Saturday, 19 April 2025
ธนกรวังบุญคงชนะ

‘ธนกร’ ย้ำ รธน. มาจากเสียงส่วนใหญ่ หากจะยกร่าง ต้องถามปชช. ยืนยัน ไม่แก้ ‘หมวดความมั่นคง-พระมหากษัตริย์’

(30 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวภายหลังรัฐสภาร่วมลงมติเห็นชอบให้รัฐสภา ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ เป็นผู้เสนอ ว่า ตนเห็นด้วยที่ให้รัฐสภาสอบถามศาลรัฐธรรมนูญก่อน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ จะได้ไม่ขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4 / 2564 ถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ว่าสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ หรือมีอำนาจแค่แก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น ตามมาตรา 256 หรือไม่ ซึ่งตนและพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) น้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพราะมีผลผูกพันทุกองค์กร

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่า ปัญหาของประชาชนขณะนี้คือปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและรายได้ไม่เพียงพอ หนี้สินล้นพ้นตัว สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงรัฐบาล ควรมุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในเรื่องนี้ก่อน ตามที่นายกฯและรัฐบาลกำลังหาแนวทางดำเนินการแก้วิกฤตเศรษฐกิจด้วยมาตรการลดภาระค่าครองชีพในด้านต่าง ๆ และเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หากมีการผลักดันให้มีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งจำเป็นจะต้องทำประชามติในช่วงปีนี้ อาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล เพราะการทำประชามติ 1 ครั้งใช้งบฯ กว่า 3,200 ล้านบาทแล้ว หากต้องทำ 2-3 ครั้ง จะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณมากกว่า 9,600 ล้านบาท มองว่าควรเอางบประมาณในส่วนนี้ ลงไปอุดหนุนอุ้มค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถดำเนินการภายหลังได้

“การจะยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จำเป็นต้องถามประชาชนก่อน เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพ.ศ.2560 มาจากความเห็นชอบเสียงส่วนใหญ่กว่า 15 ล้านเสียง ที่ประชาชนไปออกเสียงประชามติมา

หากจำเป็นต้องยกร่างรัฐธรรมนูญทำประชามติกันจริง ๆ ตนและสส.รทสช. ก็ขอย้ำชัดในจุดยืนเดิม ว่า ต้องเขียนคำถามพ่วงให้ชัดเจน ว่าจะไม่มีการแก้ไข ไม่ไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในเนื้อหา ต้องไม่แก้ไขกฎหมายเกี่ยวการทุจริต ประพฤติมิชอบ ที่เขียนไว้อย่างดีรอบคอบแล้ว“ นายธนกร ย้ำ

‘ธนกร’ ฟาดใส่ ‘ชัยธวัช’ เป็นถึงทนาย ควรดูข้อกฎหมายให้ชัด หลังออกมาพูด ‘ศาลรธน.ไม่มีอำนาจยุบพรรค’ ชี้ มีเจตนาแอบแฝง

(7 เม.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่าตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ไม่มีข้อไหนให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง ว่า ก่อนที่นายชัยธวัชจะออกมาพูดแบบชัดถ้อยชัดคำนั้นได้ศึกษาและดูรายละเอียดข้อกฎหมายในรัฐธรรมนูญมาก่อนแล้วหรือไม่ จะเป็นไปได้หรือ ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยื่นคำร้องไปโดยไม่ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจ ตนเชื่อว่า กกต.ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบ

พรรคการเมืองนั้น รู้บทบาทและข้อกฎหมายเป็นอย่างดี และล่าสุดอดีตกกต. ก็ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า นายชัยธวัชน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนและหาก กกต.พบว่ามีพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองสามารถส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้ทำการยุบพรรคได้ รวมถึงตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคโดยไม่ได้กำหนดกรอบเวลาด้วย

เมื่อถามว่า แต่การออกมาพูดว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบพรรค เหมือนเป็นการลดทอนความเชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า ตนไม่ทราบเจตนาเบื้องลึกของนายชัยธวัช ว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่ขอเรียกร้องให้ทั้งนายชัยธวัช และพรรคก้าวไกลไม่ก้าวล่วงอำนาจศาล ที่มีอำนาจหน้าที่ โดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่เป็นการสร้างความสับสน ไม่ไปลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมลง มองว่า ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันหากทำผิดก็ต้องรับโทษ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน

“คุณชัยธวัช เรียนกฎหมายเป็นถึงทนายความ ก่อนจะพูดอะไรต้องไตร่ตรองและตรวจสอบความถูกต้องให้ดี ไม่ควรพูดเพื่อสร้างความสับสน ทำให้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ จึงไม่แน่ใจว่าคุณชัยธวัชมีเจตนาใดแอบแฝงหรือไม่ จึงขอเรียกร้องให้ทุกคนเคารพกฎหมาย หากทำผิดก็ต้องยอมรับ ไม่ควรไปก้าวล่วงศาล หรือใช้วาทกรรมด้อยค่า” นายธนกร กล่าว

‘ธนกร’ ต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เหมารวมยกเข่ง ‘ม.110-ม.112’ ย้ำ!! จะขอค้านให้ถึงที่สุด จะให้ผู้ใดมาละเมิด ‘สถาบันเบื้องสูง’ ไม่ได้

(20 เม.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย สรุปให้ชัดเจนเกี่ยวกับคำนิยามเรื่อง 'แรงจูงใจทางการเมือง' และความผิด 25 ฐานที่มีมูลเหตุจากแรงจูงใจทางการเมืองใดว่าเข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรมบ้าง ตนขอให้พิจารณาไม่รวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และมาตรา 112 ซึ่งเกี่ยวกับการประทุษร้ายหมิ่นประมาทฯสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาท ขอให้กมธ.อนุกมธ.พิจารณาให้รอบคอบ เพราะความผิดทั้ง 2 มาตรา เป็นความผิดร้ายแรง กระทบต่อความมั่นคงของรัฐซึ่งประมุขของประเทศ ซึ่งไม่สามารถยอมรับได้

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้แม้ว่าบางพรรคการเมืองได้เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่รวมความผิดเกี่ยวกับมาตราดังกล่าวให้ได้รับการนิรโทษกรรมต่อสภามาแล้วก็ตาม แต่ตนขอย้ำในหลักการกฎหมาย ว่าไม่เห็นด้วย อย่างยิ่งและขอคัดค้านจนถึงที่สุด เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้

“ขอเรียกร้องไปยัง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พิจารณาตามหลักกฎหมายให้ดี ให้ถูกต้อง รอบคอบ เพื่อสรุปกำหนดนิยาม เรื่อง แรงจูงใจทางการเมือง ต้องไม่เหมารวมผู้กระทำความผิดร้ายแรงตามมาตรา110 และ112 ให้ได้รับการนิรโทษกรรม แต่หากกลับกันมีการเหมารวมยกเข่ง เชื่อว่าเรื่องนี้จะทำให้คนทั้งประเทศที่รักเทิดทูนและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นออกมาคัดค้านในเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอนรวมทั้งผมด้วย“นายธนกร ระบุ

‘ธนกร’ เชื่อปรับทัพ ครม.เศรษฐา 2 ผู้ใหญ่ดูตามเหมาะสม ยัน!! ไม่มีปัญหาภายในพรรค ทุกคนช่วยกันทำงานเพื่อปชช. 

(21 เม.ย.67) ที่สโมสรราชพฤกษ์ นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวปรับ ครม. ว่าสมัยหน้าจะได้เข้าร่วมหรือไม่ นายธนกร เผยว่า ไม่ทราบ ทุกอย่างอยู่ที่หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ส่วนที่กระแสข่าวว่ามีความขัดแย้งภายในพรรคนั้น ยืนยันว่าไม่มี ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ทุกคนก็คุยกันดี ทุกอย่างอยู่ที่ความเหมาะสมและผู้ใหญ่ภายในพรรค

เมื่อถามย้ำว่า กระแสข่าวความขัดแย้งภายในพรรครวมไทยสร้างชาติมาได้อย่างไร นายธนกร ย้ำว่า ตนไม่เข้าใจว่ามีข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร ภายในพรรคไม่ได้มีความขัดแย้ง และแกนนำก็รู้จักกันมานาน สามารถพูดคุยกันได้ ที่ผ่านมาหัวหน้าพรรคเองก็ทำหน้าที่อย่างดี พูดกับสมาชิกเสมอว่าเมื่อถึงเวลาเหมาะสม ไม่มีใครยึดติดกับตำแหน่ง ทุกอย่างอยู่ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ภายในพรรค

มองว่าเป็นการสร้างกระแสตีข่าวขึ้นมาหรือไม่นั้น ตนงงว่ามีปัญหาเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่มี ทุกอย่างพูดจาได้ แต่ละคนที่อยู่ในกระแสข่าวก็เป็นรัฐมนตรีมาหมดแล้ว ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่สาระสำคัญ ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องทำงานให้กับประชาชน หลายอย่างดีขึ้น เอาเวลาไปทำงานให้กับประชาชนจะดีกว่า ทั้งนี้ การปรับ ครม. ในช่วงเดือนหน้า ก็ต้องถามกรรมการบริหารพรรค ตนเป็นรองหัวหน้าพรรค ไม่ใช่กรรมการบริหาร

เมื่อถามว่า มองการทำงานของพรรคในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาอย่างไร นายธนกร เผยว่า รัฐมนตรีทั้งสี่คนมีผลงานตลอด รวมถึง นายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรฯ ที่ถูกมองว่าไม่มีผลงาน ตนมองว่าท่านก็มี เพราะท่านดูแลในเรื่องของภาคเกษตร รวมถึง หัวหน้าพรรค รมว.อุตสาหกรรม รมช.คลัง ก็มีผลงาน ท่านทำงานดี

เมื่อถามถึงกระแสพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจจะได้โควตารมต.กลาโหม นายธนกร ปฎิเสธว่า ไม่ทราบ

ส่วนจะมีข้อตกลงหรือไม่ว่า จะเป็นสมบัติผลัดกันชมหรือไม่ นายธนกร ย้ำว่า อย่าพูดแบบนั้น ในพรรคเราพูดกันตลอด หัวหน้าพรรคก็บอกตลอดว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีไม่มีใครยึดติดในตำแหน่ง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะมีการสลับสับเปลี่ยน แต่เราไม่ได้เล่นเก้าอี้ดนตรี แค่เปลี่ยนแปลงการทำงานให้ดีขึ้นกว่าเดิม ที่ทำก็ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมทุกคนก็สามารถเข้าสู่เป้าหมายได้

พร้อมยืนยันว่า ตนยังไม่ได้รับสัญญาณจากผู้ใหญ่ อีกทั้งสุขภาพไม่ค่อยดี ช่วงหลังก็อยู่บ้านติดตามข่าวสารตลอดเวลา ปกติจะลงพื้นที่ตลอด ตนทำงานในสภาก็เต็มที่

‘ธนกร’ ซัด ‘ปิยบุตร’ สนแต่ปลุกนิรโทษฯ คนผิด ม.112 แต่ไม่เคยหนุนจัดการ ‘คนบิดเบือน-เบื้องหลังเยาวชน’

(17 พ.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เรียกร้องให้ผู้มีอำนาจและรัฐบาล ตรากฎหมายนิรโทษกรรมโดยรวมคดีผู้กระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เข้าด้วย หลังเกิดเหตุ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ เสียชีวิตในเรือนจำ โดยอ้างว่าคดีนี้มีแรงจูงใจจากการเมือง ว่า ส่วนตัว ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว ‘บุ้ง’ ด้วย เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ตนก็ไม่เห็นด้วยกับทั้งการแก้ไขมาตรา 112 รวมถึงการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดในคดีมาตรา 112 ดังกล่าว เพราะถือเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ และย้ำมาโดยตลอด ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงขอคัดค้านหากมีผู้เสนอให้รวมคดีนี้ เป็นคดีการเมือง เพราะมาตราดังกล่าวถือเป็นความมั่นคงของชาติที่ต้องมีไว้ปกป้องประมุขแห่งรัฐ ซึ่งผู้ใดจะละเมิดมิได้ ซึ่งควรมุ่งไปแก้ไขที่ต้นเหตุ คือผู้ที่ให้ข้อมูลบิดเบือน และอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวมากกว่า หากไม่มีผู้ใหญ่กลุ่มนี้ คอยยุยง ส่งเสริมให้ข้อมูลผิด ๆ คงไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

เมื่อถามว่า กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวต้องการให้มีการแก้กฎหมายเกี่ยวกับการประกันตัวนั้น? นายธนกร กล่าวว่า กฎหมายให้สิทธิขั้นพื้นฐานแก่ผู้ต้องหาตามกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งในกรณีของ ‘บุ้ง’ นั้น ต้องแยกส่วน เรื่องศาลถอนประกันกับการประกาศอดอาหาร เป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งการถอนประกัน ตนเชื่อว่า ศาลมีการวินิจฉัยที่รอบคอบพิจารณาจากหลักฐานและพฤติการณ์การกระทำความผิดซ้ำหรือไม่ ซึ่งถือว่าเป็นดุลยพินิจของศาล ตนไม่ขอก้าวล่วง

ทั้งนี้ตนเห็นด้วยที่ก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมมีคดีที่มาจากแรงจูงใจทางการเมือง มีข้อสรุปออกมาค่อนข้างชัดเจนแล้ว ว่า เรื่องการกระทำความผิดตาม ป.อาญา ม.112 นั้น ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและหลายฝ่ายไม่เห็นด้วย การจะนิรโทษกรรม ควรเป็นคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ทั้งที่เป็นแกนนำและมวลชนที่ร่วมชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน หากเป็นคดีที่ไม่ร้ายแรง ก็เข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรมได้

“คนที่พูดกล่าวหา ให้ร้ายดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำผิดมาตรา 112 แบบซ้ำซาก หากมีการเหมารวมยกเข่งนิรโทษกรรมให้คนเหล่านี้ ถือเป็นการ เหยียบย่ำหัวใจคนไทยมากเกินไป เพราะกฎหมายนี้ มีไว้ปกป้องประมุขของประเทศไม่ให้ถูกละเมิด เชื่อว่า ถ้านิรโทษฯ ให้ไม่มีใครรับได้แน่นอน” นายธนกร กล่าว

‘รทสช.’ กำชับ สส.พรรค ห้ามยุ่งเกี่ยวผู้สมัคร สว. สร้างความชอบธรรมให้สภาสูงแยกจากการเมือง

(24 พ.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติได้มีการกำชับสมาชิก และสส. ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ที่มีการเปิดรับสมัครวันนี้เป็นวันสุดท้าย เพื่อไม่ให้ขัดต่อกฎหมายและคงเจตนารมณ์ของความเป็นอิสระของสภาสูงให้แยกออกจากการเมืองเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน ให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้แจ้งเตือนไปยังผู้สมัครและพรรคการเมืองแล้ว หากมีการตรวจสอบพบว่าผู้สมัครคนใดยินยอมให้ผู้ที่มีตำแหน่งทางการเมือง รวมถึง กรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นใดในพรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เข้ามาช่วยเหลือผู้สมัครไม่ว่ากรณีใด ๆ หากฝ่าฝืน จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท   หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี 

“ท่านหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคและผู้บริหารรวมไทยสร้างชาติ ได้กำชับ สส. และการเมืองทุกระดับไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือผู้สมัครสว. เพราะถือว่าเป็นตำแหน่งที่ต้องได้มาด้วยความอิสระ โปร่งใส ไม่ยึดโยงกับพรรคหรือกลุ่มการเมือง เพื่อผู้ที่ได้รับตำแหน่งจะเข้ามาปฎิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อติดตามตรวจสอบและออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติในอนาคต โดยเชื่อว่าการสมัครสว. วันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้าย จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย” นายธนกร กล่าว

‘ธนกร’ เผย ‘พีระพันธุ์’ กำชับ สส. ของพรรค ให้ลุยงานเพื่อ ปชช. เดินหน้าในสภาอย่างต่อเนื่อง ชี้!! วาระด่วนเร่ง ‘แก้ กม.ประชามติ-ถกงบ 68’

(1 มิ.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ช่วงที่ปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้าง ได้กำชับ สมาชิกและสส. ของพรรค ให้ลงพื้นที่รับฟังเสียงประชาชนและทำงานอย่างต่อเนื่อง และเป็นช่วงปิดสมัยประชุมก็ตาม เพื่อสานต่ออุดมการณ์พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้สมาชิกรวมทั้งสร้างชาติทุกคนทำงานเพื่อชาติสถาบันพระมหากษัตริย์และเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำแล้ว ก็ยังคง เดินหน้า ทำต่อไป 

ทั้งนี้ ล่าสุดมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สส. รวมไทยสร้างชาติพร้อมที่จะร่วมประชุมอย่างเต็มที่เพื่อมีการพิจารณากฎหมายสำคัญโดยเฉพาะ วันที่ 18 มิ.ย. 67 มีการพิจารณาเนื้อหาการเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่) พ.ศ. ของรัฐบาล โดยจะมีการแก้เนื้อหา เช่นวันที่ให้ประชาชนเดินทางไปออกเสียงประชามติ,การเพิ่มช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการออกเสียง เป็นต้น

ส่วนวันที่ 19-21 มิ.ย.67 จะเป็นการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 เพื่อการพิจารณาวางกรอบงบประมาณการใช้จ่ายให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล กระทรวงและหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ จะส่งผลให้การดูแลพี่น้องประชาชนได้ดีมากยิ่งขึ้น

“รวมไทยสร้างชาติทุกคนเรา มี DNA จิตวิญญาณอุดมการณ์การทำงานการเมือง จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่แรกเริ่ม แม้เวลาผ่านไปและพล.อ.ประยุทธ์จะไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองแล้ว วันนี้เรายังคงยึดมั่นในอุดมการณ์เช่นเดิม คือการทำเพื่อชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์และเพื่อประชาชนเป็นที่ตั้ง ตามแนวนโยบายของลุงตู่เสมอมา ไม่ว่าจะทำงานในสภาหรือการทำงานพื้นที่ลงพบปะรับฟังเสียงสะท้อนปัญหาจากประชาชน สิ่งที่ทำแล้ว ยังคงทำอยู่ และมุ่งมั่นทำต่อไป” นายธนกร กล่าว

‘ธนกร’ ติง ‘ชัยธวัช’ ก้าวล่วงอำนาจศาล กังวลได้แต่อย่าใช้อารมณ์ หลังพาดพิงปัจจัยการเมือง เอี่ยวคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล

(5 มิ.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า กรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สื่อถึงคำร้องยุบพรรคก้าวไกล หลังเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ.เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีการพูดพาดพิงว่ามีปัจจัยทางการเมืองเกือบทั้งหมด มาเกี่ยวข้องกับคำวินิจฉัยของศาลที่จะออกมา มองว่าการแสดงความเห็นของนายชัยธวัชในลักษณะนี้ ถือเป็นการกล่าวหาและก้าวล่วงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ท่าน ล้วนมีการพิจารณาวินิจฉัยแต่ละคดี ตามหลักข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งคดีนี้จากที่มองพฤติกรรมก็เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน และสื่อมวลชนอยู่แล้วว่าพรรคก้าวไกลเป็นอย่างไร ตนมั่นใจ ว่าคำวินิจฉัยในแต่ละคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาตามนั้น เป็นไปตามข้อเท็จจริงและตามหลักกฎหมาย ไม่สามารถ ปล่อยให้นักการเมืองเข้ามาแทรกแซงเพื่อกลั่นแกล้งพรรคใดพรรคหนึ่งได้ หากไม่มีมูลความผิด

“เข้าใจว่านายชัยธวัช มีความกังวล จนพาลโทษคนอื่นไปทั่ว การกล่าวหาว่าปัจจัยการเมืองแทรกแซงคำวินิจฉัยนั้น ถือว่าเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาลหรือไม่และเป็นคำกล่าวหาที่รุนแรง ขอให้นายชัยธวัชยอมรับ หากสุดท้ายคำวินิจฉัยจะออกมาเป็นคุณ หรือ เป็นโทษก็ตาม ไม่ควรใช้อารมณ์ ความกังวล หรือความกลัวจะถูกยุบพรรคเป็นครั้งที่ 2 มากล่าวหาแบบมีอคติ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง” นายธนกร ติง

‘ธนกร’ ยกผลโพล ‘นิรโทษกรรมฯ ฉบับปชช.’ ไม่เห็นด้วย 64.66% เชื่อ!! เจตจำนงคนส่วนใหญ่ต้องการยึดหลักกฎหมายที่ควรจะเป็น

(14 มิ.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมคดีการเมือง พ.ศ.(ฉบับประชาชน) ซึ่งรวมมาตรา 112 ผ่านเว็บไซต์สภาผู้แทนราษฎร ระหว่าง 13 พ.ค. - 13 มิ.ย. 2567 รวม 1 เดือนเต็ม ซึ่งมีประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นทั้งหมด 90,533 ราย โดยมีผู้ที่ไม่เห็นด้วย 64.66% ส่วนที่เห็นด้วยเพียง 35.34 % ถือเป็นความตื่นตัวของประชาชนที่ให้ความสนใจต่อเรื่องดังกล่าวอย่างมาก และส่วนใหญ่เสียงที่ออกมาสะท้อนถึงเจตจำนงในการยึดหลักกฎหมายที่ควรจะเป็น 

พร้อมมองว่า ส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยเนื่องจากร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรมคดีการเมืองฉบับประชาชน มีการเสนอให้รวมคดีที่มีผู้กระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เกี่ยวกับการดูหมิ่นก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ คดีทุจริตประพฤติมิชอบของนักการเมือง และคดีความผิดที่ถึงแก่ชีวิต ซึ่งล้วนแต่เป็นคดีที่มีโทษร้ายแรงและความผิดที่ประชาชนไม่สามารถรับได้หากมีการนิรโทษกรรม

เมื่อถามว่า ผลสำรวจความเห็นเรื่องนิรโทษกรรมคดีการเมืองฉบับประชาชนสะท้อนอะไรถึงร่างนิรโทษกรรมที่กรรมาธิการกำลังพิจารณาอยู่นั้น นายธนกร กล่าวว่า มองสะท้อนภาพใหญ่ ถึงความคิดเห็นประชาชน ทั้งประเทศที่ต้องการบอกเจตจำนงว่า การพิจารณากฎหมายสำคัญโดยเฉพาะเรื่องการนิรโทษกรรมต้องอยู่ในกรอบที่เป็นคดีการเมืองจริง ๆ แม้ว่าบางคดีอาจจะมีการอ้างเรื่องแรงจูงใจทางการเมือง แต่ไปเกี่ยวโยงกับคดีมาตรา 112 ตนคิดว่ากรรมาธิการเองก็ต้องรับฟังเสียงประชาชน เพราะกฎหมายอะไรที่ผ่านสภาออกไป ต้องเป็นที่ยอมรับของสังคมด้วย เพราะหากค้านสายตาประชาชนอาจเป็นการสร้างข้อขัดแย้งใหม่ขึ้นในประเทศได้

“กมธ.วิสามัญศึกษาแนวทางตราพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ควรเปิดรับฟังความเห็นทุกฝ่ายรอบด้าน เช่นเดียวกับฉบับประชาชนที่สภาผู้แทนราษฎรได้เปิดให้แสดงความเห็นตลอด1 เดือนเต็ม ผ่านเว็บไซต์ของสภามาแล้ว เพื่อให้เกิดความรอบคอบ ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นที่ยอมรับของสังคม เพราะคดี ม.112 คดีทุจริตประพฤติมิชอบ และคดีที่ทำให้เกิดการเสียชีวิต ถือเป็นคดีอาญาร้ายแรงและไม่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง เชื่อว่าคนไทยรับไม่ได้หากมีการรวมด้วย กมธ.จึงไม่ควรที่จะลังเลนำเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนกระทบจิตใจคนไทยแบบนี้ เข้าไปพิจารณารวมอยู่ในร่างนิรโทษกรรมด้วย“ นายธนกร ย้ำ

‘ธนกร’ เผย ‘รทสช.’ พร้อมพิจารณางบฯ 68 ชี้!! ยึดประโยชน์ ปชช.-ประเทศชาติ  ดักคอ!! ‘ฝ่ายค้าน’ อภิปรายงบไม่ใช่ซ้อมซักฟอกรัฐบาล แนะ ‘ใช้เวลาคุ้มค่า-สร้างสรรค์’

(16 มิ.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวว่า ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรครวมไทยสร้างชาติ มีความพร้อมในการร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19-21 มิถุนายนนี้ ซึ่งการใช้เวลา 3 วันถือว่าเพียงพอ  รัฐบาลทุกกระทรวงมีความพร้อมชี้แจงงบประมาณ รวมถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรมและที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมพิจารณางบประมาณ แผ่นดินอย่างรอบคอบ มีความคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ มั่นใจว่า จะผ่านการพิจารณาของสภา เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามกรอบเวลาไม่ล่าช้า

ทั้งนี้อยากเห็นการอภิปรายของฝ่ายค้านเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ รักษาเวลา รักษา ระเบียบการประชุม เพื่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศ หากมีการตรวจสอบและข้อเสนอแนะ สามารถทำได้ตามหลักการ ไม่ใช้อารมณ์ หรือ วาทกรรมทางการเมือง ตนไม่อยากเห็นการใช้เวทีอภิปรายงบประมาณ เป็นเวทีซักซ้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างที่เคยเกิดขึ้น  

“ฝากไปถึงฝ่ายค้าน ขอให้ใช้เวลาอภิปรายงบ 68 อย่างคุ้มค่า สร้างสรรค์ อยู่ในกรอบตามวาระ ไม่ใช่ ใช้เวทีสภาซ้อมซักฟอกรัฐบาลเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ขอให้หลีกเลี่ยงการใช้วาทกรรมที่รุนแรง เลี่ยงการสร้างคอนเทนต์ดราม่าเพื่อเอาไปลงในโซเชียล ขอให้ยึดผลประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ไม่คิดตีกินทางการเมือง” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top