Thursday, 22 May 2025
ทรงพระเจริญ

'ดร.นิว' เผย!! เหตุผลที่ 'รักในหลวง ร.10' หลังเคยจมคลื่นข่าวปลอม-ใส่ร้าย โชคดีที่ตาสว่าง ไม่เช่นนั้นอาจติดคุกหรือไม่ก็ได้ดีในพรรคการเมืองหนึ่ง

(30 ก.ค. 67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ 'ดร.นิว' นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ทำไมผมถึงรักในหลวง ร.10 สุดหัวใจ?'

ผมเป็นคนหนึ่งที่เรียน มธ. รหัส 53 และเคยได้รับข้อมูลผิด ๆ จนไม่ชอบในหลวง ร.10 มาก ๆ ถึงขั้นไม่เข้ารับพระราชทานปริญญาทั้ง ๆ ที่ผมจบเกียรตินิยม ผมไม่ได้เข้ารับของจริง ถ้าไม่เชื่อก็ไปเช็กได้เลยครับ ผมจึงยังคงเสียใจและเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้ แต่พอได้ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้องด้วยตนเองในช่วงเรียนปริญญาเอกที่สิงคโปร์ จากที่ไม่ชอบก็กลายเป็นรักและเห็นใจพระองค์ท่านมาก ๆ 

พบว่าสิ่งที่เคยได้ยินจากสามนิ้วล้มเจ้าในยุคนั้นล้วนเป็นความเท็จและไม่มีประโยชน์ เห็นได้ชัดเจนมาก ๆ ว่าการบิดเบือนให้ร้ายในหลวง ร.10 เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน เพื่อเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจ โดยมักบิดเบือนให้ร้ายสร้างมโนภาพต่าง ๆ ให้ในหลวง ร.10 กลายเป็นคนไม่ดี เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นจอมวายร้าย

แต่ทว่าในความเป็นจริง แม้ในหลวง ร.10 จะเป็นคนเคร่งครัดมากในระเบียบวินัยแบบทหาร แต่พระองค์ท่านก็เป็นคนที่มีเมตตาสูงมาก ขนาดชีวิตสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ท่านยังให้ความเมตตาแบบสุด ๆ ผมเคยได้ยินเรื่องหนึ่งที่เชื่อถือได้อย่างแน่ชัด เวลามีสัตว์หลงเข้ามาในลานฝึก ทหารที่ฝึกกับพระองค์ท่านจะต้องหยิบมันไปปล่อยอย่างเหมาะสม ใครจะไปนึกว่าในหลวง ร.10 จะทรงน่ารักขนาดนี้

ผมยังจำได้ดี ตอนผมจบปริญญาเอกปี 2561 ในวัย 26 ปี ในปีนั้นเพื่อนชาวสิงคโปร์ของผมชื่อ ‘ยองเจีย’ วัย 25 ปี เคยแสดงความคิดเห็นให้ผมฟังว่า "สถาบันพระมหากษัตริย์คือจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษอันหาได้ยากยิ่ง ลองคิดดูนะ กว่าประเทศอื่นจะรวมผู้คนให้สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ประเทศไทยสามารถทำได้แค่ในชั่วพริบตา เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คน ดังนั้นถ้าหากมีใครต้องการทำลายประเทศไทย หรือแทรกแซงประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงไม่แปลกที่เขาต้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์"

ผมโชคดีที่ตาสว่างกว่า ไม่เช่นนั้นตอนนี้ผมอาจติดคุกหรือไม่ก็ได้ดิบได้ดีในพรรคการเมืองหนึ่ง พรรคที่มีรากเหง้ามาจากสามนิ้วล้มเจ้าใน มธ. ชอบอ้างอย่างปลอมเปลือกว่าอยากให้สถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคงสถาพร แต่ในความเป็นจริงแม้แต่ถวายพระพรก็ยังไม่มีเลย สุดท้ายเมื่อผมออกจาก Echo Chamber ของการลือตาม ๆ กันอย่างเสียสติ ไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทอง ไม่หลงเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนให้ร้ายพระองค์ท่านอีกต่อไป ผมจึงตาสว่างยิ่งกว่าตาสว่างและรักพระองค์ท่านสุดหัวใจ

12 สิงหาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ทรงเป็นธิดาในหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ภายหลังคือ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร

เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ทรงเข้ารับการศึกษาชั้นอนุบาล ณ โรงเรียนราชินี ก่อนที่จะย้ายไปทรงศึกษาต่อ ณ โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ต่อมาพระบิดาต้องเสด็จไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูตยังประเทศอังกฤษ จึงทรงตามเสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ ในเวลาต่อมา ทรงได้เข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยการดนตรี ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จนสำเร็จการศึกษา

ระหว่างที่ทรงประทับอยู่ประเทศฝรั่งเศส หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ (พระอิสริยยศ ณ ขณะนั้น) ได้มีโอกาสรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พระอิสริยยศ ณ ขณะนั้น) ซึ่งทรงเสด็จประพาสกรุงปารีส จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสานพระราชสัมพันธ์

ต่อมาเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 จึงได้มีพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้น ณ วังสระปทุม ก่อนที่ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

ต่อมาในปี พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ด้วยพระปรีชาสามารถอันล้นพ้น ในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอภิไธยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีว่า ‘สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ’

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชภารกิจในการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยเสด็จพระราชดำเนินร่วมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ไปทั่วทุกหนแห่งในแผ่นดินไทยมาโดยตลอด

ในวาระวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา 92 พรรษา ขอพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยสืบไป ทรงพระเจริญ

'ไปรษณีย์ไทย' จัดทำแสตมป์เฉลิมพระเกียรติ ‘สมเด็จพระพันปีหลวง' วางจำหน่าย 12 สิงหาคมทั่วประเทศ ในราคาดวงละ 9 บาท

(9 ส.ค.67) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ออกแสตมป์เทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 92 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อัญเชิญพระฉายาลักษณ์ในฉลองพระองค์ชุดราตรีตัดเย็บด้วยผ้าไหม ประดับด้วยลูกปัดเลื่อม และปีกแมลงทับ มาจัดพิมพ์เป็น ดวงแสตมป์ ประกอบตราพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. พร้อมเทคนิคพิเศษพิมพ์ทองบริเวณขอบนอกของแสตมป์และพิมพ์สปอตยูวีบริเวณเครื่องประดับและลวดลายปีกแมลงทับที่ฉลองพระองค์ พร้อมจำหน่าย 12 สิงหาคมนี้ ที่ไปรษณีย์ในกรุงเทพฯ และไปรษณีย์ประจำจังหวัด หรือช่องทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน/เว็บไซต์ www.thailandpostmart.com

ด้าน ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยจัดสร้างแสตมป์ที่ระลึกชุดวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567 โดยแสตมป์ชุดดังกล่าวได้อัญเชิญพระฉายาลักษณ์ในฉลองพระองค์ชุดราตรีตัดเย็บด้วยผ้าไหม ประดับด้วยลูกปัดเลื่อม และปีกแมลงทับมาจัดพิมพ์เป็น ดวงแสตมป์ ประกอบตราพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. และยังได้ใช้เทคนิคพิเศษพิมพ์ทองบริเวณขอบนอกของแสตมป์และพิมพ์สปอตยูวีบริเวณเครื่องประดับและลวดลายปีกแมลงทับที่ฉลองพระองค์ เพื่อให้เกิดความเงาแวววาว สำหรับงานตกแต่งด้วยปีกแมลงทับนั้น สืบเนื่องจากพระราชดำริของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแนวทางให้นำปีกแมลงทับมาประดับบนฉลองพระองค์ รวมถึงนำมาทำเป็นเครื่องประดับประเภทต่าง ๆ โดยให้มีการศึกษาค้นคว้าและวิจัยการเพาะเลี้ยงแมลงทับเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิศิลปาชีพอย่างยั่งยืนเพื่อเป็นศิลปหัตถกรรมคงอยู่คู่ชาติไทย

ทั้งนี้ แสตมป์จะจำหน่ายในราคาดวงละ 9 บาท (เต็มแผ่น 10 ดวง) ซองวันแรกจำหน่ายราคา 21 บาท โดยออกจำหน่าย 12 สิงหาคมนี้ ที่ไปรษณีย์ในกรุงเทพฯ และไปรษณีย์ประจำจังหวัด หรือทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน/เว็บไซต์ www.thailandpostmart.com หรือสอบถามเพิ่มเติมฝ่ายบริหารลูกค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์บริการไปรษณีย์ โทร 0 2573 5480 , 0 2573 5463

‘สมเด็จพระสังฆราช’ มีพระดำรัสถวายพระพร ‘สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง’ ขอตั้งกัลยาณจิตถวายพระพรชัยมงคล ให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

(11 ส.ค. 67) เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำรัสถวายพระพรแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2567 ความว่า ...

ศุภมงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เวียนมาบรรจบ อีกคำรบหนึ่ง อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ ขอตั้งกัลยาณจิตถวายพระพรชัยมงคล ให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงมุ่งมั่นบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรมาเนิ่นนานกว่า 7 ทศวรรษ ทรงถึงพร้อมด้วยพระราชจริยวัตรอันสอดคล้องต้องด้วยธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อ ‘ทาน’ ซึ่งหมายถึง การให้ การแบ่งปัน การเสียสละ และการเอื้อเฟื้อ อันเป็นคุณธรรมสำคัญแห่งพุทธาทิบัณฑิตทั้งหลายมานับแต่โบราณกาล แม้สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ก็ทรงสั่งสมพระทานบารมีมาแล้วนับอเนกอนันต์ชาติ อันว่าการให้ตามหลักพระพุทธศาสนานั้น จำแนกได้เป็นหลายสถาน กล่าวคือ ‘อามิสทาน’ การให้วัตถุสิ่งของ ‘ธรรมทาน’ การสั่งสอนอบรมคุณธรรมเพื่อนำออกจากทุกข์ การให้กำลังใจ และการให้วิชาความรู้ ‘อภัยทาน’ การให้ชีวิต การช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากให้ทุเลาทุกข์ภัย การยกโทษให้ผู้คิดร้าย พูดร้าย หรือทำร้าย โดยไม่พยาบาทอาฆาตจองเวร ครั้นพิเคราะห์ให้ลึกซึ้งถึงพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจของสมเด็จบรมบพิตร ย่อมเห็นประจักษ์ได้ว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญทานทุกชนิดอย่างสม่ำเสมอ สมด้วยพระราชสมัญญา ‘แม่ของแผ่นดิน’ ผู้พร้อมเสียสละให้ทั้งอามิสทาน ธรรมทาน และอภัยทานแก่สรรพชีวิต ซึ่งทรงเพ่งพินิจว่าล้วนเป็น “ลูก” ของพระองค์ โดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ทั้งนี้ ก็ด้วยอานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณ

เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ขอปวงประชานิกร จงสโมสรสมานฉันท์ พร้อมเพรียงกันบูชาพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการให้ปันแก่กันและกันอย่างจริงใจ เพื่อความผาสุกของลูกหลานไทยจักบังเกิดขึ้นได้ สมดังพระราชหฤทัยปรารถนา

ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และพระราชกุศลธรรมจริยา โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ให้ทรงบริบูรณ์ด้วยจตุรพิธพรชัย เสด็จสถิตเป็นกำลังพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นมิ่งขวัญแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดกาลนานเทอญ

‘เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ’ พระราชทานดอกไม้ยินดีกับ 3 จอมพลังไทย หลังคว้าเหรียญโอลิมปิกปารีส จนสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ

เมื่อวานนี้ (19 ส.ค.67) ที่ห้องโถงชั้นล่าง อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ (ตึก 25 ชั้น) การกีฬาแห่งประเทศไทย ถนนรามคำแหง กรุงเทพมหานคร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โปรดให้ พลเอกศิวะ ภระมรทัต กรมวังผู้ใหญ่ ประจำวังศุโขทัย เป็นผู้แทนพระองค์ พระราชทานดอกไม้ แสดงความยินดีแก่ 3 นักยกน้ำหนักทีมชาติไทย ที่คว้า 2 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 

สร้างความปลื้มปิติ เป็นล้นพ้น แก่ นายธีรพงศ์ ศิลาชัย เหรียญเงิน รุ่น 67 กิโลกรัมชาย นายวีรพล วิชุมา เหรียญเงิน รุ่น 73 กิโลกรัมชาย และ นางสาวสุรจนา คำเบ้า เหรียญทองแดง รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง ตลอดจน คณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่ และผู้ฝึกสอน ในโอกาสอันเป็นมงคลนี้

ทั้งนี้ ในโอกาสดังกล่าว นายสุรศักดิ์ เกิดจันทึก รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศ และวิทยาศาสตร์การกีฬา, พลตรีอินทรัตน์ ยอดบางเตย นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย, พลเอกวิสุทธ์ เดชสกุล เลขาธิการสมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย และ คณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมด้วย

เปิด ‘ถุงพระราชทาน’ ที่ ‘ในหลวง’ ทรงช่วยเหลือชาวเชียงราย ใช้ 2 คนยกกลับบ้าน ‘ข้าวสาร-อาหารแห้ง-น้ำ’ รวม 14 รายการ

(21 ก.ย.67) เพจ ‘แจ้งข่าวเชียงราย By เชียงราย 108’ ได้โพสต์ข้อความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้รับพระราชทานถุงยังชีพจาก ‘ในหลวง’ โดยมีใจความว่า ...

หลายคนคงเห็นแต่ถุงพระราชทาน แต่ไม่ทราบว่าข้างในมีอะไรบ้าง พอดีบ้านพี่สาวที่เชียงรายได้รับ 1 ถุง

หนักเอาการเจ้า ยก 2 คน

ข้าวสาร 5 กก.
น้ำมันพืช 1 ขวด
ปลา กป. 1 โหล
ผัก กป. 1/2 โหล
มาม่า 1 ลัง 30 ซอง
นมชั่งหัวมัน 2 ขวด

น้ำดื่ม 2 ขวด
ขนมฟันโอ 1 ถุง
ไฟฉาย+ถ่าน 1
ยาทา..กิน 1 ชุด
ผ้าอนามัย 2 ห่อ
ผ้าขนหนูใหญ่ 1
ผ้าถุง 1
ผ้าขาวม้า 1
รวม 14 อย่างเจ้า

..ขอพระองค์ทรงพระเจริญ..

น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณรัชกาลที่ 9 เชิญประชาชนร่วมเฝ้ารับเสด็จในหลวง-ราชินี

(9 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘พระลาน’ ได้โพสต์เชิญชวนเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความว่า 

ขอเชิญประชาชนร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “วันนวมินทรมหาราช” 13 ตุลาคม 2567 พร้อมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี  

ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลา ณ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 
ในเวลา 17.00 น. เปิด 3 จุดคัดกรอง เวลา 11.30 น. ได้แก่ 

๑. จุดคัดกรองถนนศรีอยุธยา ฝั่งประตูทางเข้าอุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ รัชกาลที่ 9
๒. จุดคัดกรองถนนศรีอยุธยา ฝั่งวัดเบญจมบพิตร 
๓. จุดคัดกรองถนนพระราม 5 ฝั่งอุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ รัชกาลที่ 9

ในการนี้ อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ จะเปิดให้ประชาชนได้เยี่ยมชมในวันที่ 13-14 ตุลาคม 2567 โดยจะมีบทเพลงขับกล่อมจากวงดนตรี 4 เหล่าทัพ จนถึงเวลา 21.00 น.

‘พีระพันธุ์’ ย้อนรำลึกเหตุการณ์ วันที่คนไทย ร้องไห้กันทั้งประเทศ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9

(13 ต.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อหลวงของคนไทยทั้งประเทศ โดยมีใจความว่า ... 

พระองค์เป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ เป็นยิ่งกว่าพ่อของแผ่นดิน

สำหรับผม พระองค์เป็นเทพที่จุติมาเพื่อชาวไทยและประเทศไทยโดยแท้ 
ผมเห็นการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระองค์มาตั้งแต่จำความได้จนเติบใหญ่ ไม่เคยเห็นพระองค์หยุดคิดถึงประชาชนแม้ในยามประชวร 
พระองค์ไม่เคยหยุดปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนของพระองค์เลย

ผมยังจำเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีที่แล้วได้ดี ความรู้สึกนั้น ในวันที่พระองค์จากพวกเราไป

ผมรู้สึกใจคอไม่ดี ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม เมื่อผมได้ทราบข่าวพระอาการของพระเจ้าอยู่หัว ผมรู้สึกใจหายวูบ เป็นอาการในลักษณะเดียวกันกับที่ผมเคยรู้สึกเมื่อครั้งที่ผมได้สูญเสียคุณแม่

ในขณะนั้น ผมได้แต่ภาวนาให้พระองค์ท่านทรงหายพระประชวรโดยเร็ว 

โดยในวันที่ 12 ตุลาคม ผมรีบเดินทางไปลงนามถวายพระพร ซึ่งในเย็นวันนั้น ก็มี
แถลงการณ์สำนักพระราชวังบอกว่าพระอาการ ยังไม่ดีขี้น และมีอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิตมากขึ้น ผมทนไม่ได้น้ำตาไหล และรีบเดินทางไปยังโรงพยาบาลศิริราชอีกครั้ง เพราะอยากอยู่ให้ใกล้พระองค์ท่านให้มากที่สุด

เมื่อไปถึงก็พบว่ามีพสกนิกรของพระองค์จำนวนมากต่างเดินทางมาร่วมสวดมนต์ภาวนาให้ทรงหายจากอาการพระประชวร สายตาทุกคู่มุ่งตรงไปที่ชั้น 16 ของอาคารเฉลิมพระเกียรติที่พระองค์ประทับอยู่ด้วยความหวังอย่างเปี่ยมล้นหัวใจ

และในวันแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศ วันนี้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ผมจำได้อย่างแม่นยำ มีข่าวที่ไม่สู้ดีแพร่ออกมาตั้งแต่ช่วงสาย และเมื่อถึงตอนบ่ายข่าวลือยิ่งโหมสะพัด

ผมไม่รอช้า รีบเดินทางไปโรงพยาบาลศิริราช ทันที!! 

เพื่อขอให้ได้อยู่ใกล้พระองค์ท่านให้มากที่สุด รถติดมาก เส้นทางเดิมที่ควรใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง กลายเป็นสามชั่วโมง ก็ยังไม่เข้าใกล้ที่หมายเลย

จนกระทั่งรถของผมได้มาถึงบริเวณลานพระรูปทรงม้า หน้ากองทัพภาคที่ ๑ เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจ ‘สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ’ ว่าเจ้าชีวิตของชาวไทยทั้งชาติ ได้ทรง ‘เสด็จสวรรคต’ แล้ว 

ผมรู้สึกตกใจมาก ทุกข์ใจ เศร้าใจ สมองตื้อ ทำอะไรไม่ถูก นั่งน้ำตาไหลพรากอยู่ในรถยนต์

นาทีนั้น ผมนึกแต่เพียงอย่างเดียวว่า จะต้องไปอยู่ใกล้พระองค์ท่านให้ได้ เมื่อรถเคลื่อนมาถึงทางแยกไปโรงพยาบาลศิริราช บนสะพานพระราม 8 ตำรวจกั้นถนน ผมก็ต้องให้รถวิ่งอ้อมไปทางพุทธมลฑล แล้วหาทางกลับรถวิ่งมาใหม่ทางถนนข้างล่าง ถึงแยกถนนจรัญสนิทวงศ์รถก็ติดมาก ผมจึงตัดสินใจลงจากรถ แล้วเดินเท้ามุ่งหน้าไปหาพระองค์ท่าน ที่โรงพยาบาลศิริราช 

เดินไปน้ำตาไหลไป 

เมื่อถึงโรงพยาบาลศิริราช ผมก็ได้เข้าไปที่ลานหน้าพระบรมรูปสมเด็จพระบิดา เพื่อกราบบังคมถึงพระองค์ท่านด้วยน้ำตานองหน้า

ไม่เพียงผมเท่านั้น ประชาชนอยู่เป็นจำนวนมากก็เช่นเดียวกัน ร้องไห้กันไม่หยุด เสียงตะโกนว่า “เรารักในหลวง....ทรงพระเจริญ...เราจะอยู่รอปาฏิหาริย์” ดังขึ้นเป็นระยะๆ 
แต่ที่บาดใจที่สุดก็ตรงที่ประชาชนร่วมกันร้องตะโกนว่า “เอาในหลวงของเราคืนมา” 

ผมรู้สึก ‘เหมือนใจจะขาด’ เคว้งคว้างล่องลอย เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างดับสูญไปหมด นึกถึงแต่คำว่า ‘พระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น’ ที่พระองค์ท่านมีต่อประเทศชาติและประชาชน 

พระองค์จากพวกเราไปแล้ว เหมือนโลกหยุดหมุน เสียงร่ำไห้ดังทั่วแผ่นดิน น้ำตาผมไหลออกมาเองแบบหยุดไม่ได้

แม้เหตุการณ์ในวันนั้น จะผ่านมาถึง 8 ปีแล้ว แต่มันก็ยังคงฝังลึกในความทรงจำอย่างไม่รู้ตัว แค่นึกถึงก็น้ำตาไหลอีกแล้ว…

ในเช้าวันนี้ (13 ต.ค. 67) ผมได้ไปวางพวงมาลา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ ร่วมกับคณะรัฐมนตรี 

สำหรับผม ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นการรำลึกถึงพระผู้มีพระคุณใหญ่หลวงกับปวงชนชาวไทยและประเทศไทยมายาวนานกว่า 70 ปี

ผมรักและเทิดทูนพระองค์มากจริงๆ มากที่สุดในชีวิต

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

๘ มกราคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหาร และพนักงานสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES

8 มกราคม วันคล้ายวันประสูติ ‘สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา’

วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทยอีกวันหนึ่ง โดยเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2530 และทรงเจริญพระชนมายุครบ 38 พรรษา

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชา 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร

เมื่อแรกประสูติทรงดำรงพระอิสริยยศ ‘หม่อมเจ้า’ มีพระนามว่า ‘หม่อมเจ้าบุษย์น้ำเพชร มหิดล’ ต่อมาได้รับพระราชทานพระนามใหม่ว่า ‘หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์ยาภา มหิดล’ จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระราชทานพระนามใหม่ว่า ‘หม่อมเจ้าสิริวัณวรี มหิดล’ ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น ‘พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์’ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2548

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเป็นทั้งนักกีฬาขี่ม้าและอดีตนักแบดมินตันทีมชาติไทย ในวันที่ 21 กรกฎาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระยศ ‘พันเอกหญิง’ ในฐานะพระอาจารย์หัวหน้าแผนก โรงเรียนทหารม้า ศูนย์การทหารม้า (อัตราพันเอก)

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านการออกแบบแฟชันและเครื่องประดับ โดดเด่นเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยทรงออกแบบเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ ‘SIRIVANNAVARI’ และ S’Home เสื้อผ้าของสตรีและบุรุษ ได้รับเสียงชื่นชมอย่างเนืองแน่นในวงการแฟชั่นโลก กับการออกแบบเสื้อผ้าชั้นสูงที่มีความประณีต ที่เหล่าผู้มีชื่อเสียงนิยม ทั้งยังมีแบรนด์ต่างๆ อย่าง Sirivannavari maison แบรนด์ของแต่งบ้าน รวมไปถึงแบรนด์ชุดแต่งงาน

นอกจากทรงออกแบบเสื้อผ้าคอลเลกชันต่างๆ แล้ว พระองค์ยังทรงสนับสนุนผ้าไทย ด้วยการนำผ้าไหมมาตัดเย็บเป็นชุดต่างๆ ทั้งนี้ยังทรงออกแบบชุดให้กับ เดมี ลีห์ เนล ปีเตอร์ มิสยูนิเวิร์ส 2017 และโศภิดา กาญจนรินทร์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 ได้สวมใส่ในการประกวดรอบไทยไนท์ของเวทีนางงามจักรวาลที่จัดประกวดที่ประเทศไทยอีกด้วย ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมถวายรางวัลศิลปาธร ประจำปี 2561 ในสาขาศิลปะการออกแบบ (แฟชันและเครื่องประดับ) ด้วยความสนพระทัยด้านแฟชัน พระองค์จึงเสด็จไปทอดพระเนตรงานปารีสแฟชันวีกอยู่เสมอ และได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อต่างชาติ อาทิ นิตยสาร Grazia ประเทศอังกฤษ จัดอันดับให้พระองค์ทรงอยู่ในลำดับที่ 1 ของเจ้าหญิงที่มีสไตล์ที่สุดในโลก จนได้รับการขนานนามว่าทรงเป็น ‘เจ้าหญิงแฟชัน’

ทั้งนี้ พระองค์ยังทรงเป็นพระอาจารย์สอนนักเรียนปริญญาเอก ศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ อีกด้วย

กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงรับทูลเกล้าฯ ถวาย ปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก ม. เเห่งชาติสิงคโปร์

ทรงพระเจริญ

มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แด่กรมสมเด็จพระเทพฯ  

เมื่อวันที่ (8 ม.ค. 68) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชวโรกาสให้ นายทาร์มัน ชันมูการัตนัม (Tharman Shanmugaratnam) ประธานาธิบดีสิงคโปร์ และนาย Tan Eng Chye อธิการบดีมหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์ เฝ้าทูลละอองพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ณ ทำเนียบประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐสิงคโปร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top