางวัฒนธรรมไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปักกิ่ง โดยงานปีนี้ได้ดึงดูดผู้เข้าร่วมมากกว่า 6,000 คน ทั้งยังรวบรวมอาหารไทยมากกว่า 50 เมนูจากร้านอาหารไทยชื่อดังเกือบ 20 แห่งทั่วปักกิ่ง

อรรถยุทธ์ ศรีสมุทร เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศจีน เผยว่าอาหารไทยรสชาติต้นตำรับที่มีให้เลือกสรรหลากหลายถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของงานปีนี้ โดยต้มยำกุ้ง ส้มตำ และคอหมูย่างเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

พง เชฟชาวไทยประจำร้านอาหารไทย “เวรี่ สยาม” (Very Siam) เผยว่าเขามาออกบูธที่งานเทศกาลไทยบ่อยครั้งจนมีลูกค้าติดใจฝีมือและตามไปกินถึงที่ร้าน

เตือน!! อย่าคาดหวัง นทท. จีน อย่างเดียว ควรกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนอื่นเพิ่ม

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ประจำวันที่ 6 ส.ค.66 ในประเด็นวิกฤตเศรษฐกิจกับการท่องเที่ยวไทย โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ใหญ่บ้างเล็กบ้าง จำกัดอยู่ในระดับประเทศบ้าง ระดับภูมิภาคบ้าง หรือเป็นวิกฤตระดับโลกบ้าง บางวิกฤตมีต้นเหตุมาจากภาคการเงินการธนาคาร ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคสาธารณสุข หรือจากการก่อการร้ายและสงคราม 

แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ภาคเศรษฐกิจจะเกิดการหดตัว การว่างงานพุ่งสูงขึ้น ภาคการเงินจะเกิดหนี้เสียสูงขึ้นมาก เป็นเหตุให้เศรษฐกิจภาพรวมฟื้นตัวได้ช้า และภาคธุรกิจแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดก็คืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว

นับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อกว่า 25 ปีที่แล้ว ภาคการเงินการธนาคารไทยมีความเข้มแข็งและทนทานขึ้นมาก เมื่อเศรษฐกิจไทยหดตัวจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ระบบการเงินจึงไม่ได้รับความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ และไม่เกิดปัญหาหนี้เสียคงค้าง (Debt Overhang) เหมือนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อน ๆ จึงเชื่อกันว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้น ขณะที่ไทยก็น่าจะกลับมาเติบโตได้รวดเร็ว

ยิ่งเมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศเมื่อต้นปีนี้ จึงมีความคาดหวังสูงว่าไทยจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะจีนส่งนักท่องเที่ยวมาไทยมากที่สุด ถึงปีละประมาณ 10 ล้านคนก่อนโควิด-19 

แต่เหตุการณ์ต่อไป อาจหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวแรงแค่ไตรมาสแรกไตรมาสเดียว พอเข้าไตรมาสที่สองก็เริ่มชะลอตัวลงอีก จากภาระหนี้สินคงค้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังกลายเป็นตัวถ่วงการฟื้นตัวของการบริโภค 

สังเกตได้ว่านักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าการท่องเที่ยวในปี 2566 จะเป็นไปตามเป้าที่ทางการกำหนดไว้ที่ 28.5 ล้านคนหรือไม่ ภายใต้การคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนกำลังเตรียมการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Fiscal Stimulus) เร็ว ๆ นี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจจีนไม่ให้ชะลอตัวไปกว่านี้ 

"ไทยไม่ควรฝากความหวังไว้ที่การท่องเที่ยวจากจีนเพียงอย่างเดียว ควรจะกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย และอาจเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดไม่ใหญ่นักที่มุ่งสนับสนุนการบริโภคการลงทุนในประเทศ เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า" อ.พงษ์ภาณุ ฝากให้คิด

‘No More Bets’ ทำนักท่องเที่ยวจีนมอง 'อาเซียน' ไม่ปลอดภัย หลังตัวหนังชี้!! “หนึ่งคนดู ลดเหยื่อถูกโกงหนึ่งคน”

กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที หลังจากบรรดา 'นักท่องเที่ยวจีน' ซึ่งเป็นความหวังในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย อยู่ดีๆ ก็เริ่มชะลอการมาท่องเที่ยวยังโซนอาเซียน

แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งก็คงมาจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศจีนเอง ที่รัฐบาลพยายามจูงใจให้เที่ยวภายในประเทศ

แต่อีกส่วนหนึ่ง ดูเหมือนจะมาจากอิทธิพลของภาพยนตร์เรื่อง 'No More Bets' ที่ทำรายได้ถล่มทลายทั่วเมืองจีน แต่ด้วยเนื้อหาที่เล่าถึงการค้ามนุษย์และหลอกคนไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ชมชาวจีนจนไม่กล้ามาเที่ยวในละแวกนี้

>> ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น!!

'No More Bets' ภาพยนตร์แอ๊กชันอาชญากรรมสุดระห่ำเข้าฉายในจีนตั้งแต่เมื่อต้นเดือน ส.ค. และสามารถครองอันดับหนึ่งบนตารางหนังทำเงินได้ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เข้าฉาย มาพร้อมกับสโลแกน โปรโมตภาพยนตร์ว่า “หนึ่งคนดู ลดเหยื่อถูกโกงหนึ่งคน”

โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคดีที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเล่าถึงเรื่องคู่รักชาวจีนที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ไปทำงานต่างประเทศ เพราะจะได้ค่าตอบแทนสูง แต่พอไปถึงกลับต้องอยู่โรงงานนรกในเมียนมา และทั้งคู่ถูกกักขังและต้องทำงานหลอกลวงผู้อื่น จนต้องหาทางหลบหลีกจากโรงงานค้ามนุษย์แห่งนี้ให้ได้

แน่นอนว่าตัวหนังมีความสอดคล้องกับกระแสข่าวในเมียนมาและกัมพูชาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากทั้ง 2 ประเทศ ถูกมองในฐานะประเทศฐานที่มั่นของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฉ้อโกงออนไลน์ และขบวนการค้ามนุษย์มาโดยตลอด

จากรายงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ที่พึ่งเผยแพร่ เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า มีคนอย่างน้อย 120,000 คนในเมียนมา และประมาณ 100,000 คนในกัมพูชา ถูกหลอกและบังคับให้ทำงานหลอกลวงประชาชน ด้วยการเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เล่นพนันออนไลน์

>> ลุกลามเทือนเพื่อนบ้าน!!

ที่น่ากังวล คือ ในขณะที่ 2 ประเทศดังกล่าวถูกมองในสถานะที่กล่าวมา ก็พาประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดนหางเลขไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น ลาว, ฟิลิปปินส์ และไทย ในฐานะของประเทศที่กลายเป็นทางผ่านของเหยื่อในขบวนการค้ามนุษย์หลายหมื่นคน

>> กระแสจากหนัง ฝังใจคนจีน ตีจากอาเซียน

ข้อมูลจากเว็บไซต์ Straits Times ได้เคยรายงานไว้ว่า หลังจากภาพยนตร์เรื่อง 'No More Bets' เข้าฉาย ส่งผลให้ชาวจีนไม่กล้ามาเที่ยวเมียนมาและกัมพูชา เพราะกลัวจะตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์

...และจากกระแสของหนังนี้เอง ก็ลุกลามไปถึงชาวจีนที่มีความกังวลด้านความปลอดภัยต่อการมาเยือนอาเซียน ซึ่งรวมถึงไทยด้วย พร้อมตั้งคำถามผ่านโซเชียลมากมาย อาทิ...

"ถ้าฉันไปเที่ยวที่โน่น ฉันไม่คิดว่าจะสามารถเดินทางกลับมาโดยปลอดภัย"

"สถานทูตจีนในเมียนมาออกเตือนด้วยว่า เราไม่ควรสนใจประกาศรับสมัครงานออนไลน์ที่มีเงินเดือนสูงเกินจริง หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายที่นั่น"

"ก่อนปิดเทอมที่ผ่านมา ลูกชายชวนเพื่อนมาเที่ยวเมืองไทย แต่เขาบอกว่าอ่านข่าวมีทุนจีนสีเทา มีการจับไปเรียกค่าไถ่เอย เลยไม่กล้ามา เลยบอกลูกชายให้ไปบอกเพื่อนเข้าไว้"

"เรื่องจับเรียกค่าส่วนใหญ่ ไม่เกี่ยวกับไทย เพราะจะเป็นคนจีนจับคนจีนไปเรียกค่าไถ่ โดยเหยื่อจะเป็นนักศึกษาจีนที่มาเรียนในไทยหรือพวกนักธุรกิจจีนที่มาทำธุรกิจที่ไทย และพวกนี้เขาจะรู้กันเองว่าคนไหนรวย ยังไม่มีนักท่องเที่ยวที่เป็นเหยื่อในคดีพวกนี้ แต่นั่นแหละการมาไทยจึงเป็นสิ่งที่ต้องระวัง"

"จริงๆ เรื่องการจับเรียกค่าไถ่นี่ ฟิลิปปินส์หนักกว่าที่ไทยเยอะ และเป็นคนท้องถิ่นเองที่มุ่งจับคนจีนไปเรียกค่าไถ่ เพราะเข้าใจว่าคนจีนรวยทั้งนั้น อย่างลูกชายที่ไปเป็นล่ามแปลให้นักธุรกิจจีน เขาก็ลงทุนในฟิลิปปินส์เหมือนกัน เขาบอกที่นั่นอย่างเมืองของพวกมาเฟีย ตกดึกออกข้างนอกไม่ได้ อยู่ที่นั่นต้องจ้างบอดี้การ์ด เขาบอกเมืองไทยปลอดภัยกว่าเยอะ"

อย่างไรก็ตาม จากกรณีดังกล่าวที่เริ่มแพร่กระจายไปสู่คนจีนมากขึ้น จนเริ่มไม่กล้ามาท่องเที่ยวอาเซียน ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยนั้น คงเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาล หน่วยงานด้านการท่องเที่ยว คงต้องรีบไหวตัว ประชาสัมพันธ์ถึงความเชื่อมั่นของไทย และถ้าส่วนไหนที่ทำให้เกิดความกังวล เช่น กลุ่มผู้มีอิทธิพลต่างๆ ก็ควรต้องเร่งสะสางให้สิ้น

‘นายกฯ’ นำทีมต้อนรับ ‘นทท.จีน’ ตามมาตราการ ‘วีซ่าฟรี’ พร้อมแจก ‘กางเกงช้าง-พวงมาลัย’ เป็นของที่ระลึกติดไม้ติดมือ

(25 ก.ย. 66) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางเป็นประธานในพิธีต้อนรับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ภายใต้มาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) สำหรับผู้ที่ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติจีนและคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 - 29 กุมภาพันธ์ 2567

โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาวันแรก และนายกฯ เดินทางไปรับนั้นได้เดินทางมาโดยสายการบิน Thai Air Asia X เที่ยวบิน XJ 761 เส้นทางเซี่ยงไฮ้-สุวรรณภูมิ โดยเที่ยวบินนี้มีนักท่องเที่ยวทั้งหมด 341 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน 306 คน และนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นจำนวน 35 คน

ทั้งนี้ในทันทีที่นักท่องเที่ยว เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลาประมาณ 10.15 น. ที่บริเวณสะพานเทียบเครื่องบินที่ D4 นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับ พร้อมมอบของที่ระลึก ประกอบด้วย พวงมาลัยกล้วยไม้ และกางเกงช้าง กับนักท่องเที่ยวทุกคน โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ได้ถ่ายรูปร่วมกับนายกฯ อย่างคึกคัก

ด้านเจ้าหน้าที่จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สวมชุดไทยร่วมให้การต้อนรับ พร้อมป้ายต้อนรับขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ที่เขียนเป็นภาษาจีน ว่า “จีนไทยครอบครัวเดียวกัน อะเมซิ่งไทยแลนด์ ยินดีต้อนรับคนจีนตลอดไปเสมือนครอบครัว เที่ยวเมืองไทยยิ่งเที่ยวยิ่งสนุก ประเทศไทยยินดีต้อนรับคุณ

ขณะเดียวกัน ยังมีการแสดงหุ่นละครเล็ก และรำกลองยาว เพื่อสร้างคึกคักและความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวด้วย

สำหรับท่าอากาศยานอีก 3 แห่ง ททท. ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ดังนี้ ท่าอากาศยานดอนเมือง จำนวน 3 เที่ยวบิน ได้แก่

เที่ยวบิน FD583 สายการบิน Thai Air Asia จากคุนหมิง 
เที่ยวบิน SL935 สายการบิน Thai Lion Air จากฉางซา 
เที่ยวบิน DD3111 สายการบิน Nok Air จากหนานหนิง 

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ จำนวน 2 เที่ยวบิน สายการบิน China Eastern Airlines ได้แก่ 

เที่ยวบิน MU 205 จากเซี่ยงไฮ้ 
เที่ยวบิน MU 2563 จากคุนหมิง

ท่าอากาศยานภูเก็ต ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐคาซัคสถาน 1 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบิน KC 563 สายการบิน Air Astana จากอัลมาตี้ และจากจีน จำนวน 3 เที่ยวบิน ได้แก่ 

เที่ยวบิน CA 717 สายการบิน Air China จากหางโจว 
เที่ยวบิน 9C8667 สายการบิน Spring Airlines จากเซี่ยงไฮ้ 
เที่ยวบิน CA 821 สายการบิน Air China จากปักกิ่ง

ทั้งนี้ ททท. ประเมินว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีน มีนัยยะสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มตลาดเป้าหมายหลักและเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งด้านรายได้และจำนวน

ปัจจุบันตลาดจีนยังคงเผชิญความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 17 กันยายน 2566 ประเทศไทยให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด 19,000,988 คน โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 2,341,080 คน ถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอันดับที่ 2 รองจากมาเลเซียที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุด

ทั้งนี้ในปัจจุบันมีการฟื้นตัวอยู่ที่ประมาณ 37% เมื่อเทียบกับปี 2562 สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวคาซัคสถานเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 เกือบเท่าตัว จากประมาณ 56,529 คนในปี 2562 เป็น 109,865 คนที่เดินทางเข้าประเทศไทยระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 17 กันยายน 2566 โดยเป็นตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ที่มีแนวโน้มและศักยภาพในการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง

โดย ททท. คาดการณ์ว่า มาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) จะสามารถกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีน ให้เดินทางเข้าประเทศไทยประมาณ 4.01 - 4.4 ล้านคนในปี 2566 และผลักดันรายได้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนสู่เป้าหมาย 257,500 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าในช่วง 5 เดือนที่มีมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศประมาณ 2,888,500 คน สร้างรายได้ 140,313 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการฟื้นตัวร้อยละ 62 เมื่อเทียบกับปี 2562

ขณะที่คาดว่านักท่องเที่ยวคาซัคสถานจะเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 150,000 คนในปี 2566 และคาดว่าในช่วง 5 เดือนของการยกเว้นการตรวจลงตราจะมีนักท่องเที่ยวคาซัคสถานจำนวนประมาณ 129,485 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ประมาณ 7,930 ล้านบาท

ทั้งนี้ รัฐบาลเชื่อว่า มาตรการดังกล่าวจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และจะช่วยพลิกฟื้นการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้กลับมาอีกครั้ง เนื่องจากจะช่วยคลี่คลายข้อจำกัดในการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวจีน ทั้งเรื่องระยะเวลาและค่าใช้จ่ายส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว กลุ่มทัวร์ และกลุ่ม Incentive

ประกอบกับช่วงเวลาดำเนินมาตรการฯ ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ครอบคลุมช่วง Golden week ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมออกเดินทางท่องเที่ยว ต่อเนื่องถึงช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่จะยิ่งช่วยผลักดันสู่เป้าหมายภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ตั้งไว้ของปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 25 - 30 ล้านคน และสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ ให้กลับมาในอัตรา 80% ของปี 2562 ที่ 1.5 ล้านล้านบาท พร้อมมุ่งสู่เป้ารายได้รวม 2.38 ล้านล้านบาท

‘นักท่องเที่ยวจีน’ ปลื้ม!! ‘ททท.’ จัดพิธีต้อนรับอบอุ่น รับฟรีวีซ่า เผย ขั้นตอนรวดเร็ว-สะดวก คาดยอดทัวร์เยือนไทย เกือบ 3 ล้านคน

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, คุนหมิง รายงานข่าว วันแรกที่รัฐบาลไทยบังคับใช้นโยบายฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างเป็นทางการ โดยมีเที่ยวบินปฐมฤกษ์พร้อมผู้โดยสาร 180 คน โบยบินจากนครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มายังท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร

รายงานระบุว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดพิธีต้อนรับเหล่านักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาไทยภายใต้นโยบายฟรีวีซ่า ชุดที่ 1 อย่างอบอุ่น ณ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง, ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ และท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต

ก่อนหน้านี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย ประกาศการอนุมัตินโยบายฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจากบางประเทศ รวมถึงจีน ณ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันพุธ (13 ก.ย.) โดยนโยบายดังกล่าวบังคับใช้ระหว่างวันที่ 25 ก.ย. 2023-29 ก.พ. 2024 และนักท่องเที่ยวสามารถพำนักอยู่ในไทยได้ไม่เกิน 30 วัน

สถิติจากหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของคุนหมิงระบุว่า เมื่อวันจันทร์ (25 ก.ย.) มีเที่ยวบินจากคุนหมิงสู่ไทย 5 เที่ยว แบ่งเป็นเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ (3 เที่ยว) คุนหมิง-เชียงใหม่ และคุนหมิง-ภูเก็ต (อย่างละ 1 เที่ยว) โดยมีผู้โดยสารรวม 700 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนนโยบายฟรีวีซ่า

หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของนครคุนหมิงเสริมว่า ตั้งแต่จีนกลับมาอนุญาตการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ จำนวนผู้โดยสารที่เดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติคุนหมิง ฉางสุ่ย สู่ไทยนั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเฉลี่ยราว 280 คนต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์ และราว 420 คนต่อวันในเดือนมีนาคม เป็นราว 560 คนต่อวันในช่วงวันที่ 1-24 ก.ย.

‘สายการบินลักกี แอร์’ (Lucky Air) ของอวิ๋นหนาน เผยว่ามีการจัดสรรบริการเที่ยวบินสู่ไทยวันละ 1 เที่ยว ระหว่างช่วงหยุดยาวเนื่องในวันชาติจีนในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่มีผู้จองบัตรโดยสารเที่ยวบินล่วงหน้าแล้ว 1,569 คน และคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มแตะ 2,070 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนนโยบายฟรีวีซ่า

‘จูหงอิง’ ประธานบริษัท อวิ๋นหนาน จิ่นอ้าย ทัวริซึม กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่าปริมาณการจองการท่องเที่ยวไทยแบบหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ของบริษัทฯ ช่วงวันที่ 30 ก.ย.-20 ต.ค. นั้นเต็มทุกวัน โดยนโยบายฟรีวีซ่านี้ ช่วยกระตุ้นความคึกคักของการเดินทางท่องเที่ยวไทยในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างมาก

ข้อมูลจากบริษัทฯ ระบุว่า ปริมาณการจองการท่องเที่ยวไทยแบบหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ ช่วงเดือนเมษายน-สิงหาคม เฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 600 คนต่อเดือน โดยปริมาณดังกล่าวพุ่งสูงสุดในเดือนมีนาคมอยู่ที่ 1,500 คน และคาดว่ามีแนวโน้มสูงแตะ 2,000 คน ในเดือนตุลาคมนี้

นักท่องเที่ยวหญิงชาวจีน แซ่หลี่ ซึ่งร่วมเดินทางมายังกรุงเทพฯ เมื่อวันจันทร์ (25 ก.ย.) เล่าว่าเธอใช้สิทธิเดินทางมาไทยด้วยนโยบายฟรีวีซ่าเป็นครั้งแรก การผ่านขั้นตอนต่างๆ ของการเดินทางขาเข้าสะดวกรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ส่วนพิธีต้อนรับทำให้รู้สึกว่าไทยให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวชาวจีนและมิตรภาพระหว่างสองประเทศ

อนึ่ง สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประจำนครคุนหมิง คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเยือนไทยอาจสูงถึงราว 2.88 ล้านคน ระหว่างการดำเนินนโยบายฟรีวีซ่า ระยะ 5 เดือนนี้

‘ไทย’ สุดฮอต!! ครองแชมป์เมืองท่องเที่ยวปลายทางยอดฮิต หลัง ‘นทท.จีน’ ตบเท้าเยือนช่วงหยุดยาวไหว้พระจันทร์-วันชาติ

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ไท่หยวน รายงานสถานการณ์ช่วงหยุดยาวเนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีน (29 ก.ย.-6 ต.ค.) ถือเป็นอีกหนึ่ง ‘เวลาทอง’ ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจีน โดยบรรดานักท่องเที่ยวพากันจับจ่ายใช้สอยบนแพลตฟอร์มผู้ให้บริการด้านการเดินทาง ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศคลาคล่ำเต็มโถงรับรองของสนามบินหลายแห่ง และแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในหลายประเทศได้ต้อนรับทัพนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนการเติบโตแบบก้าวกระโดดของตลาดการท่องเที่ยวต่างประเทศในจีน

‘หวังซื่อหัว’ ชาวเมืองไท่หยวน มณฑลซานซีทางตอนเหนือของจีน เป็นนักท่องเที่ยวอีกคนที่เลือกเดินทางเยือนต่างประเทศในช่วงหยุดยาวนี้ โดยหลังจากฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่บ้านแล้ว เขาและครอบครัวได้ตบเท้าขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าสู่จุดหมายยอดนิยมอย่าง ‘ประเทศไทย’ พร้อมแผนการเยือนแลนด์มาร์กชื่อดัง เช่น พระบรมมหาราชวังและเกาะเสม็ด รวมถึงสัมผัสประสบการณ์นวดไทยโบราณ และรับประทานอาหารไทยต้นตำรับรสจัดจ้าน ตลอดระยะเวลา 6 วัน

“เคยมาเที่ยวเมืองไทยแล้วเมื่อหลายปีก่อนและรู้สึกประทับใจมาก พอตอนนี้ไท่หยวนเปิดเที่ยวบินตรงไปยังไทยเลยคิดว่าต้องกลับมาเที่ยวอีก” หวัง กล่าว

ทั้งนี้ ไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่ครองความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวจีนมากที่สุดแห่งหนึ่งได้ประกาศนโยบายฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นระยะเวลา 5 เดือน ทำให้ปริมาณการสอบถามและจองการเดินทางสู่ไทยและพื้นที่โดยรอบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนโยบายดังกล่าวช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายราว 500 หยวน (ราว 2,500 บาท)

ด้านข้อมูลจากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการด้านการเดินทางหลายรายบ่งชี้ว่าการท่องเที่ยวต่างประเทศได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหยุดยาวเนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีนปีนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงหยุดยาวแรกหลังจากการท่องเที่ยวต่างประเทศของจีนเปิดกว้างเต็มรูปแบบในขั้นพื้นฐาน โดยสถิติจากแพลตฟอร์มซีทริป ฟลิกกี และอื่นๆ ระบุว่าการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงหยุดยาวดังกล่าวของปีนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 20 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมองว่าจีนในฐานะแหล่งนักท่องเที่ยวขาออกขนาดใหญ่ที่สุดของโลกจะมีบทบาทเชิงบวกต่อการฟื้นฟูการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะหลังจากเร่งเปิดกว้างการเดินทางท่องเที่ยวแบบหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ โดยผลสำรวจจากพีดับบลิวซี (PwC) พบว่าชาวจีนร้อยละ 62 มีแนวโน้มเพิ่มการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ส่งสัญญาณอันดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การบริการ และการค้าปลีก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top