Wednesday, 21 May 2025
การศึกษา

‘จีน’ สั่ง รร.ประถม-มัธยม จัดช่วงพัก 30 นาที/วัน เพื่อให้นักเรียนได้ ‘ขยับร่างกาย - พักผ่อนสายตา’

เมื่อวานนี้ (12 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการของจีนและหน่วยงานอื่นอีก 3 หน่วยงาน ออกหนังสือเวียนว่าด้วยการป้องกันและควบคุมภาวะสายตาสั้น ซึ่งเรียกร้องให้โรงเรียนประถมและมัธยมของจีนรับรองว่านักเรียนได้ออกทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายนอกห้องเรียนอย่างเหมาะสมระหว่างชั้นเรียน

หนังสือเวียนดังกล่าวประกาศเปิดตัวโครงการรณรงค์ทั่วประเทศระยะ 1 เดือนเพื่อป้องกันและควบคุมภาวะสายตาสั้นในเดือนมีนาคม โดยระบุว่าโรงเรียนควรจัดให้มีช่วงพักสำหรับทำกิจกรรมกีฬาเป็นเวลา 30 นาทีทุกวัน เพื่อให้นักเรียนได้ผ่อนคลายความเมื่อยล้าทางสายตาได้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ หนังสือเวียนยังเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลตลาดทั่วจีน ตรวจสอบและจัดการกิจกรรมทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดของผลิตภัณฑ์ป้องกันและควบคุมภาวะสายตาสั้นสำหรับเด็กและวัยรุ่นอย่างเคร่งครัดตามกฎหมาย

‘รปภ. ม.รามฯ’ จบป.ตรี ภาควิชาปรัชญา สาขาภาษาจีน เผย!! “ไม่มีเคล็ดลับอะไรเลย นอกจากต้องมีวินัย”

(20 มี.ค.67) นับเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่เมื่อได้เห็นก็ต้องชื่นชมและร่วมยินดีด้วยทันที เรื่องราวของ นายอนุชา จุดาบุตร หรือที่ชาวคณะมนุษยฯ ม.รามคำแหงเรียกกันว่า ‘พี่อนุชา’ ถือเป็นตัวอย่างของความมุมานะ มั่นเพียร และมีวินัยจนประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจไว้

โดยเพจ ‘RU Chinese studies’ ได้แชร์เรื่องราวของ ‘พี่อนุชา’ ไว้ว่า… 

“พี่อนุชา หรือนายอนุชา จุดาบุตร เป็น รปภ.ประจำอยู่อาคาร 2 คณะมนุษยศาสตร์มาหลายปีค่ะ แอดมินเห็นมาตั้งแต่แอดยังวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นนักศึกษาเอกจีนของรามคำแหงอยู่เลย…

“ปีนี้ พี่อนุชา กลายเป็นหนึ่งในบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากภาควิชาปรัชญา คณะมนุษยศาสตร์นะคะ สาขาวิชาภาษาจีน ขอแสดงความยินดีกับพี่อนุชามา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ”

นอกจากนี้ยังระบุต่ออีกว่า “พี่อนุชาเริ่มเรียนมาตั้งแต่เทอม 2/60 และจบในเทอม 1/64 ที่เรียนจนจบได้ตามระยะเวลานี้ พี่อนุชาบอกว่า “ไม่มีเคล็ดลับอะไรเลยครับ นอกจาก ‘ต้องมีวินัย’ ครับผม” 

“ดังนั้น จึงกลายเป็นอีกหนึ่งแบบอย่างที่ควรเอาอย่างนะคะ เอาอย่างในเรื่องความมุมานะ วิริยะ พยายามและตั้งใจอย่างต่อเนื่อง 

“ถึงแม้พี่อนุชาจะรูปร่างสูงใหญ่จนน้อง ๆ นักศึกษาเห็นแล้วออกจะกลัว ๆ เกร็ง ๆ อย่างนี้ แต่ตัวจริงใจดีนะคะ ถึงช่วงสอบทีไร วิชาภาษาจีนที่ต้องมีการสอบพูด และมักจะสอบกันที่บนตึกของคณะมนุษยศาสตร์ แต่พออาจารย์บอกพี่อนุชาไว้ว่าวันนั้นวันนี้จะมีนักศึกษามาสอบปฏิบัตินะ พี่อนุชาก็รับทราบและคอยดูแลนักศึกษาให้อย่างดี

#รปภตัวใหญ่หัวใจอ่อนโยนจ้า 👏👏👏

สหรัฐฯ รื้อฟื้นวิชา 'คัดลายมือ' กระตุ้นพัฒนาการ-กล้ามเนื้อมัดเล็กเด็ก

(21 เม.ย.67) ปัจจุบัน นักเรียนระดับประถมศึกษาของโรงเรียน Orangethorpe Elementary School ในรัฐ California กำลังฝึกฝนการคัดลายมือ ตัวเขียนภาษาอังกฤษ หลังจากหน่วยงานด้านการศึกษาของรัฐ California กลับมาบังคับใช้หลักสูตรการคัดตัวเขียนในปีการศึกษาใหม่

ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้ออกนโยบาย 'ลดเวลาหน้าจอ' ของเด็กๆ ในระดับชั้นประถมศึกษา โดยให้เด็กหันมาจับดินสอ เพื่อคัดลายมือในรูปแบบตัวเขียน ท่ามกลางความหวังที่จะกระตุ้นพัฒนาการเด็ก และสนับสนุนโครงการรื้อฟื้นทักษะการเขียน รวมถึงส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก

ทั้งนี้ ดูเหมือนว่า การเขียนตัวอักษรแบบคัดลายมือที่ใช้วิธีลากหางตัวอักษรต่อกัน หรือที่เรียกว่าอักษรตัวเขียน (Cursive) จะไม่ค่อยเป็นที่คุ้นเคยสำหรับเด็ก Gen Alpha ทำให้นโยบายคัดลายมือถูกนำกลับมาบรรจุในหลักสูตรสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาในรัฐ California ที่จะถูกบังคับใช้ในปีการศึกษาใหม่นี้

โดยในเดือนมกราคมปี ค.ศ. 2024 กฎหมาย Assembly Bill 446 ได้กำหนดให้โรงเรียนระดับประถมศึกษาต้องสอนคัดลายมือแบบตัวเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเรียนเกรด 1-เกรด 6 (Grade 1 หรือ G1 ถึง G6 ซึ่งเทียบเท่าระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 ของไทย) ในรัฐ California ที่มีจำนวนเกือบ 3 ล้านคน

Sharon Quirk-Silva อดีตครูประถมผู้สนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ กล่าวว่าขณะที่ร่วมโต๊ะอาหารกับ Jerry Brown อดีตผู้ว่าการรัฐ California เมื่อปี ค.ศ. 2016 เมื่อเขาทราบว่าเธอเป็นครูชั้นประถมศึกษา เขาบอกกับเธอทันทีว่า “คุณต้องนำการคัดลายมือกลับมา”

Sharon Quirk-Silva บอกว่า การเรียนรู้ลักษณะนี้จะช่วยปรับปรุง และพัฒนาความรู้-ความเข้าใจในการอ่าน และช่วยให้เด็กมีทักษะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ดี ยังไม่นับประโยชน์ด้านอื่นๆ อีกมากมาย

ซึ่งตัว Sharon Quirk-Silva เองได้เห็นประโยชน์ในการสอนให้เด็กอ่านเอกสารทางประวัติศาสตร์ รวมถึงจดหมายประจำครอบครัวจากรุ่นก่อนๆ ที่มักเขียนด้วยลายมือมานานแล้ว

Pamela Keller คุณครูชั้นประถมปลายของ Orangethorpe กล่าวว่า เธอสอนคัดลายมือในชั้นเรียนก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายบังคับใช้ในวันปีใหม่ที่ผ่านมาตั้งนานแล้ว ซึ่งที่ผ่านมา เด็กบางคนบ่นว่า ชั่วโมงคัดลายมือน่าเบื่อมาก

Pamela Keller จึงมักให้นักเรียนฟังว่า วิธีเขียนแบบนี้จะช่วยให้พวกเธอฉลาดขึ้น

“การคัดลายมือจะสร้างการเชื่อมโยงบางอย่างในสมอง และจะช่วยในการก้าวสู่ระดับต่อไป” Pamela Keller กระชุ่น

เธอเล่าต่อว่า เมื่อเข้าใจแล้ว เด็กๆ ก็ตื่นเต้นเพราะอยากที่จะฉลาดขึ้น พวกเขาจึงหันมาสนใจที่จะเรียนรู้การคัดมือมากขึ้น

“เมื่อนักเรียนรู้จักการคัดลายมือตัวเขียนภาษาอังกฤษแล้ว พวกเขาจะสามารถอ่านเอกสารทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ที่เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1787” Pamela Keller กล่าว และว่า...

เมื่อยกตัวอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจ อย่างการจะพาไปอ่านรัฐธรรมนูญฉบับแรก นักเรียนของเธอทุกคนต่างสนใจเป็นอย่างมาก

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มาตรฐานด้านการเรียนการสอนของสหรัฐอเมริกา ได้ลดระดับความสนใจในการสอนคัดลายมือ หรือการอ่านตัวเขียนลง ให้สอดคล้องกับยุค Digital ที่ใช้การพิมพ์ตัวอักษรในการสื่อสารผ่านอุปกรณ์ ICT ไม่ว่าจะเป็น PC Notebook Tablet PC หรือ Smart Phone ถึงขนาดวางเป็นแนวทางวิชาการของการศึกษาระดับชาติเลยทีเดียว

Kathleen Wright ผู้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Handwriting Collective ที่ส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนการเขียนด้วยลายมือ เล่าว่า “พวกเขาหยุดสอนเด็กๆ ถึงวิธีเขียนหนังสือไปทั้งหมดได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิทยาลัยครูต่างๆ ก็ไม่ได้เตรียมบุคลากรให้สอนการเขียนด้วยลายมืออีกด้วย”

Lauren Gendill นักวิเคราะห์นโยบายของ National Conference of State Legislatures หรือ NCSL ระบุว่า California เป็นรัฐที่ 22 ซึ่งตรากฎหมายให้มีการจัดการเรียนการสอนเขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษ และเป็นรัฐลำดับ 14 ที่มีนโยบายการสอนการคัดลายมือมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014

โดยในปี ค.ศ. 2024 นี้ จะมีอีก 5 รัฐ ที่จะออกกฎหมายให้สอนการเขียนด้วยลายมือแบบตัวเขียนต่อจาก California

Leslie Zoroya ผู้อำนวยการโครงการด้านการอ่าน สำนักงานการศึกษา Los Angeles County ระบุว่า การเรียนรู้แบบตัวเขียน ช่วยส่งเสริมทักษะหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วยปรับปรุงพัฒนาการของเด็ก

“เมื่อเด็กๆ เขียนด้วยลายมือแทนการพิมพ์ โครงข่ายประสาทต่างๆ ของเด็กจะถูกใช้งานต่างกัน” Leslie Zoroya กล่าว และว่า...

การคัดลายมือ มีส่วนช่วยสร้างการเชื่อมโยงในสมอง รวมถึงระบบความจำ เพราะเวลาที่เด็กๆ ลงมือเขียน พวกเขาจะนึกถึงลักษณะ และเสียงของตัวอักษร อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างสายตาและมือ จะมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเด็กๆ นึกถึงกับอักษรที่จะเขียนตัวถัดไป

Sharon Quirk-Silva อดีตครูประถมผู้สนับสนุนร่างกฎหมายคัดลายมือของ California กลับมา เผยเป็นการส่งท้าย ว่าเธอตั้งความหวังที่จะเห็นนักเรียน G6 ที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาไปแล้ว จะสามารถอ่านและเขียน อักษรตัวเขียนได้อย่างคล่องแคล่วในอนาคต

เรียนสาขาไหนดี? จบมา มีงานทำ แถม ‘รายได้สูง’

(26 เม.ย. 67) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘Sompob Pordi’ โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ ‘เรียนอะไรได้ตังค์เยอะสุด?’ โดยระบุว่า…

โพสต์ที่แชร์มาเป็นของฝรั่ง ในบ้านเขา ปริญญาตรีที่ทำงานได้เงินมากที่สุด 3 สาขา คือ วิศวะคอมพิวเตอร์ ($80,000/ปี) วิศวะเคมี และคอมพิวเตอร์ซายเอนซ์ ($75,000 /ปี) โดยผู้ที่เรียนจบสามสาขานี้จะมีรายได้สูงกว่าผู้ที่เรียนจบสาขาสังคมสองเท่า

ใน 16 สาขาที่ทำเงินสูงสุด เกือบทั้งหมดเป็นวิศวกรรมศาสตร์ แทรกด้วย คณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เภสัชศาสตร์ การเงิน วิเคราะห์ธุรกิจ

ส่วนสาขาวิชาที่รายได้ต่ำสุดก็ยังเป็นพวก liberal art หรือสายสังคม ประเภท มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ สังคมศาสตร์, เทววิทยา และ สาขาที่เกี่ยวกับการแสดง

ทั้งหมดนี้เป็นของฝรั่ง แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะฝรั่ง จีน แขก ไทย ก็ไม่ต่างกันแต่อย่างใด

เพราะเหตุนี้ หากประเทศเล็ก ๆ จน ๆ อย่างเราไม่ต้องการเป็นประเทศเล็ก ๆ จน ๆ ตลอดไป ก็ควรรีบปิดคณะ/มหาวิทยาลัยสายสังคมทิ้งซัก 90% ของปัจจุบัน แล้วเอางบประมาณ ทรัพยากร มาทุ่มให้กับสายอื่นที่มีประโยชน์ ที่คุณค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า รวมทั้งสายอาชีวะด้วย

ถ้าทำตามนี้ นอกจากประเทศจะมีความสามารถ มีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ประชากรที่ฉลาดเท่ากับควาย ที่มีค่าแรงขั้นต่ำเป็นเป้าหมายในชีวิต ที่มีความฝันจะเป็นกาฝากสังคม เกาะกินสวัสดิการ จะลดลงด้วย

'ครูสหรัฐฯ' ถอดใจ!! ขอลาออก หลังนักเรียนติดมือถือหนัก เปรียบการใช้มือถือของเด็กยุคนี้ ไม่ได้ต่างจาก 'การติดยา

(30 พ.ค. 67) คุณครู มิตเชลล์ รูเทอร์ฟอร์ด เป็นที่สนใจของสื่อหลายสำนัก นับจาก วอลล์ สตรีท เจอร์นัล สื่อแถวหน้าของสหรัฐฯ ลงข่าวเป็นที่แรกในรายงานพิเศษที่ฉายภาพปัญหาการเรียนการสอน ในยุคที่สมาร์ตโฟนยึดห้องเรียน ครูเกิดวิกฤติความมั่นใจ สอนไปไม่มีใครฟัง ส่วนนักเรียนก็ขาดแรงกระตุ้นในการเรียน

คุณครูท่านนี้ สอนวิชาชีววิทยา ที่โรงเรียนมัธยมปลาย (Sahuaro High School) เมืองทูซอน รัฐแอริโซนา มานาน 11 ปี จนถึงวันพฤหัสบดีที่แล้ว (23 พ.ค.) เป็นวันสุดท้ายของการทำงานที่นั่น โดยบอกเหตุผลว่า ทำทุกอย่างแล้วเท่าที่ทำได้ จนสภาพจิตใจตัวเองก็ย่ำแย่ไปด้วย เพื่อให้นักเรียนเลิก 'เสพติด' โทรศัพท์มือถือ

ครู วัย 35 ปี บอกว่า โรงเรียนที่เขาสอน มีระเบียบห้ามใช้มือถือในห้องเรียน แต่การบังคับใช้เป็นหน้าที่ครู ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก ตลอดสองสามปีมานี้ เขาพยายามหลายรูปแบบ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจอันตรายจากการใช้มือถือตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ทั้งให้คะแนนพิเศษ ชวนสร้างนิสัยใหม่ ๆ พูดคุยเรื่องการนอนว่าสำคัญมากแค่ไหน และทำอย่างไรเพื่อลดเวลาอยู่หน้าจอตอนนอน เขาพูดคุยเรื่องนี้กับนักเรียนทุกวัน และทำตะกร้าขึ้นมาใบนึงเรียกมันว่า 'คุกมือถือ' วันแรกมีนักเรียนนำมือถือไปใส่ครึ่งหนึ่ง วันต่อมาก็ลดลง ที่สุดก็ว่างเปล่า เขาเปรียบเทียบการใช้มือถือของเด็ก ว่าไม่ได้ต่างจาก ติดยา หรืออาจจะหนักกว่าติดยาบางอย่างด้วยซ้ำ

ในการให้สัมภาษณ์กับ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล ครูชายคนนี้ ยังบอกว่า เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างหลังโควิด-19 ระบาด เป็นการเปลี่ยนไปในทางแย่ลงหลังจากต้องปิดโรงเรียนในช่วงนั้น ก่อนหน้าโควิด-19 เวลาเตือน นักเรียนยังฟังบ้างเมื่อขอให้เก็บมือถือ แต่เวลานี้ยากกว่าเดิมหลายเท่า เขาเริ่มคิดว่า ตัวเองคือปัญหา มีนักเรียนหลายคนบอกว่า ไม่สนใจว่าจะได้เกรดเท่าไหร่

รูเทอร์ฟอร์ด บอกว่า เขาไม่ได้โทษปัญหานี้ที่ตัวเด็กทั้งหมด แต่สังคมต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาของเยาวชนเป็นอันดับหนึ่ง ปกป้องคุ้มครองพวกเขา ให้สมองและทักษะทางสังคมได้พัฒนา และทำให้ความสุข เกิดขึ้นแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งมือถือ

ในฐานะครู บางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า กำลังทิ้งลูกศิษย์ เพราะเขาบอกนักเรียนให้พยายามตลอดเวลา แต่ตัวเองกำลังจะถอดใจ แต่ก็คิดว่า นี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและครอบครัว เพื่อไปลองทำอย่างอื่นดูบ้างที่ไม่ดูดพลังตัวเองไปหมดแบบนี้

'จีน' ขีดเส้นตาย 'แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ความยากจน' ด้วยการศึกษา ปักธงปี 2050 คนจีนกว่า 70% ต้องจบการศึกษาระดับปริญญา

(14 มิ.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Trin Voonklinhom' ของนายตฤณ วุ่นกลิ่นหอม นายกสมาคมการค้าดิจิทัลไทยและเคยทำงานในมูลนิธิแจ๊คหม่า อาลีบาบา ได้โพสต์ 'ข้อมูลที่น่าสนใจของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของจีนปี 2024 (เกาเข่า)' ระบุว่า...

>> ผู้สอบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จำนวนกว่า 13,538,900 คน เนื่องจากผลการแก้ปัญหาความยากจน และรัฐบาลพยายามผลักดันการหารายได้เข้าประเทศด้วยการส่งออก ส่วนเป้าหมายปี 2050 คือ เส้นตายการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษา โดยต้องการให้คนจีนกว่า 70% จบการศึกษาระดับปริญญา

>> มีนักเรียน ม.6 ที่ยอมลงเรียนซ้ำเพื่อเข้าสอบใหม่มากที่สุดกว่า 4.2 ล้านคน

>> มหาวิทยาลัยของจีนสามารถรองรับนักศึกษาได้เพียง 4.5 ล้านคน (อีกกว่า 9 ล้านคนต้องไปหามหาวิทยาลัยนอกประเทศเรียน) 

>> นักเรียนช่วงปี 2021-2023 ที่ผ่านมามีสถิติการไม่สำเร็จการศึกษาสูงถึง 66% ซึ่งส่วนมากมาจากปัญหาค่าใช้จ่ายระหว่างการศึกษา

>> คะแนนสอบเต็ม 750 คะแนน เมื่อคุณสอบเข้าได้ในลำดับที่ 1-1,000 จะได้เอกสารใบสมัครงานจากบริษัทชั้นนำในจีน หลังจากวันรายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัยไม่เกิน 30 วัน โดยมีกรอบ เงินเดือนดังนี้...

>> สอบได้ 680 คะแนนขึ้นไป (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 50,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนมหาวิทยาลัยปักกิ่ง หรือ ชิงหัว

>> สอบได้ 620 คะแนนขึ้นไป (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 30,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยโครงการ '985' (มีอยู่ 39 มหาวิทยาลัย)

>> สอบได้ 580-620 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 20,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยโครงการ '211' (มีอยู่ 115 มหาวิทยาลัย)

>> สอบได้ 550-580 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 10,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยประจำมณฑล ขั้น 1

>> สอบได้ 500-550 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 8,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยประจำมณฑล ขั้น 2 (ระดับ 1)

>> สอบได้ 450-500 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 6,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยประจำมณฑล ขั้น 3 (ระดับ 2)

>> สอบได้ 400-450 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 4,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน

>> สอบได้ต่ำกว่า 400 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 3,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มวิทยาลัยอาชีวะ หรือ วิทยาลัยวิชาช่าง

>> สอบได้ ต่ำกว่า 300 คะแนน 'รอสอบใหม่'

>> ปีนี้คนที่สอบไดัที่ 1 ของประเทศ ชื่อ 'เหยียน อวี้เฉิน' เลือกเรียน 'การแสดงละครและภาพยนตร์' ที่ 'สถาบันการละครเซี่ยงไฮ้' (หน้าตาดีมากกกกกกก และฉลาดมากกกก)

‼️เกิดที่ ซานตง วันที่ 20 พ.ค. 2547 สูง 186 หนัก 68‼️

'จุติ' กระตุกรัฐ เจียดงบ 68 หนุนกองทุนความเสมอภาคทางการศึกษา หวังช่วยคนจนที่อยู่นอกระบบการศึกษาอีกนับล้านคน

เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.67) ที่รัฐสภา นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ว่า ตนขอสนับสนุนพระราชบัญญัติงบประมาณ ปี 2568 หลังจากฟังการอภิปราย ได้ตั้งข้อสังเกตมากมายเกี่ยวกับนโยบายของกระทรวงการคลัง เมื่อได้ฟังท่านสมาชิกสภาฯ รวมถึงคำชี้แจงของรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงการคลังทั้ง 3 ท่านแล้ว นับเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ตนขอติดตามว่าหลังจากนี้จะทําตามที่ได้พูดไว้ในสภาฯ แห่งนี้หรือไม่ 

ขณะเดียวกัน ยังขอชื่นชมรัฐบาลชุดนี้ในเรื่องการปราบปรามบ่อนพนันและยาเสพติด แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องการให้ทํามากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เพราะเริ่มเห็นการระบาดเข้าไปสู่ระดับโรงเรียน ถือว่าเป็นภัยต่อเด็กนักเรียนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง แน่นอนว่าเด็กยังขาดวุฒิภาวะในการแยกแยะ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนในสังคมจะช่วยสอดส่องดูแล ซึ่งเรามีแอปพลิเคชัน ESS Help Me เอาไว้แจ้งเหตุให้ทุกคนสามารถใช้งานได้ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทางสํานักงานตํารวจแห่งชาติ, กระทรวงศึกษาธิการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, อัยการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะบูรณาการดูแลความปลอดภัยของเด็กต่อไป 

นายจุติ ยังกล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้เราพูดถึงเรื่องการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์อย่างกว้างขวาง แต่ตนขอยกตัวอย่างซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยที่เห็นได้ชัดเจน นั่นคือประวัติศาสตร์ไทย, วัฒนธรรมไทย และยิ้มสยาม รวมถึงคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประเทศไทย นับเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สามารถนำเสนอต่อชาวโลกได้เช่นกัน จึงอยากจะเสนอแนะให้ใช้งบประมาณด้านซอฟต์พาวเวอร์ในส่วนนี้ให้มากขึ้น และขอชมท่านนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ท่านเป็นนักการเมืองที่ไหว้สวยที่สุดคนหนึ่ง น่าที่จะเอาไปเป็นแบบอย่าง

“วันนี้ต้องขอขอบคุณท่านรัฐมนตรีที่มาตอบเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยนั้นเทียบชั้นได้ไม่แพ้ประเทศอิตาลีที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกมากที่สุดประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะเตือนใจท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีช่วยทั้งสองท่านว่า รวยแล้วอย่าลืมคนจน เพราะวันนี้ผมยังไม่เห็นว่า ในฐานะที่ท่านจะเป็นรองประธานกรรมาธิการงบประมาณฉบับนี้ เงินกองทุนความเสมอภาคทางการศึกษา คนจนหนึ่งล้านคนที่อยู่นอกระบบการศึกษากำลังยังรอท่านอยู่ หวังว่าท่านจะเติมให้ไม่น้อยกว่างบประมาณด้านซอฟต์พาวเวอร์ ทั้งนี้ สาเหตุที่เด็กนักเรียนหนึ่งล้านคนต้องออกจากระบบการศึกษาสาเหตุนั้นมาจากความยากจน 47% มาจากปัญหาครอบครัว 16% มาจากปัญหาไม่ได้รับสวัสดิการจากรัฐเพียงพอ 8.88% รวมถึงปัญหาสุขภาพ ปัญหาถูกผลักจากระบบการศึกษา และอยู่ในคุกอีก 5% ดังนั้น หากมีการจัดสรรให้กองทุนความเสมอภาคทางด้านการศึกษา จะทำให้คนอีกหลายล้านคนจะได้ประโยชน์มากขึ้นครับ” 

นายจุติ กล่าวอีกว่า อยากจะเสนอแนะให้รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน กองทุนจากทั่วโลกได้เห็น รวมถึงรับฟังมืออาชีพที่เป็นนักบริหารความเสี่ยงจากต่างประเทศ เขามองประเทศไทยอย่างไร ซึ่งการแก้ปัญหาความเชื่อมั่นโดยไม่ต้องใช้งบประมาณเลยนั้น สามารถทำได้ แต่ต้องเอาใจใส่ 3 ประการ 

ข้อที่หนึ่ง เรื่องวินัยการคลัง เพราะการกู้เงินจำนวนมากก็จะทำให้เกิดความกังวลว่า ถ้ามีหนี้มาก ภาระดอกเบี้ยก็จะมากตามด้วย ซึ่งจะทําให้เสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยนั้นมีปัญหาหรือไม่ วันนี้ค่าเงินบาทยังมีศักยภาพอยู่ วันไหนที่ประเทศไทยมีปัญหาทั้งค่าเงิน ทั้งการนําเข้า พลังงานที่แพง วันนั้นเราจะนึกถึงว่าเสถียรภาพนั้นมีค่ายิ่ง ดังนั้นศักยภาพของเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางการคลังจึงเป็นสิ่งสําคัญ 

ข้อที่สอง เรื่องวินัยในธรรมาภิบาล ตนเห็นรัฐบาลชุดนี้มีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล แต่เมื่อผิดแล้วรีบแก้ไขถือว่าเป็นเรื่องดี อย่าให้ไฟลาม แต่ในขณะเดียวกัน ในอนาคตจะตั้งใครเข้ามาทำงานก็ตามขอให้ดูประวัติให้ดี ๆ ขอให้คนที่มองอยู่วันนั้นเกิดความเชื่อมั่นว่า คนจะมาคุมกติกาการลงทุน คนจะมาคุมกติกาตลาดนั้น มือต้องไม่เปื้อนเลือด เสื้อผ้าต้องไม่คลุกโคลน ต้องขาวสะอาด ข้อเสนอแนะนี้หวังว่าท่านคงเข้าใจ ดังนั้น วินัยในเรื่องธรรมาภิบาลนั่นคือ ลงโทษบุคคลที่ควรลงโทษ แล้วให้รางวัลคนดีที่ทําเพื่อบ้านเมือง 

ส่วนข้อสุดท้าย เรื่องวินัยข้าราชการ ซึ่งเป็นคนที่ทําตามกติกาและทำให้สำเร็จตามนโยบายรัฐบาล ข้าราชการดี ๆ มีอยู่เยอะ ต้องขอขอบคุณตํารวจทหารที่ปราบปรามยาเสพติดตามชายแดน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ขอประณามความเชี่ยวชาญของตํารวจทหารที่หากินกับยาเสพติด ขอชื่นชมกับตํารวจที่ปราบบ่อนพนันออนไลน์ แต่ในขณะเดียวกันขอประณามคนที่หากินกับบ่อนพนันออนไลน์เช่นกัน นอกจากนี้ ยังพบการละเลยที่ปล่อยให้บุหรี่ไฟฟ้าระบาดในประเทศไทย ทั้งที่บุหรี่ไฟฟ้าถูกห้ามขายประเทศไทยมาขายมา 10 ปีแล้ว แต่ในวันนี้จีนมีสถิติส่งบุหรี่ไฟฟ้ามาประเทศไทยถึงหนึ่งพันหกร้อยล้านบาท ซึ่งคงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ รวมไปถึงการปล่อยให้ ‘แป้ง นาโหนด’ หนีไปได้ แม้ว่าตอนนี้จะจับตัวกลับมาได้แล้วก็ตาม ดังนั้น หากรัฐบาลนี้จะอยู่หรือจะไป ขึ้นอยู่กับ 3 วินัยที่กล่าวมานี้เอง 

พร้อมอภิปรายทิ้งท้ายว่า “ผมขอเป็นกําลังใจทุกท่านที่ตั้งใจทํางาน และอยากให้พวกเราช่วยกันทําให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และขออนุญาตว่า เมื่อผมผ่านงบประมาณนี้ให้ในวาระแรก ผมจะขอติดตามท่านรัฐมนตรีทั้งหลายที่ให้คํามั่นกับสภาไว้นะครับและขอขอบคุณท่านสมาชิกทุกท่านที่ให้คําแนะนําที่เป็นประโยชน์ทั้งฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล ผมเชื่อว่ารัฐบาลจดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ และนําไปปรับปรุง เพื่อให้ออกมาดีที่สุดสําหรับประเทศไทยครับ”

‘ม.ขอนแก่น’ มีคำสั่ง ‘ไล่ออก’ อาจารย์ 3 ราย ฐานซื้อขายผลงานวิจัย พร้อมเร่งเอาผิดตาม กม.

(16 ก.ค. 67) ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. ได้รับแจ้งผลการสอบวินัยร้ายแรงกรณีการซื้อขายผลงานวิจัยของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ว่าขณะนี้ ม.ขอนแก่น ได้ดำเนินการสอบสวนและพิจารณาโทษทางวินัยแก่อาจารย์จำนวน 3 ราย ที่กระทำผิดจริงเสร็จสิ้นแล้ว โดยได้มีคำสั่งลงโทษ ‘ไล่ออก’ ทั้ง 3 ราย นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างแจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่บุคคลทั้ง 3 รายอีกด้วย

รองปลัด อว. กล่าวต่อว่า นับตั้งแต่มีข่าวการซื้อขายงานวิจัยเมื่อต้นปี 2566 ทางสำนักงานปลัดกระทรวง อว. ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในการดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นักวิจัย 109 ราย จาก 33 สถาบัน เข้าข่ายผลงานวิจัยผิดปกติ จึงส่งข้อมูลให้มหาวิทยาลัยตรวจสอบข้อเท็จจริง ปัจจุบันได้มีการตรวจสอบเกือบครบถ้วนแล้ว และมี 14 รายที่พบความผิดปกติจริง และบางรายได้มีการตั้งกรรมการลงโทษทางวินัย เป็นผลให้ ปัจจุบัน มีการไล่ออกแล้ว 6 ราย ได้แก่ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ 1 ราย ม.เชียงใหม่ 2 ราย และล่าสุด ม.ขอนแก่น 3 ราย

“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญในวงการวิชาการ การซื้อผลงานวิจัยที่ไม่ใช่ของตนเอง เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในแวดวงวิชาการ ต้องขอบคุณมหาวิทยาลัยที่มีมาตรการตรวจสอบอย่างเข้มแข็งและนำไปสู่การลงโทษผู้กระทำความผิด ปัจจุบัน สำนักงานปลัดกระทรวง อว. ยังมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง หากมีความผิดปกติก็จะแจ้งมหาวิทยาลัยให้ดำเนินการต่อไป” ศ.ดร.ศุภชัย กล่าว

‘อิน-เอม’ 2 พี่น้องนักเรียนไทย รับรางวัลเหรียญทอง ในการประชุมใหญ่วิชาการระดับโลก The 27th IUPAC International Conference on Chemistry Education : ICCE 2024

ไม่นานมานี้ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานการนำเสนอผลงานโปสเตอร์จำนวน 209 เรื่อง ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญในการประชุมวิชาการระดับโลก The 27th IUPAC International Conference on Chemistry Education : ICCE 2024 ซึ่งสมาคมเคมีแห่งประเทศไทยในพระอุปถัมภ์ของศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ได้รับสิทธิ์ให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการระดับโลก 

โดยมีเจ้าภาพร่วม ได้แก่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยบูรพา โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ศุภวรรณ ตันตยานนท์ เป็นประธานคณะกรรมการจัดการประชุมรวมทั้งต้อนรับผู้เชี่ยวชาญรวมทั้งแขกผู้มีเกียรติทุกท่านจากประเทศต่างๆ 56 ประเทศ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เวลา 17:00 น. ที่ห้อง Royal Summit Chamber AB ณ Royal Cliff Hotels Group พัทยา จังหวัดชลบุรี 

ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้มอบเกียรติบัตรแก่ครูต้นแบบ (Certificate of Honor Presentation to Role-model Teachers) โครงการห้องเรียนเคมีดาว และมอบเหรียญรางวัลให้กับนักเรียนที่เข้าร่วมเสนอผลงาน ตามคุณภาพงานที่นำเสนอ เป็นเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง ซึ่งเป็นการผลักดัน และส่งเสริมให้นักเรียนมีกำลังใจและมุ่งมั่นในการศึกษาวิจัยต่อไป อีกทั้งเพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศไทยในอนาคต  

โดยนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมไม่เพียงได้เรียนรู้จากการลงมือทำ (Active Learning) และมีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ซึ่งถือว่าประสบการณ์นี้ จะช่วยให้พัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้มีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยส่งเสริมกระบวนการคิดวิเคราะห์ มีตรรกะในการแก้ไขปัญหา สร้างความเข้มแข็งทั้งในด้านวิชาการ บุคลิกภาพ ตามพหุปัญหาความรู้ความสามารถของนักเรียน และ การสร้างเครือข่ายอย่างยั่งยืนในโอกาสต่อไป สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทย ที่กล่าวไว้ว่า “เรียนดีมีความสุข” (Happy Leaning) ซึ่งนับได้ว่าเป็นการผลักดัน และส่งเสริมให้นักเรียนมีกำลังใจและมุ่งมั่นในการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศไทยในอนาคต

ในงานประชุมนี้มีหัวข้อหลัก คือ 'Power of Chemistry Education for Advancing SDGs' ซึ่งเน้นการระดมสมองและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านการเรียนการสอนเคมี ให้นักเรียนและเยาวชนพร้อมรับมือกับ การเปลี่ยนแปลง และสถานการณ์รุนแรงต่างๆ ของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังได้จัดให้มี Symposia และ Workshops ในหัวข้อต่างๆ ที่เป็นที่สนใจและเป็นประเด็นสำคัญในปัจจุบัน เพื่อให้ผู้เข้าประชุมได้คิดแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ ที่เชื่อมโยงระหว่างการศึกษากับการดำเนินชีวิตในโลกที่มีความผันผวนเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ 

นับเป็นโอกาสที่ผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งรวมถึงครูและนักเรียนไทยทั้งในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) และสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กระทรวงศึกษาธิการ และโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย รวมทั้งผู้เข้าร่วมประชุมจากต่างประเทศ ได้พบกับท่านรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนไทย จะนำเสนอผลงานโปสเตอร์จาก โครงงานวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน รวมมากกว่า 70 เรื่อง ในเวทีระดับโลกครั้งนี้ ทำให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ในการนำเสนอและตอบข้อซักถามกับผู้เชี่ยวชาญและผู้เข้าร่วมประชุมจากนานาประเทศ

ทั้งนี้ นายอริณชย์ ทองแตง (อิน) อายุ 16 ปี และ น.ส.อริสา ทองแตง (เอม) อายุ 14 ปี สองพี่น้องผู้ก่อตั้ง Below the Tides นักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ (เหรียญทอง) ในการประชุมวิชาการระดับโลก The 27th IUPAC International Conference on Chemistry Education : ICCE 2024 ในครั้งนี้ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top