Monday, 19 May 2025
ทรัมป์

รมว.คลังสหรัฐฯ แนะประเทศทั่วโลก ‘อย่าตอบโต้ นั่งนิ่งๆ และยอมรับมัน’ เพื่อป้องกันการยกระดับความขัดแย้ง หลังทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีใหม่

(3 เม.ย. 68) สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้แสดงความเห็นในระหว่างการประชุมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศว่า ประเทศต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงการตอบโต้มาตรการภาษีที่ประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้กำหนดภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทั่วโลก เพื่อป้องกันการยกระดับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ

เบสเซนต์กล่าวว่า “คำแนะนำของผมสำหรับทุกประเทศในตอนนี้คืออย่าตอบโต้ นั่งนิ่งๆ ยอมรับมัน แล้วมาดูกันว่ามันจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าคุณตอบโต้ สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลง” โดยเบสเซนต์กล่าวในการสัมภาษณ์ในรายการ Special Report ไม่นานหลังจากการประกาศดังกล่าว 

ในระหว่างการประชุม เบสเซนต์เน้นย้ำว่า การตอบโต้ภาษีของทรัมป์อาจไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว ทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง “ถ้าคุณไม่ตอบโต้ นี่คือจุดสูงสุด” 

ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการภาษีใหม่เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และลดการขาดดุลทางการค้ากับประเทศต่างๆ ซึ่งทำให้หลายประเทศตั้งคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และบางประเทศได้แสดงท่าทีที่ต้องการตอบโต้

ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงยืนยันในความจำเป็นของมาตรการดังกล่าว เบสเซนต์เตือนว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจยืดเยื้อและขยายวงกว้าง หากไม่มีการเจรจาและหาทางออกที่สมดุลและยุติธรรมต่อทุกฝ่าย

นอกจากนี้ เบสเซนต์กล่าวกับเบร็ต ไบเออร์ หัวหน้าผู้ประกาศข่าวสายการเมืองของ Fox News ว่าเป้าหมายของการเก็บภาษีศุลกากรคือการสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว “เรากำลังกลับสู่วิถีทางที่ดี” เขากล่าว โดยโจมตีรัฐบาลของไบเดนเรื่องการใช้จ่ายรัฐบาลที่ “มหาศาล” 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวเสริมว่า รัฐสภากำลังดำเนินการเพื่อให้ผ่านร่างกฎหมายภาษี เนื่องจากฝ่ายบริหารกำลังพยายามทำให้ การลดหย่อนภาษีของทรัมป์ในปี 2017 เป็นแบบถาวร

“ยิ่งเราสามารถได้รับความแน่นอนเรื่องภาษีได้เร็วเท่าไหร่ เราก็สามารถเตรียมการสำหรับการกลับมาเติบโตได้เร็วเท่านั้น” เบสเซนต์กล่าว

อีลอน มัสก์ จ่อถอนตัวจากบทบาท ‘พนักงานรัฐบาลพิเศษ’ หลังพบแรงต้านในกลุ่มรัฐบาลสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการเมือง

(3 เม.ย. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แจ้งกับบุคคลใกล้ชิด รวมถึงสมาชิกคณะรัฐมนตรีว่า อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเทสลาและเอ็กซ์ (X) เตรียมถอนตัวจากบทบาท “พนักงานรัฐบาลพิเศษ” ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มพันธมิตรของรัฐบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่บางรายที่เริ่มมองว่ามัสก์เป็น “ภาระทางการเมือง” และเชื่อว่าการที่เขามีบทบาทในรัฐบาลสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับกลุ่มพันธมิตรและความเชื่อมั่นในรัฐบาล

มัสก์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่พนักงานรัฐบาลพิเศษ หรือบทบาทในกรมประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE) เพื่อช่วยเสริมสร้างนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในสหรัฐฯ มีบทบาทที่สำคัญในหลายโครงการรัฐบาล แต่กระแสความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นจากบางส่วนในรัฐบาล ทำให้การตัดสินใจถอนตัวของมัสก์กลายเป็นเรื่องที่ได้รับการจับตามอง

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลคนหนึ่งกล่าวว่า มัสก์มีแนวโน้มที่จะยังคงมีบทบาทอย่างไม่เป็นทางการในฐานะที่ปรึกษา และยังคงเป็นบุคคลภายนอกที่ปรากฏตัวเป็นครั้งคราวในบริเวณทำเนียบขาว ส่วนอีกคนหนึ่งเตือนว่าใครก็ตามที่คิดว่ามัสก์จะหายไปจากวงโคจรของทรัมป์ เขาคนนั้นกำลังหลอกตัวเอง

แหล่งข่าวระบุว่า มัสก์จะถอนตัวจากบทบาทนี้ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ยังไม่ได้มีการประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการในอนาคตของเขา โดยคาดว่าเขาจะมุ่งเน้นที่การพัฒนาธุรกิจส่วนตัวและการลงทุนในเทคโนโลยีต่อไป

“สักวันหนึ่ง อีลอนคงอยากจะกลับไปที่บริษัทของเขา เขาต้องการแบบนั้น ผมจะเก็บเขาไว้ตราบเท่าที่ผมยังเก็บเขาไว้ได้” ทรัมป์กล่าวกับนักข่าว

เบร็ท แบเยอร์ จาก Fox News ถามมัสก์เมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขาพร้อมที่จะลาออกหรือไม่เมื่อสถานะพนักงานพิเศษของรัฐบาลของเขาสิ้นสุดลง เขาก็ได้ประกาศว่าภารกิจของเขาสำเร็จลุล่วงแล้ว โดยกล่าวว่า “ผมคิดว่าเราจะบรรลุภารกิจส่วนใหญ่ที่จำเป็นเพื่อลดการขาดดุลลง 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในกรอบเวลาดังกล่าว”

รัสเซียไม่อยู่ในรายชื่อขึ้นภาษีของทรัมป์ สื่อมอสโกเผย เพราะถูกคว่ำบาตรอยู่แล้ว

(4 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยรายชื่อประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ภายใต้แผนการใหม่เพื่อ 'ปกป้องเศรษฐกิจอเมริกัน' โดยระบุว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ และส่งเสริมภาคการผลิตภายในประเทศให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์และผู้นำหลายชาติในโลกตะวันตก คือ “รัสเซียไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศเป้าหมาย” รวมถึงคิวบา เบลารุส และเกาหลีเหนือ ก็ไม่ได้รวมอยู่ในมาตรการดังกล่าวด้วยท่ามกลางความคาดหวังของหลายฝ่ายที่ต้องการเห็นสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการกดดันเพิ่มเติมต่อมอสโก ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่ยังคงดำเนินต่อไปในหลายประเด็น

เมื่อวันพฤหัสบดี สื่อรัสเซียยังโต้แย้งว่าประเทศของพวกเขาไม่อยู่ในรายชื่อภาษีศุลกากรครอบคลุมเนื่องจากมีการคว่ำบาตรที่มีอยู่แล้ว 

“รัสเซียไม่ได้ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรใดๆ แต่ไม่ใช่เพราะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ เพียงแต่เป็นเพราะชาติตะวันตกได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรประเทศของเราแล้ว” สถานีโทรทัศน์ Rossiya 24 ของรัฐบาลกล่าว

ขณะเดียวกันยูเครนกำลังเผชิญกับภาษีนำเข้า 10 เปอร์เซ็นต์จากสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยูเลีย สวีรีเดนโก รองนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ กล่าวว่าภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่

ในปี 2024 ยูเครนส่งออกสินค้ามูลค่า 874 ล้านดอลลาร์ (ราว 31,901 ล้านบาท) ไปยังสหรัฐฯ และนำเข้า 3.4 พันล้านดอลลาร์จากสหรัฐฯ ตามที่รองนายกรัฐมนตรีกล่าว “ยูเครนมีสิ่งดีๆ มากมายที่จะมอบให้กับสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรและหุ้นส่วนที่เชื่อถือได้” เธอกล่าวเสริม “ภาษีศุลกากรที่เป็นธรรมจะส่งผลดีต่อทั้งสองประเทศ”

บรรดาชาติพันธมิตรในยุโรปแสดงความผิดหวังต่อท่าทีดังกล่าว โดยมองว่า เป็นสัญญาณที่สหรัฐฯ อาจลังเลในการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเป็นมาตรการตอบโต้รัสเซีย ในขณะที่ชาติเหล่านั้นต่างกำลังแบกรับภาระจากการคว่ำบาตรที่ได้ประกาศใช้ไปก่อนหน้า

นักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสังเกตว่า การที่รัสเซียไม่ถูกรวมอยู่ในรายชื่อ อาจสะท้อนถึงเจตนาทางการเมืองบางประการของทำเนียบขาว หรืออาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ยังคงโยงใยกันอยู่ในระดับลึก

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ สื่อหลายสำนักรายงานว่ามีแรงกดดันเพิ่มขึ้นต่อฝ่ายบริหารของทรัมป์ให้ทบทวนจุดยืน พร้อมเรียกร้องให้มีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่มีต่อรัสเซียในระยะยาว

แผนขึ้นภาษีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและเตรียมเข้าสู่ขั้นตอนการอนุมัติในสภาคองเกรส โดยคาดว่าจะมีการถกเถียงกันอย่างเข้มข้นในประเด็น “สองมาตรฐาน” ที่หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามต่อการดำเนินนโยบายในครั้งนี้

‘ทรัมป์’ มั่นใจปิดดีล TikTok สำเร็จแน่นอน สื่อนอกเผย MrBeast - Amazon - Microsoft โผล่ร่วมวงซื้อ

(4 เม.ย. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาแสดงความมั่นใจว่า ข้อตกลงในการซื้อกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ จากบริษัท ByteDance ของจีนจะ “ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน” โดยย้ำว่า เป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อแก้ปัญหาความมั่นคงด้านข้อมูลและการควบคุมแพลตฟอร์มโดยรัฐบาลจีน

ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี (4 เม.ย.) ทรัมป์ระบุว่า การซื้อกิจการ TikTok ที่กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจานั้น “เดินหน้าไปได้ดี เราจะทำให้ TikTok อยู่ภายใต้เจ้าของชาวอเมริกัน และผมมั่นใจว่ามันจะเสร็จสิ้นอย่างเรียบร้อย”

ทรัมป์ซึ่งเคยพยายามผลักดันการขาย TikTok มาตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2020 กล่าวอีกว่า การที่บริษัทจีนอย่าง ByteDance ควบคุมข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน “เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้”

สำนักข่าว CBS รายงานว่า Amazon ได้ยื่นข้อเสนอนาทีสุดท้ายต่อทำเนียบขาวเพื่อซื้อ TikTok อย่างไรก็ตาม Amazon ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ จิมมี่ โดนัลด์สัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ MrBeast ยูทูบเบอร์ชื่อดังชาวอเมริกันที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก กล่าวว่าเขากำลังมองหาที่จะซื้อ TikTok เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนักลงทุน

ยังมีรายงานว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการประมวลผลอย่าง Microsoft, บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนจากภาคเอกชนอย่าง Blackstone, บริษัทเงินทุนเสี่ยงอย่าง Andreessen Horowitz และโปรแกรมค้นหาอย่าง Perplexity AI ก็กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อหุ้นด้วย

อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา TikTok เผชิญแรงกดดันจากหลายฝ่ายในสหรัฐฯ ที่มองว่าแอปพลิเคชันยอดนิยมนี้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ สอดแนม หรือ ชี้นำทางการเมือง โดยรัฐบาลปักกิ่ง ซึ่ง ByteDance ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด

การเจรจาขายกิจการในสหรัฐฯ ของ TikTok ยังคงเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองและความมั่นคง โดยคาดว่าหากดีลนี้เกิดขึ้นจริง จะมีการแยก TikTok US ออกเป็นหน่วยธุรกิจอิสระหรือขายให้กับผู้ลงทุนอเมริกัน

“เราต้องทำให้ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัย และเป็นของอเมริกา” ทรัมป์ทิ้งท้าย
 

‘ดร.อักษรศรี’ ชี้สงครามเศรษฐกิจสหรัฐฯ-จีน เสียหายกันถ้วนหน้า เตรียมรับมือ หุ้นร่วง ส่งออกไม่ได้ ทุนต่างชาติไม่มา นักท่องเที่ยวลด เศรษฐกิจฟุบ คนตกงาน

(6 เม.ย. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ว่า…

ทรัมป์เพิ่งโพสต์ว่า “จีนจะเจ็บตัวมากกว่าสหรัฐฯ” !! ความเป็นจริง คือ เจ็บทั้งคู่ และ 🌎 #เจ็บทั้งโลก 🌎 !!

งานนี้หนักนะคะ  🇺🇸 #ทรัมป์ กับ 🇨🇳 #สีจิ้นผิง ต่างคนต่างงัดไม้แข็งมาฟาดใส่กัน  #ตาต่อตาฟันต่อฟัน  ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแบบชาติเล็กๆ ที่มี #เศรษฐกิจเปราะบาง อย่างไทยก็คงรอดยาก !!

แม้ว่าคู่ชกหลักของสหรัฐฯ คือ จีน !! แต่ชาติอื่นที่อยู่ใน supply chain ห่วงโซ่อุปทานของสองมหาอำนาจนี้ก็ต้องโดนเลขหางไปด้วย  #โดนลากให้พังไปด้วยกัน 

นายกฯ #สิงคโปร์  เตือนชัดเจนแล้วนะคะ #ระบบเศรษฐกิจแบบเดิมถูกทุบพังทะลายลงแล้ว ระบบโลกาภิวัตน์แบบเดิมถูกสับถูกหั่นเป็นชิ้นๆ การค้าโลกหดตัว

โลกจะแบ่งค่ายแบ่งขั้วชัดเจน แต่ละชาติจะถูกบีบให้ต้องเลือกข้าง 

ผู้นำชาติไหนที่ยังคง #ชะล่าใจ ก็จะเจอ #ความหายนะ อย่างหนักก่อนใครเช่นกันค่าาา

หุ้นร่วง ส่งออกไม่ได้ ทุนต่างชาติ FDI ไม่มา นักท่องเที่ยวลด เศรษฐกิจฟุบ ปิดโรงงาน คนตกงาน ขาดรายได้ สังคมแตกแยกหนักกว่าเดิม ฯลฯ ฃ

#ความล่มจมทางเศรษฐกิจ มาจ่อรออยู่หน้าประตูบ้านแล้วนะ #ไทยแลนด์ 

ชุมนุม Hands Off แสดงความโกรธ ลุกฮือต่อต้านนโยบายทรัมป์ หลังการปิดหน่วยงานรัฐ ตัดงบสุขภาพ และการลดการคุ้มครองบุคคลข้ามเพศ

(6 เม.ย. 68) ฝูงชนที่โกรธแค้นต่อแนวทางการบริหารประเทศ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกมาเดินขบวนและรวมตัวกันในเมืองต่างๆ ของอเมริกาในวันเสาร์ที่ผ่านมา (5 เม.ย.) ซึ่งถือเป็นวันที่มีการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสหรัฐฯ

มีการจัดการชุมนุมที่เรียกว่า Hands Off! ขึ้นในสถานที่ต่างๆ กว่า 1,200 แห่งใน 50 รัฐโดยกลุ่มต่างๆ กว่า 150 กลุ่ม รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชน สหภาพแรงงาน ผู้สนับสนุนกลุ่ม LBGTQ+ ทหารผ่านศึก และนักรณรงค์การเลือกตั้ง การชุมนุมดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นไปอย่างสันติ โดยไม่มีรายงานการจับกุมใดๆ ในขณะนี้

ผู้ประท้วงหลายพันคนในเมืองต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่มิดทาวน์แมนฮัตตันไปจนถึงแองเคอเรจ รัฐอลาสก้า รวมถึงอาคารรัฐสภาหลายแห่ง โจมตีการกระทำของทรัมป์และมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์เกี่ยวกับการลดขนาดรัฐบาล เศรษฐกิจ การย้ายถิ่นฐาน และสิทธิมนุษยชน

อีกทั้ง ผู้ประท้วงถือป้ายที่มีคำเช่น “ต่อสู้กับกลุ่มผู้มีอำนาจปกครอง” พร้อมตะโกนขณะเดินขบวนไปตามถนนในพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน และลอสแองเจลิส ซึ่งพวกเขาเดินขบวนจากเพอร์ชิงสแควร์ไปยังศาลากลาง

การจัดการชุมนุมในครั้งนี้มาจากการที่ ผู้ประท้วงแสดงความโกรธต่อการเคลื่อนไหวของฝ่ายบริหารในการไล่พนักงานรัฐบาลหลายพันคน ปิด สำนักงานภาคสนามของสำนักงาน ประกันสังคมปิดหน่วยงานทั้งหมด ส่งตัวผู้อพยพกลับลดการคุ้มครองบุคคลข้ามเพศ และตัดงบประมาณโครงการด้านสุขภาพ

โดยก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ นักธุรกิจและนักลงทุน และที่ปรึกษาของทรัมป์ที่บริหาร Tesla, SpaceX และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X กลายมามีบทบาทสำคัญในการลดขนาดบริษัทในฐานะหัวหน้าแผนกประสิทธิภาพของรัฐบาลที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ เขาบอกว่าเขาช่วยประหยัดเงินภาษีของประชาชนได้หลายพันล้านดอลลาร์

ทำเนียบขาวกล่าวในแถลงการณ์ว่า “จุดยืนของประธานาธิบดีทรัมป์ชัดเจน เขาจะปกป้องประกันสังคม เมดิแคร์ และเมดิเคดให้กับผู้มีสิทธิ์ ในขณะเดียวกัน จุดยืนของพรรคเดโมแครตคือมอบสิทธิประโยชน์ประกันสังคม เมดิเคด และเมดิแคร์ให้กับคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งจะทำให้โครงการเหล่านี้ล้มละลายและทำลายผู้สูงอายุชาวอเมริกัน”

เคลลีย์ โรบินสัน ประธานกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน วิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติของรัฐบาลต่อชุมชน LBGTQ+ ในการชุมนุมที่เนชันแนล มอลล์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งสมาชิกรัฐสภาจากพรรคเดโมแครตก็ได้ขึ้นเวทีด้วย

“พวกเขากำลังตัดงบประมาณป้องกันเอชไอวี พวกเขากำลังทำให้แพทย์ ครู ครอบครัว และชีวิตของเรากลายเป็นอาชญากร พวกเราไม่ต้องการอเมริกาแห่งนี้ พวกเราต้องการอเมริกาที่เราสมควรได้รับ ซึ่งศักดิ์ศรี ความปลอดภัย และเสรีภาพ” โรบินสันกล่าว

โรเจอร์ บรูม วัย 66 ปี ผู้เกษียณอายุจากเดลาแวร์เคาน์ตี้ รัฐโอไฮโอ เป็นหนึ่งในหลายร้อยคนที่ออกมาชุมนุมที่รัฐสภาในโคลัมบัส เขาบอกว่าเขาเคยเป็นรีพับลิกันในสมัยเรแกน แต่ตอนนี้เขาไม่ชอบทรัมป์แล้ว “เขากำลังทำให้ประเทศนี้แตกแยก” บรูมกล่าว

สื่อแฉ ‘มัสก์’ ขอร้อง ‘ทรัมป์’ ไม่สำเร็จ หวังให้ยกเลิกเก็บภาษีนำเข้า ที่ทำหุ้น Tesla ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ดิ่งกว่า 42% นับตั้งแต่ต้นปี

(8 เม.ย. 68) สำนักข่าววอชิงตันโพสต์รายงานว่า อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเทสลาและหนึ่งในบุคคลทรงอิทธิพลแห่งวงการเทคโนโลยีระดับโลก ได้ร้องขอโดยตรงต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ให้ยกเลิกนโยบายการเก็บภาษีนำเข้าระดับสูง ซึ่งเป็นมาตรการตอบโต้ต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ แต่ไม่เป็นผล

แหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่า บทสนทนาระหว่างสองผู้นำทางธุรกิจและการเมืองในครั้งนี้มีความตึงเครียดอย่างชัดเจน และอาจนับเป็นรอยร้าวสำคัญระหว่างมัสก์ ผู้เคยให้การสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจเสรี กับทรัมป์ ผู้เดินหน้าดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าอย่างแข็งกร้าว

การเจรจาระหว่างทั้งสองเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าสหรัฐฯ โดยมีบางประเทศที่อาจถูกรีดภาษีเพิ่มขึ้นในระดับสูงเป็นพิเศษ

โดยก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ ได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ และยุโรป ยกเลิกภาษีศุลกากรระหว่างกัน โดยเขาย้ำว่า ภาษีนำเข้า ของสหรัฐฯ กำลังสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจของเขาเอง

คำเรียกร้องของมัสก์เกิดขึ้นในช่วงการปรากฏตัวผ่านวิดีโอคอลในการประชุมของพรรค League ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลฝ่ายขวาของอิตาลี ที่จัดขึ้นในเมืองฟลอเรนซ์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

มัสก์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังกล่าวอีกว่า การจัดเก็บภาษีศุลกากรระหว่างประเทศที่เป็นพันธมิตร เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ถือเป็นอุปสรรคทางเศรษฐกิจที่ไม่จำเป็น และควรมีการ ลดลงเหลือศูนย์ เพื่อช่วยลดต้นทุนและกระตุ้นการเติบโต

การเรียกร้องครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันอย่างหนักในบริษัทของเขาเอง หลังจาก ยอดขายรายไตรมาสของ Tesla ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ที่กำหนดอัตราขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด รวมถึงรถยนต์จากยุโรป

ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ ออกมาปฏิเสธแนวคิดของ มัสก์ ในวันจันทร์ (7 เม.ย.) พร้อมระบุว่าไม่แปลกใจที่ได้ยินข้อเสนอเช่นนี้จาก “เจ้าของโรงงานประกอบรถยนต์” 

เนื่องจากหุ้น Tesla ของอีลอน มัสก์ ปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ราคา 233.29 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งลดลงกว่า 42% นับตั้งแต่ต้นปี สะท้อนความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อทิศทางธุรกิจในอนาคต

ขณะเดียวกัน มัสก์กำลังถูกจับตามองจากบทบาทใหม่ในฐานะผู้ก่อตั้ง “แผนกประสิทธิภาพรัฐบาล” ซึ่งมีเป้าหมายในการลดการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ แต่กลับถูกวิจารณ์ว่ากลยุทธ์ของเขาอาจไม่ตอบโจทย์ความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนในปัจจุบัน

นักเศรษฐศาสตร์หลายรายเตือนว่า การขึ้นภาษีนำเข้าอาจทำให้เกิดเงินเฟ้ออีกระลอก เพิ่มภาระค่าครองชีพให้กับครอบครัวชาวอเมริกัน โดยบางครัวเรือนอาจต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มหลายพันดอลลาร์ต่อปี พร้อมเตือนว่าหากดำเนินต่อไป นโยบายนี้อาจเป็นหนึ่งในตัวจุดชนวนของภาวะ เศรษฐกิจถดถอย ในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ แม้มัสก์จะเคยสนับสนุนทรัมป์ในหลายโอกาส แต่ความเห็นต่างครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดภายในกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อการกำหนดนโยบายในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ

‘อีลอน มัสก์’ เดือดจวกที่ปรึกษาการค้าของทรัมป์เป็น ‘คนโง่’ ปมวิจารณ์มัสก์ไม่ใช่ผู้ผลิต Tesla แต่เป็นเพียงผู้ประกอบเท่านั้น

(9 เม.ย. 68) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและวิศวกรผู้เป็นเจ้าของบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำอย่าง Tesla เรียกที่ปรึกษาการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่าง ปีเตอร์ นาวาร์โร ว่าเป็น “คนโง่” จากความคิดเห็นที่เขาแสดงออกมาเกี่ยวกับบริษัท Tesla

มัสก์ ซึ่งเป็นสมาชิกรัฐบาลทรัมป์ โพสต์บนแพลตฟอร์ม X โซเชียลมีเดียของเขาเองว่า “Tesla มีรถยนต์ที่ผลิตในอเมริกามากที่สุด ส่วนนาวาร์โรนั้น โง่กว่ากระสอบอิฐ” ซึ่งเป็นการตอบรับการให้สัมภาษณ์ของนาวาร์โรที่วิจารณ์มัสก์ว่า “(เขา) ไม่ใช่ผู้ผลิตยานยนต์ เขาเป็นเพียงผู้ประกอบรถยนต์ในหลายๆ กรณี” นาวาร์โรกล่าว

โดยก่อนหน้านี้ นาวาร์โรสัมภาษณ์เกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ของทรัมป์ และกล่าวว่าในอนาคตเขาต้องการเห็นชิ้นส่วนต่างๆ ผลิตในสหรัฐฯ แต่มัสก์ซึ่งเคยแสดงท่าทีคัดค้านนโยบายการค้าของทำเนียบขาว กล่าวว่าคำกล่าวอ้างของนาวาร์โรเกี่ยวกับเทสลานั้น “เป็นเท็จอย่างชัดเจน”

การทะเลาะวิวาทครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณความขัดแย้งต่อสาธารณะมากที่สุดระหว่างทีมการค้าของทรัมป์กับมัสก์ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกและเป็นหัวหน้าแผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล (Doge) ซึ่งมีหน้าที่ในการลดขนาดและการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง

ต่อมาในวันอังคาร แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ถูกถามถึงการโต้เถียงระหว่างมัสก์และนาวาร์โร เธอบอกกับนักข่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนมีมุมมองที่แตกต่างกันมากในเรื่องการค้าและภาษีศุลกากร”

“เด็กผู้ชายก็คือเด็กผู้ชาย และเราจะปล่อยให้พวกเขาสู้กันต่อในที่สาธารณะต่อไป” ลีวิตต์กล่าว

ทรัมป์ได้ให้เหตุผลบางส่วนในการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก โดยกล่าวว่าเขาต้องการฟื้นการผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นข้อโต้แย้งที่นาวาร์โรได้หยิบยกขึ้นมาในระหว่างการปรากฏตัวทางสถานีข่าว CNBC เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา 

“หากคุณมองไปที่อุตสาหกรรมรถยนต์ของเรา ถูกต้องแล้ว ตอนนี้เราเป็นสายการประกอบเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของเยอรมัน เรากำลังจะไปถึงจุดที่อเมริกาผลิตสิ่งของต่างๆ อีกครั้ง ค่าจ้างที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้น กำไรจะเพิ่มขึ้น” นาวาร์โรกล่าว

แดน ไอฟส์ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกล่าวว่าบริษัทมีความเสี่ยงต่อภาษีศุลกากรน้อยกว่าผู้ผลิตยานยนต์รายอื่นๆ ในสหรัฐฯ เช่น GM, Ford และ Stellantis พร้อมอ้างว่าบริษัทจัดหาชิ้นส่วนส่วนใหญ่จากนอกสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะจีน

“ภาษีในรูปแบบปัจจุบันจะส่งผลกระทบต่อ Tesla และห่วงโซ่อุปทานโดยรวม สำหรับฐานการดำเนินงานทั่วโลก ซึ่งนับเป็นข้อได้เปรียบที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่กำลังเติบโต เช่น BYD ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา” เขากล่าว

ด้าน เจฟฟรีย์ ซอนเนนเฟลด์ คณบดีและศาสตราจารย์ของ Yale School of Management ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงานพบปะผู้บริหารธุรกิจในกรุงวอชิงตันเมื่อเดือนที่แล้ว กล่าวว่า มัสก์กำลังแสดงออกถึงสิ่งที่ CEO ชาวอเมริกันหลายคนคิดแต่ลังเลที่จะพูดต่อสาธารณะเกี่ยวกับนโยบายการค้าของทรัมป์

“79% คือคนที่บอกว่าพวกเขารู้สึกอายต่อหน้าพันธมิตรระหว่างประเทศ และ 89% บอกว่าเรื่องนี้ทำให้เราเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยโดยไม่จำเป็น และมีนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาด” นายซอนเนนเฟลด์กล่าวกับ BBC โดยอ้างถึงการสำรวจที่จัดทำขึ้นในงานที่เขาเป็นเจ้าภาพ

ขณะที่ บิล อัคแมน ผู้จัดการกองทุนมหาเศรษฐี ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนทรัมป์อีกรายหนึ่ง ได้เรียกร้องให้หยุดการจัดเก็บภาษีศุลกากร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด “ผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลก”

ประธานอาเซียน วอนสมาชิกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผนึกกำลัง ย้ำความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว รับมือภาษีศุลกากรสุดโหดจากสหรัฐฯ

(9 เม.ย. 68) นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานอาเซียนประจำปี 2568 ได้แถลงเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมมือกัน เพื่อรับมือกับความท้าทายจากการเรียกภาษีศุลกากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการดำเนินนโยบายการค้าโดย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งได้ใช้มาตรการภาษีศุลกากรที่เข้มงวดต่อสินค้าจากหลายประเทศ 

ในคำแถลงที่ออกมาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นายอันวาร์กล่าวว่า “อาเซียนต้องยืนหยัดในฐานะกลุ่มที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในการเผชิญกับนโยบายการค้าและภาษีศุลกากรที่ไม่เป็นธรรมจากประเทศภายนอก” 

เขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ “ระลึกถึงประวัติศาสตร์ที่ประเทศในอาเซียนมีร่วมกัน” และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวที่มีความสำคัญในการรักษาผลประโยชน์ร่วมของภูมิภาคในยุคที่การค้าโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับการดำเนินนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ ถูกมองว่าเป็นการสร้างอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศต่าง ๆ และได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศ รวมถึงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในด้านการส่งออกสินค้าทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

นายอันวาร์กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวของสหรัฐฯ มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจของประเทศในอาเซียน โดยการหักหลังนโยบายการค้าเสรีจากบางประเทศจะทำให้การค้าระหว่างประเทศ ที่เคยเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของภูมิภาคได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ทั้งนี้ อาเซียนถือเป็น ผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่เป็นอันดับ 4 ไปยังสหรัฐฯ รองจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน โดยในปี 2566 มูลค่าการค้ารวมกับสหรัฐฯ สูงถึง 3.96 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 11.2% ของการค้าทั้งหมดของอาเซียนกับทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีผลกระทบอย่างมากต่อบางประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะ กัมพูชา ซึ่งเผชิญภาษีศุลกากรสูงถึง 49% ขณะที่ ลาว และ เวียดนาม ต้องเผชิญภาษีที่ 48% และ 46% ตามลำดับ ขณะที่ มาเลเซีย เองก็ไม่รอดจากการเก็บภาษีที่สูงถึง 24% จากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอัตราภาษีที่สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

ทรัมป์เผยหลายประเทศแห่โทรหาพร้อมยื่นข้อเสนอ วอนขอทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ หลังรัฐบาลเดินเกมกดดันสำเร็จ

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 เม.ย. 68) ว่า ผู้นำจากหลายประเทศกำลังพยายามทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯ ได้ประกาศภาษีศุลกากรใหม่ที่มีผลบังคับใช้ในเช้าวันพุธ (9 เม.ย. 68)

โดยในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในงานเลี้ยงอาหารค่ำของคณะกรรมการรัฐสภาพรรครีพับลิกันแห่งชาติ ทรัมป์กล่าวถึงการตอบสนองจากผู้นำต่างประเทศว่า

“ผมบอกคุณได้เลยว่า ประเทศเหล่านี้กำลังโทรมาหาผม พร้อมมาจูบก้นผม พวกเขาพยายามอย่างหนักที่จะทำข้อตกลง แล้วพูดว่าได้โปรด ได้โปรดท่าน ทำข้อตกลงเถอะ ผมจะทำให้ทุกอย่างครับท่าน” 

คำพูดของทรัมป์สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีที่แข็งกร้าวในการต่อรองการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับ จีน ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาษีที่มีอัตรา 104% สำหรับสินค้านำเข้าบางประเภท ขณะที่ ประเทศอื่นๆ รวมทั้ง สหภาพยุโรป กำลังเผชิญกับภาษีที่สูงถึง 50%

สำหรับการขึ้นภาษีนี้มีเป้าหมายไปที่สินค้าที่หลากหลายประเภทจากทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิด สงครามการค้าระหว่างประเทศใหญ่ ๆ ทั่วโลก โดยเมื่อมาตรการภาษีใหม่เริ่มมีผลบังคับใช้ ตลาดหุ้นในเอเชีย ได้ร่วงลงอย่างหนัก โดย ดัชนีนิเคอิ ของญี่ปุ่นร่วงลงกว่า 5% ขณะที่ ดัชนีฮั่งเส็ง ของฮ่องกง และดัชนีเวทเตทไต้หวัน ร่วงลงมากกว่า 4% และ 5% ตามลำดับ

ในสุนทรพจน์เดียวกัน ทรัมป์ยังได้เปิดเผยแผนการเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับการนำเข้า ผลิตภัณฑ์ยา โดยกล่าวว่า

“เราจะจัดเก็บภาษียาของเรา และเมื่อเราทำเช่นนั้น ยาเหล่านั้นจะรีบไหลกลับเข้ามาในประเทศของเราอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเราเป็นตลาดขนาดใหญ่”

มาตรการภาษีนี้สะท้อนถึงการพยายามควบคุมตลาดยาในประเทศและการรักษาผลประโยชน์ภายในประเทศ แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อราคายาและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์สำหรับประชาชนก็ตาม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top