Sunday, 20 April 2025
จับกุม

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงข่าวจับกุมกลุ่มวัยรุ่นทำร้ายร่างกาย ในพื้นที่ อ.สารภี จ.เชียงใหม่

ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงข่าว "จับแก๊งอันธพาลเชียงใหม่ ไม่เข็ด มีดฟันเด็ก ถูกจับข้อหาหนักยกแก๊ง" เหตุเกิดพื้นที่ สภ.สารภี จ.เชียงใหม่โดยมี พล.ต.ท.กฤตธาพล  ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าว จับกุมกลุ่มวัยรุ่นทำร้ายร่างกาย ในพื้นที่ อ.สารภี ณ ลานแถลงข่าว อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2567 เวลา 11.00 น. ตำรวจภูธรภาค 5 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์ รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5,พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, พ.ต.อ.กฤษดา พันธ์เกษม รอง ผบก.ฯ ช่วยราชการ ภ.จว.เชียงใหม่, พ.ต.อ.นพฤทธิ์ กันทา
ผกก.สส.ภ.จว.เชียงใหม่, พ.ต.อ.จิรภาส ศักดิ์สูง ผกก.สภ.สารภี, พ.ต.ท.โชติพัฒน์ แสงโรจน์ รอง ผกก.สภ.สารภี, พ.ต.ท.เสตกมล คนเที่ยง สว.สส.ฯ, ร.ต.อ.เสฏฐวัฒน์ พิเคราะห์ รอง สว.สส.ฯ, ร.ต.อ.ณรงค์ชัย ต๊ะปวน รอง สว.สส.ฯ, ร.ต.อ.ธวัชชัย ไกลถิ่น รอง สว.สส.ฯ, ร.ต.ต.สุวรรณ เกิดเวียงใหม่, ด.ต.ยงยุทธ พรหมมา, ด.ต.เทิดศักดิ์ คำลือ, ด.ต.ฐณธรณ์ ชูจิตต์, จ.ส.ต.กฤติกรณ์ ชัยยา, จ.ส.ต.ทศพล ปินต๊ะ, ส.ต.อ.อภิรักษ์ มณีทอง, ส.ต.อ.อาติยะ ทองลับแก้ว, ส.ต.อ.ณัฐพล อินทรา และ ส.ต.อ.ชนกันต์ คำกลาง

โดยเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 03.55 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สารภี ได้รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกกลุ่มวัยรุ่นทำร้ายบริเวณถนนหน้า หจก.บ้านอบอุ่นใจ ม.1 ต.ชมภู อ.สารภี จว.เชียงใหม่ โดยถูกอาวุธมีดฟันได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 คน คือ นายวัชระพล โนทะวงศ์ อายุ 20 ปี ที่อยู่ 119 ม.9 ต.ดงมะดะ อ.แม่ลาว จว.ชียงราย ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ส่งโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่รักษาตัว ด.ช.กิตติศักดิ์ กันอินทร์ อายุ 14 ปี ที่อยู่ 44 ม.9 ต.ดงมะดะ อ.แม่ลาว จว.เชียงราย ได้รับบาดเจ็บบริเวณขาอาการสาหัสต้องได้รับการผ่าตัด ส่งโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่รักษาตัว

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกสืบสวนติดตามหาผู้ก่อเหตุจนทราบว่ากลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุดังกล่าว ทราบว่าเป็นการก่อเหตุของแก๊งเยาวราช ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของกลุ่มวัยรุ่นใน อ.เมืองลำพูน ซึ่งได้นัดหมายกับแก๊งดอยหล่อ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของกลุ่มวัยรุ่นใน อ.ดอยหล่อ สืบสวนจากพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุทราบว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุมีตำหนิรูปพรรณตรงกับกลุ่มของนายวัชรพันธ์ หรือบาส ยศนาทราย

ซึ่งเป็นแกนนำของแก๊งเยาวราช เคยมีประวัติการก่ออาชญากรรมมาก่อน จึงได้ติดตามตัวนายวัชรพันธ์ฯ จนพบพร้อมของกลางที่ได้ใช้ก่อเหตุ นายวัชรพันธ์ฯได้ให้การว่าได้นัดหมายกับกลุ่มของนายชาญณรงค์ บูญมี จาก อ.ดอยหล่อ จว.เชียงใหม่ บริเวณถนนเชียงใหม่-ลำปางได้เตรียมอาวุธมีด และระเบิดปิงปองที่ทำขึ้นเอง เพื่อออกไปทำร้ายร่างกายกลุ่มของคู่อริ (แก๊งหางดง HANGDONG) ที่บริเวณถนนเรียบทางรถไฟ

ต่อมากลุ่มของนายวัชรพันธ์ฯ และกลุ่มของนายชาญณรงค์ฯ ได้รวมตัวกันอยู่บริเวณแยกสารภี ได้เห็นนายวัชระพลฯ และด.ช.กิตติศักดิ์ฯ ผู้เสียหาย ขับรถจักรยานยนต์ผ่านกลุ่มของตนไป จึงได้เข้าใจว่าเป็นกลุ่มคู่อริจึงได้ขับรถจักรยานยนต์ตามไปจนกระทั่งถึงบริเวณถนนหน้า หจก.บ้านอบอุ่นใจ ม.1 ต.ชมภู อ.สารภี จว.เชียงใหม่ จึงได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้ร่วมกันทำร้ายนายวัชระพลฯ และกลุ่มที่ 2 ได้ร่วมกันทำร้าย ด.ช.กิตติศักดิ์ฯ โดยได้ใช้อาวุธมีด และระเบิดปิงปองที่พกพามาด้วยจนทำให้นายวัชระพลฯ และด.ช.กิตติศักดิ์ฯ ได้รับบาดเจ็บ ก่อนหลบหนีไป

จากการสืบสวนขยายผลพบว่า สามารถนำตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีแล้ว 8 คน คือ นายวัชรพันธ์ หรือบาส ยศนาทราย อายุ 21 ปี ที่อยู่ 37 ม.7 ต.ต้นธง อ.เมืองลำพูน จว.ลำพูน นายภานุวัฒน์ หรือนน คะละตัน อายุ 19 ปี ที่อยู่ 57/1 ม.5 ต.เวียงยอง อ.เมืองลำพูน จว.ลำพูน นายพุฒิพงษ์ ราวัลย์ อายุ 18 ปี 11 เดือน ที่อยู่ 29/9 ม.3 ต.คุระ อ.คุระบุรี จว.ลำพูน นายคำอ่อง ลุงกอ อายุ 22 ปี ที่อยู่ตามทะเบียน 5/ช ม.6 ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ นายกันตภณ มงคล อายุ 21 ปี ที่อยู่ 39 ม.9 ต.หางดง อ.หางดง จว.เชียงใหม่ นายรัษฎาธร วงศธร อายุ 16 ปี ที่อยู่ 424 ม.4 ต.เมืองแหง อ.เวียงแหง จว.ลำพูน นายณัฐวุฒิ หรือป๋อ ทามัน อายุ 20 ปี ที่อยู่ 48/2 ม.7 ต.ต้นธง อ.เมืองลำพูน จว.ลำพูน นายณัฐวิชญ์ ธงวิชัย อายุ 27 ปี ที่อยู่ 123 ม.8 ต.ต้นธง อ.เมืองลำพูน จว.ลำพูน

ยืดของกลาง เสื้อผ้าที่ผู้ต้องหาสวมใส่ขณะก่อเหตุ จำนวน 7 รายการ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นR15 สีดำ หมายเลขทะเบียน 1กง 2049 ลำพูน (คันที่ก่อเหตุ) รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นPCX สีเทา ไม่ติดป้ายทะเบียน (คันที่ก่อเหตุ) อาวุธมีดที่ใช้ก่อเหตุ 2 ด้าม

ผู้ต้องหาแต่ละรายจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกัน และสนับสนุน เป็นซ่องโจร, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย และ อันตรายสาหัส โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และ ร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,210,288,294,295 และ371 ตำรวจภูธรภาค 5 ขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน ให้สอดส่องหากพบพฤติกรรมการรวมกลุ่มของวัยรุ่นสามารถแจ้งให้ทางตำรวจได้ตลอด

สตม. รวบแก๊งรัสเซีย นำเงินยูโรปลอมแลกตามบูธ ความเสียหายกว่าล้านบาท และ OVER STAY

(27 ส.ค. 67) ตม.จว.ชลบุรี จับกุมนาย A (นามสมมติ) อายุ 29 ปี สัญชาติรัสเซีย พร้อมเงินสกุลยูโรปลอม ฉบับ 500 ยูโร จำนวน 6 ฉบับ ฉบับละ 50 ยูโร จำนวน 80 ฉบับ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยการอนุญาตสิ้นสุด และทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตราไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลออกให้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ หรือทำปลอมขึ้นซึ่งพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นผู้นั้นกระทำผิดฐานปลอมเงินตรา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 และ มีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราต่างประเทศสกุล (ยูโร) อันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นเงินตราเป็นของปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 244 ประกอบกับกฎหมายอาญามาตรา 247 นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมโรงแรมในย่านพระตำหนักซอย 6 หมู่ 12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี

ตม.จว.ชลบุรี ได้รับแจ้งจากพนักงานตู้รับแลกเงินว่า มีคนนำธนบัตรยูโรปลอมฉบับละ 500 ยูโร จำนวน 1 ฉบับ มาแลกเปลี่ยนที่ร้านรับแลกเงินของตน จึงรีบเดินทางไปตรวจสอบ พบว่าได้มีชายไทยนำเงินสกุลยูโร ฉบับละ 500 ยูโร จำนวน 1 ฉบับ มาทำการแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินบาท เมื่อพนักงานผู้รับแลกเงินได้ตรวจสอบธนบัตร โดยใช้ปากกาเคมีสำหรับตรวจสอบธนบัตร พบว่าเป็นธนบัตรสกุลยูโรปลอม ตม.จว.ชลบุรี จึงสืบสวนติดตามตัวจนพบชายไทยที่นำธนบัตรยูโรปลอมมาแลกจากการสอบถามได้ให้การว่าเป็นพนักงานต้อนรับโรงแรมแห่งหนึ่ง ได้มีนาย A (นามสมมุติ) สัญชาติรัสเซีย ซึ่งได้เข้าพักที่โรงแรมมาเป็นเวลาประมาณ 3 อาทิตย์โดยยังไม่ได้ชำระเงินค่าที่พัก ได้นำธนบัตรยูโรฉบับละ 500 ยูโรฉบับดังกล่าว มาจ่ายค่าที่พักตนจึงได้นำไปแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินบาทกับทางตู้แลกเงินดังกล่าว โดยไม่ทราบว่าเงินสกุลยูโรดังกล่าวเป็นธนบัตรปลอม พร้อมทั้งยังได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจสอบ ไปยังห้องพักที่นาย A พักอาศัยอยู่ที่ชั้นบนของโรงแรม จากการตรวจสอบหนังสือเดินทางนาย A ปรากฏว่าการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอตรวจสอบกระเป๋าสีดำที่อยู่ในห้องพักของนาย A พบว่ามีเงินสกุลยูโรฉบับละ 500 ยูโร 5 ฉบับ และธนบัตรฉบับละ 50 ยูโร จำนวน 80 ซึ่งนาย A ให้การยอมรับว่าเงินสกุลยูโรจำนวนดังกล่าวทั้งหมดเป็นของตนและเป็นธนบัตรยูโรปลอม โดยตนได้นำติดตัวมาจากเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยมีเพื่อนที่ตุรกีให้นำติดตัวมาใช้จ่ายที่ประเทศไทย และตนเองได้นำเงินสกุลดังกล่าวมาจ่ายชำระค่าที่พักกับทางโรงแรมดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมตัวนาย A ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว

มุกดาหาร-อุกอาจสุดๆ! ลักลอบพาดสายเน็ตบนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใน สปป.ลาว ใช้สร้างเครือข่ายหลอกคนไทย

(20 ต.ค. 67) พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. ด้านกฎหมาย และประธาน อนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ  พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการ เลขาธิการ กสทช. พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ กสทช. และตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ร่วมแถลงผลการจับกุมผู้ลักลอบนำสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ให้บริการในไทย ลากสายข้ามสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 2  (มุกดาหาร - สะหวันนะเขต) เข้าไปในนครไกรสอนพมวิหาน แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ระยะทาง 5 กิโลเมตร ทำให้เครือข่ายดังกล่าวสามารถกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากเอื้อให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทยได้สะดวก เทียบเท่าการเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย พฤติการณ์ของเครือข่ายนี้ถือเป็นการกระทำอย่างอุกอาจ โจ่งแจ้ง ไม่เกรงกลัวกฎหมาย

พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าวว่า การปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง กสทช. สำนักงาน กสทช. เขต 25 จังหวัดนครพนม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุม และกำกับการประกอบกิจการโทรคมนาคมให้เป็นไปตามกฎหมาย ในกรณีนี้ พบว่า มีบริษัทเอกชนราย หนึ่งซึ่งเป็นผู้รับอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจาก กสทช. ในการประกอบกิจการได้เฉพาะภายในประเทศไทย โดยบริษัทดังกล่าวมีพฤติการณ์ ในการติดตั้งตู้ชุมสายอินเทอร์เน็ตบริเวณชายแดน ลักลอบพาดสายสัญญาณความเร็วสูงข้ามสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร - สะหวันนะ เขต) เพื่อลักลอบกระจายสัญญาณไปยังพื้นที่ สปป.ลาว จากการตรวจสอบด้วยเครื่องมือพิเศษ ของ กสทช. พบว่าเครือข่ายนี้มีการลากสายลึกเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านไกลกว่า 5 กิโลเมตร ทำให้ เครือข่ายดังกล่าวสามารถกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่ รองรับผู้ใช้งานกว่าหมื่นรายพร้อมกัน เอื้อให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทยได้สะดวก เทียบเท่าการเข้ามา ตั้งฐานในประเทศไทย พฤติการณ์ของเครือข่ายนี้ถือเป็นการกระทำอย่างอุกอาจ โจ่งแจ้งไม่เกรงกลัวกฎหมาย การกระทำในลักษณะดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับ อนุญาต อันเป็นความผิด ตามมาตรา 67 (3) แห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคมฯ ซึ่งต้อง ระวางโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาล มอบหมายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกวดขัน ปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้าง ความเดือนร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. จึงได้มอบหมายให้ตนในฐานะผู้ช่วย ผบ.ตร. และ รอง ผอ.ศปอส.ตร. เป็นผู้ดำเนินการจับกุมในวันนี้ โดยเป็นการทำงานร่วมกับ กสทช. ในการเดินหน้าสกัดกั้นไม่ให้ผู้กระทำผิดเข้าถึงเครื่องมือต่างๆ ได้โดยง่าย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการรื้อสายเคเบิล พร้อมกับเข้าตรวจค้นตู้ซิม ตรวจยึดซิมการ์ดไทยตำนวน 101,068 ซิม รวมทั้ง SIM BOX และอุปกรณ์อื่นๆ จำนวนมาก 

ขบวนการลักลอบพาดสายที่เราจับกุมได้ในวันนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย มีความแตกต่างจากการกระทำความผิดในพื้นที่อื่นที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกลุ่มเนื่องจาก ที่ผ่านมาเป็นการลักลอบลากสายตามช่องทางธรรมชาติ หรือผ่านแม่น้ำ แต่ครั้งนี้เป็นการลากพาดสะพานข้ามแดนระหว่างประเทศ ศึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการตรวจพบ หลังจากนี้จะได้สั่งการให้ทุกหน่วยที่มีพื้นที่รับผิดชอบติดแนวชานแดนประสานการทำงานกับ กสทช. ตรวจสอบการกระทำผิดในลักษณะนี้ หากตรวจพบให้ดำเนินการอย่างเฉียบขาดทุกราย พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าว

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมแจ้งว่าสายสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่มีการลักลอบเชื่อมต่อเข้าไปใน สปป.ลาว มีปลายทางอยู่ที่บริเวณใกล้กับสะหวันเวกัส ซึ่งเป็นคาสิโนแห่งหนึ่งในแขวงสะหวันนะเขต 

#ศูนย์ข่าวมุกดาหาร #สำนักงานกสทช.
#สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน 092-5259777

'เชียงราย' สืบสวน ตม.เชียงรายขยายผลจับกุมกลุ่มขบวนการขนคนจีนผิดกฏหมาย

(6 พ.ย. 67) เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสืบเนื่องจากกลุ่มขบวนการนาย สุรเดช เตคุ้ม และพวกมีพฤติการณ์รับคนต่างด้าวสัญชาติจีนจากชายแดนไทย-ลาว ฝั่งอำเภอเชียงแสนจังหวัดเชียงรายโดยมีการนำคนต่างด้าวมาพักเอาไว้ที่โรงแรมในอำเภอเมืองเชียงรายเพื่อรอกลุ่มขบวนการมารับตัวต่อไปยังชายแดนไทย-เมียนมาฝั่งจังหวัดตากเป็นประจำโดยแบ่งหน้าที่กันทำงานต่อมาเมื่อวันที่21สิงหาคม2567ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายได้ร่วมกับตำรวจตระเวนชายแดนที่327และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จับกุมบุคคลสัญชาติไทยนาย สุรเดช เตคุ้ม อายุ31ปีกับพวกรวม3คนพร้อมยึดรถยนต์กระบะของกลางจำนวน2คันโดยการร่วมกันช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆเพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฏหมายนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพานดำเนินคดีและหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายได้ทำการสืบสวนขยายผลผู้ร่วมกระทำความผิดหรือมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับคดีจนรวบรวมพยานหลักฐานจึงขอศาลอนุมัติออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยมีนาย ทิวากร ศรีสรวล เป็นบุคคลที่มีส่วนให้การช่วยเหลือบุคคลต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยทำหน้าที่ในการจัดหาสถานที่พักจองห้องพักโรงแรมในตัวเมืองเชียงรายซึ่งเป็นสถานที่พักกลุ่มผู้ต้องหาคนต่างด้าวสัญชาติจีนทั้ง9คนไปพักคอยก่อนที่จะพาเดินทางต่อไปยังพื้นที่จังหวัดลำปางนั้นหลังจากนั้นเมื่อวันที่5พฤศจิกายน2567ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายได้ร่วมกันทำการสืบสวนติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงรายพบว่าผู้ต้องหามีที่พักอาศัยอยู่บ้านเลขที่296/142หมู่9ตำบลเวียงอำเภอเมืองจังหวัดเชียงรายเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบและผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนปราบปรามตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายเฝ้าสังเกตการณ์และสืบสวนติดตามผู้ต้องหาอย่างต่อเนื่องต่อมาได้ตรวจพบผู้ต้องหาตามหมายจับได้ขับรถยนต์เก๋งมิตซูบิชิรุ่นมิราจสีส้มหมายเลข กษ6425เชียงรายออกจากบ้านพักอาศัยอยู่เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามมาถึงริมถนนสายบายพาส-สนามบินท่าอากาศยามแม่ฟ้าหลวงบ้านดู่ได้พบบุคคลมีลักษณะและตำหนิรูปพรรณตรงตามบุคคลตามหมายจับคือนาย ทิวากรขับรถคันดังกล่าวจริงจากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอทำการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาเป็นบุคคลคนเดียวกันกับที่ศาลจังหวัดเชียงรายออกหมายจับจึงได้ควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพานดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

ลำปาง-ตร.ภ.จว.ลำปางแถลงจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ ยึดยาบ้า 1,010,000 เม็ด ผู้ต้องหา 2 คน

(24 มี.ค. 68) เวลา 11.00 น. ตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง บูรณาการหลายหน่วยงานร่วมแถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 1 คดี ผู้ต้องหา 2 คน รถยนต์ 1 คัน ของกลางยาบ้า 1,010,000 เม็ด ที่จับกุมได้บริเวณด่านตรวจยาเสพติดแม่พริก อ.แม่พริก จ.ลำปาง โดยมีนางสาวนิติยา พงษ์พานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง, พล.ต.ต.ภูมิปัญญา นวตระกูลพิสุทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง, พล.ต. วิชาญ ศรีภัทรางกูร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง, สำนักงาน ป.ป.ส. ภาค 5, ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 ณ ที่ทำการตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง (แห่งใหม่)

โดยเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 06.20 น. บริเวณถนนเส้นทางสายรองเถิน - แม่พริก (สายใน) ก่อนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีกลุ่มขบวนการยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดตากจะลักลอบขนยาเสพติดจากพื้นที่ภาคเหนือตอนบนเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ โดยจะใช้เส้นทางหลบเลี่ยงด่านตรวจยาเสพติดและใช้วิธีรถนำ - รถตาม เพื่อหลบเลี่ยงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจยาเสพติดกลุ่มผู้ต้องหาใช้ยานพาหนะรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ หมายเลขทะเบียน สฎ 9042 กรุงเทพฯ เป็นรถบรรทุกยาเสพติด และมีรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ หมายเลขทะเบียน บน 2601 ตาก เป็นรถนำทางและสำรวจเส้นทางอีกหนึ่งคัน หลังจากได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นทราบ และได้ทำการสืบสวนติดตามความเคลื่อนไหวของรถยนต์ ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 5 ได้วางกำลังเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งไว้ตามเส้นทางและด่านตรวจยาเสพติดแม่พริก
ต่อมา เมื่อรถยนต์ผ่านจุดซุ่มบนถนนสายรองแม่พริก - เถิน บริเวณบ่อขยะ หมู่ 1 อ.แม่พริก จ.ลำปาง เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการด่านตรวจยาเสพติดจึงได้ทำการตั้งจุดสกัดบนถนนดังกล่าว ซึ่งมีแสงไฟสว่างเพียงพอ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้ส่งสัญญาณไฟเพื่อให้รถเป้าหมายหยุดเพื่อตรวจสอบ แต่ผู้ขับขี่กลับเร่งความเร็วเพื่อพยายามหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงได้เร่งติดตามรถคันดังกล่าวจนสามารถหยุดรถได้

จากการตรวจค้นรถยนต์คันดังกล่าว พบนายธนิน(นามสมมุติ) เป็นผู้ขับขี่ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจค้นรถยนต์ดังกล่าว พบยาบ้าซุกซ่อนในกระสอบจำนวน 5 กระสอบ รวมประมาณ 1,010,000 เม็ด
จากการสอบถาม นายธนินฯ รับว่ารถยนต์หมายเลขทะเบียน บน 2601 ตาก เป็นรถนำเส้นทาง เจ้าหน้าที่จึงออกค้นหารถคันดังกล่าวจนพบจอดทิ้งไว้ บริเวณถนนเรียบน้ำวัง - บ้านท่าด่าน ห่างจากจุดสกัดประมาณ 2 กิโลเมตร โดยพบนายวันชัย (นามสมมุติ) อยู่บริเวณดังกล่าว จากการตรวจสอบรถยนต์คันนี้ ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย นายวันชัยฯ ให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นคนขับรถนำเพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจยาเสพติดจริง

จากการสอบถาม นายธนินฯ ให้การว่า ตนได้ขับรถยนต์เพื่อไปรับยาเสพติดบริเวณริมทางรถไฟ บ้านแม่พวก ต.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ และนำไปส่งปลายทางที่ จ.สระบุรี โดยมีนายวันชัยฯ ขับรถนำเพื่อสำรวจเส้นทาง โดยได้รับการว่าจ้างให้ลำเลียงยาบ้าเป็นจำนวน 500,000 บาท เบื้องต้นได้รับเงินค่าจ้างมาแล้วเป็นจำนวน 20,000 บาท เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่พริก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ในส่วนของการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 20 มีนาคม 2568 ตำรวจภูธรจังหวัดลำปางได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จับกุมคดียาเสพติดจำนวน 1,405 คดี คดีรายสำคัญ 7 คดี ยาบ้ารวมประมาณ 22 ล้านเม็ด มูลค่าทรัพย์สินกว่า 24 ล้านบาท

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแลลูกหลานหรือบุคคลใกล้ชิดที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยสามารถแจ้งข้อมูลผ่าน สายด่วนยาเสพติด 1599, สายด่วน 191, Line @inthanon1 (ผบช.ภ.5) และ Application Police i lert U ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ภาวินันท์ บุตรหล้า รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top