Monday, 6 May 2024
ตำรวจ

‘ศาลอาญา’ อนุมัติหมายจับ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ข้อหาฟอกเงิน หลังออกหมายเรียกแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่ไปรายงานตัว

(2 เม.ย. 67) ที่ศาลอาญารัชดา พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมายื่นคำร้อง ขอออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิด ฐานฟอกเงินและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ตามที่สมคบกัน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5,9,10 และศาลอาญาพิพากษา ให้ออกหมายจับ พร้อมกับมีผลในทันที โดยหากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเห็น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็สามารถแสดงหมายจับและจับกุมตัวได้ทันที

รายงานแจ้งว่า ภายหลังมีการยื่นขอออกหมายจับในช่วงเช้าทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เรื่องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากมีการยื่นคำร้องขอออกหมายจับ ซึ่งศาลได้รับคำร้องชี้แจงข้อเท็จจริงโดยใช้เวลาอ่านรายละเอียดนานกว่า 5 ชั่วโมง แต่ศาลพิเคราะห์เห็นแล้วว่า พยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน มีเพียงพอที่จะออกหมายจับประกอบกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีท่าทีหลบเลี่ยงหมายเรียกของพนักงานสอบสวนถึง 3 ครั้ง จึงเป็นสาเหตุในการออกหมายจับครั้งนี้

'ผู้การแต้ม' เตือน 'บิ๊กโจ๊ก' แถลงข่าวข่มขู่ผู้อื่น ระวังผิดกฎหมายเพิ่ม ชี้!! คำสั่งรักษาการ ผบ.ตร. มีอำนาจเต็ม 'บิ๊กโจ๊ก' ต้องพูดมุมนี้ด้วย

ภายหลังจากกรณีการแถลงข่าวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. หรือ 'บิ๊กโจ๊ก' ที่บุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร) ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็มีความคิดเห็นจาก พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือ 'ผู้การแต้ม' เกี่ยวกับเรื่องนี้ ระบุว่า...

"จากการแถลงข่าวกรณีที่บิ๊กโจ๊กใช้สํานักงานตํารวจแห่งชาติแถลงโจมตีบุคคลอื่น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะตนเองก็เป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการร่างพรบ.ตํารวจปี 2565 ฉบับที่ใช้ในปัจจุบัน ... ยืนยันว่าพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. ปฏิบัติตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ทุกประการ ส่วนกรณีบิ๊กโจ๊กออกมาแถลง ก็แค่ในมุมของตัวเองแต่ไม่ได้พูดว่ากฎหมายให้อํานาจ ผบ.ตร.อย่างไร ซึ่งสิ่งที่บิ๊กโจ๊กไม่ได้บอกกับสื่อและประชาชนก็คือ รักษาการ ผบ.ตร. มีอํานาจเต็มตาม พรบ.ตํารวจฉบับใหม่ ที่ให้อํานาจในการใช้ดุลพินิจแทน ผบ.ตร. ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏและได้รับรายงานจากกองวินัย...ผมเป็นห่วงน้องโจ๊กมันนะ เป็นห่วงว่าไอ้การที่คุณออกมาแถลงข่าวแล้วมาข่มขู่คนนั้นจะติดคุกจะอะไรอย่างงั้นอย่างงี้ ระวังจะไปโดนข้อหา 'เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนสืบสวน' นะ"

ผู้การแต้ม ยังกล่าวเตือนไปถึงบิ๊กโจ๊กอีกว่า ตนได้มีโอกาสดูการแถลงข่าว พบว่ามีนายตํารวจระดับพลตํารวจตรี น่าจะสังกัดตํารวจท่องเที่ยว ไปยืนแถลงกับบิ๊กโจ๊ก ซึ่งทําหน้าที่ช่วยถือบอร์ดหลักฐาน พฤติกรรมนี้ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ราชการ เพื่อช่วยเหลือประชาชน จนอาจมีความผิดวินัยร้ายแรงและทําให้ภาพลักษณ์ของตํารวจมัวหมองไปอีก เพราะว่าจะทําให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

"อยู่ ๆ ก็ปรากฏว่ามี พล.ต.ต.คนนึง ไม่รู้อยู่ท่องเที่ยวหรือเปล่า มาเปิดแฟ้ม ป้ายแถลงข่าว ถามว่าทําได้ไหม อาจจะบอกทำได้ แต่ควรไหม? เพราะหน้าที่ของคุณ ถ้าเป็นผู้การ คุณต้องไปดูแลความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของพี่น้องนักท่องเที่ยว คุณไม่มีหน้าที่ที่จะมาเปิดตรงนี้ ไม่ควร แล้วมาแบบเครื่องแบบเต็มยศด้วย ตรงนี้ผมบอกให้ว่าต้องระวังมีคนร้องเรียน เพราะคุณไม่ไปตรวจตาไปดูแลความปลอดภัยเชิงทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว แต่กลับมาอยู่ตรงนี้"

ทั้งนี้ผู้การแต้ม ยังได้อธิบายถึงอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) อีกด้วย ว่าเป็นคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาตามพรบ.ตํารวจปี 2565 มีคณะกรรมการสองชุด โดยคณะกรรมการชุดแรก ก็จะรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนต่อตํารวจมี พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติดเป็นคณะกรรมการ

ส่วนคณะกรรมการชุดที่สอง มีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากตํารวจเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งบิ๊กโจ๊กร้องเรียนในคณะกรรมการชุดดังกล่าว ก.พ.ค.ตร. ก็มีหน้าที่ตามที่บิ๊กโจ๊กบอกก็คือทําหน้าที่เหมือนศาลปกครองชั้นต้นให้กับตํารวจเมื่อได้รับคําสั่งมิชอบในทางปกครองต่าง ๆ และคําสั่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถร้องเรียนได้ เพื่อไม่ให้ตํารวจไปร้องเรียนนอกหน่วยงานตํารวจ

"กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา เช่นถูกคำสั่งให้ออก ก็มีคณะกรรมส่วนนี้เพื่อให้อุทธรณ์คําสั่ง ซึ่งบิ๊กโจ๊กก็ต้องมาอุทธรณ์ตรงนี้ เพราะคณะฯ นี้ ก็เหมือนศาลปกครองชั้นต้น แต่ถ้าคุณไม่มาอุทธรณ์ เท่ากับแสดงความยินยอมรับคําสั่ง แต่พอสุดท้ายคุณไม่พอใจ คุณกลับจะไปอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด มันไม่ได้ คุณต้องอุทธรณ์ตรงนี้ก่อน แต่อุทธรณ์นั้น ๆ ถ้าอุทธรณ์ฟังขึ้น ก็จะส่งเรื่องไปให้ ตร.พิจารณา แต่ถ้าฟังไม่ขึ้น คุณก็ค่อยไปอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป" ผู้การแต้ม ทิ้งท้าย

เชียงใหม่- ตำรวจภูธรภาค 5 จัดการฝึกอบรมหัวข้อ 'การป้องกันและรักษาโรคออฟฟิศซินโดรม' ให้กับข้าราชการตำรวจฝ่ายอำนวยการในสังกัด ภ.5 ส่วนกลาง

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 เวลา 15.00 -16.30 น. พล.ต.ต.ไพศาล  ลือสมบูรณ์  รอง ผบช.ภ.5 เป็นประธานในการกล่าวให้โอวาทแก่ข้าราชการตำรวจฝ่ายอำนวยการในสังกัดกองบังคับการอำนวยการ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการกฎหมายและคดี ตำรวจภูธรภาค 5 รวมจำนวน 100 นาย ในการฝึกปฎิบัติและรับฟังการบรรยายในหัวข้อ "การป้องกันและรักษาโรคออฟฟิศซินโดรม" โดย กภ. ธีรภัทร์ ทัศนศรีวรการ นักกายภาพบำบัด ศูนย์สุขภาพพร้อม คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นวิทยากร 

ในการนี้ พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์  รอง ผบช.ภ.5 รอง ผบช.ภ.5 ได้กล่าวขอบคุณและมอบของที่ระลึกให้กับวิทยากร กภ. ธีรภัทร์ ทัศนศรีวรการ นักกายภาพบำบัด ศูนย์สุขภาพพร้อม คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งการบรรยายในครั้งนี้ได้รับคำชื่นชมจากข้าราชการตำรวจผู้เข้ารับการฝึกอบรมดังกล่าว โดยสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันในการป้องกันและรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมได้จริง ตลอดจนเป็นการเพิ่มพูนความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลรักษาสุขภาพของข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติงานฝ่ายอำนวยการ โดยได้มีการฝึกปฏิบัติประกอบการรับฟังบรรยายด้วย ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมีตำรวจภูธรภาค 5 อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top