Tuesday, 21 May 2024
ดิจิทัลวอลเล็ต

จับตา!! ก้าวใหม่ ‘นายกฯ เศรษฐา’ ปรับแก้เงินดิจิทัลฯ ข้ามกับดัก ป.ป.ช.

ด้วยการทำหน้าที่ประธานวิป ครม. กับรัฐสภาอย่างแข็งขันของ ‘รัฐมนตรีเดือน’ มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ด้วยการปรับวิธีคิดวิธีมองของเจ้าตัว และด้วยแรงเชียร์ของ สส.พรรคเพื่อไทย ทำให้เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่าน นายกรัฐมนตรีสูงยาวถุงเท้าแดง…นายกฯ คนที่ 30 นาม ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ย่างสามขุมไปตอบกระทู้ถามสดกลางสภาฯ

คนถามเป็นอดีตนายกฯ คนที่ 20 นาม ‘ชวน หลีกภัย’ อีกคนคือ อดีตรมว.คมนาคม จากค่ายภูมิใจไทย นาม ‘โสภณ ซารัมย์’

ประธานสภาฯ  วันมูหะหมัดนอร์ มะทา เอ่ยปากขอบคุณและชื่นชมนายกฯ และ ครม. อยู่พักใหญ่

‘เล็ก เลียบด่วน’ นั่งฟังอยู่กลางสี่แยกไฟแดงพอดี ต้องบอกตรง ๆ ว่าขอกดไลก์ให้นายกฯ สักครั้ง ทั้งการตัดสินใจไปตอบกระทู้และเนื้อหาตอบกระทู้ที่ฟังดูมีความเร่าร้อนที่จะแก้ปัญหา...ก็โอเค…

สายข่าวพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า...บัดนี้นายกฯ เศรษฐาพร้อมแล้วที่จะเดินหน้าเข้าสู่โหมดผู้นำที่จะลืมตาดวงโตทั้งสองข้างเดินหน้านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต…เริ่มตั้งแต่การประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ในสัปดาห์หน้า อาจจะเป็นวันที่ 15 ก.พ. หรือถ้าติดขัดก็เป็นสัปดาห์ต่อไป...เพื่อหาบทสรุป และจะได้รู้กันว่ากรรมการแต่ละคนคิดอ่านกันอย่างไร...ก่อนที่จะได้สรุปและนำเสนอ ครม. ต่อไป หากว่าไม่มีบทสรุปเป็นอย่างอื่น…

ว่ากันตามเนื้อผ้าก็ระทึกใจดี เพราะไม่ว่าจะอย่างไร คำเตือนจากป.ป.ช. ภายใต้บทสรุป ‘4 ความเสี่ยง 8 ข้อเสนอแนะ’ นั้น อ่านแล้วอาจจะไม่เห็นด้วยแต่มันก็ชวนหลอกหลอนอยู่ไม่น้อย ‘เล็ก เลียบด่วน ขอคัดลอกข้อเสนอแนะข้อที่ 8 ข้อสุดท้าย มาเป็นตัวอย่างไว้ ณ ที่นี้

“7.8 หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลควรช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีฐานะยากจน ที่เปราะบาง ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น โดยแจกจากแหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่เงินกู้ตามพระราชบัญญัติเงินกู้ และจ่ายในรูปเงินบาทปกติในอัตราที่เหมาะสม เพื่อพยุงการดำรงชีวิตของกลุ่มประชาชนที่ยากจน โดยการกระจายจ่ายเงินเป็นงวด ๆ หลายงวด ผ่านระบบแอปเป๋าตังที่มีประสิทธิภาพ และมีฐานข้อมูลครบสามารถทำได้รวดเร็ว การดำเนินการกรณีนี้หากใช้แหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่จากการกู้เงินตามพระราชบัญญัติเงินกู้จะลดความเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ ขัดพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 และขัดพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 ประการสำคัญ ไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะของประเทศ ในระยะยาว”

ก็ต้องตามไปดูว่าจะมีการปรับแก้อะไรกันบ้างก่อนจะเดินหน้าก้าวข้ามไปให้ได้....เพราะนาทีนี้ถ้าถอยหลังต้องบอกว่าเสียรังวัด เสียฟอร์มพรรค ที่ว่า ‘คิดใหญ่ทำเป็น’

แต่ก็นั่นแหละผู้สันทัดกรณีชี้ว่า…งานนี้พรรคเพื่อไทยลุยพรรคเดียวก็ไปไม่ได้ ต้องถามพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นด้วย วันไหนนำเข้า ครม. วันนั้นจะได้รู้กัน...แต่ถ้าถามภายใต้เงื่อนไขวันนี้ วันที่ยังไม่มีการปรับแก้อะไรกัน ‘เล็ก เลียบด่วน’ ฟันธงให้ได้เลยก็ได้ว่า...

อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าค่ายรวมไทยสร้างชาติ...ไม่เอาด้วยแน่นอน… 

ดังนั้นจะแก้อะไรก็รีบแก้ พูดเป็นอย่างเดียวไม่พอ คิดดีอย่างเดียวไม่ได้ต้องทำเป็นด้วย..

วันนี้มาเอาใจช่วยนายกฯ ให้โชคดี เฮงๆ หลังตรุษจีนครับ

'ผู้ว่าแบงก์ชาติ' ยัน!! ศก.ไทย 'ไม่วิกฤติ' ไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยตามคำขอ ด้านสื่อญี่ปุ่นมอง 'เศรษฐา' ต้องการอ้างตัวเลขวิกฤติ ดัน 'ดิจิทัลวอลเล็ต'

เมื่อวานนี้ (21 ก.พ. 67) สำนักข่าวนิกเกอิของประเทศญี่ปุ่น เผยแพร่บทสัมภาษณ์นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยสื่อญี่ปุ่นแห่งนี้ ระบุว่า ธปท.ได้คัดค้านข้อเรียกร้องให้มีการจัดประชุมฉุกเฉินเพื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่นายเศรษฐพุฒิ บอกว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างและวัฏจักรที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จะไม่ได้รับการแก้ไขด้วยการพลิกกลับของนโยบายทางการเงิน

ทั้งนี้ นายเศรษฐพุฒิ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวนิกเกอิ ว่า ธนาคารกลางจะ 'ไม่ดันทุรัง' ต่อสถานการณ์ดอกเบี้ยในขณะนี้ซึ่งอยู่ในระดับสูงในรอบทศวรรษ แต่ขอให้พิจารณาตัวเลขล่าสุดที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบ และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่เติบโตเพียง 1.9% ในปี 2566 ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งเป็นผลจากอุปสรรคทางการเมืองที่ทำให้งบประมาณรัฐบาลปี 2567 ล่าช้า

“ถ้าเราลดอัตราดอกเบี้ยลง มันไม่ได้ทำให้นักท่องเที่ยวจีนใช้จ่ายมากขึ้น หรือทำให้บริษัทจีนนำเข้าปิโตรเคมีจากประเทศไทยมากขึ้นแต่อย่างใด แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้รัฐบาลกระจายงบประมาณได้รวดเร็วขึ้นด้วย และนี่คือปัจจัยหลัก 3 ประการที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยค่อนข้างช้า” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า แรงกดดันทางการเมืองที่ส่งถึงธนาคารกลางกำลังมีมากขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องถึง 4 เดือน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการอุดหนุนด้านพลังงานของภาครัฐ ประกอบกับรายรับจากการท่องเที่ยวที่อ่อนแอและการหดตัวของการส่งออก แต่ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ธนาคารกลางยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ซึ่งเป็นการปฏิเสธข้อเรียกร้องของนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ที่เรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง

นายเศรษฐาได้ย้ำถึงข้อเรียกร้องนี้อีกครั้งเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากมีการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) ที่อ่อนแอลง และเรียกร้องให้ธนาคารกลางจัดการประชุมหารือเป็นการฉุกเฉินก่อนการประชุมทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 10 เม.ย.นี้

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของเขากับนายเศรษฐา ซึ่งควบตำแหน่ง รมว.คลัง โดยยืนยันว่า นายเศรษฐา มีความเป็นมืออาชีพและมีความจริงใจ 'แต่ปฏิเสธว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะวิกฤต' แม้ว่านายเศรษฐาได้พยายามชี้ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอมาตลอด เพื่ออ้างว่าเศรษฐกิจไทยวิกฤติ ซึ่งนี่จะส่งผลทำให้กระบวนการทางนิติบัญญัติ สามารถอนุมัติการเดินหน้านโยบาย 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ได้ง่ายขึ้น

“การฟื้นตัวแม้จะมีความอ่อนแอ แต่มันก็มีความต่อเนื่อง” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าว

นิกเกอิรายงานต่อไปว่า ท่าทีของรัฐบาลที่มีต่อธนาคารกลาง ทําให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่เศรษฐพุฒิไม่มีสิทธิ์ได้รับการต่ออายุ หลังจากหมดวาระในปี 2568 เนื่องจากเขาจะเกษียณอายุในวัย 60 ปี 

“มีความตึงเครียดแต่ก็อยู่ในลักษณะที่สร้างสรรค์ระหว่างรัฐบาลและธนาคารกลางอยู่เสมอ เพราะเราสวมหมวกที่แตกต่างกัน ไม่มีเหตุผลใดที่ทั้งสองจะทํางานร่วมกันไม่ได้ คุณเพียงแค่ต้องเข้าใจว่า เรามีบทบาทที่แตกต่างกันตามกฎหมาย” นายเศรษฐพุฒิกล่าว

ผู้ว่าการธนาคารฯ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางได้ฝ่าฟันกับเสียงเรียกร้องเพื่อให้เปลี่ยนแปลงนโยบาย หลังมีข้อวิจารณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยตามหลังแนวโน้มของทั่วโลกที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ปี 2565

“เราบอกว่าไม่ นั่นไม่เหมาะสมสำหรับเรา เพราะว่าการฟื้นตัวของเรานั้นช้ากว่าประเทศอื่นๆ” นายเศรษฐพุฒิระบุ

ในการประชุมเมื่อวันที่ 10 ก.พ. คณะกรรมการฯ (คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.) จำนวน 2 คนลงมติให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งนายเศรษฐพุฒิ กล่าวกับนิกเกอิว่า เสียงส่วนน้อยมีความกังวลเกี่ยวกับอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่มีความรุนแรงมาก ดังนั้น จึงอาจเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็น “ความเป็นกลางในรูปแบบใหม่”

นอกเหนือจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน อาทิ จำนวนประชากรและผลิตผลจากแรงงานที่ลดลงแล้ว คณะกรรมการฯยังเห็นถึงความกังวลที่ประเทศไทยพึ่งพาภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว ซึ่งมีแรงงานคิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ของแรงงานไทยทั้งหมด และคิดเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันเมื่อเทียบกับในจีดีพี

“สิ่งที่เราเห็น คือ การทดแทนการนําเข้ามากขึ้นในประเทศจีน...ซึ่งนั่นไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของวัฏจักรในเศรษฐกิจจีน แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่พวกเขา (จีน) ที่ผลิตด้วยตัวเองมากขึ้น และไม่ได้มีการนำเข้า” นายเศรษฐพุฒิกล่าว

ในขณะที่การเข้าพักที่สั้นลงและการใช้จ่ายที่ลดลงของนักท่องเที่ยว ก็ทำให้เกิดความกังวลเช่นกัน โดยนายเศรษฐพุฒิ ตั้งข้อสงสัยว่า ประเทศไทยอาจจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาถึง 40 ล้านคนต่อปี แต่ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่บันทึกไว้ในปี 2562 ก่อนโควิดระบาด

“สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปมากอันเป็นผลมาจากโควิด” ผู้ว่าการธนาคารฯกล่าว และระบุว่า “มันเป็นเรื่องเสี่ยงที่จะสรุปว่า ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมด้วยความล่าช้า คุณต้องทำอะไรสักอย่าง หากคุณต้องการได้ตัวเลขนั้น”

อนึ่ง นายกรัฐมนตรีเศรษฐา เคยกล่าวว่า เขาจะไม่แทรกแซงธนาคารกลางแต่จะพยายามโน้มน้าวให้ "เห็นใจคนที่กำลังทรมาน”

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวย้ำกับนิกเกอิว่า “พวกเขากำลังเผชิญกับความเจ็บปวด เพราะว่ารายได้ไม่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วตามที่เราต้องการ แต่เราก็รู้สึกถึงวิธีการที่ดีกว่าในการแก้ไขปัญหา คือ การออกมาตรการที่ตรงเป้าหมาย และมันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม ที่จะต้องมาแจกอุปกรณ์ช่วยชีวิตให้กับทุกๆคน”

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ กล่าวว่า เขารับรู้ถึงผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่มีต่อผู้กู้ แต่กล่าวว่า การลดอัตราดอกเบี้ยก่อนเวลาอันควร จะเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน เนื่องจากหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ที่มากกว่า 90% ของจีดีพี

“ผมคิดว่าหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นนั้น ไม่ใช่ส่วนเล็กๆเลย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำมากมาเป็นเวลา มันกระตุ้นให้คนกู้ยืม ดังนั้น การลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ผมคิดว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ผิด ในแง่ของการพยายามทําให้หนี้ครัวเรือนมีความยั่งยืนมากขึ้น” นายเศรษฐพุฒิกล่าว

‘จุลพันธ์’ แง้ม!! 10 เมษา ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ชัดเจน ยัน!! ประชาชนได้ใช้เงิน 1 หมื่น ไม่เกินสิ้นปี 67

(25 มี.ค.67) ที่รัฐสภา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง แถลงข่าวรายละเอียดความคืบหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า คณะอนุกรรมการในการเสาะหาความจริงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ได้ดำเนินการใกล้เสร็จแล้ว ได้เตรียมนัดหมายประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ โดยมีไทม์ไลน์ชัดเจนขึ้นทุกวัน 

ในภาพใกล้ ๆ นี้ 27 มีนาคม จะนัดหมายคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทำเนียบ เพื่อที่คณะอนุกรรมการในการเสาะหาความจริง จะมารายงานเรื่องความคืบหน้า และสิ่งที่หน่วยงานต่าง ๆ ตอบคำถามมาแล้ว ได้มีการส่งคำถามไปไม่ต่ำกว่า 100 หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการ ประชาชน หอการค้า สภาอุตฯ ส่งคำตอบกลับมาเกือบครบถ้วน แต่ยังเปิดให้ตอบถึง 29 มีนาคมนี้ โดยจะนำความคืบหน้า รายงานที่ประชุม ข้อเสนอแนะ ป.ป.ช. เข้าที่ประชุม รับทราบ และมอบหมาย นำเสนอ โดย ก.คลัง เรื่องปัญหาที่เกิดต่าง ๆ หากลไกเดินหน้า ให้ คกก.ได้รับทราบหลังจากนั้น มอบหมายให้ส่วนงานดำเนินการตามกฎหมาย รวมถึง คกก.ขับเคลื่อน มาประชุม และสรุปส่ง คกก.ชุดใหญ่

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 10 เมษายน คณะกรรมการชุดใหญ่ สรุปรายละเอียดโครงการทั้งหมด เงื่อนไขทั้งหมด ส่งคณะรัฐมนตรีพิจารณา เห็นชอบ เดินหน้าต่อไป โดยขณะนี้กรอบการทำงาน พิจารณารอบคอบแล้ว ทั้งกรอบกฎหมาย ตัวเงิน และเทคนิค ระบบต่าง ๆ คร่าว ๆ 

ทั้งนี้ ไตรมาส 3 ปีนี้ จะมีการลงทะเบียน ร้านค้า ประชาชน ระบบค่อนข้างพร้อมแล้วในช่วงนั้น ขณะที่ไตรมาส 4 ก่อนสิ้นปี จะมีการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ให้ถึงมือประชาชนทุกคน อยู่ในกรอบที่กำหนดไว้

นายจุลพันธ์ย้ำว่า ในวันที่ 10 นี้ จะชัดเจนทุกอย่าง ยืนยันเดินหน้า ถึงมือประชาชนภายในปีนี้ สำหรับเงื่อนไขนั้น คิดว่าไม่ได้เปลี่ยน กรอบเดิม 50 ล้านคน แต่มีรายละเอียดเล็กน้อย ที่ต้องรอมติของที่ประชุมก่อน

‘ศิริกัญญา’ อัด!! รบ.เลือดเข้าตา ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ออกทะเลไปไกล พร้อมเรียกร้องให้เร่งสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาในระบบเศรษฐกิจ

(3 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน

ต่อมาเวลา 12.20 น. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า ตนจะพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจที่พบว่าเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้ารอได้ แต่ปัญหาระยะไกลไม่เห็นทางออก ผลงานของรัฐบาลที่มีการแถลงมาตั้งแต่ 3 เดือนแรก หลายเรื่องต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว หลายเรื่องทำไปตั้งแต่เดือนแรกที่จัดตั้งรัฐบาลได้ เช่น เรื่องการลดรายจ่าย

หลายเรื่องยังไม่มีผลเป็นรูปธรรม แต่หลายเรื่องเป็นเรื่องเล็กน้อยที่งงว่าสามารถนำมาเคลมได้ด้วยหรือ หรือผลงาน 6 เดือนแรกที่พบว่ามีการผลิตซ้ำกับผลงานเมื่อ 3 เดือนก่อน ที่เพิ่มมาก็มีบางเรื่อง เช่น การปราบหมูเถื่อน ยางพาราทะลุ 80 บาท ระยะเวลาจาก 3 เดือนเป็น 6 เดือน

แต่ผลงานที่เพิ่มมามีน้อยมาก เช่น เรื่องการขยายโอกาสที่สามารถตัดทิ้งได้เลย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรีแบบพาร์ทไทม์หรือไม่ อีกส่วนหนึ่งของเวลานำไปใช้เป็นเซลล์แมนของประเทศไทยหรือไม่ จึงทำให้ไม่มีใครมาบริหารราชการแผ่นดินแบบฟลูไทม์ ในรอบ 6 เดือน ทำให้มีผลงานน้อยมาก

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า สิ่งที่เราเฝ้ารอคือการกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่กลับไม่เห็น เช่น เรื่องมาตรการลดรายจ่ายทั้งหมดที่กำลังทยอยหมดอายุ ซึ่งประชาชนก็เฝ้าถามว่าค่าไฟ 3.99 บาทก็เริ่มหมดอายุแล้วจะใส่มาทำไม เพราะทุกวันนี้ค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย และเดือนพฤษภาคมก็เป็นเดือนแรกที่เราต้องจ่ายคืนหนี้ กฟผ. การลดภาษีสรรพสามิตที่หมดอายุไปแล้วตั้งแต่ 31 ม.ค.ไปแล้ว หรือนี่จะเป็นการลดค่าครองชีพแบบชั่วคราว โดยยังไม่มีการแก้ปัญหาแบบระยะยาวตามมา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ท่านมีมาตรการลดรายจ่ายเช่นนี้มีต้นทุนที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น เช่น เรื่องกองทุนน้ำมันที่ต้องทำหน้าที่เดอะแบกที่ขณะนี้ติดลบไปแล้ว

หากจะกู้เพิ่มก็เชื่อว่าไม่มีธนาคารไหนกล้าให้กู้แล้ว คำถามคือท่านจะมีวิธีการจัดการอย่างไรกับสถานะของกองทุนน้ำมัน จะมีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ขยายวงเงินกู้ยืมให้กับกองทุนน้ำมันหรือไม่ แล้วเราจะมีพื้นที่ทางการคลังเหลือเพียงพอหรือไม่ เพราะการที่เราให้กองทุนน้ำมันกู้ จะกลายเป็นหนี้สาธารณะ เมื่อท่านจำเป็นต้องกันพื้นที่นั้นไว้สำหรับทำดิจิทัลวอลเล็ต

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า หากท่านจะบอกว่ายอดกำลังซื้อก็ดีเลย เพราะเหมาะที่จะทำดิจิทัลวอลเล็ต แต่ดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่ 30 บาทที่จะรักษาทุกโรคได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วท่านควรทำตั้งแต่ 2 เดือนก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เพิ่งมาทำหรือมาทำในอีก 6 เดือนข้างหน้า

จึงขอถามว่าภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ในเมื่องบประมาณออกมาแล้ว เราจะได้เห็นมาตรการอะไรที่จะมาช่วยพยุงกำลังซื้อในระยะสั้นของประชาชนตัวเล็กตัวน้อย เพราะในขณะที่เรามีงบไปพรางก่อนท่านอาจบอกว่าเป็นเงินเดือนของข้าราชการหรือการลงทุนอะไรก็ตาม แต่หากเราไปดูในส่วนของงบกลางจะพบว่าท่านมีอำนาจที่จะใช้เพื่อแก้ไขเศรษฐกิจในระยะสั้นได้

“แต่ไม่ว่าประเทศไทยจะมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจมากแค่ไหน อย่างน้อยเราก็โชคดีที่เราไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจอีกต่อไป เพราะรัฐบาลเลิกพูดแล้วว่าประเทศเราเริ่มเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจ ต้องบอกว่าที่เราผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจมาได้ ไม่ได้เป็นเพราะรัฐบาลสามารถทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ ไม่ได้เกิดจากการที่พระสยามเทวาธิราชมาปกป้องคุ้มครองเรา

แต่เกิดจากหน่วยงานหนึ่งที่ชื่อว่าคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ที่มาแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจให้กับเรา โดยการออกรายงานมาหนึ่งฉบับเพื่อเป่ากระหม่อมบอกว่าไม่มีวิกฤต

หลังจากนั้นรัฐบาลก็เลิกพูดว่าประเทศเรามีวิกฤตเศรษฐกิจทันที เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการที่เราประโคมข่าวว่าประเทศเรามีวิกฤตเป็นเพียงแค่จะได้ใช้กลไกพิเศษนั่นคือการกู้เงินเท่านั้นเอง” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า หากเราพูดเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ โดยไม่พูดถึงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้ ซึ่งเป็นหัวใจของปัญหานี้ ล่าสุดที่มีความคืบหน้า แต่ครั้งนี้เป็นการแก้ไขรายละเอียดเรื่องที่มาของเงินเป็นครั้งที่ 5 แล้ว ซึ่งรัฐบาลยิ่งแถลงก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงมาเรื่อย ๆ โดยครั้งนี้เราพบว่ามีการใช้แหล่งที่มาของเงินถึง 3 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นงบกลางของปี 67, การเบ่งงบปี 68 และกู้ ธกส.

อย่างไรก็ตาม เราต้องลุ้นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรอบที่ 6 หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขรายละเอียดอื่น ๆ อีก และเอาใจช่วยให้ทำระบบที่จะใช้กับโครงการนี้เสร็จภายในไตรมาส 4 ของปี 67 หรือไม่ แต่ไม่เป็นอะไรหากไม่เสร็จก็เลื่อนได้อีก

ทั้งนี้ ตนคิดว่ารัฐบาลจะเบ่งงบ 68 มาทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเยอะกว่านี้ และคิดว่าจะมีการเก็บภาษีเพิ่มเติมด้วย เพราะเท่าที่ดูก็ไม่น่าจะพอ ส่วนงบกลางปี 67 นั้น จริง ๆ รัฐบาลสามารถออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี หรืองบกลางปีขึ้นมาได้ โดยการกู้เพิ่มหรือกู้ชดเชยขาดดุลเต็มเพดานอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท

หากท่านงงว่าออกงบกลางปี 67 แล้วจะไปใช้ปี 68 ได้อย่างไร ก็จะมีทริคอยู่ว่าให้นำไปใส่ในกองทุนเนื่องจากไม่ต้องส่งคืนคลัง เอาไปใช้ทำอะไรก็ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถกู้ ธกส.มาใช้ก่อนได้ ซึ่งตนก็ยังรอคำตอบในเรื่องนี้ว่าตนจะเดาถูกหรือไม่

“ต้องบอกว่าเป็นความพยายามที่เรียกได้ว่าเลือดเข้าตาแล้ว จากเดิมที่พายเรือในอ่างก็ไปเริ่มที่ศูนย์ วันนี้เรากำลังออกทะเลไปไกลแล้ว เพราะมูลค่า 5 แสนล้านบาทที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็ต้องบอกว่ามาจากการกู้ กู้ และกู้อยู่ดี เพียงแค่จะเป็นการกู้ที่ทำให้ถูกกฎหมายได้ และที่ยังกังวลอยู่คือเรื่องของระบบแต่ยังมีเวลาที่ท่านจะไปสะสางปัญหาว่าจะโอนอย่างไร

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าค่อนข้างเละเทะ จากการที่ต้องเปลี่ยนแหล่งเงินไปมาประมาณ 5 ครั้ง ยังไม่รู้ว่าจะมีรอบที่ 6 หรือไม่ มีการเลื่อนการแจกอย่างน้อยมาแล้ว 4 ครั้ง มีการเปลี่ยนเทคโนโลยีแอพพลิเคชันที่ใช้ เปลี่ยนเรื่องจำนวนคนตลอดเวลา มันทำให้ชวนคิดว่าสรุปแล้วรัฐบาลนี้มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาก่อนจริงใช่หรือไม่

เรื่องความรู้ความเข้าใจการคลัง ทำให้ดิฉันตกใจว่าทำไมถึงกล้าออกนโยบายเช่นนี้มาได้ และการที่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเยอะขนาดนี้ ยิ่งแสดงว่าไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมใด ๆ มาตั้งแต่เริ่มต้น ถึงต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไปวัน ๆ เช่นนี้ แล้วท่านก็ขยันแถลงมาก เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าอาทิตย์เดียว แถลงไปถึง 2 ครั้งโดยที่ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ประเทศได้รับความเสียหาย เพราะโมเมนตัมหรือพายุหมุนทางเศรษฐกิจที่ท่านอยากให้เกิดขึ้น จะไม่เกิด เนื่องจากต้องได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน จึงเป็นปัญหาที่ตนคิดว่าไม่ใช่เป็นเพราะนโยบายใดนโยบายหนึ่ง

จึงอยากเรียกร้องรัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาในระบบเศรษฐกิจได้แล้ว ในฐานะที่ท่านบอกว่าจะอาสามาเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชน แต่ตอนนี้ทำได้ไม่กี่นโยบายก็นิ่งสนิท แล้วยังต้องให้ประชาชนรออีกจนถึงไตรมาส 4 โดยที่ยังไม่รู้ว่าโครงการนี้จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่

กระแสร้อนแรงเป็นแกงไตปลา เบียด 'แพทองธาร' ตกขอบ คะแนนพุ่ง!! ต่อวีซ่ายาว สวนดีลลับจบแค่ 10 เม.ย.นี้

แม้จะยังหลวม ๆ ไปบ้าง แต่ต้องยอมรับว่าการเดินทางไปตรวจงานมอบนโยบายของนายกฯ เศรษฐา   ทวีสิน ที่สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 6-8 เม.ย.ที่ผ่านมา...ทำให้เรตติงคะแนนนิยมของ นายกฯ ถุงเท้าหลากสีร้อนแรงขึ้นมาไม่น้อย...น้อง ๆ แกงไตปลาเมืองคอนกันเลยทีเดียว

พูดกันแบบไม่ต้องเกรงใจและไม่ได้แซะเสี้ยม...นาทีนี้ 'นายกฯ นิด' เบียด 'หนูอิ๊ง' ตกขอบไปแล้ว...

ที่เกาะสมุยนายกฯ พัก 2 คืน...ทำการบ้านหลายอย่าง 6 สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จากสองค่ายบ้านใหญ่ 'ชุมพล กาญจนะ' และ 'พงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว' (นายกอบจ.คนปัจจุบัน) คอยเป็นกำลังหลักเสริมให้ฝ่ายราชการ...งานนี้ลงตัวเป๊ะ...

แต่ที่ไม่ลงตัว...นับถอยหลังจะต้องพังกันไปข้างคือศึกบ้านใหญ่ 'กาญจนะ' กับ 'จ่าแก้ว' ต้นปีหน้าจะต้องสัประยุทธ์ห้ำหั่นประดาบกันในศึกชิง นายกอบจ. ซึ่งชัดเจนแล้วว่า คุณป้าโสภา กาญจนะ อดีตสส.ประชาธิปัตย์ ภรรยาชุมพลจะลงชนพงษ์ศักดิ์...

กลับไปที่นครศรีฯ แม้นายกฯ จะมีเวลาไม่มาก ก็ทำภารกิจครบ ทั้งสักการะและห่มผ้าพระบรมธาตุ กินแกงไตปลา-ขนมจีน และเปิดงานสัมมนาที่ อ.สิชล และแวะวัดเจดีย์ ปิดทองไอ้ไข่...โปรโมตการท่องเที่ยวสายมู...

ที่นครศรีฯ มีรองหัวหน้าพรรค รทสช. 'วิทยา แก้วภราดัย' และ รมว.อุตสาหกรรม พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล  สส.เขตสิชล ให้การต้อนรับโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐมนตรีปุ้ย พิมพ์ภัทรานั้นแข็งขัน เอาการเอางาน นาทีนี้คนเมืองคอนยกให้เธอเป็นหญิงเหล็กหญิงเก่งหญิงกล้า...ปรับครม.เมื่อไหร่ถ้าชื่อเธอหลุดคนเมืองคอนมีเคืองแน่นอน...

อย่างไรก็ตามขณะคะแนนเศรษฐาดูร้อนแรงเป็นแกงไตปลาที่สุราษฎร์-นครศรีฯ แต่ที่กรุงเทพฯ-ทำเนียบ ต้องดูย่างก้าวสำคัญกับโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งขณะเขียนต้นฉบับ 'เล็ก เลียบด่วน' ยังไม่ทราบว่ารัฐบาลเศรษฐาผ่าทางตันนโยบาย 5 แสนล้านบาทด้วยสูตรไหน วิธีการใด...

ไม่ว่าจะอย่างไร ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ปรับแผนเรื่องงบประมาณประจำ 2568 โดยขอปรับเพิ่มงบขาดดุลอีก 157,200 ล้านบาท นั้น ทำให้งบ 2568 ขาดดุลรวม 870,000 ล้านบาท ก็ย่อมชัดเจนว่า...งบก้อนใหญ่ของดิจิทัล วอลเล็ตจะมาจากงบปี 2568...นั่นแล

ในขณะที่แนวโน้มการลดดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ ก็น่าจะเกิดขึ้นตามที่นายกฯ เศรษฐา ตามจี้ตามไชท่านผู้ว่าฯ ธปท.แบบน่ารำคาญในช่วงก่อนหน้านี้ วันสองวันนี้หรืออีกไม่กี่เพลา การลดดอกเบี้ยก็คงจะช่วยผ่อนคลายให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้บ้างส่วนหนึ่ง...

กล่าวโดยสรุปสถานการณ์ในห้วงเวลานี้...เศรษฐาอยู่ในช่วงขาขึ้น...แบบว่าสวนทางดีลลึกดีลลับที่ 'ตู่' จตุพร พรหมพันธุ์ ได้ดักคอพยากรณ์เอาไว้ ว่าเศรษฐาหมดดีลแค่ 10 เม.ย.เท่านั้น

'เล็ก เลียบด่วน' ขออนุญาตคุณพี่ตู่ จตุพรต่อวีซ่าดีลให้อย่างน้อยถึง 10 เม.ย.ปีหน้าก็ล่ะกัน !!

‘นายกฯ’ เคลียร์ชัด ‘เงินฝาก’ 5 แสน นับวันที่ลงทะเบียน พร้อมให้ความมั่นใจ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ทำทุกอย่างถูกต้อง

(11 เม.ย. 67) ที่ศูนย์บริหารจัดการจราจรและอุบัติเหตุกรมทางหลวง (Highway Traffic Operations Center : HTOC) กรมทางหลวง ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่านำเงินของเกษตรกร จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มาใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ ว่า มั่นใจว่าทุกอย่างถูกต้อง เดี๋ยวจะให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบ ทุกอย่างต้องถูกต้องตามกฎหมายตามที่ตนเรียน

เมื่อถามว่าฝ่ายค้านจะขอดูแผนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นายกฯ กล่าวว่า ก็ว่าไปตามกฎหมาย ตนแถลงไปครบแล้ว

เมื่อถามต่อว่ากรณีเงื่อนไขผู้มีเงินฝาก 5  แสนบาท นับตั้งแต่เดือนไหน นายกฯ กล่าวว่า ก็นับวันที่ลงทะเบียน

เมื่อถามอีกว่าเรื่อง Super App จะมีการเพิ่มงบ ในการทำหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวเขาพัฒนามาแล้วจะแจ้งให้ทราบ ทุกอย่างต้องโปร่งใสตรวจสอบได้

เมื่อถามย้ำว่า Super App จะเชื่อมโยงกับแอปเป๋าตังใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทุกแอปก็เป็นโอเพ่นแอป โอเพ่นลูป ส่วนกรณีที่ประชาชนไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีแอปฯ จะมีช่องทาง อื่นหรือไม่ ก็จะรับไปพิจารณาต่อ

‘ปลัดคลัง’ เผย จะใช้แอปฯ ‘ทางรัฐ’ รองรับดิจิทัลวอลเล็ต ย้ำ!! ประชาชนเตรียมลงทะเบียนรับสิทธิ์ ไตรมาส 3 ปีนี้

(11 เม.ย. 67) นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทว่า คณะกรรมการโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ได้กำหนดให้ประชาชนจะต้องเข้ามาลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตนในการรับสิทธิ โดยโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต จะเริ่มเปิดลงทะเบียนในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 และประชาชนจะสามารถใช้จ่ายได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ส่วนช่องทางในการใช้จ่ายนั้น จะใช้แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือดีจีเอ

“สาเหตุที่ไม่เลือกใช้แอพพ์เป๋าตัง เนื่องจากแอพพ์ทางรัฐ เป็นแอพพ์ของรัฐจริง ๆ แต่เป๋าตังเป็นของแบงก์ อย่างไรก็ตาม เป๋าตังก็อาจจะยังต้องใช้ แต่เป็นระบบข้างหลัง ไม่ได้เป็นด้านหน้า เนื่องจากเป็นระบบควบคุมแบบเปิด หรือ Open Loop ซึ่งหมายความว่า เป็นวอลเล็ตของสถาบันการเงิน ทั้งแบงก์และนอนแบงก์สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งเป๋าตังอาจจะไปเชื่อมต่อตรงนั้น เช่นเดียวกันกับ เคพลัส และแม่มณี เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องทางเทคนิคที่ดีจีเออยู่ระหว่างการพัฒนา” นายลวรณ กล่าว

นายลวรณ กล่าวว่า ส่วนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะต้องมีขนาดเล็ก เช่น ร้านค้าโชห่วย และร้านสะดวกซื้อ อย่างเซเว่น อีเลฟเว่น ก็สามารถเข้าร่วมได้ ทั้งนี้ หลักการได้รับเงินของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ คือรอบแรกมีเงินอยู่ที่ประชาชน โดยประชาชนที่ได้รับสิทธิจะต้องใช้ในร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น ที่อยู่ในเขตอำเภอ เพื่อให้มีเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจฐานราก ซึ่งถือเป็นรอบที่ 1

นายลวรณ กล่าวว่า ทั้งนี้ เมื่อร้านค้าขนาดเล็กได้รับวงเงินมาแล้ว ต้องเอาไปใช้ต่อเป็นรอบที่ 2 ในร้านค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะเป็นการซื้อขายร้านค้ากับร้านค้า โดยหากร้านค้าที่มีขนาดใหญ่ดังกล่าวอยู่ในระบบภาษี ร้านค้านั้น ๆ จะสามารถเอาออกจากระบบได้ โดยเกณฑ์โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต กำหนดให้ร้านค้าที่สามารถนำเงินออกจากระบบได้ ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

“การกำหนดร้านขนาดเล็กในรอบแรก มองว่า จะต้องเป็นร้านโชห่วย ขึ้นมาได้มากที่สุด คือร้านสะดวกซื้อ อาทิ เซเว่น ร้านในปั๊ม แต่ยังไม่ถึงแม็คโคร ค้าส่งค้าปลีกขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ที่ทำให้มีรอบที่ 1 และรอบที่ 2 เพราะเราอยากให้เกิดการหมุนเวียน เพราะหากเงินในระบบออกได้เร็ว แรงส่งต่อเศรษฐกิจก็จะมีน้อยลง”นายลวรณกล่าว

นายลวรณ กล่าวว่า วงเงินจากดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ประชาชน 50 ล้านคนได้รับ จะต้องใช้จ่ายผ่านร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น โดยมีระยะเวลาการใช้จ่าย 6 เดือน ซึ่งมั่นใจว่า วงเงิน 5 แสนล้านบาท จะลงสู่ร้านค้าขนาดเล็กทั้งหมด โดยรัฐจะมีระบบบล็อกร้านค้าที่ 2 ไม่ให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ เพื่อกำหนดให้ประชาชนซื้อในร้านค้าขนาดเล็กก่อน

นายลวรณ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน โครงการดังกล่าวมีระบบป้องกันเรื่องเงินทอน และทุจริตการใช้จ่าย ซึ่งโครงการในอดีตที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้น แต่ก็มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการสวมสิทธิในการใช้จ่าย ทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายจะต้องมีการยืนยันตัวตนในรูปแบบตัวต่อตัว และยังมีตำรวจไซเบอร์ที่จะเข้ามาดูเรื่องเงินทอน และการซื้อของผิดประเภท โดยมีโทษสูงสุดถึงจำคุก

'เผ่าภูมิ' ระบุชัด!! กลุ่มไหนไม่ได้ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' มั่นใจ!! 50 ล้านคนเข้าเงื่อนไข ได้ใช้ทุกคน

(12 เม.ย.67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการ รมว.กระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กแจงคุณสมบัติผู้มีสิทธิได้รับและไม่ได้รับเงินดิจิทัล 10,000 แบบชัด ๆ ว่า...

เพื่อให้เกิดความชัดเจนครับ

ผู้มีสิทธิ์ได้เงิน 10,000 บาท ในโครงการ Digital Wallet

>> อายุ 16 ปี ขึ้นไป ทุกคน ทั้งอยู่ในระบบภาษีและไม่อยู่ในระบบภาษี (ทั้งที่ยื่นแบบและไม่ยื่นแบบ)
>> 'ตัด' ผู้ที่มีรายได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท/ปี ออก และ...
>> 'ตัด' ผู้ที่มีเงินฝากในสถาบันการเงินพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐรวมกันทุกบัญชีเกิน 500,000 บาท ออก

ที่เหลือ ได้ทุกคนครับ ซึ่งจะมีคนผ่านเงื่อนไขนี้ราว 50 ล้านคนครับ

จับตาหลังสงกรานต์ เข็นสุด 'ดิจิทัลวอลเล็ต' แม้ทุลักทุเล แต่ล่มไม่ได้ ส่วน 'ชลน่าน-สุทิน' ติดโผร่วง ดัน 'บิ๊กอ้วนคุมหมอ-ขอทหารให้นิด'

เข้าสู่เขตสงกรานต์ จะร้อนตับแล่บขนาดไหนใครต่อใครก็รู้สึกฉ่ำเย็นได้ หากได้สรงน้ำพระ ได้รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และได้กลับบ้านพบปะพี่น้อง...

เช่นเดียวกับการเมืองที่ว่าร้อน ๆ จากควันหลงที่มีมาตั้งแต่ศึกอภิปรายทั่วไป 3-4 เม.ย. ก็พลอยเจือจางบางเบาไปด้วย...ยกเว้นแต่ที่ทำท่าจะร้อนฉ่าขึ้นมาหน่อยก็เห็นจะเป็น...ควันศึก 'ดิจิทัล วอลเล็ต' ที่รัฐบาลเพิ่งแถลงเมื่อ 10 เม.ย.

จบแต่ไม่จบ...ไม่ตรงปก ไม่สะเด็ดน้ำ มี 2-3 ประเด็นที่จะต้องเถียงกันคอเป็นเอ็น โดยเฉพาะประเด็นแหล่งที่มาของเงิน ก้อนที่ไปล้วงมาจาก ธ.ก.ส. 172,300 ล้านบาท...

รัฐบาลตีลังกายันบอกว่าถูกต้องตามกฎหมาย โดยอาศัยมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยทางการเงินการคลัง 2561 แต่อีกฝ่ายบอกว่าผิดวัตถุประสงค์ธนาคาร ธ.ก.ส. หากเดินหน้าต่อมีโอกาสเข้าคุกๆๆ กันเลยทีเดียว

ประสา 'เล็ก เลียบด่วน' แม้จะขัดหูขัดตาและผิดหวังกับพรรค 'คิดใหญ่ทำเป็น' อย่างเพื่อไทยที่เสียฟอร์มในโครงการนี้มาก แต่ต้องฟันธงว่าสุดท้ายก็จะเดินหน้าโครงการนี้ไปได้...แบบทุลักทุเล...ล่มไม่ได้

นโยบายนี้...เรือธง ห้ามเกยตื้นหรือชนหินโสโครกกลางทะเล...

เหนืออื่นใดมวลมหาสมาชิกพรรคเพื่อไทยได้ฟังกันเต็มสองรูหู กรณีนายใหญ่ประกาศผ่านคลิปสัมภาษณ์ที่เอามาเปิดวันประชุมใหญ่ 5 เม.ย.ว่า...พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ แต่เป็นพรรครีฟอร์ม...ทำแต่เรื่องใหม่ ๆ อย่าง 30 บาท รักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้าน...และที่กำลังทำคือ ดิจิทัล วอลเล็ต ต้องถือว่า 'โคตรใหม่' !!

ฟังกันดั่งว่าแล้ว มีหรือที่สมาชิกจะไม่ช่วยกันตีปี๊ปและตอบโต้คนที่ออกมาตั้งคำถาม ขัดขวางนโยบายเรือธง...ที่เพิ่งโดนหนักก็ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรค ปชป.ที่ออกมากระแทกว่า...การล้วงเอาเงิน ธ.ก.ส. มาใช้ ก็เป็น DNA เดียวกับโครงการรับจำนำข้าวที่ทำบ้านเมืองเสียหายยับเยินมาแล้วในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ยังติดหนี้อยู่ 2 แสนกว่าล้าน ฯลฯ

ข้ามมาที่รายงานข่าวแจ้งว่า...หลังสงกรานต์ จะเข้าเขตการเตรียมปรับ ครม.ที่ปล่อยข่าวประเภท 'ลับ-ลวง-ลือ' กันมานาน ซึ่งความเป็นไปได้มากที่สุด น่าจะเป็นหลังการผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 วันที่ 5-6  มิ.ย. 

โดยการปรับ ครม.หนนี้ เป้าหมายของนายใหญ่มองไปถึงการตอบโจทย์รัฐบาล ตอบโจทย์พรรคเพื่อไทยและตอบโจทย์ 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร ผู้เป็นลูกสาว...โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธกิจงานในตำแหน่ง...ประธานคณะกรรมการบริหารพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ...ที่ 'อุ๊งอิ๊ง' ดูแล ยังขับเคลื่อนไม่ออก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเหตุผลการซัพพอร์ตของรัฐมนตรีว่าการ...หมอชลน่าน ศรีแก้ว ที่มีคุณหมอศรีภริยาเป็นเหมือนรัฐมนตรีเงาอยู่ด้วยนั่น ยังไม่เพียงพอ..!?

พลันจึงเกิดกระแสข่าวลือร้อน ๆ มาว่า ถ้าเป็นไปได้อาจหมุนเก้าอี้ว่าการตัวใหม่ให้หมอชลน่าน...แล้วโยก 'บิ๊กอ้วน' ภูมิธรรม เวชยชัย จาก รมว.พาณิชย์ มานั่ง รมว.สาธารณสุข แทน

ส่วนในรายของ สุทิน คลังแสง ข่าวกระแสแรงก็ระบุว่าจะต้องลุกจากเก้าอี้ รมว.กลาโหม เพราะนายกฯเศรษฐาจะลุกจาก รมว.คลัง มานั่งที่นี่...ส่วนรมว.คลังคนใหม่ยังไม่เป็นอื่น...พิชัย ชุณหวชิร...

กรณี สุทิน คลังแสง ถ้าลุกจากกลาโหม แล้วหาที่นั่งใหม่ไม่ได้ ก็ต้องนับว่าน่าเสียดายเป็นที่ยิ่ง..!!

สวัสดี!!

เรื่อง: เล็ก เลียบด่วน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top