Thursday, 17 April 2025
ตำรวจ

‘ศาลอาญา’ อนุมัติหมายจับ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ข้อหาฟอกเงิน หลังออกหมายเรียกแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่ไปรายงานตัว

(2 เม.ย. 67) ที่ศาลอาญารัชดา พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมายื่นคำร้อง ขอออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิด ฐานฟอกเงินและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ตามที่สมคบกัน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5,9,10 และศาลอาญาพิพากษา ให้ออกหมายจับ พร้อมกับมีผลในทันที โดยหากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเห็น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็สามารถแสดงหมายจับและจับกุมตัวได้ทันที

รายงานแจ้งว่า ภายหลังมีการยื่นขอออกหมายจับในช่วงเช้าทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เรื่องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากมีการยื่นคำร้องขอออกหมายจับ ซึ่งศาลได้รับคำร้องชี้แจงข้อเท็จจริงโดยใช้เวลาอ่านรายละเอียดนานกว่า 5 ชั่วโมง แต่ศาลพิเคราะห์เห็นแล้วว่า พยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน มีเพียงพอที่จะออกหมายจับประกอบกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีท่าทีหลบเลี่ยงหมายเรียกของพนักงานสอบสวนถึง 3 ครั้ง จึงเป็นสาเหตุในการออกหมายจับครั้งนี้

'ผู้การแต้ม' เตือน 'บิ๊กโจ๊ก' แถลงข่าวข่มขู่ผู้อื่น ระวังผิดกฎหมายเพิ่ม ชี้!! คำสั่งรักษาการ ผบ.ตร. มีอำนาจเต็ม 'บิ๊กโจ๊ก' ต้องพูดมุมนี้ด้วย

ภายหลังจากกรณีการแถลงข่าวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. หรือ 'บิ๊กโจ๊ก' ที่บุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร) ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็มีความคิดเห็นจาก พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือ 'ผู้การแต้ม' เกี่ยวกับเรื่องนี้ ระบุว่า...

"จากการแถลงข่าวกรณีที่บิ๊กโจ๊กใช้สํานักงานตํารวจแห่งชาติแถลงโจมตีบุคคลอื่น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะตนเองก็เป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการร่างพรบ.ตํารวจปี 2565 ฉบับที่ใช้ในปัจจุบัน ... ยืนยันว่าพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. ปฏิบัติตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ทุกประการ ส่วนกรณีบิ๊กโจ๊กออกมาแถลง ก็แค่ในมุมของตัวเองแต่ไม่ได้พูดว่ากฎหมายให้อํานาจ ผบ.ตร.อย่างไร ซึ่งสิ่งที่บิ๊กโจ๊กไม่ได้บอกกับสื่อและประชาชนก็คือ รักษาการ ผบ.ตร. มีอํานาจเต็มตาม พรบ.ตํารวจฉบับใหม่ ที่ให้อํานาจในการใช้ดุลพินิจแทน ผบ.ตร. ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏและได้รับรายงานจากกองวินัย...ผมเป็นห่วงน้องโจ๊กมันนะ เป็นห่วงว่าไอ้การที่คุณออกมาแถลงข่าวแล้วมาข่มขู่คนนั้นจะติดคุกจะอะไรอย่างงั้นอย่างงี้ ระวังจะไปโดนข้อหา 'เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนสืบสวน' นะ"

ผู้การแต้ม ยังกล่าวเตือนไปถึงบิ๊กโจ๊กอีกว่า ตนได้มีโอกาสดูการแถลงข่าว พบว่ามีนายตํารวจระดับพลตํารวจตรี น่าจะสังกัดตํารวจท่องเที่ยว ไปยืนแถลงกับบิ๊กโจ๊ก ซึ่งทําหน้าที่ช่วยถือบอร์ดหลักฐาน พฤติกรรมนี้ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ราชการ เพื่อช่วยเหลือประชาชน จนอาจมีความผิดวินัยร้ายแรงและทําให้ภาพลักษณ์ของตํารวจมัวหมองไปอีก เพราะว่าจะทําให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

"อยู่ ๆ ก็ปรากฏว่ามี พล.ต.ต.คนนึง ไม่รู้อยู่ท่องเที่ยวหรือเปล่า มาเปิดแฟ้ม ป้ายแถลงข่าว ถามว่าทําได้ไหม อาจจะบอกทำได้ แต่ควรไหม? เพราะหน้าที่ของคุณ ถ้าเป็นผู้การ คุณต้องไปดูแลความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของพี่น้องนักท่องเที่ยว คุณไม่มีหน้าที่ที่จะมาเปิดตรงนี้ ไม่ควร แล้วมาแบบเครื่องแบบเต็มยศด้วย ตรงนี้ผมบอกให้ว่าต้องระวังมีคนร้องเรียน เพราะคุณไม่ไปตรวจตาไปดูแลความปลอดภัยเชิงทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว แต่กลับมาอยู่ตรงนี้"

ทั้งนี้ผู้การแต้ม ยังได้อธิบายถึงอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) อีกด้วย ว่าเป็นคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาตามพรบ.ตํารวจปี 2565 มีคณะกรรมการสองชุด โดยคณะกรรมการชุดแรก ก็จะรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนต่อตํารวจมี พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติดเป็นคณะกรรมการ

ส่วนคณะกรรมการชุดที่สอง มีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากตํารวจเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งบิ๊กโจ๊กร้องเรียนในคณะกรรมการชุดดังกล่าว ก.พ.ค.ตร. ก็มีหน้าที่ตามที่บิ๊กโจ๊กบอกก็คือทําหน้าที่เหมือนศาลปกครองชั้นต้นให้กับตํารวจเมื่อได้รับคําสั่งมิชอบในทางปกครองต่าง ๆ และคําสั่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถร้องเรียนได้ เพื่อไม่ให้ตํารวจไปร้องเรียนนอกหน่วยงานตํารวจ

"กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา เช่นถูกคำสั่งให้ออก ก็มีคณะกรรมส่วนนี้เพื่อให้อุทธรณ์คําสั่ง ซึ่งบิ๊กโจ๊กก็ต้องมาอุทธรณ์ตรงนี้ เพราะคณะฯ นี้ ก็เหมือนศาลปกครองชั้นต้น แต่ถ้าคุณไม่มาอุทธรณ์ เท่ากับแสดงความยินยอมรับคําสั่ง แต่พอสุดท้ายคุณไม่พอใจ คุณกลับจะไปอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด มันไม่ได้ คุณต้องอุทธรณ์ตรงนี้ก่อน แต่อุทธรณ์นั้น ๆ ถ้าอุทธรณ์ฟังขึ้น ก็จะส่งเรื่องไปให้ ตร.พิจารณา แต่ถ้าฟังไม่ขึ้น คุณก็ค่อยไปอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป" ผู้การแต้ม ทิ้งท้าย

เชียงใหม่- ตำรวจภูธรภาค 5 จัดการฝึกอบรมหัวข้อ 'การป้องกันและรักษาโรคออฟฟิศซินโดรม' ให้กับข้าราชการตำรวจฝ่ายอำนวยการในสังกัด ภ.5 ส่วนกลาง

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 เวลา 15.00 -16.30 น. พล.ต.ต.ไพศาล  ลือสมบูรณ์  รอง ผบช.ภ.5 เป็นประธานในการกล่าวให้โอวาทแก่ข้าราชการตำรวจฝ่ายอำนวยการในสังกัดกองบังคับการอำนวยการ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการกฎหมายและคดี ตำรวจภูธรภาค 5 รวมจำนวน 100 นาย ในการฝึกปฎิบัติและรับฟังการบรรยายในหัวข้อ "การป้องกันและรักษาโรคออฟฟิศซินโดรม" โดย กภ. ธีรภัทร์ ทัศนศรีวรการ นักกายภาพบำบัด ศูนย์สุขภาพพร้อม คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นวิทยากร 

ในการนี้ พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์  รอง ผบช.ภ.5 รอง ผบช.ภ.5 ได้กล่าวขอบคุณและมอบของที่ระลึกให้กับวิทยากร กภ. ธีรภัทร์ ทัศนศรีวรการ นักกายภาพบำบัด ศูนย์สุขภาพพร้อม คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งการบรรยายในครั้งนี้ได้รับคำชื่นชมจากข้าราชการตำรวจผู้เข้ารับการฝึกอบรมดังกล่าว โดยสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันในการป้องกันและรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมได้จริง ตลอดจนเป็นการเพิ่มพูนความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลรักษาสุขภาพของข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติงานฝ่ายอำนวยการ โดยได้มีการฝึกปฏิบัติประกอบการรับฟังบรรยายด้วย ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมีตำรวจภูธรภาค 5 อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

สาวสุดกลั้น โบกรถตำรวจให้ช่วยพาไปส่งที่ ‘ห้องน้ำ’ พี่จราจรไม่รอช้า พาซ้อน จยย. ส่งถึงที่ ชาวโซเชียลแห่ชื่นชม

(11 พ.ค.67) กลายเป็นคลิปที่ถูกแชร์บนโลกออนไลน์ เมื่อเกิดเหตุการณ์เร่งด่วน เรื่องทุกข์ร้อนของประชาชนที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบให้ความช่วยเหลือ

เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นกลางในเมือง ซึ่งทุกคนรู้ดีว่า การจราจรในกรุงเทพนั้นสาหัสแค่ไหน แน่นอนว่า ความปวดท้องหนักนั้นไม่เข้าใครออกใคร ถ้าข้าศึกบุกเราก็พร้อมจะแพ้พ่าย ทำให้กลายเป็นไวรัล เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าช่วยโดยด่วน โดยเพจสืบนครบาล ระบุว่า ...

สำหรับเหตุการณ์คับขันที่เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์จริง ใจกลางกรุงเทพมหานคร บนถนนศรีอยุธยา ในระหว่างที่การจราจรติดขัด เพื่อนในรถตู้เกิดปวดท้องทนไม่ไหว ต้องการเข้าห้องน้ำด่วน เพราะข้าศึกประชิดประตูเมืองแล้ว กระทั่งเปิดกระจกถามเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.พญาไท แล้วไหว้วานให้พี่ตำรวจพาไปส่งเข้าห้องน้ำ

เมื่อประชาชนกำลังเป็นทุกข์ขอหวังพึ่ง ตำรวจก็ไม่รีรอ ให้บริการประชาชน พาซ้อนรถจักรยานยนต์สายตรวจจราจร ไปส่งที่โรงพยาบาลสงฆ์ ซึ่งเป็นจุดที่มีห้องน้ำอยู่ใกล้ที่สุด เป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกสถานการณ์

‘สภ.นิคมพัฒนา’ โปรโมตห้องพักหลุดจอง ขนาดไม่เล็ก-แต่งมินิมอล พร้อมติดโปรฯ เด็ด ‘ให้การไม่ดีติดเยอะ ให้การเลอะเทอะติดเต็ม’

(21 พ.ค. 67) กลายเป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์ เมื่อเพจ ‘สถานีตำรวจภูธรนิคมพัฒนา’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ด่วน!! ห้องว่างหลุดจอง สภ.นิคมพัฒนาตามสโลแกน “ให้การไม่ดีติดเยอะ ให้การเลอะเทอะติดเต็ม” 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ขนาด 56 ตร.ม. (ไม่เล็กนะครับ) ห้องสวย พื้นทาสีเขียวลงมัน อากาศถ่ายเทดี มีมุ้งลวด เหล็กดัด พัดลมแบบบิ้วอิน มีความมั่นคงแข็งแรง

มีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชม. แต่งครบจบสไตล์แบบวินเทจแอนด์มินิมอล์ ข้างนอกกะทัดรัดแบบมินิมอล์ ข้างในโอ่โถงอลังการแบบลัคชูรี่ “ให้การไม่ดีติดเยอะ ให้การเลอะเทอะติดเต็ม” ครับ”

พร้อมภาพห้องขังขนาดกะทัดรัด มีตำรวจ 3 นายยืนอยู่ โดยโพสต์ดังกล่าวมีคนกดไลก์กว่า 5.3 หมื่น คอมเมนต์อีก 4 พัน และยอดแชร์ 1 หมื่นครั้ง 

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” มอบประกาศเกียรติคุณ “ทำดี มีรางวัล” ให้กับตำรวจ 3 นาย ทำงานด้วยหัวใจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ช่วยเหลือประชาชน เพื่อให้กำลังใจ ยกเป็นแบบอย่างที่ดี

วันนี้ (27 พฤษภาคม 2567) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) มอบใบประกาศเกียรติคุณตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นาย คือ ร.ต.ท.นพกร สินทอง ร.ต.ท.พิทยายุทธ ชาวงษ์ รอง สว.(จร.) ช่วยราชการศูนย์ควบคุมสั่งการและการจัดจราจรทางพิเศษ (บางพลี-สุขสวัสดิ์) และ ส.ต.ต.พงศธร อุดมทวี ผบ.หมู่ ฝ่ายป้องกันปราบปราม สน.บางพลัด จาก 2 เหตุการณ์ โดยมี พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมแสดงความยินดี

เหตุการณ์แรก เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 07.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งอุบัติเหตุรถชนกันบริเวณลงด่านบางแก้ว มุ่งหน้า ถนนเทพรัตน์ หรือ ถนนบางนา-ตราด จึงเข้าตรวจสอบ ในเบื้องต้นไม่พบผู้บาดเจ็บ ถึงแยกรถคู่กรณีมาจอด ณ จุดเว้า เพื่อรอประกันภัยรถยนต์มาตรวจสอบ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวกการจราจร ได้สังเกตเห็นรถยนต์ของคู่กรณีมีอาการสั่นอย่างรุนแรง ร.ต.ท.นพกรฯ และ ร.ต.ท.พิทยายุทธฯ จึงรีบเข้าตรวจสอบ พบว่าผู้ขับขี่มีอาการชักกระตุกและไม่พบสัญญาณชีพ เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นายจึงเข้าให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลด้วยการปั๊มหัวใจ หรือ CPR จนผู้ป่วยกลับมามีสัญญาณชีพและฟื้นคืนสติ ในขณะเดียวกันได้แจ้งให้หน่วยกู้ชีพเข้าช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลต่อไป

เหตุการณ์ที่ 2 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 19.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฝนตกหนัก ลมกระโชกแรง ส.ต.ต.พงศธร อุดมทวี ผบ.หมู่ ฝ่ายป้องกันปราบปราม สน.บางพลัด ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ ตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจรบริเวณแยกบางพลัด ได้สังเกตเห็นเด็กหญิงและเด็กชายรวมถึงคุณแม่ยืนกอดกันตากฝนอยู่บริเวณเกาะกลางถนน จึงได้รีบวิ่งถือร่มเข้าช่วยเหลือ นำเด็กทั้งสองคนไปหลบฝนที่ป้อมจราจร โดยให้คุณแม่ขี่รถจักรยานยนต์ตามมา โดยคลิปวีดีโอดังกล่าวด้วยถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์ และได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณและชื่นชม ร.ต.ท.นพกรฯ , ร.ต.ท.พิทยายุทธฯ และ ส.ต.ต.พงศธรฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม สมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญ ตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมสืบไป พร้อมขอให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับส่งเสริมข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง

ด้าน พล.ต.ท.ประจวบฯ และ พล.ต.ท.กรไชยฯ ได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นาย ที่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายของรอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ที่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ แต่ขอให้ทำความดีและปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา

ตำรวจอายัดตัว ‘ตะวัน’ คุมตัวพาไป สน.พระราชวัง หลังพบมีหมายจับเป็นผู้สนับสนุนคดีพ่นสีกำแพง

(28 พ.ค.67) หลังจากเมื่อวานนี้ ศาลอาญาให้ประกัน ตะวัน ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ในคดี ม.116 แล้ว หลังถูกคุมขังมาตั้งแต่ชั้นฝากขังจนคดีถูกสั่งฟ้องเป็นระยะเวลานาน 104 วัน พร้อมกับอดอาหารประท้วงก่อนหน้านี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง

โดยปัจจุบันตะวันถูกควบคุมตัวอยู่ที่ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ พร้อมกับ แฟรงค์ ณัฐนนท์ เพื่อนร่วมคดีเดียวกัน โดยศาลให้ประกันตัวตะวัน ด้วยเงื่อนไขให้ใส่กำไล EM

สำหรับการปล่อยตัวตะวัน ทนายความกำลังตรวจสอบว่านอกจากนี้คดีนี้ ตะวันยังมีหมายขังในคดีอื่นอยู่อีกหรือไม่ หากมีจะยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อไป หรือหากไม่มีคดีใดเหลืออยู่แล้วตะวันก็จะได้รับการปล่อยตัววันนี้ทันที

ล่าสุด ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ว่า ด่วน! 12.24 น. มีรายงานว่า จนท.ราชทัณฑ์ได้นำตัว ‘ตะวัน’ ออกจากรพ.ธรรมศาสตร์ ไปติดกำไล EM ที่ศาลอาญา หลังได้ประกันตัวในคดี #ม116 วานนี้

นอกจากนั้น ตำรวจ สน.พระราชวัง เตรียมจะอายัดตัวตะวันต่อ หลังพบว่ามีหมายจับของศาลอาญาในอีกคดีหนึ่งอยู่ ชวนจับตาสถานการณ์

ต่อมาเวลา 15.00 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน อัปเดตว่า หลังการพูดคุย ทางตำรวจ สน.พระราชวัง จะไม่อายัดตัวตะวันจากศาลอาญาในวันนี้ แต่จะให้เดินทางเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.พระราชวัง ในวันศุกร์ที่ 31 พ.ค. 67 แทน

ทั้งนี้ คดีใหม่นี้ ทราบว่าเป็นกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุน ‘บังเอิญ’ พ่นสีกำแพงวัง ซึ่งตำรวจมีการจับกุมผู้สื่อข่าว-ช่างภาพ รวมทั้งสายน้ำไปเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา

ต่อมาเวลา 15.22 น. ตะวันถูกนำตัวออกจากศาลอาญา หลังจากการติดกำไล EM โดยเจ้าหน้าที่จะนำตัวไปปล่อยออกจากทัณฑสถานหญิงกลาง

ต่อมาเวลา 16.40 น. ทางตำรวจ สน.พระราชวัง เปลี่ยนแนวทาง เตรียมจะเข้าอายัดตัวตะวัน หลังได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานหญิงกลาง โดยมีการนำรถตำรวจเข้าเตรียมควบคุมตัว และนำตัวไปยัง สน.พระราชวัง

ต่อมาเวลา 16.56 น. ตำรวจ สน.พระราชวัง เข้าอายัดตัวตะวันแล้ว ขณะนี้กำลังพาตัวไปยัง สน. โดยมีทนายความกำลังติดตามไป

‘พลเมืองสหรัฐฯ’ เสียชีวิตจากน้ำมือ 'ตำรวจ' สูงเป็นประวัติการณ์ปี 2023 สะท้อน!! วิธีแก้ปัญหาเกินกำลังกว่าเหตุ ซ้ำ!! ยังเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานข้อมูลข่าวสารแห่งคณะรัฐมนตรีจีนออกรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ ประจำปี 2023 ซึ่งระบุว่า สหรัฐฯ พบจำนวนประชาชนถูกตำรวจสังหารมากสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีก่อน นับตั้งแต่เริ่มติดตามข้อมูลทั่วประเทศเมื่อปี 2013

รายงานอ้างอิงข้อมูลจากแมปปิง โพลิส ไวโอเลนซ์ (Mapping Police Violence) กลุ่มวิจัยที่ไม่แสวงหากำไรแห่งหนึ่ง ระบุว่าตำรวจในสหรัฐฯ สังหารประชาชนเมื่อปีก่อนอย่างน้อย 1,247 ราย หมายความว่ามีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือตำรวจโดยเฉลี่ยประมาณ 3 รายต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ระบบความรับผิดชอบเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจนั้นไร้ประโยชน์

รายงานอ้างอิงหนังสือชื่อ ‘การจับกุมความเป็นพลเมือง : ผลพวงประชาธิปไตยของการควบคุมอาชญากรรมของอเมริกา’ (Arresting Citizenship: The Democratic Consequences of American Crime Control) ระบุว่า หน่วยงานตำรวจอเมริกันชิงชังพลเมืองที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายในการบังคับใช้กฎหมายของพวกเขา และกลไกในการให้ตำรวจรับผิดชอบต่อการกระทำมิชอบด้วยกฎหมายนั้นแทบไม่มีประโยชน์อันใด

ทั้งนี้ แม้ว่าปัญหาการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในสหรัฐฯ แต่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้กำลัง

ตำรวจ ปส. รวบคาด่าน เครือข่ายยาเสพติดหัวใส หลังลอบขนยาบ้า 12 ล้านเม็ด ซุกในกล่องเลี้ยงผึ้ง

สืบเนื่องจากการสืบสวนของตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 เกี่ยวกับกลุ่มเครือข่ายของ นายชาญณรงค์ พบว่ากลุ่มเครือข่ายดังกล่าวจะมีการเคลื่อนไหวในช่วงวันที่ 12-13 มิ.ย.67 โดยการลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ อ.ปาย จว.เชียงใหม่ เขามายังพื้นที่ กทม. ด้วยการใช้เส้นทางระหว่างหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้าน เพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจของตำรวจ จนเวลา 01.58 น. ของวันที่ 13 มิ.ย.67 ตำรวจพบรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ยจ 5143 เชียงใหม่ ซึ่งเป็นรถที่นายชาญณรงค์ ขับผ่านเส้นทางที่กำลังซุ่มอยู่ จึงติดตาม และพบว่ามีการขับรถยนต์ที่แปลกไปจากปกติ คือการจอดหยุดพักหลายครั้ง ลักษณะเหมือนขับรอใคร  จากนั้นตำรวจพบรถอีกคันคือ หมายเลขทะเบียน ผต 2508 นครปฐม ในเส้นทางเดียวกับรถของนายชาญณรงค์ จึงแบ่งกำลังติดตาม ต่อมา เวลาประมาณ 07.00 น. พบว่ารถทะเบียนนครปฐม ขับแซงขึ้นไปอยู่ด้านหน้า ส่วนรถของนายชาญณรงค์ ก็มีการลดความเร็วลงเพื่อจะตรวจสอบว่ามีรถตำรวจติดตามมาหรือไม่  กระทั่งใกล้ถึง ด่านตรวจวังดิน หมู่ 3 ต.ป่าไผ่ อ.ลี้ จว.ลำพูน รถยนต์ที่นายชาญณรงค์ เป็นผู้ขับขี่มาได้ทำการเร่งความเร็ว ก่อนจะแซงหน้ารถยนต์  ผต 2508 นครปฐม เพื่อจะนำทางเข้าด้านตรวจ ระหว่างนั้นตำรวจ ปส. ได้ประสานงานกับตำรวจด่านตรวจวังดิน เพื่อทำการหยุดรถยนต์ทั้ง 2 คัน จากการสกัดจับกุมรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ผต 2508 นครปฐม โดยมีนายศราวุธ เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นรถพบยาบ้า จำนวน 12,000,000 เม็ด ถูกซุกซ่อนมากับกล่องเลี้ยงผึ้งสีขาว ซึ่งถูกดัดแปลงเพื่อบรรจุยาเสพติดจำนวนมาก ส่วนรถหมายเลขทะเบียน ยจ 5143 เชียงใหม่ ที่มีนายชาญณรงค์ เป็นผู้ขับขี่ทำหน้าที่ขับนำทาง เพื่อตรวจสอบด่านตรวจ และคอยเฝ้าระวังการติดตามจากตำรวจ เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชนอันเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” วันที่13มิ.ย.67 เวลา 14.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวชัย ผบช.ปส. ได้เดินทางไปร่วมตรวจดูของกลางและซักถามผู้ต้องหาด้วยตนเอง เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นการขยายจากกลุ่มเครือข่ายผู้ค้าในจังหวัดสิงห์บุรี ที่ว่าจ้างกลุ่มนักบินมาลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่อ.ปาย จ.เชียงใหม่ เพื่อนำลงไปส่งกลุ่มผู้ค้าในพื้นที่กรุงเทพฯและภาคกลาง ขณะนี้ผู้ตัวผู้สั่งการแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดจับกุมจะได้ขยายผลรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับต่อไป

ผนึกพลัง ตำรวจ - เอไอเอส เปิดยุทธการทลายเครือข่าย “แก๊งตระเวนลักแบตเตอรี่สำรองเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ”

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.พัฒนา ปรีชานันท์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.พัลลภ สุภิญโญ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.วราวุธ เจริญชนม์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.กฤตยา เลาประสพวัฒนา รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.เอนก บุตรอินทร์ รอง ผบก.สง.ก.ต.ช. ปฏิบัติราชการ บก.สส.ภ.2

พร้อมด้วยชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 ทำการสืบสวนเนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีเหตุคนร้ายตระเวนลักทรัพย์แบตเตอรี่(ลิเธียม)ที่ติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ในกลุ่ม เอไอเอส จำนวนหลายท้องที่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จากการประสานของมูลจาก บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ว่าในห้วงระยะเวลา ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2566 ถึงปัจจุบัน พบว่าเกิดเหตุคนร้ายได้ตระเวนก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน กว่า 150 ครั้ง ได้ทรัพย์สินเป็นแบตเตอรี่ ไม่ต่ำกว่า 300 ลูก ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากกว่าสิบล้านบาท คนร้ายได้ตระเวนลักทรัพย์ในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคตะวันออก โดยเลือกพื้นที่ห่างไกลและไม่ค่อยมีกล้องวงจรปิด ออกตระเวนลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และจากแผนประทุษกรรมการก่อเหตุพบว่าคนร้ายเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับระบบเสาสัญญาณโทรศัพท์เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าคนร้ายเป็นกลุ่มคนที่เคยประกอบอาชีพเกี่ยวกับการติดตั้งระบบในเสาสัญญาณโทรศัพท์

ด้านนายสมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค-ภาคตะวันออก เอไอเอส กล่าวว่า “จากกรณีที่มีมิจฉาชีพขโมยแบตเตอรี่ สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ของเอไอเอส ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับความเสี่ยงของการให้บริการสัญญาณเครือข่ายอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้สถานีฐานขาดระบบสำรองแหล่งพลังงาน อันอาจทำให้ไม่สามารถให้บริการสัญญาณได้ตามปกติ ดังนั้นทีมวิศวกร และฝ่ายกฎหมายของเอไอเอส จึงเดินหน้าทำงานสืบสวนในเชิงลึกร่วมกับตำรวจ โดยกองบังคับการสืบสวน สอบสวนตำรวจภูธร ภาค 2 มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามกลุ่มมิจฉาชีพและสามารถเข้าจับกุมรายใหญ่ได้ในครั้งนี้ ซึ่งในนามของเอไอเอส ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านอย่างยิ่ง ที่ให้ความสำคัญกับคดีนี้ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่า ในพื้นที่อื่นๆ หากมีการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในลักษณะนี้ จะทำให้สามารถติดตามจับกุม และนำทรัพย์สินกลับมาเพื่อให้สามารถส่งมอบสัญญาณเครือข่ายได้อย่างมีคุณภาพต่อไป อย่างไรก็ตามหากประชาชนพบเหตุต้องสงสัย สามารถแจ้งมาที่บริษัทฯ หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอดเวลาเช่นกัน”

สำหรับ แบตเตอรี่ลิเธียม ที่ได้ทำการติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์ มีไว้สำหรับเป็นกระแสไฟฟ้าสำรองกรณีหากมีเหตุไฟฟ้าดับ แบตเตอรี่จะทำงานจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเสาสัญญาณโทรศัพท์ทำให้ประชาชนที่มีพื้นที่การใช้งานบริเวณเสาสัญญาณนั้นๆ ยังสามารถใช้สัญญาณโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารได้ บริษัทจึงต้องใช้แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีกำลังวัตต์สูง เพื่อสำรองกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอที่จะทำให้สัญญาณโทรศัพท์ไม่ขัดข้องในกรณีที่ไฟฟ้าดับ โดยในเสา 1 ต้น จะติดตั้งประมาณ 2-3 ลูก ราคาอยู่ที่ประมาณ ลูกละ 40,000 บาท ซึ่งแบตเตอรี่ลิเธียม ประเภทนี้จะไม่ได้มีการนำมาขายตามท้องตลาด ทางบริษัทนำเข้าแบตเตอรี่ จะจำหน่ายให้กับบริษัทที่จะต้องนำไปใช้งานจริงเท่านั้น

คนร้ายได้กระทำกันเป็นขบวนการเครือข่าย โดยหลังจากที่คนร้ายได้ทำการลักทรัพย์แบตเตอรี่แล้ว จะรีบนำไปส่งขายให้กับกลุ่มรับซื้อของโจร ในราคาลูกละ 5,000-8,000 บาท จากนั้น กลุ่มคนรับซื้อของโจรจะดำเนินการปลด Alert ในตัวแบตเตอรี่ แล้วนำไปลงขายใน Social ตลาดมืด ในราคาลูกละ 12,000 – 14,000 บ. และหากซื้อจำนวนมากๆ ราคาจะถูกลง ซึ่งตลาดมืดที่มีความต้องการแบตเตอรี่ประเภทนี้สูงที่สุด คือ กลุ่มตลาดที่รับติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ เนื่องจากเป็นแบตเตอรี่ ที่มีกำลังวัตต์สูง ในการเก็บไฟฟ้า รองลงมาจะเป็น กลุ่มเครื่องเสียงรถยนต์ กลุ่มเครื่องเสียงรถแห่ กลุ่มทำเหมืองขุดบิทคอย เป็นต้น

ชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 ได้ รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและได้ร่วมกันประชุมวางแผนกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายและวิศวกร ของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด เพื่อประสานข้อมูลในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และทำลายเครือข่ายขบวนการลักแบตเตอรี่เสาสัญญาณโทรศัพท์ ในครั้งนี้ ซึ่งชุดสืบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 7 คน และขออนุมัติศาลขอหมายค้นเพื่อตรวจยึดของกลาง อีกจำนวน 8 จุด ซึ่งได้ดำเนินการวางแผน Operation ตั้งแต่ วันที่ 21–23 มิ.ย. 67 ซึ่งรายละเอียดผลการปฏิบัติการ มีดังนี้

จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 6 ราย ประกอบด้วย

1.นายอัศวิน สงวนนามสกุล

2.นายอิบรอฮีม สงวนนามสกุล

3.นายนาวิน สงวนนามสกุล

4.นายรุ่งอนัน สงวนนามสกุล

5.นายศราวุธ สงวนนามสกุล

6.นายปริวัฒน์ สงวนนามสกุล

7.นายวีระวุฒฺ สงวนนามสกุล หลบหนีการจับกุม

รวมจับกุม 6 คน ตรวจยึดของกลางรวม จำนวน 114 ลูก

ซึ่งการตรวจยึดจากผู้ที่รับซื้อรวมถึงคนกลางที่รับซื้อแบตเตอรี่ซึ่งถูกขายบน Social ด้วยจากการขยายผลพบกลุ่มผู้กระทำความผิดที่เป็นตัวลงมือลักทรัพย์และตัวกลางรับซื้ออีกหลายราย ซึ่งจะได้จับกุมให้หมดทั้งขบวนการและได้ประสานงานกับชุดสืบสวน บก.สส.ภ.3,กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา,กก.สืบสวน ภ.จว.ชลบุรี การตรวจยึดในครั้งนี้

การกระทำของผู้ลงมือและตัวกลางรับซื้อ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์/รับของโจร ซึ่งมีอัตราโทษสูงถึง 5 ปี และหากมีพฤติการณ์ลักทรัพย์ อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ หรือรับของโจร เฉพาะที่เกี่ยวกับการช่วยจำหน่าย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใด ซึ่งทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการค้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฟอกเงิน อีกส่วนหนึ่ง ต้องระวางโทษตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์

ในส่วนตัวกลางรับซื้อ รับจำหน่าย ได้มีการอายัดบัญชีไว้แล้ว กว่า 1,000,000 บาท และจะถูกดำเนินคดีทุกกรรม เป็นกระทงความผิดไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top