Sunday, 19 May 2024
ญี่ปุ่น

เปิด ‘8 ลำดับ’ ลูกเรือ JAL​ ช่วยอพยพผู้โดยสารให้รอดทั้งลำ ก่อนเครื่องบินจะจมอยู่ในเปลวเพลิง หลังเกิดเหตุชนกันบนรันเวย์

(5 ม.ค.67) เกียวโดนิวส์ ​รายงาน​ การตัดสินใจอย่างรวดเร็วของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินและความร่วมมือของผู้โดยสาร​ คือปัจจัยสำคัญการอพยพผู้คน 379 คน​ รอดตายจากเครื่องบินเจแปนแอร์ไลน์ที่กำลังลุกไหม้ที่สนามบินฮาเนดะในกรุงโตเกียว เป็นปฏิบัติ​การที่สื่อต่างประเทศเทียบราวปาฏิหาริย์

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทั้ง 9 คนเอาชนะอุปสรรคในระหว่างการนำคนออกจากเครื่องบินอย่างฉุกเฉิน​ หลังจากการชนกันบนรันเวย์

อุปสรรคคือ​ ทางออกสามารถใช้งานได้เพียง 3 ใน 8 ทาง ลูกเรือจึงต้องอพยพออกจากลำตัวเครื่องบินสูง 67 เมตรอย่างรวดเร็ว และเนื่องจากระบบการสื่อสารขัดข้อง​ พนักงานต้อนรับจึงสื่อสารข้อมูลกับห้องนักบินได้เพียงจำกัด ตามที่เจ้าหน้าที่ของสายการบินระบุ

“ฉันรู้สึกตกใจเหมือนมีคนเหยียบเบรก จากนั้นฉันก็เห็นเปลวไฟพลุ่งขึ้นนอกหน้าต่าง” ผู้โดยสารรายหนึ่งอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโดยสารไม่นานหลังจากที่เที่ยวบิน 516 ลงจอดและชนเครื่องบินอีกลำหนึ่งบนรันเวย์เมื่อเวลาประมาณ 5.47 น. บ่ายวันอังคาร

ลำดับแรก พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเรียกร้องให้ผู้โดยสารที่ตื่นตกใจอยู่ในความสงบ ตามขั้นตอนป้องกันความตื่นตระหนกในกรณีฉุกเฉิน

ลำดับที่สอง หลังจากยืนยันรายงานของลูกเรือว่าเครื่องยนต์ด้านซ้ายเกิดไฟไหม้ หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแจ้งห้องนักบินเพื่ออนุมัติ​คำสั่งให้ดำเนินการอพยพฉุกเฉิน

ลำดับที่สาม พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินประเมินวิธีหลบหนีอย่างรวดเร็ว​ ขณะที่ควันเข้าไปในห้องโดยสารและเด็กๆ เริ่มร้องไห้เพื่อให้ทางออกเปิด พนักงานขอให้ผู้โดยสารหมอบหรือก้มลงให้ชิดพื้นเพื่อหลีกเลี่ยงการสูดควันที่ลอยทั่ว

ลำดับที่สี่​ เมื่อสำรวจพบว่าทางออกทั้งสองที่ด้านหน้าเครื่องบินสามารถใช้งานได้ ลูกเรือก็เริ่มนำผู้โดยสารไปข้างหน้าเพื่ออพยพโดยใช้สไลด์ฉุกเฉิน

ลำดับที่ห้า​ ที่ด้านหลังของเครื่องบิน พนักงานสำรวจด้านนอกพบว่ามีเปลวไฟลุกทางด้านขวา​ เหลือเพียงด้านซ้าย​ทางออกเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ และยังพอมีพื้นที่เพียงพอบนพื้นสำหรับวางสไลด์ลง

แต่ระบบสื่อสารกับกัปตันบนเครื่องบินไม่ทำงาน ขณะนั้นควันเข้ามาในห้องโดยสารเพิ่มมากขึ้น พนักงานจึงตัดสินใจเปิดทางออกฉุกเฉินด้านหลังซ้ายและปล่อยสไลด์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากห้องนักบิน

ลำดับที่หก​ ทุกเสี้ยววินาทีคือชีวิต นักศึกษาวิทยาลัยจากโตเกียวได้ยินพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเตือนผู้โดยสารคนอื่นๆ อย่าพยายามหยิบสัมภาระออกจากช่องเก็บเหนือศีรษะ พวกเขาปฏิบัติตามและมุ่งหน้าไปยังทางออกอย่างรวดเร็วโดยมีเพียงของใช้ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ เช่น สมาร์ทโฟน

ลำดับที่เจ็ด ผู้ที่มาถึงพื้นก่อนอย่างปลอดภัยจะช่วยผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างของสไลเดอร์

ลำดับสุดท้าย กัปตันตรวจดูทุกแถวจากด้านหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าผู้โดยสารคนสุดท้ายได้ออกไปแล้ว จึงลงจากทางออกฉุกเฉินด้านหลังเมื่อเวลา 18.05 น. ไม่กี่นาทีก่อนที่เครื่องบินจะจมอยู่ในเปลวเพลิงทั้งลำ

ชิเกรุ ทาคาโนะ อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักงานการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การหลบหนีเป็นไปอย่างราบรื่นเกิดขึ้นได้ทั้งจากการตอบสนองของลูกเรือและ “ผู้โดยสารที่ให้ความร่วมมือแม้ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้”

เปิดคำสารภาพของสาววัย 20 ปี ผู้ก่อเหตุไล่แทงคนบนรถไฟโตเกียว ภัยเงียบแห่งสังคมญี่ปุ่น ภายใต้อาชญากรรมด้วยเหตุจูงใจที่ ‘ไร้เหตุจูงใจ’

ปี 2024 นี้ ไม่น่าจะใช่ปีที่ดีของชาวญี่ปุ่นสักเท่าไหร่ เพราะมีเหตุการณ์ร้ายแรงตั้งแต่ต้นปี ทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ เครื่องบินชนกัน ยัน ไฟไหม้ตึก

เช่นเดียวกับคดีที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ บนรถไฟฟ้ากลางกรุงโตเกียว เมื่อมีคนร้ายใช้มีดไล่แทงผู้คนบนรถไฟสาย ‘JR Yamanote’ ขณะมุ่งหน้าไปสถานีอากิฮาบาระ เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บเป็นชาย 4 คน

เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นในช่วงกลางดึก ราวๆ 23.50 น. ของคืนวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา เมื่อมีหญิงสาวอายุราวๆ 20 ปี ใช้มีดทำครัวไล่แทงผู้โดยสารบนขบวนรถไฟสาย JR Yamanote หนึ่งในสายรถไฟหลักชื่อดังของกรุงโตเกียว เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บเป็นชาย 4 คน และ 3 ใน 4 คน ถูกแทงบริเวณกลางหลัง และ ทรวงอก มีอาการบาดเจ็บสาหัส ส่วนอีกคนโชคดีได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

หลังเกิดเหตุ ทางการโตเกียวสั่งหยุดเดินรถไฟ Yamanote ที่สถานีอากิฮาบาระชั่วคราว และได้จับกุมหญิงสาวอายุราวๆ 20 ปี ที่เป็นคนร้าย โดยไม่มีการเปิดเผยชื่อออกสื่อ

และสิ่งที่ได้จากการสอบปากคำคนร้ายสาววัย 20 กว่าๆ นั้น ชวนตะลึงยิ่งกว่าการก่อเหตุของเธอเสียอีก เมื่อเธอให้การรับสารภาพกับตำรวจได้อย่างหน้าตาเฉยว่า “ฉันขึ้นรถไฟมาจากสถานีอุเอโนะ มาเพื่อตั้งใจจะฆ่าคนค่ะ”

ซึ่งเธอมีเจตนามาก่อเหตุจริงๆ เมื่อตำรวจพบหลักฐานเป็นมีดทำครัวที่ใช้ก่อเหตุตกอยู่ภายในรถไฟ และยังพบมีดสำรองอีก 1 เล่มในกระเป๋าของเธอ เรียกได้ว่าเตรียมเผื่อไว้เลย หากมีดเล่มแรกถูกแย่งไป

เจ้าหน้าที่ตำรวจโตเกียวยังหาข้อสรุปสาเหตุจูงใจในการก่อเหตุของเธอได้ แต่หญิงสาวยอมรับว่า เธอมีอาการป่วยทางจิต ที่ส่งผลต่อการกระทำของเธอ แต่ถึงจะอ้างความเจ็บป่วยทางจิตใจ ตำรวจก็จำเป็นต้องตั้งข้อหา ‘เจตนาฆ่า’ ไว้ก่อน และเชื่อว่า คนร้ายกับผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 4 คน ไม่เกี่ยวข้องกัน หรือเคยรู้จักกันมาก่อน

อย่างที่รู้กันดีว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร และมีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดมากๆ แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ กลับมีคดีไล่แทงคนในที่สาธารณะ การลอบวางเพลิง หรือการก่อเหตุด้วยปืน และระเบิดที่ประดิษฐ์ขึ้นเองเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ารูปแบบการก่อเหตุ ก็คือเหตุจูงใจของคนร้าย เพราะหลายครั้งที่เกิดคดีในญี่ปุ่น มักได้รับคำตอบจากคนร้ายว่า “ก่อเหตุเพราะแค่อยากฆ่าใครสักคนเฉยๆ”

ดังเหตุการณ์ร้ายแรงที่เคยเกิดขึ้นในย่านอากิฮาบาระ เช่นกัน เมื่อเดือนมิถุนายน 2008 ‘นายคาโต้ โทโมฮิโระ’ ชายหนุ่มวัย 25 ปี ได้ขับรถไล่ชนผู้คนขณะกำลังข้ามถนนในย่านนี้เป็นจำนวนมาก แล้วยังเอามีดออกมาไล่แทงผู้คนบนท้องถนน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 7 คน และบาดเจ็บอีกนับ 10 คน

หลังก่อเหตุ ตำรวจพบหลักฐานในโทรศัพท์มือถือของเขา เป็นข้อความที่นอกเหนือจากการแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง อกหัก แฟนทิ้ง ตกงาน พ่อแม่ไม่รัก ยังมีข้อความที่พิมพ์อย่างชัดเจนว่า “ฉันตั้งใจจะฆ่าคนที่อากิฮาบาระ”

คาโต้ โทโมฮิโระ ถูกตัดสินประหารชีวิตและเพิ่งจะประหารไปเมื่อปี 2022 นี้เอง…

ส่วนอีกคดีที่สะเทือนญี่ปุ่นไม่แพ้กัน คือ เหตุไล่แทงที่เมืองซากะมิฮาระ ในจังหวัดคานาคาวะ เมื่อปี 2016 โดย ‘นายอุเมะมัทสุ ซาโตชิ’ หนุ่มวัย 26 ปี อดีตลูกจ้างศูนย์พยาบาลผู้สูงอายุ ก่อเหตุใช้มีดที่พกมาเป็นจำนวนมาก บุกเข้าไปแทงคนชราภายในศูนย์พักพิง เสียชีวิตไปถึง 19 คน 
ต่อมา นายซาโตชิ ได้เขียนคำรับสารภาพว่า เขาตั้งใจก่อเหตุสังหารคนชรา และ คนพิการ เพื่อประโยชน์ของประเทศญี่ปุ่น และ รักษาสันติภาพของโลก ทั้งยังช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ และ ป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3!!

การก่ออาชญากรรมด้วยเหตุจูงใจ ที่ไร้เหตุจูงใจ จึงไม่ต่างจากภัยเงียบในสังคมของคนญี่ปุ่นอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่า คนที่ยืนรอรถไฟอยู่ข้างๆ เราในวันนี้ มีอารมณ์อยากฆ่าใครบางคนขึ้นมาหรือเปล่า…

‘White Hands’ ธุรกิจ ‘บริการทางเพศ’ สุดเหลือเชื่อของญี่ปุ่น มุ่งสนองความต้องการ ‘ผู้พิการ’ ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้

จากหนังสือ Sex Volunteers (2004) แต่งโดย Kawai Kaori นักข่าวสาวชาวญี่ปุ่นของ Shukan Post ซึ่งบรรยายถึงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ ‘อาสาสมัครทางเพศ (Sex Volunteers)’ ในญี่ปุ่น อันมีตั้งแต่กิจกรรมต่าง ๆ  มากมาย ตั้งแต่ผู้ที่เพียงเต็มใจให้บริการขนส่งไปยังสถานที่ให้บริการทางเพศ ไปจนถึงผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ด้วย หรือให้บริการทางเพศในรูปแบบอื่นสำหรับชายและหญิงที่มีความพิการ แม้จะเรียกชื่อโดยรวมว่า ‘อาสาสมัคร’ ผู้ให้บริการก็รวมทั้งผู้ที่รับเงินค่าจ้าง และผู้ที่ไม่ได้รับค่าจ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

Sex Volunteers (2004) เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการที่ผู้พิการได้รับการ ‘บริการ’ ทางเพศโดยอาสาสมัครทางเพศที่มีชื่อเดียวกันนี้ อันเนื่องมาจากการขาดคู่รักทางเพศของผู้พิการ สิ่งนี้จุดประกายให้เกิดประเด็นในระดับชาติเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำระหว่างความพิการและเรื่องเพศ และหนังสือชื่ออื้อฉาวอีกมากมาย อาทิ ‘ฉันเป็นคนขายบริการทางเพศสำหรับผู้พิการ (I Was a Sex Worker for People with Disabilities)’ ความตื่นตระหนกทางศีลธรรมที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากมายต่อความพิการและครอบครัว ประชาธิปไตยและความรับผิดชอบต่อสังคม และอนาคตของระบบการดูแลสุขภาพของประเทศ จากประสบการณ์ของ Kawai ในการติดตามผู้ป่วย ผู้พิการ ฯลฯ อาทิ ชายอายุ 72 ปี ที่ต้องพึ่งถังออกซิเจนหลังการผ่าตัด ขณะที่เขาไปที่สถานที่ให้บริการทางเพศพร้อมกับผู้ดูแล โดย Kawai มองว่า แม้เพศสัมพันธ์จะเสี่ยงต่อชีวิตของชายผู้นั้นเป็นอย่างมาก แต่พฤติกรรมของชายคนนั้นแสดงให้เห็นว่าเซ็กซ์ยังคงเป็นหนึ่งในข้อกำหนดพื้นฐานของชีวิต 

ซึ่งในอีกด้านหนึ่ง เธอได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มี ‘สะโพกเคลื่อนแต่กำเนิด (Congenital dislocation of the hip)’ ซึ่งจ้างพนักงานชายจากบาร์โฮสต์ให้มาที่บ้านของครอบครัวของเธอเป็นประจำทุกสัปดาห์ ด้วยความเต็มใจของพ่อแม่ของเธอ พนักงานจะอาบน้ำให้เธอ แล้วอุ้มเธอไปที่เตียงซึ่งเขาจะมีกิจกรรมทางเพศกับเธอ โดย Kawai บอกว่า หญิงคนนี้ใช้เวลารอคอยทั้งสัปดาห์เพื่อให้คนโปรดของเธอมาให้บริการ ตัวอย่างที่สองนี้ ทำให้หญิงพิการที่มีแนวคิดสตรีนิยมโกรธเคือง เช่น Asaka Yūho (2009) ได้โต้แย้งว่า หญิง (และชาย) ที่มีความพิการจำเป็นต้องเอาชนะความเห็นแก่ตัวและความเฉื่อยชาของตนเอง และต้องรับผิดชอบเรื่องเพศของตนเองด้วยการหาคู่รักที่จริงใจ และต้องยอมรับในอย่างที่เป็นและมีเพศสัมพันธ์ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพื่อเงินหรือด้วยความสงสาร 

‘White Hands’ เป็นองค์กรเอกชนของญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2008 โดยมีสำนักงานอยู่ที่จังหวัด Niigata ทางภาคเหนือของญี่ปุ่น อันเป็นที่อยู่ของ ‘Sakatsume Shingo’ ผู้ก่อตั้ง บริการที่ White Hands เสนอแก่ผู้พิการคือ ‘ความช่วยเหลือในเรื่องของการหลั่ง’ สำหรับชายที่มีความพิการที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้เนื่องจากอัมพาต กล้ามเนื้อลีบ ป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย หรือมีความพิการทางสมอง ซึ่ง 80% ของผู้รับบริการเป็นชาย ไม่ว่าจะเป็นคนโสดที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้เนื่องจากเป็นอัมพาต หรือแต่งงานแล้วและไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือด้วยเหตุผลเดียวกัน โดย White Hands ใช้เว็บไซต์ในการโฆษณาเรื่องของ ‘อาสาสมัครทางเพศ’ บนอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับหลาย ๆ องค์กรธุรกิจในลักษณะเดียวกัน ซึ่งไม่สามารถแยกความแตกต่างจากบริการทางโทรศัพท์ในการจัดส่งหญิงเพื่อบริการสุขภาพได้ ตัวอย่างเช่น อาสาสมัครทางเพศ (SV) Sakura No Kai อธิบายตัวเองว่า เป็นองค์กร ‘ที่ช่วยให้ผู้พิการช่วยตัวเอง’ และมีรายการราคาสำหรับ ‘อาสาสมัคร’ หญิง ซึ่งอยู่ระหว่าง 6,000 ถึง 7,500 เยน สำหรับบริการ ‘การดูแล’ ครั้งเดียวในพื้นที่กรุง Tokyo และนคร Osaka สามารถให้บริการดูแลได้ในห้องน้ำสำหรับผู้พิการของสถานีรถไฟ หากลูกค้าไม่มีพื้นที่ส่วนตัวที่บ้าน ทั้งยังรับรองว่าการให้บริการต่าง ๆ มีไว้สำหรับผู้ที่มีความพิการทางร่างกายเท่านั้น (ส่วนใหญ่เป็นโรคสมองพิการ) และไม่มีการให้บริการสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาหรือจิตเวช White Hands เน้นการให้บริการด้านสวัสดิการสังคม ทั้งยังโฆษณาว่า พวกเขากำลังสร้าง ‘ความเป็นสาธารณะทางเพศในรูปแบบใหม่’ พวกเขาเสนอทั้งความช่วยเหลือในการช่วยตัวเองและสิ่งที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ในอเมริกาเรียกว่า การตั้งครรภ์แทนทางเพศ (การอุ้มบุญแทนผู้แปลงเพศ) และการให้คำปรึกษาด้านการบำบัดทางเพศ White Hands ยังเผยแพร่เอกสารบทความเกี่ยวกับความต้องการทางเพศของผู้ที่มีความพิการ (ทางร่างกาย) และคู่มือสำหรับผู้ให้บริการรายอื่น ๆ เกี่ยวกับวิธีการที่เหมาะสมในการให้บริการช่วยตัวเองสำหรับผู้พิการ 

โดยมีวิธีการดังนี้ : “หญิงสาวคนหนึ่งสวมถุงมือแบบใช้แล้วทิ้ง เธอถอดกางเกงและชุดชั้นในของชายคนนั้นออกแล้วคลุมด้วยผ้าเช็ดตัว เธอจุ่มผ้าลงในน้ำอุ่นแล้วถูร่างเขา เธอสวมถุงยางอนามัยให้เขา หญิงคนนั้นไม่ได้ถอดเสื้อผ้า ไม่มีเพศสัมพันธ์อย่างอื่น ไม่ใช้ DVD หรือหนังสือโป๊ และขั้นตอนทั้งหมดโดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 10 นาที”

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2012 Kawai ได้เดินทางไปพบปะและพูดคุยกับ Sakatsume Shingo ประธานและผู้ก่อตั้ง White Hands ซึ่งสรุปได้ว่า เดิมทีเขาได้รับแรงบันดาลใจให้ศึกษาเรื่องเพศเมื่อตอนที่เขาเป็นนักศึกษาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยแห่งโตเกียว ได้ศึกษากับ Ueno Chizuko นักวิชาการสตรีนิยมผู้มีชื่อเสียง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการสัมมนาครั้งหนึ่งของเธอ เขาเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับสภาพของผู้ขายบริการทางเพศ และพบว่าหลายคนต้องทนทุกข์ทรมานจากการเลือกปฏิบัติทางสังคม Sakatsume คิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคมที่มีต่องานบริการทางเพศได้ด้วยการเน้นย้ำถึงผลประโยชน์ทางสังคมของงานบริการนั้น เมื่อนึกถึงวิธีผสมผสานประเด็นเรื่องเพศและสวัสดิการสังคมที่ไม่เข้ากัน เขาจึงได้เกิดแนวคิดในการสร้างสถานที่ที่ผู้ขายบริการทางเพศสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ทุพพลภาพได้ 

ในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสารฉบับหนึ่ง Sakatsume ตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้…ปัญหาทางเพศมี 3 แง่มุม : 1.) การแสดงความรัก 2.) ความพึงพอใจทางเพศ และ 3.) ปรากฏการณ์ทางสรีรวิทยา การสัมมนาระดับชาติส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาความช่วยเหลือทางเพศมักทำให้ทั้ง 3 ประเด็นเกิดความสับสน เขากล่าวว่า “เซ็กซ์ ก็เหมือนกับการทานอาหาร การนอนหลับ หรือการขับถ่าย ถือเป็นการทำงานพื้นฐานของร่างกาย” เมื่อ Kawai ถาม Sakatsume เกี่ยวกับพนักงานและสภาพการทำงานของพวกเขา เขาตอบว่า อายุเฉลี่ยของพวกเขาคือ 40 ปี เป็นผู้หญิงทั้งหมด และเขาให้ความสำคัญกับผู้ที่มีใบรับรอง Home Helper ระดับ 2 หรือพยาบาลวิชาชีพก่อน เขาดำเนินการภายใต้โมเดลสุขภาพหลังการคลอดบุตร โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเขาในเมือง Niigata และเขาติดต่อกับลูกค้าทางโทรศัพท์และส่งไปยังลูกค้าทั่วประเทศญี่ปุ่น ภายใต้กฎหมายญี่ปุ่น ได้รับการจดทะเบียนเป็นธุรกิจการค้าประเวณีเพื่อสุขภาพด้วยบริการจัดส่ง ซึ่งเป็นประเภทที่ทำให้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากทำให้ยากลำบากในการโฆษณาหาลูกค้าและรับสมัครพนักงานใหม่ วิธีแก้ปัญหาหลักประการหนึ่งของเขาคือ การจัดบรรยายสาธารณะและการเสวนาในหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ การพยาบาล และการศึกษาด้านความพิการของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ  ทั้งได้ตีพิมพ์หนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับการกระตุ้นทางเพศสำหรับคนพิการโดยผู้ดูแล 

ทั้งนี้ ลูกค้าประจำรายหนึ่ง Akio Sudo วัย 54 ปี อาศัยอยู่ที่เขต Joetsu จังหวัด Niigata เขาเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกแปดคน ไม่เคยไปโรงเรียนเลย พ่อของเขาไปล่าหมีโดยมีเด็กพิการผูกไว้ด้านหลัง เขาอายุ 20 ปีเมื่อพ่อของเขาเสียชีวิต ต้องไปอาศัยอยู่ในบ้านพักผู้พิการ เขาสาบานว่าสักวันหนึ่งจะออกจากบ้านพักผู้พิการ และใช้ชีวิตอย่างอิสระ เขาใช้เวลา 20 ปีในการพัฒนาทักษะและความมั่นใจ การนั่งรถเข็นดูเหมือนจะทำให้เขาอึดอัดไม่ได้ เขาเดินทางด้วยรถไฟบ่อยครั้งจาก Joetsu ไปยังกรุง Tokyo เพื่อใช้บริการทางเพศที่นั่น นี่คือก่อนยุคแห่งความสะดวกสบายที่ไร้อุปสรรค หากรถเข็นของเขาติดหรือพลิกคว่ำ การสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองต่อเขาของผู้คนกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกสนานไป ด้วยทัศนคติเช่นนั้นก็ทำให้เขารู้สึกยิ่งแย่ ต่อมาโรคของเขากำเริบ อาการอัมพาตมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงหันไปใช้อินเทอร์เน็ตและค้นพบ White Hands ที่มีค่าบริการ 3,500 เยนต่อ 15 นาที 5,500 เยนต่อ 30 นาที 9,500 เยนต่อชั่วโมง รวมค่าเดินทาง 

แม้ว่า Sakatsume จะรู้สึกสงสัยอยู่เสมอและบอกกับ Kawai ว่า เหตุใดทั้งลูกค้าและผู้ให้บริการจึงดูรู้สึกผิดกับสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ เขาไม่แน่ใจว่าเขาต้องการทำอะไรกับชีวิตของเขา แต่ยังคงมีความคิดที่ว่าคนพิการยังมีความต้องการทางเพศ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศตะวันตกเท่านั้น การพัฒนาบริการต่าง ๆ ในญี่ปุ่นสำหรับคนพิการ เช่น อาสาสมัครทางเพศ ผู้ช่วยทางเพศ และสถานที่บริการทางเพศที่ปราศจากสิ่งกีดขวาง ได้ท้าทายแนวคิดเรื่องความไม่รู้เรื่องเพศของคนพิการ และก่อให้เกิดประเด็นในการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความพิการและเรื่องเพศเพิ่มขึ้นอีกด้วย สำหรับบ้านเราแล้วเรื่องราวเช่นนี้ไม่ค่อยจะปรากฏเป็นข่าวมากนัก ทั้งนี้ด้วยเหตุที่สังคมไทยจะประสบพบเห็นการใช้ชีวิตคู่ของผู้พิการด้วยกันหรือระหว่างผู้พิการกับคนปกติอยู่ทั่วไป ทั้งเรื่องราวที่เกี่ยวกับเพศแม้ปัจจุบันจะปรากฏอยู่แพร่หลายทั่วไปโดยเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต แต่คนในสังคมส่วนไทยส่วนใหญ่มาก ๆ แล้วสามารถครองตัวและครองตนในขอบเขตและกรอบของศีลธรรมได้ ทั้งความเชื่อในพุทธศาสนาเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม จึงทำให้นานมาก ๆ จะมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง หรือเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกนำมากล่าวถึงในสังคมไทย

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

เทรนด์ใหม่มาแรง กำลังฮิตในหมู่กลุ่มวัยรุ่นชาวญี่ปุ่น ที่นิยม ‘ลบเพื่อน-ลบแอ็กเคานต์โซเชียล’ ทิ้งจนเกลี้ยง!!

เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 67 ได้มีผู้ใช้งานติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘pharmaota’ หรือ ‘เภสัชโอตะ’ โพสต์คลิปวิดีโอเล่าถึงกรณี ‘เทรนด์รีเซ็ตความสัมพันธ์’ ซึ่งเทรนด์ใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นญี่ปุ่นขณะนี้ โดยระบุว่า…

เทรนด์ใหม่ของวัยรุ่นญี่ปุ่น!! ลบเพื่อนในโซเชียลเกลี้ยง ซึ่งเทรนด์ใหม่ในหมู่วัยรุ่นญี่ปุ่นที่กำลังได้รับความนิยมนี้ เรียกว่า ‘เทรนด์รีเซ็ตความสัมพันธ์’ โดยวัยรุ่นญี่ปุ่นจะทําการลบแอ็กเคานต์โซเชียล และลบเพื่อนของเขาทุกคนในโซเชียลออกทั้งหมด!!

เมื่อลองไปถามเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง เขาได้ตอบว่า เขาลบเพื่อนของเขาในโซเชียลเกลี้ยงเลย โดยเขาได้ให้เหตุผลว่า “เพื่อนๆ ในโซเชียลของเขานั้นไม่ได้ทําการติดต่อกันเลย ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ทําไม”

ส่วนวัยรุ่นอีกคนได้เล่าให้ฟังว่า “อยู่ดีๆ ก็โดนเพื่อนที่คบกันมาอย่างยาวนานลบแอ็กเคานต์ทิ้งหมดเลย พอถามว่าลบทําไม เขาก็บอกว่า แค่อยากลบเฉยๆ”

ด้านวัยรุ่นสาวอีกคนบอกว่า “เธอจะทําการลบแอ็กเคานต์โซเชียลทิ้งทุกๆ 3 เดือน เพราะว่าเพื่อนที่มีในตอนนี้ไม่ได้ทําการติดต่อกัน ไม่ได้พบเจอกัน ก็เลยลบซะดีกว่า”

คนสุดท้ายได้บอกว่า “อยากสร้างสังคมใหม่ๆ บ้าง ก็เลยลบแอ็กเคานต์เดิมออกหมด” ซึ่งเธอก็ได้ทําการสร้างแอ็กเคานต์ใหม่และหาเพื่อนใหม่ๆ ซึ่งพอขอดูเพื่อนในโทรศัพท์ของเธอนั้น ก็ต้องตกใจ เพราะว่ามีเพื่อนอยู่เพียงแค่ 7 คนเท่านั้น!!

เมื่อลองถามว่า “รู้สึกเบื่อไหม? กับการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ ตลอด” น้องเขาก็ตอบออกมาตรงๆ ว่า “เบื่อค่ะ”

และจากการสํารวจก็พบว่าวัยรุ่นในปัจจุบันนี้ นิยมลบเพื่อน ลบแอ็กเคานต์บนโซเชียล มากถึง 40% เลยทีเดียว!!

เหล่าตัวละครดิสนีย์แลนด์โตเกียว พยายามปลอบขวัญเด็ก-นทท. ให้คลายความกังวลขณะเกิดแผ่นดินไหว ทำหน้าที่อย่างมืออาชีพจริงๆ

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้งานติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘disneybabeopal’ หรือ ‘โอปอล ดิสนีย์เบ้บ’ ยูทูบเบอร์และติ๊กต็อกเกอร์สาวกดิสนีย์ ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียชื่อว่า ‘Jason Hill’ ผู้เป็นแฟนคลับดิสนีย์ ที่ได้ไปเที่ยวที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น แต่ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น โดยคุณโอปอลได้ระบุว่า…

“ทุกคนเห็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ดิสนีย์แลนด์ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นกันหรือยังคะ หลายคนในเหตุการณ์บอกว่าตอนนั้นกลัวมาก แต่ก็ผ่านมาได้อย่างดีและปลอดภัย เพราะว่าเหล่าแครักเตอร์ดิสนีย์และแคชเมมเบอร์ทุกคน คอยช่วยปลอบให้ทุกคนผ่อนคลายในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ซึ่งที่หลายคนประทับใจที่สุดก็คือ ‘อียอร์’ (Eeyore) หรือเจ้าตุ๊กตาลาสีฟ้าจาก ‘วินนี่ เดอะ พูห์’ ที่พยายามปลอบขวัญผู้คนในระหว่างเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว คอยทําท่าเหมือนกับบอกให้ทุกคนใจเย็นๆ ไม่ต้องตกใจ เหมือนกับเป็นการสื่อว่า “อียอร์อยู่เป็นเพื่อนตรงนี้แล้วนะ”

โดยหลายคนบอกว่า ตอนนั้นอียอร์ช่วยให้รู้สึกกลัวน้อยลงได้จริงๆ นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายแครักเตอร์ที่คอยให้กําลังใจนักท่องเที่ยวตอนที่เกิดแผ่นดินไหวเหมือนกัน เช่น ‘โดนัลด์ ดั๊ก’ ที่พยายามทําท่าทางน่ารักๆ เพื่อให้คนไม่กังวล

นอกจากนี้ยังมี ‘กูฟฟี่’ และ ‘แม็กซ์ กูฟ’ ที่คอยช่วยปลอบเด็กน้อยในรถเข็น รวมไปถึงปีเตอร์แพนกับเวนดี้ที่นั่งจับมือกันและจับมือนักท่องเที่ยว พร้อมส่งสายตาหาทุกคนที่อยู่รอบๆ เหมือนกับเป็นการปลอบว่า “ไม่เป็นไรนะ เราทุกคนจะต้องปลอดภัย”

พนักงานดิสนีย์ทุกคนเข้มแข็งและใจถึงมากจริงๆ เอาจริงๆ ลึกๆ ในใจพวกเขาก็คงกลัวเหมือนกันแหละ แต่ก็ยังพยายามทําให้ทุกคนที่มาเที่ยวที่ดิสนีย์มีแต่ความทรงจําดีๆ กลับไป เห็นแบบนี้แล้วยอมใจทุกคนจริงๆ ค่ะ”

'ญี่ปุ่น' ตัดสินประหารชีวิตหนุ่มวัย 21 คดีแรกหลังแก้กม.เยาวชน ก่อเหตุแทงพ่อแม่สาวที่แอบชอบดับ ก่อนเผาบ้านและไม่สำนึกผิด

(19 ม.ค. 67) สำนักข่าว Kyodo News ของญี่ปุ่น รายงานว่า ศาลญี่ปุ่น ได้ตัดสินประหารชีวิตนายยูกิ เอนโดะ วัย 21 ปี หลังก่อเหตุแทงพ่อแม่ของสาวที่ชอบจนเสียชีวิต และยังเผาบ้านของสาวคนดังกล่าว ที่เมืองโคฟู จังหวัดยามานาชิ ทางตะวันตกของกรุงโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น โดยเป็นคดีแรกที่ตัดสินโทษประหารชีวิตแก่ผู้กระทำผิดที่ในขณะที่ก่อเหตุเป็นผู้เยาว์ นับตั้งแต่มีการแก้กฎหมายเยาวชน ปรับลดอายุบรรลุนิติภาวะเมื่อปี 2022

ข่าวระบุว่า ตามกฎหมายเดิมของญี่ปุ่น ผู้ที่จะถูกระบุว่าเป็นเยาวชนจะต้องอายุน้อยกว่า 20 ปีลงไป แต่เมื่อเดือนเมษายน 2022 ได้มีการปรับแก้กฎหมายใหม่ กำหนดอายุของเยาวชนไว้ว่า อายุ 18 ปีลงไป ทำให้นายเอนโดะซึ่งขณะก่อเหตุอายุ 19 ปี ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นเยาวชนแล้ว

นายจุน มิคามิ หัวหน้าคณะผู้พิพากษาศาลแขวงโคฟุ ได้ตัดสินประหารชีวิตนายเอนโดะ และว่า นายเอนโดะจะต้องรับโทษความผิดทางอาญา โดยอายุของเขาไม่ใช่เหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงต่อการรับโทษประหารแต่อย่างใด

ทั้งนี้ นายเอนโด ได้แทงพ่อแม่ของสาวที่แอบชื่นชอบ จนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 64 (2021) และยังทำร้ายน้องสาวของสาวที่แอบชอบจนได้รับบาดเจ็บ ก่อนจุดไฟเผาบ้านของหญิงสาว โดยที่ตัวหญิงสาวที่นายเอนโดะแอบชอบไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

โดยนายเอนโดะ ให้การระหว่างการพิจารณาคดีว่า เขาชื่นชอบนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่สาวคนดังกล่าวไม่ยอมออกเดตด้วย ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง และโมโห นอกจากนี้ ตัวนายเอนโดะ ยังบอกด้วยว่า ตัวเขาเองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพ่อแม่ของตัวเอ

อย่างไรก็ตาม ตลอดการพิจารณาคดี นายเอนโดไม่ได้กล่าวคำขอโทษต่อการกระทำของตัวเองแต่อย่างใด และปฏิเสธที่จะยื่นเรื่องอุทธรณ์คำตัดสิน โดยบอกว่า ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ อีกแล้ว

ทั้งนี้ แม้กฎหมายเยาวชนของญี่ปุ่นจะมีการแก้ไขเมื่อปี 65 (2022) ลดอายุของผู้ที่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย จากเดิมคือตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เป็น 18 ปีขึ้นไป แต่ผู้ที่อายุ 18 และ 19 ปี ยังคงได้รับการคุ้มครองอยู่ เพียงแต่จะได้รับการดูแลที่ต่างจากผู้ที่อายุ 17 ปีลงไป และยังอนุญาตให้สื่อสามารถเปิดเผยชื่อของจำเลยที่อายุ 18-19 ปีได้ เมื่อถูกดำเนินคดีแล้วเท่านั้น

ประธาน TOYOTA ลั่น!! "รถ EV จะไม่มีวันครองโลก" เพราะคนเป็นพันล้านคนบนโลก ยังไม่มีไฟฟ้าใช้เลย

(24 ม.ค. 67) Business Tomorrow เผย เมื่อไม่นานมานี้ Akio Toyoda ประธานบริษัทโตโยต้าได้กล่าวอ้างว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะไม่ครองตลาดโลก และยังกล่าวอ้างอีกว่าส่วนแบ่งการตลาดของรถยนต์ไฟฟ้า EV จะมีไม่เกิน 30% ก่อนที่สิ่งนี้จะจุดชนวนให้เกิดบทสนทนาและข้อถกเถียงที่น่าสนใจเกี่ยวกับอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้า

📌 รถยนต์ EV อาจไม่ใช่อนาคต

ตามคำกล่าวของ Akio Toyoda (อากิโอะ โตโยดะ) ระบุว่าโลกใบนี้ไม่ควรพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV แต่ควรโฟกัสไปที่รถยนต์ไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนที่บริษัท Toyota กำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้เขาเชื่อว่ารถยนต์ EV 100% จะสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้สูงสุดเพียง 30% ซึ่งน้อยกว่าส่วนแบ่งปัจจุบันในสหราชอาณาจักรเกือบ 2 เท่า และที่เหลืออีก 70% จะเป็นรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนที่เข้ามาครองส่วนแบ่งการตลาด

เหตุผลเนื่องจากผู้คนกว่า 1 พันล้านคนบนโลกที่ใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีไฟฟ้า แต่ใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้าและขนส่ง สิ่งนี้ทำให้ประธาน TOYOTA มองว่า EV จะยังเข้าไม่ถึงกลุ่มคนเหล่านี้ที่มีอยู่ในปริมาณมาก แต่การใช้รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนสามารถทำให้พวกเขาใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น

📌 ทั่วโลกโต้แย้ง EV ยังเป็นทางออกสำหรับสิ่งแวดล้อม

ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและแรงจูงใจของรัฐบาลกำลังผลักดันให้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ความหลากหลายและราคาที่เพิ่มขึ้นจะดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น โดยเชื่อว่าปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จะลดลงได้มากกว่า 15 ตันต่อคันต่อปี

หรือถ้าหากคิดว่าโลกใบนี้มีรถยนต์อยู่ราว ๆ 1.5 พันล้านคัน และมีอัตราการเปลี่ยนอยู่ที่ 30% จะสามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปได้มากกว่า 6.75 หมื่นล้านตันต่อปี เลยทีเดียว

ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่ารถยนต์น้ำมันยังคงได้รับความนิยมมากกว่า แต่นั่นคือ #ตลาดเก่า ที่เกิดขึ้นมาก่อนการเปลี่ยนแปลง และหมายความว่าในอนาคตหากเทคโนโลยีด้านรถยนต์และแบตเตอรี่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับรถยนต์น้ำมัน ทั้งในแง่ระยะทาง ระยะเวลาการใช้งาน ราคาที่โดนใจผู้บริโภค และการซ่อมแซมที่รวดเร็ว ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้รถยนต์ EV ไม่เป็นที่นิยม

อย่างไรก็ตามระยะเวลาในการยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายและส่วนแบ่งตลาดที่พวกเขาจะคว้าได้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นโยบายของรัฐบาล ความชอบของผู้บริโภค และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ต้องมาติดตามกันว่าสุดท้ายแล้วรถยนต์ EV จะสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดโลกได้มากกว่ารถยนต์น้ำมันหรือไม่ ?

ผู้เขียน : กิตตินันท์ จอมประเสริฐ

'ชาวญี่ปุ่น' ถกสนั่น หลัง 'ชิอิโนะ คาโรลินา' คว้ามงนางงามญี่ปุ่น แม้ถือสัญชาติญี่ปุ่นแล้ว แต่ไม่แคล้วเหมือนสาวยุโรป 100%

ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความอนุรักษ์นิยมสูง อีกทั้งยังมีความภูมิใจในวัฒนธรรม ความงดงามตามแนววิถีญี่ปุ่นมาก แต่ทว่า แนวความคิดนี้เริ่มถูกท้าทายจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จากกระแสการเคลื่อนที่ ลื่นไหล หลอมรวมของผู้คนต่างสังคม ตามวัฒนธรรมที่หลากหลายจากทั่วโลก

และล่าสุด สังคมญี่ปุ่นถูกท้าทายด้วยคำถามอีกครั้ง จากเวทีประกวดสาวงามประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ปรากฏว่า สาวงามที่สามารถคว้ามงกุฎจากเวที Miss Nippon Grand Prix ในปีนี้ไปได้ คือ 'ชิอิโนะ คาโรลินา' สาวสวยเชื้อสายยูเครน ที่เกิดในเมืองเทอร์โนพิล ประเทศยูเครน ก่อนจะย้ายตามแม่มาใช้ชีวิตในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ 5 ขวบ 

ถึงแม้ว่า ชิอิโนะ คาโรลินา จะสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างไร้ที่ติ มีรูปร่าง หน้าตางดงามสมตำแหน่งเป็นที่ประจักษ์ แต่ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอคือสาวยุโรป 100% ไม่มีเค้าโครงความงามแบบพิมพ์นิยมของชาวญี่ปุ่นอยู่เลย 

จากประวัติศาสตร์เวทีประกวดสาวงามญี่ปุ่น ก็เคยมีสาวงามลูกครึ่งมาคว้ามงกุฎ Miss Japan มาก่อนในปี 2015 โดย มิยาโมโตะ อาเรียนา สาวลูกครึ่งผิวสี แอฟริกัน - ญี่ปุ่น ที่ก็เคยสร้างประเด็นร้อนแรงในสังคมญี่ปุ่นมาก่อนว่า หญิงสาวลูกครึ่งควรมีสิทธิ์ประกวดนางงามญี่ปุ่นได้หรือไม่ 

แต่กรณีของ ชิอิโนะ คาโรลินา ดูเหมือนจะหนักกว่า มิยาโมโตะ อาเรียนา เสียอีก เนื่องจากเธอย้ายตามแม่ของเธอมาอยู่เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ 5 ขวบ หลังจากที่ได้หย่ากับพ่อชาวยูเครนของเธอ มาแต่งงานใหม่กับชาวญี่ปุ่น คาโรลินา จึงได้เปลี่ยนนามสกุล และ ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นตั้งแต่นั้น แต่เพิ่งมาได้สัญชาติญี่ปุ่นเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมานี้เอง หลังเกิดเหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน 

จึงเป็นเหตุให้คุณสมบัติของเธอกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างมากว่า ชิอิโนะ คาโรลินา มีสิทธิ์ลงสมัครประกวดนางงามญี่ปุ่นได้อย่างไร ในเมื่อเธอไม่ได้มีเชื้อสายญี่ปุ่นอยู่เลย แต่ทั้งนี้กองประกวดไม่ได้กำหนดว่า ผู้เข้าประกวดต้องมีเชื้อสายญี่ปุ่น หรือ เกิดในญี่ปุ่น ขอแค่ถือสัญชาติญี่ปุ่นก็มีสิทธิ์เข้าประกวดได้

ชิอิโนะ คาโรลินา กล่าวขอบคุณที่มอบตำแหน่งชนะเลิศนี้ให้กับเธอ ที่เธอยังนึกว่าฝันไปเมื่อได้ยินชื่อของเธอได้รับตำแหน่งนางงามญี่ปุ่น เธอยอมรับว่ากำแพงเชื้อชาติเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของเธอในญี่ปุ่นเสมอมา ที่สังคมญี่ปุ่นมักมองเธอเป็นชาวต่างชาติ ไม่ใช่คนญี่ปุ่น โดยเป้าหมายในชีวิตของเธอคือ ต้องการสร้างสังคมที่ผู้คนเปิดใจอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ตัดสินผู้อื่นจากภาพลักษณ์ภายนอก 

แต่ถึงแม้งานประกวดจะจบไปแล้ว แต่ดูเหมือนสังคมญี่ปุ่นยังไม่จบกับประเด็นนี้ ที่ต้องยอมรับว่ายังมีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยมีทัศนคติต่อต้านชาวต่างชาติ และมองว่า ชิโนะ คาโรลินา ไม่เหมาะที่จะได้รับเลือกเป็นตัวแทน ที่สื่อถึงเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นที่แท้จริงได้ บางคนมองถึงประเด็นการเมือง และตั้งข้อสงสัยว่า หาก คาโรลินา มีเชื้อสายรัสเซีย ไม่ใช่ยูเครน เธอคงไม่มีสิทธิ์ชนะการประกวดในครั้งนี้อย่างแน่นอน 

ในขณะเดียวกัน ชาวญี่ปุ่นในยุคสมัยใหม่เริ่มเปิดใจรับวัฒนธรรมที่หลากหลายจากต่างชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการสำรวจของ Pew Research Centre พบว่า 59% ของกลุ่มสำรวจชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการย้ายถิ่นฐานของชาวต่างชาติจะช่วยให้ประเทศญี่ปุ่นแข็งแกร่งขึ้น จากปัญหาสังคมผู้สูงอายุของญี่ปุ่นในอนาคต

ดังนั้น ชาวญี่ปุ่นกลุ่มนี้มองว่า คาโรลินา ได้ถือสัญชาติญี่ปุ่นตามกฎหมายแล้ว ก็ถือว่าเธอเป็นพลเมืองญี่ปุ่นคนหนึ่ง ที่มีสิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศได้ไม่ต่างจากคนญี่ปุ่นทั่วไปเช่นกัน แทนที่จะมองว่าการคว้ามงกุฎบนเวทีประกวดความงามญี่ปุ่นของ ชิโนะ คาโรลินา เป็นการท้าทายสังคมญี่ปุ่น ควรมองว่าเป็นสัญญาณแห่งความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยมากกว่า 

เช่นเดียวกับการพยายามกล่าวย้ำบนเวทีของคาโรลินา ว่า "ใคร ๆ ก็บอกฉันตลอดว่า ฉันไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่ฉันนี่แหละ 'คนญี่ปุ่น' เพราะความเชื่อมั่นนั้น ได้พาฉันมายังเวทีแห่งนี้ ซึ่งวันนี้ฉันดีใจมากจริง ๆ ที่พวกคุณยอมรับในตัวฉันแล้ว" 

อย่างไรก็ตาม วันนี้ชาวญี่ปุ่นก็ได้นางงามคนใหม่แล้ว ถึงภายนอกจะเป็นฝรั่ง แต่หัวใจเป็นญี่ปุ่น 100% เดส!!

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘สาวญี่ปุ่น’ ได้รับจดหมายจากคุณแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว  ส่งมาบอกรัก-ให้กำลังใจในวันเกิดทุกปี ตลอด 15 ปี

(31 ม.ค.67) ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกชื่อ japansansan หรือ ญี่ปุ่นๆสั้นกับพิชา ได้เผยแพร่วิดีโอเกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงสาวชาวญี่ปุ่นชื่อ ‘รินะ’ ที่ได้รับจดหมายจากคุณแม่ที่จากไปแล้วทุกๆ ปี จนกระทั่งอายุครบ 20 ปี โดยระบุว่า…

คุณแม่ของรินะ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตอนที่รินะเพิ่งอายุ 5 ขวบ ส่วนคุณพ่อก็ได้หย้าร้างกับคุณแม่ไปแล้ว ทำให้รินะต้องไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ในเวลาต่อมารินะได้รับอุปถัมภ์เลี้ยงดูจากครัวครอบหนึ่ง จนกระทั่งเมื่ออายุ 6 ขวบ รินะได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากคุณแม่ที่เสียไปแล้ว จดหมายฉบับนี้ส่งมาสุขสันต์วันเกิด และบอกรักรินะ “แม่รักรินนะตลอดไป และจะเฝ้ามองรินะจากบนฟ้าตลอดไปเลย”

หลังจากนั้นรินะก็ได้รับจดหมายจากคุณแม่มาตลอดทุกปี ราวกับว่าคุณแม่กำลังเฝ้ามองและให้กำลังใจเธออยู่ตลอด 

รินะมารู้ความจริงในภายหลังว่า คุณแม่ของเธอเขียนจดหมายเตรียมไว้ 15 ฉบับ และฝากให้ทนายส่งให้รินะจนอายุครบ 20 ปี โดยในจดหมายแต่ละฉบับจะมีตัวอักษรเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นของรินะ ซึ่งจะมีตัวอักษรในบางฉบับที่เลือนลาง เลอะเทอะ ก็เพราะเปื้อนน้ำตาของคุณแม่

เมื่อเดือนธันวาคม 2023 ที่ผ่านมา รินะมีอายุครบ 20 ปี เธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย และเตรียมเป็นเจ้าหน้าที่สวัสดิการเด็ก และเธอก็ได้รับจดหมายฉบับสุดท้ายจากคุณแม่ โดยในจดหมายฉบับสุดท้ายนี้ คุณแม่ได้เขียนข้อความถึงเธอว่า “แม่คิดว่ารินะมีจิตใจที่เข็มแข็ง แม่เชื่ออย่างนั้น แม่รักลูกสุดหัวใจ แม่เฝ้าดูลูกจากบนสวรรค์เสมอ”

เรื่องราวของรินะและคุณแม่ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เรียกน้ำตาแห่งความซาบซึ้งจากผู้คนที่ได้รับรู้ และเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าความรักของแม่ช่างยิ่งใหญ่ แม้จะลาจากกันแบบไม่มีวันหวนกลับมา แต่ความเป็นแม่ก็ยังอยู่เคียงข้างลูกสาวในทุกช่วงวัย คอยปลอบประโลม ให้กำลังใจ จนกระทั่งลูกเติบโต และพร้อมใช้ชีวิตเองได้บนโลกที่แสนกว้างใหญ่ใบนี้

‘3 คนข่าวดัง’ ขอยก 3 ผู้นำ ‘อินเดีย-จีน-ญี่ปุ่น’ ต้องฉายานี้ ‘มาหาภารตะ - จิ๋นสีฮ่องเต้ - เห็นเงียบๆ แต่งานเพียบ’

(1 ก.พ. 67) วารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN (อินเดีย), ครูพี่ป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ผู้ประกาศข่าว TNN (จีน) และดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผู้ดำเนินรายการ Good Morning Asean ทาง MCOT (ญี่ปุ่น) ได้พูดถึงผลงานของผู้นำ 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย จีน และญี่ปุ่นในปี 2023 ที่ผ่านมา รวมถึงผลงานที่จะเกิดขึ้นในปี 2024 พร้อมตั้งฉายาให้ผู้นำแต่ละประเทศ

ด้าน วารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN (อินเดีย) ได้ให้ฉายา ‘นเรนทรา โมที’ ประธานาธิบดีอินเดียว่า ‘มาหาภารตะ’ โดยอธิบายว่า มหาภารตะคือคัมภีร์ที่ชาวอินเดียและชาวโลกรู้จักกันอยู่แล้ว สำหรับ ‘นเรนทรา โมที’ กับย่างก้าวของอินเดียในปีที่ผ่านมา ก็อยากเติมสระอาไว้ให้ กลายเป็น ‘มาหาภารตะ’

สำหรับอินเดีย เป็นประเทศที่คบค้าได้กับทุกชาติ แต่ ‘นเรนทรา โมที’ จะยึดผลประโยชน์ของอินเดียไว้เป็นอันดับแรกเสมอ และเขาใช้คำว่า ‘ภารตะ’ เป็นคำแทนประเทศอินเดียอยู่บ่อย ๆ ด้วย ส่วนการเลือกตั้งในปี 2024 นี้ เชื่อว่าไม่มีใครโค่นเขาลงได้แน่นอน

ทางด้าน ครูพี่ป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ผู้ประกาศข่าว TNN (จีน) ได้ให้ฉายา ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีนว่า ‘จิ๋นสีฮ่องเต้’ โดยอธิบายว่า ชื่อของสี จิ้นผิง ไปสอดคล้องพ้องเสียงกับจิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์จีนในอดีตผู้ที่เคยรวบรวมแผ่นดินจีนที่แตกแยกมาเป็นแผ่นดินใหญ่ได้ ซึ่งก็ตรงกับปณิธานของสี จิ้นผิง ที่ต้องการรวบรวมฮ่องกง ไต้หวัน และน่านน้ำต่างๆ มาให้ได้ภายในสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่ จึงเป็นเหมือนการสถาปนาแผ่นดินใหญ่ แผ่นดินใหม่ขึ้นมา จึงให้ฉายาว่า ‘จิ๋นสีฮ่องเต้’

ปิดท้ายด้วย ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผู้ดำเนินรายการ Good Morning Asean ทาง MCOT (ญี่ปุ่น) ได้ให้ฉายา ‘ฟูมิโอะ คิชิดะ’ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ว่า ‘เห็นเงียบ ๆ แต่งานเพียบ’ โดยอธิบายว่า งานเพียบก็คือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องในมุ้งการเมือง ทั้งเรื่องการปรับ ครม. เรื่องการทุจริต คอร์รัปชัน แม้ในช่วงที่ผ่านมาญี่ปุ่นจะดูนิ่ง ๆ ไม่มีอะไรหวือหวา บวกกับบุคลิกของนายกรัฐมนตรีที่นิ่งเงียบด้วย แต่จริง ๆ แล้วมีปัญหาและงานให้ต้องแก้ไขเยอะมาก ก็ต้องมาตามดูกันว่าจะสามารถอยู่ต่อในสมัยที่ 2 ได้หรือไม่ เพราะตอนนี้ก็ต้องไล่แก้ปัญหามากมาย อาจจะต้องใช้ความนิ่งสงบสยบความวุ่นวายและปัญหา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top