Thursday, 17 April 2025
ตำรวจ

“ตำรวจ ปส. รวบ 2 ผู้ต้องหาขาโหดหลบหนีคดีฆ่าเผานั่งยางมาขนยา พร้อมอาวุธปืนและระเบิดมือเพียบ หวิดปะทะ! ”

วันนี้ (3 ส.ค. 67) เวลา 09.00 น.  พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. พร้อม พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2 ได้เดินทางไปที่ศูนย์ปฏิบัติการยาเสพติดนครราชสีมา  อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา เพื่อไปติดตามการปฏิบัติหน้าที่และสอบสวนผู้ต้องหารายสำคัญจำนวน 2 คน ที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปส.2 ได้ร่วมกันจับกุมได้พร้อมยาเสพติดของกลาง พร้อมอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและลูกระเบิดจำนวนมาก

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.67 เวลา 01.45 น. ตำรวจ ได้จับกุม น.ส.ทิวาพร กับพวกรวม 3 คน พร้อมยาบ้า  1,200,000 เม็ด  บริเวณหน้าห้องน้ำ ปั๊มน้ำมัน ปตท. แยกพัฒนานิคมขาเข้า ต.ดีลัง อ.พัฒนานิคม จว.ลพบุรี  ก่อนจะสืบสวนขยายผลจากกลุ่มลำเลียงยาเสพติดดังกล่าว จนพบรถยนต์ต้องสงสัยของกลุ่มเครือข่ายที่อาจใช้ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จึงได้ติดตามสืบสวนและเฝ้าระวังเรื่อยมา กระทั่ง วันที่ 2 ส.ค.67 ตำรวจ บก.ปส.2 ตรวจพบรถยนต์ทั้งสองคันมีความเคลื่อนไหวเข้าไปในพื้นที่ จว.เลย พื้นที่ขึ้นยาเสพติดจากฝั่งลาว  จึงได้จัดกำลังติดตาม และพบรถวิ่งอยู่บน ถนนสายสระบุรี-หล่มศักดิ์ (ถนนสาย 21) ในพื้นที่ อ.วิเชียรบุรี จว.เพชรบูรณ์ มาถึง อ.ศรีเทพ จว.เพชรบูรณ์ โดยรถกระบะ หมายเลขทะเบียน 3ฒฬ 86xx กรุงเทพฯ ได้เลี้ยวเข้าไปในใบทองธารารีสอร์ท และจอดบริเวณหน้าห้อง B1 โดยมีรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1กษ 90xx กรุงเทพฯ จอดอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่คนขับรถกระบะจะลงจากรถ และเดินเข้าไปในห้องพัก ตำรวจจึงวางกำลังรอบห้องพัก B1 และแสดงตัวขอตรวจค้น แต่สงสัยทั้งสองไม่ยอมเปิดประตู  จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและใช้ยุทธวิธีเพื่อเข้าตรวจค้น จนสามารถควบคุมผู้ต้องหาได้ คือ 1.นายอนุชิต ทำหน้าที่ขับรถนำ
2.นายศักดิ์สิทธิ์ฯ ทำหน้าที่ขับรถกระะบะขนยาเสพติด ตรวจค้นในห้องพัก พบของกลางอาวุธปืนขนาด .45 ในลักษณะพร้อมใช้งาน 2 กระบอก และระเบิดลูกเกลี้ยง M 26 พร้อมใช้งาน  7 ลูก  และกระสุน 95 นัด ก่อนจะควบคุมตัวไปตรวจค้นที่รถกระบะ เบื้องต้นพบยาเสพติด เป็นยาบ้า 6,702,400 เม็ด, ยาอี 1,000 เม็ด, Erimin 5 จำนวน 1,400 เม็ด,  MDMA  (หัวเชื้อยาอี) 10 ก้อน น้ำหนักรวม 1,080 เม็ด

เบื้องต้นแจ้งข้อหาว่า  “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า, ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป”

จากการซักถามผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพ ว่าได้ร่วมกับลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เลย ไปส่ง จ.สระบุรี จริง  โดยนายอนุชิตฯทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการลำเลียงและขับรถนำทางคอยเฝ้าระวัง และประสานงานกับผู้สั่งการฝั่งลาว  ส่วนนายศักดิ์สิทธิ์ฯ มีหน้าที่ขับรถกะบะบรรทุกยาเสพติด ด้าน นายศักดิ์สิทธิ์ฯ รับว่ารู้จักกับนายอนุชิตฯ จากเพื่อนที่ติดคุกด้วยกันในเรือนจำ  และนายอนุชิตฯ ชักชวนมาขนยาเสพติด โดยจะได้รับเงินค่าจ้างจากนายอนุชิตฯ 30,000  บาท   ส่วนนายอนุชิตฯ พบว่ามีประวัติโชกโชนทั้งคดียาเสพติดและคดีลักทรัพย์ในพื้นที่ จ.ลพบุรี และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีฆ่าและเผาอำพรางศพ ของ สภ.ชัยบาดาล เหตุเกิดเมื่อ 12 ก.ย.66 จากการซักถามนายอนุชิต ฯรับว่าตนได้ก่อเหตุฆ่าจริง ซึ่งมีสาเหตุจากการไปทวงหนี้ค่ายาเสพติดจากผู้ตายให้ผู้ค้าชาวลาว  และได้ลงมือฆ่าแล้วเผาด้วยยางรถยนต์  แล้วหลบหนีไปประเทศลาว จนไปรู้จักท้าวเสือ คนลาวซึ่งเป็นผู้สั่งการให้จัดหาทีมงานลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้  โดยจะได้ค่าจ้างกระสอบละ 40,000 บาท ครั้งนี้ถ้างานสำเร็จจะได้เงิน 520,000 บาท โดยตนเคยลักลอบลำเลียงให้ท้าวเสือมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ละครั้งจะแอบข้ามกลับมาประเทศไทยโดยนั่งเรือข้ามมา และนัดหมายพรรคพวกพร้อมรถยนต์มาร่วมกันลำเลียงยาเสพติด ส่วนลูกระเบิดและอาวุธปืนของกลางที่ตรวจพบ นายอนุชิตฯ อ้างว่าซื้อจากฝั่งลาวเพื่อไปขายให้พรรคพวกเป็นรายได้เสริม ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตนได้ยินนายศักดิ์สิทธิ์ฯร้องไห้ตกใจ และเจ้าหน้าที่เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว จึงยังไม่ได้ใช้อาวุธต่อสู้แต่อย่างใด
พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส.เผยว่า การจับกุมในครั้งนี้เป็นความพยายามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส.ในการสืบสวนและเฝ้าติดตามกลุ่มเครือข่ายนี้มาอย่างต่อเนื่องกว่าสองเดือน  จนนำมาสู่การจับกุมในครั้งนี้  ในครั้งนี้ผู้ต้องหามีอาวุธและวัตถุระเบิดจำนวนมากมาด้วย แต่เจ้าหน้าที่ของเราไม่ประมาทและได้ใช้ยุทธวิธีในการเข้าจับกุม จึงสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้โดยไม่เกิดการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิต  และยาเสพติดของกลางที่พบเป็นยาบ้าจำนวนมากเช่นก่อนหน้า และพบ Erimin 5 จำนวน 1,400 เม็ด ,ยาอี 1,000 เม็ด และก้อนสารMDMA จำนวน 10 ก้อนซึ่งแทบไม่เคยพบเห็นมาก่อน ที่คาดว่าอาจใช้เป็นหัวเชื้อในการผลิตยาอีหรือสารเสพติดรูปแบบใหม่อื่นๆ ซึ่งจะต้องมีการสืบสวนขยายผลถึงวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ต่อไป ตำรวจ ปส.จะยังคงทำงานอย่างเข้มข้นในการสกัดกั้นและทำลายเครือข่ายยาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป

อาลัย ‘ส.ต.ท.ปฏิภาณ’ ถูกกระบะซิ่งชนเสียชีวิต ขณะลงช่วยอุบัติเหตุกลางถนน หลังออกเวร

สืบเนื่องกลุ่มไลน์ตำรวจเมืองเลย โพสต์ภาพไว้อาลัย ส.ต.ท.ปฏิภาณ อุทธบูรณ์ หรือ น้องเหินฟ้า อายุ 28 ปี ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ภูเรือ จ.เลย ที่ลงไปช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ ขณะที่ออกเวร จู่ ๆ มีรถกระบะวิ่งมาด้วยความเร็วสูง พุ่งชนได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่ รพ.เลย เมื่อคืนวันที่ 17 ส.ค. 67 เวลา 01.00 น. สร้างความเศร้าโศกเสียใจต่อครอบครัว ผู้บังคับบัญชา และเพื่อนตำรวจด้วยกัน

ล่าสุด (19 ส.ค. 67) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านของ ส.ต.ท.ปฏิภาณ ที่บ้านโนนสว่าง ต.หนองคัน อ.ภูเรือ จ.เลย ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีทางศาสนา พบกับ ร.ต.อ.กิตติ อุทธบูรณ์ รอง สวป.สภ.ภูหลวง จ.เลย พ่อของน้องเหินฟ้า ยังอยู่ในอาการที่เศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของลูกชาย

ร.ต.อ.กิตติ เล่าว่า ส.ต.ท.ปฏิภาณ อุทธบูรณ์ หรือ น้องเหินฟ้า เป็นลูกชายคนโต ในจำนวนพี่น้องที่เป็นผู้ชายทั้งหมด 3 คน รับราชการเป็นตำรวจอยู่ที่ สภ.ภูเรือ หลังออกเวร ช่วงเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 17 ส.ค.2567 ลูกชายไปกับเพื่อน เพื่อไปหาเพื่อนใน อ.เมืองเลย ขากลับเห็นอุบัติเหตุบนถนนเลย - เชียงคาน ขาออกเมือง กลัวจะเกิดเหตุซ้ำซ้อน จึงลงจากรถไปช่วยเหลือ ซึ่งขณะนั้นร้อยเวร สภ.เมืองเลย ยังมาไม่ถึงที่เกิดเหตุ ลูกชายและเพื่อน จึงเดินไปเอากรวยยางวางเป็นเครื่องหมายให้สัญญาณกับรถที่สัญจร รถระหว่างนั้นมีรถกระบะขับมาด้วยความเร็ว เฉี่ยวชนลูกชายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส กู้ภัยฯ รีบนำตัวส่ง รพ.เลย แพทย์ให้ญาติทำใจ ก่อนที่ลูกชายเสียชีวิต เมื่อเวลาประมาณ 03.25 น. ของคืนวันที่ 17 ส.ค. 67

คุณพ่อเล่าทั้งน้ำตา ว่าการสูญเสียลูกชายครั้งนี้ ทางครอบครัวยังทำใจไม่ได้ เมื่อนึกถึงความมีน้ำใจและความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตลอดเวลา ว่า "ผมเป็นตำรวจ อยากให้ลูกชายเป็นตำรวจ ผมสอนลูกตลอดเวลาว่า พ่อเติบโตมาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะได้เงินมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เงินทุกบาททุกสตางค์เป็นหม้อข้าวหม้อแกงให้พ่อ ดูแลลูกส่งเสียให้ลูกเรียน ผมมีความตั้งใจว่า อยากให้ลูกเป็นตำรวจเหมือนพ่อ มีประกาศสอบที่ไหนก็พาลูกไปตลอด พอลูกสอบได้ รับราชการแล้ว ตั้งใจว่าอยากให้ลูกเป็นนายร้อย ก็ให้ลูกเลือกลงตำแหน่งที่ รร.นายร้อยตำรวจสามพราน อยู่ที่กองรักษาการณ์ ที่โรงเรียนนายร้อย คราวนี้ระหว่างที่ลูกรับราชการที่โรงเรียนนายร้อย สอบ 2 ครั้งไม่ได้ จึงได้บอกลูกว่ากลับมาบ้าน พ่อจะใกล้เกษียณแล้ว กลับบ้านเรา ซึ่งลูกชายก็ขอย้ายมาที่ สภ.ภูเรือ จ.เลย จนกระทั่งมาถูกรถชนจนเสียชีวิต"

ส่วนคู่กรณีที่ขับรถกระบะชนลูกชาย ได้มาร่วมงานศพแสดงความเสียใจ แต่ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการช่วยเหลือแต่อย่างใด ทั้งนี้พิธีทางศาสนา ที่บ้านกำหนด 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 17-21 ส.ค. 67 และจะมีพิธีฌาปนกิจศพที่วัดสันติธรรมาราม บ้านหนองคัน ต.หนองคัน อ.ภูหลวง

ส่วนทางคดี พงส.สภ.เมืองเลย ได้เรียกคนขับรถกระบะมารับทราบข้อกล่าวหา ‘ขับรถประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต’ และจะมีการสอบปากคำเพิ่ม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘สหรัฐฯ’ หวั่น!! ตำรวจใช้ ‘AI’ ช่วยเขียนรายงาน ตัดสินใจว่าใครควรถูกดำเนินคดีหรือถูกจำคุก

(27 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัว เผยรายงานจากสำนักข่าวเอพี (AP) ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ บางส่วนเริ่มทดลองใช้งานแชทบอตพลังปัญญาประดิษฐ์ (AI chatbot) หรือเอไอ แชตบอต เพื่อทำรายงานเหตุการณ์ฉบับร่าง ส่งผลให้อัยการ หน่วยงานกำกับดูแลตำรวจ และคณะนักวิชาการทางกฎหมายบางส่วนกังวลว่าแชทบอต อาจปรับแก้เอกสารพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมอาญา ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจว่าใครควรถูกดำเนินคดีหรือถูกจำคุก

รายงานระบุว่า เอไอ แชทบอต ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับแชตจีพีที (ChatGPT) และจำหน่ายโดยแอกซอน (Axon) บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาเทเซอร์หรืออุปกรณ์ช็อตไฟฟ้า (Taser) อาจเข้ามาปรับเปลี่ยนการทำงานของตำรวจอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเสริมว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างตื่นเต้นกับคุณสมบัติของเอไอ แชทบอต ที่สามารถช่วยประหยัดเวลาได้

ริก สมิธ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของแอกซอน กล่าวว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้เลือกมาเป็นตำรวจ เพราะอยากทำงานตำรวจ และการต้องใช้เวลาครึ่งวันไปกับการป้อนข้อมูลเป็นเพียงส่วนน่าเบื่อหน่ายของงาน พร้อมอธิบายว่าผลิตภัณฑ์เอไอตัวใหม่ที่มีชื่อว่า ‘ดราฟ วัน’ (Draft One) ได้รับ ‘เสียงตอบรับเชิงบวกมากที่สุด’ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่บริษัทฯ เคยเปิดตัวมา

สมิธกล่าวว่า ตอนนี้หลายฝ่ายอาจมีข้อกังวลอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคณะอัยการเขตที่ปฏิบัติหน้าที่ฟ้องร้องคดีอาญา ซึ่งต้องการมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีส่วนรับผิดชอบกับการเขียนรายงานดังกล่าว ไม่ใช่เป็นฝีมือเอไอ แชทบอต เพียงอย่างเดียว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจต้องให้การเป็นพยานในศาลเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขารู้เห็น

รายงานระบุอีกว่า เทคโนโลยีเอไอไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับหน่วยงานตำรวจ ซึ่งเคยนำเครื่องมืออัลกอริทึมมาใช้ในการอ่านป้ายทะเบียนรถ จดจำใบหน้าผู้ต้องสงสัย ตรวจจับเสียงปืน และคาดการณ์ว่าอาชญากรรมอาจเกิดขึ้นที่ไหน

รายงานทิ้งท้ายว่า การประยุกต์ใช้เหล่านี้ หลายครั้งมาพร้อมกับความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและสิทธิพลเมือง ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติพยายามกำหนดมาตรการป้องกัน ทว่าการนำรายงานตำรวจจากฝีมือเอไอมาใช้ยังถือเป็นเรื่องใหม่มาก จนแทบไม่มีมาตรการป้องกันการใช้งานเลย

ตำรวจ ปส. แถลงผลงานปิด Job “ปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย“ ในรอบ 1 ปี ยึดยาบ้ากว่า 380 ล้านเม็ด, ไอซ์ 13,170 กก. คีตามีน 2,388 กก. และยึดทรัพย์กว่า 4,100 ล้านบาท

เมื่อวันที่ (30 ก.ย. 67) ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ ขยายผลเครือข่ายเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่ ควบคู่ไปกับการทำชุมชนบำบัดเพื่อให้ผู้เสพกลับคืนสู่สังคม เลี้ยงตน เลี้ยงชีพได้อย่างมั่นคง

วันนี้ 30 ก.ย.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ /รรท. รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ ช่วยราชการ บช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และ พล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ได้ร่วมแถลงผลการสกัดกั้นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ 4 เครือข่าย ผู้ต้องหา 9 คน ยึดยาบ้า 6,600,000 เม็ด, ไอซ์ 565 กก. และเฮโรอีน 6.98 กก. ดังนี้

บก.ปส.3
คดีที่ 1
จากการขยายผลการตรวจยึดไอซ์ 7.58 กก. เมื่อวันที่ 16 ส.ค.67 ถูกซุกซ่อนในขวดโรออน ระงับกลิ่นกาย พยายามลักลอบส่งไปประเทศออสเตรเลีย และพบว่าผู้ส่งคือหญิงสาวสัญชาติลาว จากนั้นตำรวจชุดจับกุมจึงสืบสวน และติดตามพฤติการณ์เรื่อยมา กระทั่งพบว่าจะมีการส่งพัสดุในลักษณะเดิมอีกครั้ง โดยกลับเข้ามาพักอาศัยที่อพาร์ทเม้นท์เดิม ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติออกหมายจับ กระทั่ง วันที่ 17 ก.ย.67 หน่วยปราบปรามยาเสพติดสุวรรณภูมิ กก.1 บก.ปส.3 ร่วมกับ ป.ป.ส. และศุลกากร นำกำลังเข้าตรวจค้นที่ ห้องพัก 514 อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ถ.รัชดาภิเษก แขวง-เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร พบ น.ส.ติ่ง พันทะวง อายุ 31 ปี สัญชาติลาว ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 506/2567 ลง 17 กันยายน 2567 ในข้อหา “พยายามส่งออกฯ” และพบกล่อง 2 กล่อง ภายในเป็น ขวดโรลออน และยาสีฟัน จากการตรวจสอบมี เฮโรอีน ซุกซ่อนอยู่ น้ำหนัก 6.98 กก.  นอกจากนี้ยัง ตรวจยึดทรัพย์สิน กระเป๋าแบรนเนม 1 ใบ ราคาประมาณ 70,000 บาท จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2
ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้สืบสวนขยายผลเครือข่ายที่ลักลอบลำเลียงยาเสพติด ส่งออกต่างประเทศ โดยอำพรางไปกับสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์ จนทราบว่าจะนำยาเสพติดที่ซุกซ่อนไปกับเฟอร์นิเจอร์มาพักเก็บในพื้นที่ อ.แม่สาย   จ.เชียงราย ตำรวจจึงทำการวางแผนจับกุม กระทั่งวันที่ 19 ก.ย.67 เวลาประมาณ 10.00 น. พบว่าเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าวได้นำมาเก็บพักคอยที่บ้านเช่าเลขที่ 112/6 ม.2 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อเตรียมส่งต่างประเทศ จึงนำกำลังตำรวจเข้าตรวจสอบ ภายในบ้านพบเป็นโต๊ะ และเก้าอี้ ตรวจสอบภายใน พบยาเสพติดเป็นไอซ์ ลักษณะเป็นก้อนคล้าย ดินน้ำมันสีขาว และ สีชมพู คละกัน มีผงลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวใสผสมอยู่ ซุกซ่อนอำพรางในช่องลับภายในแผ่นรองนั่งของเก้าอี้ น้ำหนัก 325 กก. และ ซุกซ่อนอยู่ในช่องลับภายในแผ่นหน้าโต๊ะ น้ำหนัก 240 กก. รวมน้ำหนักทั้งสิ้น 565 กก. จากการสอบถามผู้ดูแลแจ้งว่าเป็นสินค้าที่มีลูกค้านำมาฝากไว้กับทางร้าน จากนั้นจึงนำของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย และ จะทำการสืบสวนขยายผลถึงกลุ่มเจ้าของยาเสพติดต่อไป

คดีที่ 3
ตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดเชียงราย กก.2 บก.ปส.3 ได้สืบสวนเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ จ.เชียงราย จนทราบว่า นายอาตี๋ ชนเผ่าอาข่า จะลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่ บ้านผาหมี อ.แม่สาย จ.เชียงราย กระทั่ง วันที่ 25 ก.ย. 67 เวลาประมาณ 21.30 น. ขณะตำรวจชุดสืบสวน ร่วมกับทหาร ออกสำรวจพื้นที่ ก็พบเข้ากับคารวานลำเลียงยาเสพติด ซึ่งเป็นกลุ่มชาย ฉกรรจ์ จำนวน 12 คนแบกสัมภาระเป็นกระเป๋าที่คาดว่ามียาเสพติดถูกบรรจุอยู่ด้านใน ขณะเดินลัดเลาะออกมาจากชายป่า ก่อนที่ทั้งหมดจะไปหยุดรวมตัวกันบริเวณริมถนนทางเข้าหมู่บ้านผาหมี หน้าศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตำรวจจึงนำกำลังแสดงตัวเข้าตรวจสอบและตรวจค้น สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 6 ราย 

ซึ่งทั้งหมดเป็นคนสัญชาติเมียนมาร์ ส่วนคนที่เหลือวิ่งหลบหนีไปได้ ตรวจค้นในกระเป๋าพบกระสอบ 11 กระสอบ ภายในบรรจุยาบ้ารวมทั้งสิ้น ประมาณ 1,600,000 เม็ด โดยตำรวจเตรียมขยายผลหาเพื่อนร่วมขวนการที่สามารถหลบหนีไปได้ ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

บก.สกส.
คดีที่ 4
เมื่อวันที่ 6 ก.ย.67 เวลาประมาณ 20.00 น. – 23.50 น. ต่อเนื่องกัน ตำรวจ บก.สกส., ตำรวจด่านพยุหะคีรี บก.ปส.3 ตำรวจ สภ.วังทอง ภ.จว.พิษณุโลก และ หน่วยข่าวกรองทางทหาร กองกำลังนเรศวร ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา 2 คน หลังตำรวจจับกุมผู้ต้องหาลักลอบลำเลียงยาเสพติดเมื่อวันที่ 31 มี.ค 60 ของกลางยาบ้า 500,000 เม็ด ก่อนจะขยายผลพบว่ายังมีเครือข่ายซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ รับจ้างลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ลงมาส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ ภาคกลาง  กระทั่ง พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จึงจัดชุดติดตามจนมาถึงพื้นที่ ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก พบว่า รถทั้ง 2 คัน คือ รถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 71 21xx เชียงใหม่ และ รถยนต์ หมายทะเบียน 8กข 31xx กรุงเทพฯ ขับเข้าไปในปั๊มน้ำมัน ปตท.วังทอง ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบนายสมศักดิ์ และนายสุทธิศักดิ์ พี่น้องกัน จึงเชิญตัวทั้ง 2 คน และนำรถมายังด่านตรวจยาเสพติดพยุหะคีรี เพื่อเข้าเครื่อง X-Ray ตรวจค้นโดยละเอียด ปรากฏว่าพบวัตถุต้องสงสัยซุกซ่อนอยู่ในช่องลับผนังด้านข้างทั้ง 2 ข้าง ของรถบรรทุก  ตรวจสอบพบเป็นยาบ้า 2,500 มัด จำนวนรวมทั้งสิ้น 5,000,000 เม็ด เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกัน จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือ เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน หรือ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี

นอกจากนี้ บช.ปส. ยังได้สรุปภาพรวมการปราบปรามยาเสพติดในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ภายใต้การขับเคลื่อนของ พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ซึ่งได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ที่ถูกกำหนดให้เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ทั้งแผนงานและภารกิจ ให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย ด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและ  ตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด ซี่งตลอดทั้งปีที่ผ่านมา บช.ปส. ได้ขับเคลื่อนการปราบปราม การสกัดกั้นการลำเลียง และการขยายผลจับกุมยึดทรัพย์เพื่อทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด  อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยกำหนด “แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” เพื่อสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ ตอนในและพื้นที่ปลายทาง และทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่เป้าหมาย ส่งผลให้ปีงบประมาณ พ.ศ.2567

สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดได้ถึง 1,322 คดี เพิ่มขึ้น 427 คดี มีผู้ต้องหา 1,729 คน เพิ่มขึ้น 518 คน  ตรวจยึดยาบ้าได้ 380,317,464 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 137,871,101 เม็ด คิดเป็น 56.87%  และคิดเป็น 41.05% ของ ตร., ไอซ์ 13,170 กก. คิดเป็น 58.34% ของ ตร. คีตามีน 2,388 กก. คิดเป็น 47.09% ของ ตร. ในส่วนการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดทั้งตามแนวชายแดน และพื้นที่ตอนใน โดยเฉพาะยาบ้า สามารถจับกุมผู้ค้ารายสำคัญรายใหญ่ ยาบ้า 500,000 เม็ดขึ้นไป จำนวน 90 คดี สกัดกั้นยาบ้าได้ 361,853,712 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว คิดเป็น 87.24 %                 

โดยภารกิจสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และพื้นที่ปลายทาง รวมทั้งทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ ในพื้นที่เป้าหมาย ถือเป็นภารกิจสำคัญของ “แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” ในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 มีผลการดำเนินการที่น่าสนใจ ได้แก่ วันที่ 20 เม.ย.2567 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาบ้า 14,648,000 เม็ด  ขณะลักลอบลำเลียงจากแนวชายแดนเข้ามาส่งต่อให้เครือข่ายในพื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ นับเป็นการสกัดกั้นการขนลำเลียงยาบ้าที่มีปริมาณมากที่สุดของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดที่จับกุมได้ในปีนี้ และล่าสุดเมื่อ 23 ส.ค.2567 ยังจับกุมผู้ต้องหาขณะลำเลียงยาบ้า 14,000,000 เม็ด จากพื้นที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เข้าสู่พื้นที่ชั้นในได้อีกด้วย ปฏิบัติการ“ ตามล่าเครือข่าย VUITTON วิตตอง” เป็นปฏิบัติการสำคัญที่สามารถสืบสวนจับกุมเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่ตอนใน ได้อย่างต่อเนื่องถึง 11 คดี จับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายไปแล้วกว่า 50 ราย ยึดยาบ้า กว่า 46 ล้านเม็ด ไอซ์และ คีตามีนรวมกว่า 100 กิโลกรัม ยึดทรัพย์กว่า 26 ล้านบาท

ผลงานสำคัญในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดข้ามชาติ  ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านลำเลียงยาเสพติดไปต่างประเทศ วันที่ 4 ธ.ค.2566 ได้เปิดปฏิบัติการสยบไพรีปราบสมุทร “Operation Poseidon ” จับกุมผู้ต้องหา             พร้อมไอซ์และเคตามีนกว่า 2,200 กก. การขยายผลนำไปสู่การออกหมายจับนายชาญชัยหรือกัปตันตุ้ยฯ พร้อมยึดทรัพย์สินกว่า 150 ล้านบาท จากการแกะรอยไล่ล่ากลุ่มเครือข่ายดังกล่าว นำไปสู่การจับกุมผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดทางทะเลได้เพิ่มเติมอีก 2 คดี ได้แก่ วันที่ 8 ก.ย.67 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมไอซ์ 600 กก.ที่ท่าเรือริมแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร และ วันที่ 10 ส.ค.2567 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมไอซ์ 1,500 กก. ที่ท่าเรือในพื้นที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ทั้ง 3 ปฏิบัติการสำคัญนี้สามารถสกัดกั้นการพยายามลักลอบลำเลียงไอซ์และคีตามีนข้ามชาติได้ถึง 4,300 กก. หรือ 4.3 ตัน

ผลงานสำคัญในการสกัดกั้นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด ที่มีการลักลอบนำเข้าและส่งออกไปยังแหล่งผลิตในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อ 12 ก.ค.2567 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจยึดสารโทลูอีน (Toluene) 90 ตัน ลักลอบนำเข้าจากเกาหลีใต้มาที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เตรียมส่งไปแหล่งผลิตยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน สารโทลูอีนที่ยึดได้ หากหลุดรอดไปถึงแหล่งผลิต จะใช้ผลิตยาบ้าได้จำนวนมหาศาลถึง 270 ล้านเม็ด ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เดินทางไปร่วมตรวจสอบและแถลงข่าวผลการตรวจยึดด้วยตนเอง ผลงานสำคัญในการยึดและอายัดทรัพย์สินปีงบประมาณ2567 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สิน จำนวน 4,096,626,323 ล้านบาท  หรือคิดเป็น 32.78% ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีปฏิบัติการที่สำคัญในการยึดทรัพย์สิน ได้แก่  ช่วงเดือน พ.ค.2567 เปิดปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่าย “ใหม่ Logistics” ของ บก.ปส.2 ที่ปูพรมตรวจค้นในพื้นที่ 8 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อจับกุมกลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดผ่านบริษัทขนส่ง จากพื้น

‘แพทองธาร’ เตรียมนั่งหัวโต๊ะ ชี้ชะตาเบอร์ 1 สตช. ตั้งตัวชี้วัดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องสางปัญหาอาชญากรรม-ยาเสพติด

(6 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี จะไปเป็นประธานการประชุม คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ในวันพรุ่งนี้ (7 ตุลาคม) เวลา 14.30 น. โดยมีวาระสำคัญ คือ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีชื่อผู้มีอาวุโส 3 คน ได้แก่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 1, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ อาวุโส อันดับ 2 และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 3

สำหรับขั้นตอนการคัดเลือก ผบ.ตร. ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 มาตรา 78 ระบุว่า ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้คัดเลือกรายชื่อเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยการประชุมเมื่อเข้าพิจารณาวาระนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พล.ต.อ.ไกรบุญ และพล.ต.อ.ธนา จะต้องออกจากห้องประชุม เนื่องจากถือว่ามีส่วนได้เสียองค์ประชุมจึงมีเพียง นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. นายปิยะวัฒน์ ศิวะรักษ์ เลขาธิการ ก.พ. ในฐานะก.ตร. โดยตำแหน่ง และ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ รองศาสตราจารย์ประทิต สันติประภพ และศาสตราจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ เป็นคณะกรรมการพิจารณา

“ไม่ว่าท่านใดจะมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป้าหมายสำคัญตามนโยบายรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาคือการดูแลทุกข์สุข พิทักษ์สันติราษฎร์ ให้กับพี่น้องประชาชน แก้ไขปัญหายาเสพติดและลดอาชญากรรมทุกประเภทให้ได้”

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติขอบคุณตำรวจทุกหน่วยที่ร่วมดูแลประชาชนพื้นที่น้ำท่วมภาคใต้ กำชับปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็งต่อเนื่อง

(30 พ.ย. 67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ติดตามรายงานสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ พบว่าปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวม 78 อำเภอ 515 ตำบล 3,552 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 553,921 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 9 ราย โดยเฉพาะให้เฝ้าระวังพื้นที่ติดแม่น้ำใหญ่ในจังหวัดต่างๆ ที่พบว่ามีระดับน้ำเพิ่มขึ้น ได้แก่ คลองท่าดี จ.นครศรีธรรมราช , ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ด้าน จ.พัทลุง , ลุ่มน้ำแม่น้ำตรัง จ.ตรัง , แม่น้ำละงู จ.สตูล , แม่น้ำปัตตานี จ.ปัตตานี , แม่น้ำสายบุรี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส 

จากรายการการปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พบว่าหน่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจภูธรภาค 8 , ตำรวจภูธรภาค 9 , ตำรวจภูธรจังหวัด , ตำรวจพื้นที่ , ตำรวจสอบสวนกลาง (ตำรวจทางหลวง , ตำรวจน้ำ) , ตำรวจท่องเที่ยว , ตำรวจตระเวนชายแดน ฯลฯ บูรณาการการทำงานเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทุกมิติอย่างรวดเร็วตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน โดยพบว่าตำรวจพื้นที่ได้ออกตรวจเยี่ยมประชาชนผู้ประสบภัย เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ให้เกิดอาชญากรรมซ้ำเติม , มอบสิ่งของเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน , จัดเตรียมเรือท้องแบนและกำลังพลเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย ช่วยเหลือเคลื่อนย้ายประชาชนและสิ่งของจำเป็นไปยังที่ปลอดภัย ส่วนบริเวณถนนที่มีน้ำท่วมผิวการจราจรในเส้นทางสายหลักและสายรอง ได้มีการทำแผนผังเส้นทางสำรองและป้ายบอกทางให้ชัดเจน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน , ตัดต้นไม้ล้มบนถนนกีดขวางทางจราจร รวมถึงการช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนหลังน้ำลดอีกด้วย

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขอขอบคุณและให้กำลังใจข้าราชการตำรวจทุกนาย ทุกหน่วย ที่ร่วมแรงร่วมใจให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ทุกจังหวัด รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสก่อเหตุซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน จึงขอให้คงการปฏิบัติอย่างเข้มงวด เข้มแข็ง ต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ หากพื้นที่ใดต้องการความช่วยเหลือ หรือขาดแคลนสิ่งใด ขอให้แจ้งมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทันที ผู้บังคับบัญชาพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้การปฏิบัติในการดูแลพี่น้องประชาชนเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทางสายด่วน 191 และ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ส่องโมเดล 'เต็นท์น้ำเงิน' ตำรวจสิงคโปร์ เคารพสิทธิผู้ตาย - รักษาจุดเกิดเหตุ

เมื่อไม่นานมานี้ที่สิงคโปร์มีข่าวนักปั่นจักรยานวัย 61 ประสบเหตุชนกับรถบัสในย่านจูรง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเจ้าหน้าที่ตำรวจสิงคโปร์มีการรักษาสภาพจุดเกิดเหตุด้วยกางเต็นท์น้ำเงิน เพื่อปกปิดศพไม่ให้สาธารณชนเห็น

การจัดการจุดเกิดเหตุในแต่ละประเทศมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน สำหรับที่สิงคโปร์มีระบบการจัดการแบบเฉพาะตัวเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่มีผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยฉุกเฉินในสิงคโปร์จะใช้เต็นท์สีน้ำเงินคลุมร่างผู้เสียชีวิตทันทีที่ถึงที่เกิดเหตุ

มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิต, ปกป้องความเป็นส่วนตัวของครอบครัวผู้เสียชีวิต และลดผลกระทบทางจิตใจต่อผู้ที่อยู่ในพื้นที่นั้น

ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจสิงคโปร์ยังระบุว่า การใช้เต็นท์ยังช่วยรักษาความสมบูรณ์ของสถานที่เกิดเหตุสำหรับการสืบสวน เช่น ป้องกันหลักฐานจากการถูกทำลายหรือปนเปื้อนจากสภาพแวดล้อม โดยเต็นท์จะถูกตั้งไว้จนกว่าการเก็บข้อมูลจากที่เกิดเหตุจะเสร็จสมบูรณ์

การดำเนินการเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการจัดการที่มีประสิทธิภาพของสิงคโปร์ พร้อมทั้งแสดงความเคารพต่อความรู้สึกของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ตามระเบียบของตำรวจสิงคโปร์ระบุว่า เต็นท์ที่ใช้ในการปฏิบัติการของตำรวจออกแบบมาเพื่อการใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การสืบสวนเหตุการณ์อาชญากรรม อุบัติเหตุ หรือภารกิจเฉพาะ โดยสามารถให้ความเป็นส่วนตัวได้ เต็นท์บางรุ่นมีหลังคาที่โปร่งแสงและข้างเต็นท์ที่ป้องกันความเป็นส่วนตัว รวมถึงผ้าคลุมสีดำ

เหตุที่ต้องใช้สีน้ำเงินเนื่องจาก เป็นสีสัญลักษณ์ประจำของตำรวจสิงคโปร์ ซึ่งสีนี้ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1969  การใช้ 'เต็นท์สีน้ำเงิน' เริ่มต้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 หรือประมาณปี 2000 เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงกระบวนการสอบสวนและการจัดการสถานที่เกิดเหตุให้มีความเป็นระเบียบและเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

การตั้งเต็นท์สีน้ำเงินนอกจากยังช่วยป้องกันไม่ให้พื้นที่เกิดแล้ว ยังป้องกันการถูกแทรกแซงจากประชาชนและสื่อมวลชน ลดการรบกวนจากผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง และช่วยให้การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและรักษาความลับของการสอบสวนด้วย นับว่าเป็นโมเดลที่ดีที่หากตำรวจไทยจะนำมาประยุกต์ใช้ก็น่าสนใจไม่น้อย

ตำรวจเตือนระวังภัยวาเลนไทน์ พร้อมแนะ 3 ข้อป้องกัน 

(13 ก.พ.68) พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า เทศกาล 'วันวาเลนไทน์' หรือวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะมีประชาชนจำนวนมากถือเป็นโอกาสในการแสดงออกถึงความรัก ซึ่งมิจฉาชีพหรือผู้ไม่หวังดีมักจะใช้โอกาสพิเศษเหล่านี้ก่อเหตุร้าย ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวง การล่อลวง คุกคามทางเพศ และภัยออนไลน์ต่างๆ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมเหล่านี้

กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์ 3 ข้อป้องกันภัยช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ดังนี้
1. ระมัดระวังพฤติกรรมเสี่ยง : ขอความร่วมไปยังพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ระมัดระวังภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการออกไปเที่ยวฉลองวันวาเลนไทน์
2. รู้ทันกลลวงที่มากับความรัก : กลลวงของมิจฉาชีพในการหลอกลวงแสวงหาประโยชน์จากประชาชนในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ เช่น หลอกให้รักหวังเอาเงิน ชวนให้เหยื่อวิดีโอคอล หรือถ่ายคลิปลามก บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอม แอบอ้างเป็นร้านอาหารต่างๆ จัดโปรโมชั่นช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ 
3. ประสานเจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : หากพบการกระทำไม่เหมาะสมของเด็กและเยาวชน หรือเหตุการณ์อาชญากรรมต่างๆ ให้แจ้งเบาะแสข้อมูลข่าวสารให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบ ทางสายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 

นอกจากนี้ ผู้บังคับการกองสารนิเทศ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดกำลังสายตรวจออกตรวจตราบุคคลกลุ่มเสี่ยง โดยเน้นพื้นที่ล่อแหลมหรือเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม การคุกคามทางเพศ แหล่งมั่วสุมของเด็กและเยาวชน พร้อมเน้นย้ำให้สถานบันเทิงและสถานบริการ ต้องไม่ปล่อยให้เด็กและเยาวชนเข้าไปใช้บริการ รวมถึงตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่เด็กและเยาวชน และสุ่มตรวจหาสารเสพติดในสถานบันเทิงและสถานบริการต่างๆ รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดและเฝ้าระวังตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ พร้อมตรวจสอบและเฝ้าระวังการกระทำผิดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ โดยเฉพาะกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ สื่อลามกอนาจารที่มีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน 

ญี่ปุ่นจ้างที่ปรึกษาความงาม สอนตำรวจชายดูแลผิวแต่งหน้า เสริมภาพลักษณ์มืออาชีพ ชี้สำคัญไม่แพ้การจับคนร้าย

(20 ก.พ. 68) เว็บไซต์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา สถาบันตำรวจฟุกุชิมะ (Fukushimaken Keisatsugakko) ในจังหวัดฟุกุชิมะ ได้เปิดหลักสูตรแต่งหน้าให้กับนักเรียนตำรวจ 60 คน รวมถึงตำรวจชายหลายคนที่ใกล้จะจบการศึกษา ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้คนในโลกออนไลน์ 

รายงานระบุว่า สถาบันตำรวจฟุกุชิมะ ตระหนักถึงความสำคัญของการมีภาพลักษณ์ที่สะอาดตาและเป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนในชุมชน การสร้างความประทับใจที่ดีและการสร้างความไว้วางใจถือเป็นสิ่งสำคัญ จึงจัดการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เตรียมสำเร็จหลักสูตร เข้าฝึกอบรมการดูแลผิวและแต่งหน้าเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

“เราต้องการเตือนนักเรียนว่าการรักษาภาพลักษณ์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะพวกเขาคือสมาชิกของสังคมและในอนาคตจะเป็นตำรวจ” ทาเคชิ ซูกิอุระ รองผู้อำนวยการสถาบันตำรวจกล่าวในการสัมภาษณ์กับ Nippon TV

เพื่อให้หลักสูตรแต่งหน้าเป็นไปตามมาตรฐานมืออาชีพ สถาบันได้ร่วมมือกับที่ปรึกษาจากแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง ชิเซโด (Shiseido) โดยผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงแต่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแต่งหน้าเท่านั้น แต่ยังให้คำแนะนำเฉพาะบุคลิกภาพที่เหมาะสมกับนักเรียนตำรวจแต่ละคนด้วย

ในระหว่างหลักสูตร อาจารย์ได้สอนเทคนิคการแต่งหน้าพื้นฐาน เช่น การบำรุงผิว การทาไพรเมอร์ และการใช้ดินสอเขียนคิ้ว รวมถึงทักษะการดูแลตัวเองพื้นฐาน เช่น การตัดคิ้วและการจัดทรงผม

ที่น่าสนใจคือ หลายคนในกลุ่มนักเรียนชายที่ไม่คุ้นเคยกับการแต่งหน้าพบว่ามันเป็นความท้าทาย บางคนถูกพบว่าทาไพรเมอร์ไปทั่วใบหน้าด้วยความยุ่งเหยิง ขณะที่บางคนดูเหมือนจะมองหาความช่วยเหลือจากเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ

ยูเซย์ คุวาบาระ หนึ่งในนักเรียนตำรวจชายที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มที่หลังจากหลักสูตร กล่าวว่า “ผมไม่เคยแต่งหน้าเลยครับ ผมคิดว่าอาชีพตำรวจคือการต้องอยู่ในสายตาของสาธารณะบ่อยๆ ดังนั้นผมอยากให้ตัวเองดูดีเมื่อไปทำงาน”

โดยทั่วไปแล้ว สถาบันตำรวจญี่ปุ่นมักจะเน้นการศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายและการเตรียมความพร้อมทางกายภาพอย่างเข้มงวด การเปิดหลักสูตรดังกล่าวถือเป็นการปรับปรุงการฝึกอบรมให้ทันสมัย และเตรียมตำรวจในอนาคตให้มีทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับชุมชนด้วยความสุภาพ

สถาบันในฟุกุชิมะไม่ใช่แห่งเดียวที่เปิดหลักสูตรนี้ โดยก่อนหน้านี้ สถาบันตำรวจในจังหวัดยามากูชิยังได้เปิดหลักสูตรที่คล้ายกัน โดยเริ่มจากการสอนนักเรียนชายทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกวิธี

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกนำเสนอ ปรากฎว่าบรรดาชาวเน็ตจีนต่างแสดงความเห็นกันอย่างฮือฮา “ตอนนี้พวกเขาสามารถโยนแป้งฝุ่นใส่ตาลูกผู้ต้องสงสัยแล้วจับได้!” ผู้ใช้งานคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นอย่างขำขัน

ขณะที่อีกคนกล่าวว่า “ตอนแรกที่อ่านข่าวนี้ ผมคิดว่าพวกเขากำลังเรียนวิธีพรางตัวเพื่อจับคนร้าย”

อย่างไรก็ตาม บางคนก็แสดงความกังวลว่า “การเรียนรู้ทักษะหลายๆ อย่างไม่ใช่เรื่องแย่ แค่ขอให้มันไม่กลายเป็นเกณฑ์ที่เข้มงวดสำหรับการประเมินผลงาน”

‘จ่าคลั่ง’ สงกรานต์ พวงน้อย กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตำรวจอีกครั้ง พร้อมขอโอกาสใหม่ หลังก่อเหตุต่อยกรรมการและย่ำคู่แข่งในศึกฟุตบอล T3

(27 มี.ค. 68) หลังจากเหตุการณ์ที่ สงกรานต์ พวงน้อย หรือ “จ่าคลั่ง” นักเตะหัวหิน ซิตี้ ก่อเหตุทำร้ายกรรมการและย่ำคู่แข่งจนโดนใบแดงในสนาม ส่งผลให้ทีม หัวหิน ซิตี้ ยกเลิกสัญญา ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาโพสต์ขอโทษผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมขอให้สังคมให้อภัยและยอมรับโอกาสที่เขาจะกลับมาทำความดีตอบแทนสังคม

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมระหว่าง หัวหิน ซิตี้ ที่เปิดบ้านพ่ายให้กับ ราชประชา 2-5 เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งนายสงกรานต์ผู้เล่นของหัวหิน ซิตี้ ไม่พอใจผู้เล่นทีมราชประชา ที่ไม่ยอมออกไปปฐมพยาบาลนอกสนาม จนเกิดการมีปากเสียงกัน ก่อนที่จ่าคลั่งจะเข้าไปย่ำเท้าใส่คู่แข่ง ต่อยกรรมการ จนผู้ตัดสินไม่รอช้าแจกใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

ต่อมา สงกรานต์ พวงน้อย โพสต์ข้อความหลังจบเกม ความว่า กระผมต้องกราบขอโทษสโมสรราชประชาและน้องเบอร์ 10 และผมต้องกราบกราบขอโทษผู้ตัดสินจากใจจริง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสิ่งที่ผมกระทำไปเป็นอารมณ์ชั่ววูบและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับเยาวชน และผมก็ขอโทษน้องส่วนตัวแล้วก็เข้าไปขอโทษโค้ช ขอโทษเพื่อนร่วมทีมที่ร่วมเล่นทุกๆคน 

พร้อมทั้งขอโทษแฟนบอลทุกๆท่านสิ่งที่ผมทำไป ผมได้ทำผิดพลาดไปแล้วผมหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับตัวผมอีกเป็นบทเรียนให้ผมได้เรียนรู้ ต้องกราบขอโทษจากใจจริงครับผม และผมหวังว่าทุกคนจะให้อภัยในสิ่งที่ผมทำต้องกราบขอโทษจากใจจริงมาณที่นี้ครับ

ปัจจุบัน สงกรานต์ พวงน้อย ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตำรวจในตำแหน่ง ตำรวจจราจร ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่นี้มาตลอดตั้งแต่ยังค้าแข้งกับทีม หัวหิน ซิตี้ โดยเจ้าตัวได้โพสต์ขอโทษอีกครั้งว่า “ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้อีกทีนึง ผมจะทำความดีทดแทนสังคม ขอให้สังคมและแฟนบอลให้อภัยผมสิ่งที่ผมทำไป เป็นสิ่งที่ไม่ดีแล้วเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับเยาวชนรุ่นหลัง และเยาวชนรุ่นหลังห้ามเอาเป็นตัวอย่าง”

ทั้งนี้ บทลงโทษของ สงกรานต์ พวงน้อย คือห้ามเข้าร่วมการแข่งขันที่สมาคมจัดขึ้นเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่มีคำสั่งนี้เป็นต้นไป และถูกพักการแข่งขันและห้ามเข้าสนาม 20 นัด ถูกปรับเงิน 310,000 บาท แต่เป็นการแข่งขันกีฬาฟุตบอลรายการไทยลีก 3 จึงลงโทษปรับหนึ่งในสี่ ปรับเงิน 77,500 บาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top