Friday, 6 June 2025
จับกุม

ผบ.ตร.เอาจริงปราบหนี้นอกระบบ และกรณีชายหนุ่มพาภรรยาพร้อมลูกวัย 12 ขวบ หนีเจ้าหนี้นอนป้ายรถเมล์ สั่งเร่งจับกุมเจ้าหนี้มาดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด

วันนี้ (27 ก.พ. 67) พ.ต.อ.อุเทน นุ้ยพิน รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่า เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2567 มีพลเมืองดีพบเห็นชาย อายุ 49 ปี พร้อมภรรยา อายุ 40 ปี และลูกชายอายุ 12 ขวบ นักเรียนชั้น ป.6 พากันอาศัยหลับนอนอยู่หลังป้ายจอดรถประจำทางหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ เนื่องจากถูกเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบทวงหนี้และข่มขู่ทำร้ายร่างกายจนกลัวอันตรายนั้น เหตุเกิดท้องที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนหาตัวเจ้าหนี้รายดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย  

โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ธนา ชูวงษ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบศูนย์ปราบปรามหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) เข้ามากำกับดูแลในเรื่องนี้แล้ว เพื่อเร่งติดตามตัวเจ้าหนี้ที่กระทำความผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว 

สำหรับการปราบปรามเรื่องหนี้นอกระบบนั้น เนื่องจากเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นนโยบายเร่งด่วนของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้เร่งรัดปราบปรามจับกุมเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ มาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด โดยที่ผ่านมา  ได้ รับแจ้งเบาะเรื่องหนี้นอกระบบ จำนวน 142 เรื่อง มูลหนี้ 170,334,640 บาท ดำเนินการแล้วเสร็จ 127 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 89.44  จับกุมเรื่องหนี้นอกระบบ จำนวน 1,584 เรื่อง มูลหนี้ 58,557,712 บาท ดำเนินการแล้วเสร็จ 1,547 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 99.94  

นอกจากนี้ พ.ต.อ.อุเทน ฯ กล่าวว่า ขณะนี้เหลือเวลาอีก 2 วัน ที่พี่น้องประชาชนยังสามารถลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งทางรัฐบาลจะรับลงทะเบียนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐมีความตั้งใจจริงที่จะแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากหนี้นอกระบบ จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกคนที่เป็นหนี้นอกระบบ ได้มาลงทะเบียนให้ข้อมูลกับทางหน่วยงานภาครัฐ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้ง On-site ณ ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด (ห้องศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด) ที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง (ห้องศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ) สำนักงานเขตทั้ง 50 เขตของกรุงเทพมหานคร ตลอดจนพื้นที่การจัดมหกรรมตลาดนัดแก้หนี้ระดับจังหวัด และตลาดนัดแก้หนี้อำเภอ หรือสามารถลงทะเบียนทางระบบออนไลน์ที่ https://debt.dopa.go.th โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง

อุทยานฯสิมิลัน ดักซุ่มวางแผนจับกุมคนแอบวางลอบดักจับสัตว์น้ำตามที่ได้รับแจ้งแล้ว คาดไหวตัวทันจึงเตรียมเข้าเก็บกู้

วันที่ 18 เมษายน 2567 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ตามที่เพจ Thon Thamrongnawawawat ซึ่งโพสต์ข้อความระบุว่าเกาะตาชัย เป็นเกาะที่เราพยายามเก็บไว้เพื่อรักษาธรรมชาติในยุคที่โลกกำลังย่ำแย่ การลักลอบจับสัตว์น้ำในพื้นที่ไม่ควรเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เพื่อนธรณ์ที่ไปดำน้ำแถวนั้นกรุณาแจ้งมาว่าพบลอบ จึงได้ประสานอธิบดีกรมทะเล ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาอุทยานทางทะเลเรียบร้อยแล้ว คงมีการจัดการอย่างรวดเร็ว

สำหรับกรณีดังกล่าว อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้รับรายงานจากนายโดม จันทร์สุวรรณ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ว่าได้รับข้อมูลและรูปภาพจากนักดำน้ำ ซึ่งส่งข้อมูลและรูปภาพ ให้กับเพจของอาจารย์ธรณ์ฯเช่นกัน ซึ่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการ ใช้มีดกรีดทำลายลอบดักสัตว์น้ำดังกล่าวในทันที พร้อมทั้งได้วางแผนดักรอเพื่อจับกุมผู้กระทำผิด  โดยมีความจำเป็นที่ยังไม่อาจกู้ลอบดักสัตว์น้ำที่มีผู้ลักลอบวางไว้ขึ้นมาก่อนได้  เนื่องจากต้องการซุ่มจับกุมตัวผู้กระทำผิดให้ได้ พร้อมกับลอบดักสัตว์น้ำของกลาง แต่คาดว่าผู้กระทำผิด อาจรู้ตัวว่าเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจค้นพบลอบดังกล่าวแล้ว จึงไม่กลับมากู้ลอบ  อย่างไรก็ตาม อุทยานหมู่เกาะสิมิลัน ได้เน้นย้ำการเฝ้าระวังไม่ให้มีการลักลอบเข้าไปกระทำผิดอย่างเข้มงวด โดยมีเจ้าหน้าที่คอยลาดตระเวนสอดส่องบริเวณโดยรอบเกาะตาชัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาทรัพยากรใต้ท้องทะเลให้คงอยู่อย่างปลอดภัย ทั้งนี้อุทยานหมู่เกาะสิมิลัน จะเข้าดำเนินการเก็บกู้ลอบดังกล่าว ในวันพรุ่งนี้ (19 เมษายน 2567)

ตำรวจภาค 4 เปิดปฏิบัติการทลายอาวุธปืนออนไลน์ ลุยค้น 152 จุดทั่วอีสานเหนือ ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ให้กวาดล้างจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ ซึ่งมีแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน ล่าสุด พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผ

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ให้กวาดล้างจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ ซึ่งมีแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน  ล่าสุด พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4  ได้สั่งการให้ตำรวจภาค 4 ปูพรม ปิดล้อมตรวจค้นผู้จำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ โดยให้ปฏิบัติการพร้อมกัน ทั้ง 12 ภ.จว. คือ ภ.จว.กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, นครพนม, บึงกาฬ, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ร้อยเอ็ด, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู และ อุดรธานี ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 24 เม.ย.67 โดยได้เข้าตรวจค้นรวม 152 เป้าหมาย สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 47 ราย ตรวจยึดอาวุธปืนรวม 68 กระบอก, เครื่องกระสุนปืน 1,471 นัด, ยาบ้า 50 เม็ด, บุหรี่ไฟฟ้า 50 อัน และ น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 380 อัน

พล.ต.ท.สรายุทธ กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ที่ให้กวาดล้างจับกุมผู้จำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ และจับกุมผู้ครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมาย โดยตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตำรวจภาค 4 ได้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภทอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน สำหรับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่จับกุมได้ เป็นการตัดโอกาสไม่ให้นำไปใช้ก่อเหตุที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน  โดยตนได้สั่งกำชับตำรวจภาค 4 สืบสวนจับกุมอย่างเข้มข้นต่อไป พล.ต.ท.สรายุทธ กล่าวในที่สุด

ทันควัน! หนุ่มต่างชาติลวงหญิงแลกเงินคริปโต จับคลุมหัวรีดเงิน ตม.รวบก่อนเตรียมเผ่นหนี

ตม.จว.ภูเก็ต ร่วมกับ สภ.ฉลอง จับกุม Mr.Oleksandr (นามสมมติ) อายุ 25 ปี สัญชาติสวีเดนและรัสเซีย โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ภายในท่าอากาศยานภูเก็ต จว.ภูเก็ต ก่อนนำมาซึ่งการจับกุมในกรณีนี้ ตม.จว.ภูเก็ต ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ว่า Ms.Diera (นามสมมติ) อายุ 23 ปี สัญชาติรัสเซีย ผู้เสียหาย ได้มาแจ้งความว่าเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2567 เวลา 23.00 น. ได้นัดกับ Mr.Oleksandr (นามสมมติ) อายุ 25 ปี สัญชาติสวีเดน/รัสเซีย ผ่านแอปพลิเคชัน Telegram ที่วิลล่าแห่งหนี่งใน ต.ฉลอง อ.เมือง จว.ภูเก็ต เพื่อนำเงินสดจำนวน 25,000 บาท มาแลกกับเงินคริปโตเคอเรนซี่ จำนวน 700 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อผู้เสียหายไปถึงที่นัดหมายได้พบกับ Mr.Oleksandr ในระหว่างที่พูดคุยกันในช่วงที่คนร้ายอีกคนกำลังเดินเข้ามาที่นัดหมายซึ่งผู้เสียหายไม่ทันระวังตัว Mr.Oleksandr ได้จับผู้เสียหายล็อค เอาถุงคลุมศีรษะ มัดแขน มัดขา และยึดโทรศัพท์ของผู้เสียหาย พร้อมกับบังคับให้ผู้เสียหายโอนเงินให้กับคนร้ายเพิ่ม และได้ทำร้ายผู้เสียหายด้วยการตบใบหน้าจนผู้เสียหายยอมบอกรหัสโทรศัพท์ ซึ่งไม่มีเงินในบัญชีออนไลน์แล้ว Mr.Oleksandr จึงบังคับให้ผู้เสียหายติดต่อเพื่อนซึ่งอยู่ห้องพักใกล้กับผู้เสียหายให้นำเงินสดในห้องพักของผู้เสียหายมาให้ โดยมีชายสัญชาติรัสเซีย ร่วมกับ Mr.Oleksandr ทำหน้าที่เป็นผู้ไปรับเงินจากเพื่อนของผู้เสียหาย จำนวน 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินสกุลไทยอีกจำนวน 6,000 บาท มาให้ Mr.Oleksandr รวมทรัพย์สินที่ผู้เสียหายถูกประทุษร้ายไปเป็นจำนวนเงิน 104,546 บาท หลังจาก Mr.Oleksandr ได้ทรัพย์สินแล้วจึงได้ปล่อยตัวผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง ให้ดำเนินคดีกับคนร้ายทั้ง 2 คน

หลังจากได้บันทึกข้อมูล Mr.Oleksandr ในบัญชีเฝ้าดู ในเวลาต่อมา ตม.จว.ภูเก็ต ได้รับแจ้งจาก ด่าน ตม.ทอ.ภูเก็ต ว่า Mr.Oleksandr กำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทยเพื่อเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย จึงได้ร่วมกับชุดสืบสวน สภ.ฉลอง ไปจับกุม Mr.Oleksandr ในฐานความผิด ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืน โดยผู้เสียหายชี้ยืนยันตัว ส่วนผู้ต้องหาอีกหนึ่งคนซึ่งทำหน้าที่ไปรับเงินจากเพื่อนของผู้เสียหาย ได้หลบหนีเดินทางออกจากประเทศไทยไปก่อนแล้ว ซึ่งจะได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งให้พนักงานสอบสวนเพื่อขออนุมัติศาลจังหวัดภูเก็ตออกหมายจับและติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

“ ตำรวจ ปส.สกัดจับนักบินซิ่งแหกด่านหนีตายได้พร้อมยาบ้า 2ล้านเม็ด ”

ตามนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ภายใต้การอำนวยการของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดย - พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร    รอง ผบ.ตร รรท. ผบ.ตร(ผอ.ศอ.ปส.ตร.)
- พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. (รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
โดย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์  ตันตินวะชัย  ผบช.ปส.,พล.ต.ต.สมเกียรติ  วัฒนพรมงคล,พล.ต.ต.สมบูรณ์  เทียนขาว,พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง,พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์  รอง ผบช.ปส. กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3

โดย พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์    ผบก.ปส.3  ,พ.ต.อ.ธีระ ทองระยับ ,พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด ,พ.ต.อ.กฤษดา ศรีอิสาณ ,พ.ต.อ.หญิง วรรญ์ญาลัดดา พิรุณสารโยธิน พ.ต.อ.ทิวาพงษ์ พลูโต ผกก.2 บก.ปส.3,พ.ต.ท.วสุภัทร คำมี และพ.ต.ท.ทรงพล อาวพิทักษ์ รอง ผกก.2 บก.ปส.3

ด้วย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567) เวลาประมาณ 23.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา 1 ราย คือ
1. นายจะคา อายุ 40 ปี ที่อยู่ หมู่ 4 ต.แม่ทะลบ อ.ไชยปราการ จว.เชียงใหม่
พร้อมด้วยของกลางจำนวน 3 รายการ คือ
1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ประมาณ 2,000,000 เม็ด
2.รถยนต์กระบะ(เสริมโครงเหล็ก) ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไฮลักซ์ รีโว่ สีเทา ติดโครงเหล็ก หมายเลขทะเบียน ยท 8953 เชียงใหม่
3.โทรศัพท์มือถือจำนวน  2 เครื่อง

พฤติการณ์กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่า ห้วงกลางคืนวันที่ 21 พ.ค. 67  จะมี นายจะคา ใช้รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไฮลักซ์ รีโว่ สีเทา ติดโครงเหล็ก หมายเลขทะเบียน ยท 8953 เชียงใหม่ (เสริมโครงเหล็ก) จะทำการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดน บ้านหนองเต่า ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่  เจ้าหน้าที่จึงได้วางกำลังบริเวณเส้นทางลำเลียง   กระทั่งเวลา 22.30 น. ของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่พบรถคันดังกล่าวขับเข้าไปยังพื้นที่ บ้านหนองเต่า ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และต่อมาเวลาประมาณ 23.00 น. รถดังกล่าววิ่งออกมา พบว่ามีสิ่งของบรรทุกท้ายกระบะ เจ้าหน้าที่จึงได้ตั้งจุดสกัดบริเวณสถานีตำรวจชุมชนตำบลม่อนปิ่น ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ แต่รถคันดังกล่าวได้ฝ่าการสกัดขับชนรถยนต์ของเจ้าหน้าที่และรั้วข้างทางออกไป เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไป จนกระทั่งสามารถสกัดรถคันดังกล่าวได้ที่บริเวณริมถนนโชตนา ต.แม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่  เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัว และเข้าทำการตรวจค้นผลการตรวจค้นพบยาเสพติดของกลาง จึงได้จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี

โดยกล่าวหาว่า “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า อันเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนโดยทั่วไป โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชน ”

จากการซักถาม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ตนได้รับจ้างในการลำเลียงจากชายไม่ทราบชื่อ - นามสกุล เป็นชนเผ่าชายแดนภาคเหนือได้ แจ้งไปขนยาเสพติด จำนวน 20 กระสอบ ที่บริเวณสวนส้มทางไปบ้านหนองเต๋า หมู่ที่ 10 ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ โดยตกลงคาจ้างเป็นเงิน จำนวน 30,000 บาท เมื่อทำงานสำเร็จ ให้นำไปทิ้งในจุดนัดหมาย ในพื้นที่ ต.ศรีดงเย็น อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่   กระทั่งเวลานัดหมาย จึงได้ขับรถยนต์กระบะ ทะเบียน ยท 8953 เชียงใหม่ ซึ่งเป็นรถยนต์ของตน ไปรับยาเสพติดยังจุดที่นัดหมาย  เมื่อไปถึงมีคนมาช่วยกันขนขึ้นรถ จากนั้นได้เอาพลาสติกสีดำปิดทับ จากนั้นจึงขับรถยนต์กลับออกมาตามเส้นทางเดิม และ
เมื่อขับไปถึงบริเวณถนนสาธารณะบ้านป่าฮิ้น หมู่ที่ 4 ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงตัวจะเข้าตรวจค้น จึงได้ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของเจ้าหน้าที่และรั้วข้างทางหลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด จนถึงพื้นที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดจับกุมได้  ก่อนหน้านี้ เคยรับจ้างลำเลียงยาเสพติดในลักษณะดังกล่าวนี้มาแล้ว จำนวน 1 ครั้ง เมื่อประมาณกลางเดือนเมษายน 2567 ได้ค่าจ้าง 15,000 บาท

พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวชัย ผบช.ปส. เผยว่า  ตามนโยบายของท่านนายกรัฐมตรี และ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ให้เพิ่มความเข้มในการสกัดกั้นการลำเลียงในพื้นที่ชายแดน บช.ปส.จึงร่วมกับฝ่ายทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนหาข่าวเพื่อสกัดจับนักบินที่พยายามลักลอบลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ตอนใน จึงมีการสกัดจับกุมได้อย่างต่อเนื่องในห้วงที่ผ่านมานี้ รวมทั้งในครั้งนี้ที่เจ้าหน้าที่ได้สามารถสกัดจับกุมเป็นนักบินระยะสั้นตามแนวชายแดนเช่นเดียวกับการจับกุมที่ผ่านมา

ตำรวจภาค 4 ทลายขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ยึดเฮโรอีน 139 กก. ก่อนส่งออกต่างประเทศ เร่งขยายผลจับกุมผู้สั่งการ

ที่ตำรวจภูธรภาค 4 จ.ขอนแก่น : เมื่อวันที่ 28 พ.ค.67 เวลาประมาณ 10.00 น. พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.นพเก้า โสมนัส ผบก.สส.ภ.4 ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ยึดเฮโรอีน 139 กก. ภายใต้แผนปฏิบัติการไล่ล่า(เด็ดปีก)นักค้า อีสานเหนือ 252  “No Place for Drug : NPD.P4” ตำรวจ บก.สส.ภ.4 และ ภ.จว.บึงกาฬ ได้สืบสวนขยายผลเครือข่ายยาเสพติด ทราบว่า จะมีการลักลอบขนยาเสพติดล็อตใหญ่ จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศไทยและจะลำเลียงเข้าไปพื้นที่ตอนใน ปลายทางท่าเรือแห่งหนึ่ง จึงวางกำลังตามแนวชายแดน ในพื้นที่ อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ  ต่อเนื่อง  อ.บ้านแพง จ.นครพนม  ซึ่งคาดว่าจะมีการลำเลียง ยาเสพติดผ่าน กระทั่งช่วงสายของวันที่ 25 พ.ค.67 ตำรวจชุดจับกุมได้ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย ซึ่งเป็นรถกระบะ ยี่ห้อเชฟโรเลต สีขาว หมายเลขทะเบียน ขอ-90xx ชลบุรี ตรงตามข้อมูลที่ได้จากการสืบสวน ขับขี่อยู่บนถนนสาย 212 อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ และเลี้ยวเข้าถนนสาย 2026 จึงเข้าสกัดจับกุมไว้ได้ บริเวณถนนสาย 2026 บ้านดงชมพู ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ ทราบภายหลังว่าผู้ขับขี่คือนายณัฐพล ตรวจค้นรถพบกระสอบห่อหุ้มด้วยพลาสติกสีดำ 3 กระสอบ ถูกวางอยู่ภายในห้องโดยสาร ตรวจสอบเป็นเฮโรอีนจำนวน 380 แท่ง น้ำหนักรวมประมาณ 139 กก. จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาสอบสวนขยายผลต่อที่ สภ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ ซึ่งผู้ต้องหา รับสารภาพว่า เพิ่งพ้นโทษจำคุกในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และมีนายทุนติดต่อมาจ้างให้ลำเลียงยาเสพติดจำนวนดังกล่าวจริง เพื่อไปส่งมอบในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ โดยจะได้ค่าจ้าง 100,000 บาท ทั้งนี้หากเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวหลุดลอดออกไปยังประเทศที่สาม จะมีมูลค่าถึง 280 ล้านบาท จากนี้จะทำการขยายผลถึงเครือข่ายและนายทุนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ท.สรายุทธ กล่าวว่า ตำรวจภาค 4 ได้ปราบปรามยาเสพติดเชิงรุกตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  โดยเปิดปฏิบัติการไล่ล่านักค้ายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง และสืบสวนขยายผลการจับกุมเพื่อดำเนินคดีและยึดทรัพย์ผู้สั่งการ รวมทั้งผู้ร่วมขบวนการทุกคดี นอกจากนี้ยังได้จัดฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพของตำรวจที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด โดยได้จัดฝึกอบรม“นักสืบ 5 G P4+1 รุ่นการสืบสวนเฉพาะทางด้านยาเสพติด” ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างเขี้ยวเล็บให้นักสืบยาเสพติดของภาค 4 พร้อมรับมือกับสถานการณ์ยาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ  พล.ต.ท.สรายุทธ กล่าวในที่สุด

ตำรวจไซเบอร์ขยายวงสืบค้นทั่วประเทศ จับกุมขบวนการ 2 เว็บพนันออนไลน์รายใหญ่ เงินหมุนเวียนมหาศาล ล่าสุดจับอีก 5 บัญชีม้า เป้าหมายจับครบทั้ง 64 ราย และเตรียมออกหมายจับเพิ่มอีกหลายราย

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) สั่งการขยายผลการจับกุมต่อเนื่อง หลังจากตำรวจไซเบอร์ บก.สอท.3 กวาดล้างเครือข่าย 2 เว็บพนันฟุตบอลรายใหญ่ ที่มีเงินหมุนเวียนมหาศาลกว่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งได้ออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดทั้งขบวนการ จำนวน 64 ราย และสามารถติดตามจับกุมตัวได้จำนวนหนึ่งแล้วนั้น

พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 สั่งการให้ พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3 นำกำลังจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือมาดำเนินคดีอย่างไม่ลดละ สืบสวนติดตามจับกุมทั่วประเทศ ไม่ว่าอยู่พื้นที่ใดให้ประสานพื้นที่นำตัวมาดำเนินคดีทุกราย ล่าสุดจากการสืบสวนทราบว่ามีผู้ต้องหาอยู่ในพื้นที่ ต.หน้าพระลาน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี จึงได้ประสาน สภ.หน้าพระลาน ร่วมติดตามจับกุม ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าวได้อีก 5 ราย ได้แก่ นายอัศวินฯ อายุ 50 ปี , นางเล็กฯ อายุ 70 ปี , นายประณัยฯ อายุ 20 ปี , น.ส.ขันหมากฯ อายุ 56 ปี และ นายชัยรัตน์ฯ อายุ 55 ปี เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ารับจ้างเปิดบัญชีธนาคารจริง โดยได้รับค่าจ้าง 2,000 บาท 

พ.ต.อ.อภิรักษ์ฯ กล่าวว่า ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ บช.สอท.เป็นหน่วยงานหลักในการปราบปรามจับกุมการลักลอบเล่นพนันออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยูโร 2024 ซึ่งทางด้าน พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ได้กำชับสั่งการให้ตำรวจไซเบอร์ บก.สอท.3 ดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายผลจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับจากปฏิบัติการ SHUTDOWN EURO BET ซึ่งพบว่ามีเงินหมุนเวียนในระบบมากที่สุดถึงกว่า 1,400 ล้านบาท โดยขณะนี้มีการขยายผลจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าวไปจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ บก.สอท.3 จะได้เร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือทั้งขบวนการมาดำเนินคดี และจะมีการออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวอีกหลายรายด้วย

พร้อมกันนี้ ฝากเตือนพี่น้องประชาชน หากมีผู้ชักชวนหรือว่าจ้างให้เปิดบัญชี ขอให้ปฏิเสธทันที ไม่ควรเห็นแก่เงินค่าจ้างเพียงเล็กน้อย เพราะหากบัญชีของท่านถูกนำไปใช้ในการกระทำผิดกฎหมาย เจ้าของบัญชีจะต้องถูกดำเนินคดีทุกราย ในหลายความผิด เช่น ผู้ใดรับจ้างเปิดบัญชี หรือยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร บัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัญชีธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรับโอนเงิน หรือรับชำระค่าสินค้าหรือบริการที่ได้มาโดยการกระทำความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ อาจมีความผิดฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และอาจมีความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน อีกด้วย ซึ่งมีโทษหนักทั้งจำทั้งปรับ

บึงกาฬ -แถลงข่าวตรวจยึดจับกุมผู้ต้องหา1ราย พร้อมของกลางยาไอซ์ จำนวน 5 กระสอบ น้ำหนัก 200 กก. และรถยนต์กระบะ 1 คัน

สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 เวลา 02.30 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี โดย กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2108 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 กองบังคับการควบคุมที่ 2 ( ร.13) กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้ตรวจพบรถยนต์กระบะต้องสงสัยขับมุ่งหน้าไป อ.บึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตาม และแสดงตัวเพื่อขอทำการตรวจสอบ รถยนต์คันดังกล่าวได้พยายามเร่งเครื่องหลบหนี จนท.จึงไล่ติดตาม สกัดจับไว้ได้ที่บริเวณ บ.ดงชมภู ต.โพธิ์หมากแข้ง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ ตรวจสอบพบ ผู้ต้องหา 1 ราย นายธนวัฒน์ นามสมมุติ ทราบชื่อภายหลัง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใน กระบะหลังรถพบยาไอซ์ จำนวน 5 กระสอบ บรรจุในถุงกระสอบพลาสติกสีดำ พันด้วยเทปกาวใส น้ำหนักประมาณ 200 ก้อน/กก. จึงนำผู้ต้องหา พร้อมของกลางและรถยนต์กระบะ Toyota สีขาว คันหมายเลขทะเบียน 2 ฒง 3107 กรุงเทพฯ ส่งพนักงานสอบสวน สภ.บึงโขงหลง เพื่อดำเนินสืบสวนขยายผลหาผู้ร่วมเข้าอุดมการณ์ มาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน092-5259777

สตม.ตามรวบบังหยันหัวโจกขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองข้ามชาติ

ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ ตม.จว.ปัตตานี จับกุมนายซัฟยัน หรือบังหยัน (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ที่ จ.455/2567 ลงวันที่ 5 ก.ค.2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ พ้นจากการจับกุม" นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.รัตภูมิ จว.สงขลา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหมู่บ้านปาแดลางา ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จว.ปัตตานี

สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา จับกุมแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศหลบหนีเข้าเมือง 19 คน พร้อมผู้ให้การช่วยเหลือ 2 คน เหตุเกิดที่ถนนสายเอเชียหมายเลข 2 ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จว.สงขลา หลังจากนั้นได้ขยายผลการจับกุมพบว่านายซัฟยันหรือบังหยันผู้อยู่เบื้องหลังในการกระทำความผิดครั้งนี้ จึงรวบรวมพยานหลักฐานจนกระทั่งศาลจังหวัดสงขลาออกหมายจับในความผิดฐาน ร่วมกันให้ที่พักพิง ให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาสืบทราบว่านายซัฟยันฯ มาหลบอยู่ที่บ้านพักในเขต อ.หนองจิก จว.ปัตตานี จึงประสาน ตม.จว.ปัตตานี บูรณาการกำลังร่วมกับ ชุดสืบสวน บก.สส.จชต. และ สภ.หนองจิก ไปร่วมตรวจสอบและจับกุมได้ที่บ้านหลังดังกล่าว
สำหรับนายซัฟยันฯ หรือบังหยัน ถือเป็นกลไกสำคัญระดับสั่งการในการลำเลียงแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศจากประเทศกัมพูชาผิดกฎหมายผ่านประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซียทางช่องทางธรรมชาติ มีหมายจับจากการกระทำความผิดข้างต้นติดตัวจำนวน 2 หมายจับ จะทำหน้าที่สั่งการประสานงานกับนายหน้าประเทศเพื่อนบ้านเพื่อจัดหารถขนแรงงานต่างด้าวครั้งละ 15-20 คน จากพื้นที่ตอนบนมายังภาคใต้ตลอดเส้นทางจนถึงมือนายจ้างที่ต้องการใช้แรงงานผิดกฎหมายในประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานหลายเดือนถึงจะพิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเครือข่ายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเคยจับกุมมาแล้ว 3 คดี ในการทลายเครือข่ายครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรสำคัญในการขนแรงงานผ่านประเทศไทย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางได้ถึง 62 คน เป็นคนไทย 10 คน คนต่างด้าว 52 คน ตรวจยึดยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดได้ 8 คัน หลังจากนี้จะควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรรัตภูมิเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

2. สตม.ตามรวบบังหยันหัวโจกขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองข้ามชาติ
ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ ตม.จว.ปัตตานี จับกุมนายซัฟยัน หรือบังหยัน (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ที่ จ.455/2567 ลงวันที่ 5 ก.ค.2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ พ้นจากการจับกุม" นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.รัตภูมิ จว.สงขลา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหมู่บ้านปาแดลางา ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จว.ปัตตานี สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา จับกุมแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศหลบหนีเข้าเมือง 19 คน พร้อมผู้ให้การช่วยเหลือ 2 คน เหตุเกิดที่ถนนสายเอเชียหมายเลข 2 ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จว.สงขลา หลังจากนั้นได้ขยายผลการจับกุมพบว่านายซัฟยันหรือบังหยันผู้อยู่เบื้องหลังในการกระทำความผิดครั้งนี้ จึงรวบรวมพยานหลักฐานจนกระทั่งศาลจังหวัดสงขลาออกหมายจับในความผิดฐาน ร่วมกันให้ที่พักพิง ให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาสืบทราบว่า นายซัฟยันฯ มาหลบอยู่ที่บ้านพักในเขต อ.หนองจิก จว.ปัตตานี จึงประสาน ตม.จว.ปัตตานี บูรณาการกำลังร่วมกับ ชุดสืบสวน บก.สส.จชต. และ สภ.หนองจิก ไปร่วมตรวจสอบและจับกุมได้ที่บ้านหลังดังกล่าว

สำหรับนายซัฟยันฯ หรือบังหยัน ถือเป็นกลไกสำคัญระดับสั่งการในการลำเลียงแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศจากประเทศกัมพูชาผิดกฎหมายผ่านประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซียทางช่องทางธรรมชาติ มีหมายจับจากการกระทำความผิดข้างต้นติดตัวจำนวน 2 หมายจับ จะทำหน้าที่สั่งการประสานงานกับนายหน้าประเทศเพื่อนบ้านเพื่อจัดหารถขนแรงงานต่างด้าวครั้งละ 15-20 คน จากพื้นที่ตอนบนมายังภาคใต้ตลอดเส้นทางจนถึงมือนายจ้าง ที่ต้องการใช้แรงงานผิดกฎหมายในประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานหลายเดือนถึงจะพิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเครือข่ายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเคยจับกุมมาแล้ว 3 คดี  ในการทลายเครือข่ายครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรสำคัญในการขนแรงงานผ่านประเทศไทย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางได้ถึง 62 คน เป็นคนไทย 10 คน คนต่างด้าว 52 คน ตรวจยึดยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดได้ 8 คัน หลังจากนี้จะควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรรัตภูมิเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม.จับกุมนายหน้าผู้ประสานงานขบวนการขนคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จับกุมนายฮาวาย (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดชุมพร ที่ จ.247/2567 ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ร่วมกันให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวซึ่งรู้ว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อให้พ้นจากการจับกุม" นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.สลุย จว.ชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ริมถนนเทศบาล 4 ต.ระแหง อ.ลาดหลุมแก้ว จว.ปทุมธานี

ตามที่เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2566 เวลาประมาณ 06.30 น. ได้เกิดอุบัติเหตุรถกระบะ (ตู้ทึบ) ขนคนต่างด้าวชาวเมียนมาพลิกคว่ำบริเวณ ต.สลุย อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ที่เกิดเหตุพบคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจำนวน 18 คน (ได้รับบาดเจ็บ) ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน คือ นายสิทธิศักดิ์ หรือบาส (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี ส่ง สภ.สลุย จ.ชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย นั้น
ต่อมา ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.6 และ บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนขยายผลพบว่า ผู้ต้องหาได้รับการว่าจ้างให้ไปรับคนต่างด้าวชาวเมียนมา ที่ ต.ปากแพรก อ.เมือง จว.กาญจนบุรี เพื่อไปส่งยัง อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา โดยในครั้งนี้มีรถที่ไปรับคนต่างด้าวด้วยกันอีก 1 คัน คือ นายธีรพงษ์ (ได้ออกหมายจับดำเนินคดีไปแล้ว) จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า นายธีรพงษ์ ได้รับโอนเงินค่าน้ำมันมาจากนายฮาวาย จึงได้สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับนายฮาวาย และจับกุมตัวนายฮาวายได้ในพื้นที่ จว.ปทุมธานี จากการขยายผล พบว่า นายฮาวาย ได้รับการประสานจากนายหน้าในพื้นที่ จว.กาญจนบุรี โดยนายฮาวาย ทำหน้าที่เป็นนายหน้าจัดหา  รถขนคนต่างด้าว จากพื้นที่ภาคกลางไปยังพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับนายอนุรักษ์ หรือบอย โดยจะได้ส่วนต่างจากการติดต่อจัดหารถหัวละ 1,000 บาท ซึ่งมีคดีที่พบความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับนายฮาวาย และนายอนุรักษ์ อีก 3 คดี ดังนี้

1. เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง, ตม.จว.พัทลุง และ สภ.นาขยาด ร่วมกันจับกุมนายอนุรักษ์ และ น.ส.เพ็ญ (ภรรยา) พร้อมพวกรวม 6 คน พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 58 คน ตรวจยึดรถกระบะ (รั้วคอก 3 คัน) จากการขยายผลพบว่านายอนุรักษ์ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายหน้า ในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ให้รับคนต่างด้าวในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ไปยัง จว.สงขลา โดยนายอนุรักษ์ได้รับงานขนคนต่างด้าว จากนายหน้ารายนี้มาแล้วหลายครั้ง (ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบตัวบุคคล)
2. เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง, ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, สภ.ท่าฉาง ร่วมกันจับกุม นายวีระพล พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 15 คน และรถกระบะรั้วคอก 1 คัน เมื่อสืบสวนขยายผลพบว่านายวีระพล/ผู้ต้องหา ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายอนุรักษ์ ให้รับคนต่างด้าวในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ไปยัง จว.สงขลา ในราคา 15,000 บาท ซึ่งผู้ต้องหาเคยติดต่อรับงานเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง เมื่องานสำเร็จจะได้รับเงินโอนค่าจ้างจากนายอนุรักษ์ โดยพบพยานหลักฐานต่าง ๆ ระหว่างผู้ต้องหากับนายอนุรักษ์ และนายหน้าในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ต่อมาศาลจังหวัด   ไชยา อนุมัติหมายจับนายอนุรักษ์ เจ้าหน้าที่สืบสวนติดตามจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 10 พ.ค.2567 ในความผิดฐาน “ช่วยเหลือซ่อนเร้นฯ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นการจับกุม”
3. เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2567 (วันเดียวกับคดีที่ สภ.ท่าฉาง) เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง, ตม.จว.นครศรีธรรมราช, สภ.ทุ่งสง ร่วมกันจับกุมนายอัสดา และภรรยา พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 11 คน ตรวจยึดระกระบะตู้ทึบ 1 คัน เมื่อสืบสวนขยายผลพบว่านายอัสดา/ผู้ต้องหา ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายอนุรักษ์ ให้รับคนต่างด้าวในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ไปยัง จว.สงขลา ในราคา 15,000 บาท ซึ่งผู้ต้องหาเคยติดต่อรับงานเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง เมื่องานสำเร็จจะได้รับเงินค่าจ้าง นอกจากนี้ยังพบพยานหลักฐานต่าง ๆ ระหว่างผู้ต้องหากับนายอนุรักษ์ และนายวีระพล ผู้ต้องหาในคดีที่ 3 ขณะนี้อยู่ในระหว่างพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ร่วมกระทำความผิดเพิ่มเติมในคดีนี้

จากการวิเคราะห์แผนประทุษกรรมในกลุ่มเครือข่ายนายอนุรักษ์ พบว่า กลุ่มเครือข่ายดังกล่าวมีความเคลื่อนไหว มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 จนถึงปัจจุบัน โดยนายอนุรักษ์ และนางเพ็ญ (ภรรยา) เป็นผู้ประสานงานกับนายหน้าชาวเมียนในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร และ นายฮาวาย ผู้ทำหน้าที่ประสานงานในพื้นที่ภาคกลาง โดยจะเป็นตัวกลางในการประสานงานทีมขนจาก จว.กาญจนบุรี หรือ จว.สมุทรสาคร มายังพื้นที่ จว.สงขลา ซึ่งนายอนุรักษ์จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมขน และจะได้รับค่าตอบแทนหัวละ 3,500 บาท ซึ่งจะประสานงานกับกลุ่มรถขนจาก จว.สงขลา ไปยัง จว.นราธิวาส เพื่อลักลอบข้ามไปยังประเทศมาเลเซีย โดยพบความเชื่อมโยงกับเครือข่ายของนายซัฟยัน และกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดีในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

สรุปผลการปฏิบัติ พบการกระทำความผิดในเครือข่ายของนายอนุรักษ์ทั้งสิ้น 4 คดี จับกุมผู้ต้องหา 12 คนขยายผลออกหมายจับ 3 คน (จับกุมทั้งหมด) จำนวนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 102 คน ยึดยานพาหนะ 6 คัน จากการสืบสวนขยายผลยังพบว่าเครือข่ายนายอนุรักษ์ มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายที่ สตม. ร่วมกับ บก.ทล., บก.ปคม. ภ.7, 8, 9 และหน่วยงานความมั่นคง ร่วมกันสืบสวนขยายผลการลักลอบขนคนต่างด้าวที่ใช้เส้นทางด้าน อ.สังขละบุรี จว.กาญจนบุรี ได้แก่ เครือข่ายนายวิทยา จับกุมเมื่อวันที่ 5 เม.ย.2566 พื้นที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี, เครือข่ายซูก้า-นิตาเว จับกุมเมื่อวันที่ 4 เม.ย.2566 พื้นที่ สภ.ทุ่งตะโก จว.ชุมพร และเมื่อวันที่ 30 เม.ย.2566 พื้นที่ สภ.ทองผาภูมิ จว.กาญจนบุรี, เครือข่ายวุธ แม่กลอง จับกุมเมื่อวันที่ 7, 25 มิ.ย.2566 พื้นที่ สภ.รัตภูมิ จ.สงขลา และเครือข่ายลักลอบขนคนต่างด้าวที่ใช้เส้นทางผ่าน จว.ตาก ได้แก่ เครือข่ายซูซูมา จับกุมเมื่อวันที่ 15 มี.ค.2566 พื้นที่  สภ.บางกล่ำ จ.สงขลา

โดยความเชื่อมโยงกับกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ มีการกระทำความผิดในลักษณะขบวนการ ที่มีการแบ่งหน้าที่กันทำ (นายหน้าประสานงานแนวชายแดน/นายหน้าประสานงานพื้นที่ชั้นใน จว.กาญจนบุรี-ปทุมธานี-สมุทรสาคร-สงขลา-จชต. (จัดหารถ)/ผู้ดูแลจุดพักคอย/หัวหน้าทีมขน-ทีมขน (ตอนบน/ตอนล่าง) ซึ่ง สตม. ได้ร่วมกับ ภ.7,8,9, บช.ก. เฝ้าระวังกลุ่มขบวนการดังกล่าวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จนนำมาสู่การจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาของในเครือข่ายนายอนุรักษ์ ซึ่งชุดสืบสวน สตม. จะได้ดำเนินการขยายผลเพื่อนำผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีต่อไป สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top