Thursday, 9 May 2024
กัมพูชา

‘ก.ต่างประเทศรัสเซีย’ ซุ่มเงียบเยือนอาเซียน กระชับมิตรไมตรี คู่ขนานทริป ‘เพโลซี’

(4 สิงหาคม 2565) นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ได้เดินทางมาถึงกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียน ครั้งที่ 55 โดยจะมีตัวแทนรัฐมนตรีจาก 10 ชาติในอาเซียนข้าร่วมประชุมด้วย และจะมีการประชุมระดับทวิภาคี กัมพูชา-รัสเซีย กับ นาย ปรัก สุคน รัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา ในช่วงวันที่ 4-5 สิงหาคม

ก่อนหน้านี้ เซอร์เก ลาฟรอฟ ได้ไปเยือนกรุงเนปิดอว์ ประเทศพม่า เพื่อเข้าพบนาย วันนา เมือง รวิน รัฐมนตรีต่างประเทศของฝ่ายรัฐบาลทหารพม่าโดยเฉพาะ อันเนื่องจากรัฐมนตรีของพม่าไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม รมต. อาเซียนน ในกรุงพนมเปญ ด้วยเหตุสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพม่า 

โดย เซอร์เก ลาฟรอฟ ให้คำมั่นสัญญาว่ารัสเซียจะในการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ และสร้างเสถียรภาพให้กับพม่าที่ตอนนี้แตกยับเพราะปัญหาการเมืองภายในประเทศ

ภูมิภาคอาเซียนเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลัก ของทริปเดินสายเยือนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย หลังจากที่มีการคว่ำบาตรของพันธมิตรชาติตะวันตกต่อรัสเซีย จากกรณีข้อพิพาทในยูเครน โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา เซอร์เก ลาฟรอฟ เดินทางไปแอฟริกา เพื่อเยี่ยมเยือนผู้นำของอียิปต์ คองโก อูกานดา และเอธิโอเปีย มาแล้ว

การมาเยือนอาเซียนของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียหนนี้ จึงถือเป็นการรักษาระดับสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งยังเป็นการเดินทางที่คู่ขนานไปกับกำหนดการเยือนประเทศพันธมิตรในแถบเอเชียของ แนนซี เพโลซี ประธานสภาของสหรัฐอเมริกา 

อย่างไรก็ตาม การมาถึงของ เซอร์เก ลาฟรอฟ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสื่อตะวันตกว่า เป็นเหมือนการสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่าในด้านอาวุธ ที่ถูกนำไปใช้ในการปราบปรามประชาชน อีกทั้ง ทั้งพม่า และ รัสเซีย ก็เป็น 2 ประเทศหลักที่ถูกคว่ำบาตรอย่างหนักจากสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร

หากย้อนกลับไปในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 ที่มีการประชุมผู้นำอาเซียน-สหรัฐฯ ที่จัดขึ้นในทำเนียบขาว โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้เคยกล่าวย้ำให้ผู้นำชาติอาเซียนรวมพลังคว่ำบาตรรัสเซียจากกรณีรุกรานยูเครน แต่ทั้งนี้หลายชาติในอาเซียนยังคงวางตัวเป็นกลาง โดยเฉพาะ พม่า, เวียดนาม และ ลาว ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับรัสเซียมานาน 

บิ๊กเด่น สั่ง PCT รวบตัว อดีตทหารกัมพูชา หลบหนีมาซุกไทย หลังก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงเน็ตไอดอล ชาวกัมพูชาเสียชีวิต

เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 63 ได้เกิดเหตุ นายวันเด็ด  เยือน (MR.YEUN VANDET )ซึ่งเคยรับราชการทหารในประเทศกัมพูชา ได้ก่อเหตุฆาตกรรมแฟนสาวของตนเอง ด้วยการใช้อาวุธปืนพกสั้นยิงเข้าที่บริเวณศรีษะ ทำให้แฟนสาวเสียชีวิตในทันที เหตุเกิดที่ H03 Street B.T, Kantouk Cheung Village, Kantouk Commune, Kambol District, Phnom Penh Municipality, Cambodia. ซึ่งคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญเป็นที่สนใจของประชาชนชาวกัมพูชาเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้ตายเป็นเน็ตไอดอล หน้าตาดีมีชื่อเสียงในโลกโซเชียลของประเทศกัมพูชา และมีการตั้งข้อสังเกตุสภาพศพของผู้ตายที่บริเวณใบหน้า มีลักษณะ “ยิ้ม” ขณะเสียชีวิต และมีหมายจับศาลชั้นต้นพนมเปญ ที่ 418/2020 ลงวันที่ 10 เม.ย. 63 ข้อหา "Muder" (ฆาตกรรม) ทางกรมตำรวจ ประเทศกัมพูชาโดย พล.ต.อ.วรรณวีระ สม ผู้ช่วย ผบ.ตร.ประเทศกัมพูชา ได้ประสานงาน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร (PCT) ช่วงการประสานงานทลายเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ ประเทศกัมพูชาจึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 / หน.ชป.5 ศปอส.ตร. (PCT 5) เฝ้าสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดีดังกล่าวเพื่อเป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

ต่อมาได้สืบทราบว่านายวันเด็ดฯผู้ก่อเหตุได้หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ ปี 2563 หลบซ่อนตัวในประเทศไทยจนได้รายงานให้พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ทราบ โดยให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 /หน.ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผกก.(สอบสวน) บก.สส.ภ.2 / รอง หน.ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 พ.ต.อ.จักราวุธ  คล้ายนิล ผกก.สส.จว.ระยอง พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี ร.ต.อ.ภัสส์กร เฉลียวบุญ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุด หน.ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ร่วมกันจับกุมตัว

'ผู้ว่า กกท.' ยก สนามหลักกัมพูชาจัดฟุตบอลโลกสบาย ยอมรับตอนนี้หลายประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาไปไกล

ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยและคณะเดินทางไปประเทศกัมพูชาเพื่อดูความพร้อมจัดการเเข่งขันซีเกมส์ 2023 โดยมี นายออน ซาราเดน ตัวแทนของ พระคุณเจ้าวาร์เหิง ดาวุธ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการสนามกีฬาแห่งชาติ 'มรดก เตโช' สนามหลักในการเเข่งขันครั้งนี้

“เราเห็นเเล้วมั่นใจว่าซีเกมส์ที่จะเกิดขึ้น สนามกีฬาได้มาตรฐานเเน่ สิ่งต่าง ๆ ที่กัมพูชาได้เเสดงให้เห็นคือความมุ่งมั่น เพื่อจะยกระดับให้ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำในอาเซียน ไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกัน เราคงเดินหน้าพัฒนาในทุกมิติร่วม ๆ กัน วันนี้สนามกีฬาของกัมพูชาอาจจะล้ำหน้ากว่าไทยด้วยซ้ำ เราก็จะขอเรียนรู้จากกัมพูชา จากประสบการณ์การต่าง ๆ ส่วนในเรื่องของกีฬาที่ไทยก้าวหน้ากว่าเราก็ยินดีในการถ่ายทอดเเลกเปลี่ยน นี้คือความสัมพันธ์ที่สวยงามของ 2 ประเทศที่มีมายาวนาน”

“หลาย ๆ อย่างคือสิ่งที่เราจะเอาไปปรับปรุงสนามของเราได้ ต้องยอมรับว่าสนามของเราเคยยิ่งใหญ่ เราเคยเป็นที่ 1 ในอาเซียน แต่ตอนนี้หลายประเทศพัฒนาก้าวหน้าไปไกล ที่กัมพูชาผมคิดว่าเป็นสนามที่ทันสมัยเเละดีที่สุดเเห่งหนึ่งในอาเซียน สิ่งที่เขาเน้นคือระบบความปลอดภัย สามารถระบายคน 6 หมื่นคนใน 7 นาที เพราะฉะนั้นไม่ใช่เเค่ขนาดใหญ่ แต่เขานึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นมาตรฐานสากล สิ่งที่เป็นความประทับใจคือสนามเเห่งนี้สามารถผ่านมาตรฐานฟีฟ่า สามารถแข่งระดับบอลโลกได้ แม้ความจุจะยังไม่ถึงรองรับพิธีเปิดปิดฟุตบอลโลกได้ แต่สามารถจัดการเเข่งขันแมตช์อื่น ๆ ในฟุตบอลโลกได้เลย”

‘กัมพูชา’ ไม่สน IFMA แบน ‘กุน ขแมร์’ โต้กลับไม่ส่ง ‘มวยไทย’ ชิงชัยซีเกมส์ที่ไทย

จากกรณีที่ประเทศกัมพูชา เจ้าภาพซีเกมส์ 2023 ตัดสินใจ เปลี่ยนชื่อการแข่งขันกีฬา ‘มวย’ (มวยไทย) เป็น ‘กุน ขแมร์’ โดยอ้างว่าเป็นกีฬาที่เป็นต้นแบบของ ‘มวยไทย’ ใช้สำหรับการแข่งขันครั้งนี้

ก่อนที่สหพันธ์มวยไทยนานาชาติ หรือ IFMA ยืนยันว่าประเทศไทย จะไม่ส่งนักกีฬามวยไทยร่วมการแข่งขันซีเกมส์ 2023 พร้อมกับออกปากเตือนว่าชาติใดที่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน 'กุน ขแมร์' ในมหกรรมกีฬาแห่งอาเซียนครั้งนี้ อาจโดนแบนจากสมาพันธ์มวยไทยนานาชาติในรายการอื่น ๆ ด้วย 

อย่างไรก็ตามล่าสุด วัธ จำเริญ เลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิกกัมพูชา หรือ CAMSOC ออกมาตอบโต้ทันควันว่า...

“แม้ว่าสหพันธ์กีฬาไทยจะมีปัญหากับการตัดสินใจของเราและขู่ว่าจะคว่ำบาตร แต่ ‘กุน ขแมร์’ ก็จะยังคงเป็นรายการในซีเกมส์ครั้งที่ 32 ตามกฎแล้ว หากมีประเทศที่เข้าร่วมตั้งแต่ 4 ประเทศขึ้นไป จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน จนถึงขณะนี้ อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, ลาว, เมียนมา และ มาเลเซีย กำลังเตรียมส่งนักกีฬาเข้าร่วม ดังนั้นเราไม่สนว่าจะมีชาติใดชาติหนึ่งตัดสินใจไม่เข้าร่วม”

'อัษฎางค์' แนะ!! การคงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมของประเทศต้นทาง ในประเทศของคุณ จะทำให้ประเทศของคุณ 'สวยงาม' และ 'เจริญรุ่งเรือง'

(26 ม.ค. 66) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทด้านศิลปวัฒนธรรม ซึ่งกัมพูชาเริ่มมีการเคลมแรงจากประเทศไทยในระยะหลัง ว่า...

การคงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมของประเทศต้นทาง ในประเทศของคุณ จะทำให้ประเทศของคุณ 'สวยงาม' และ 'เจริญรุ่งเรือง'

ทำไมผมพาดหัวเรื่องแบบนี้ ?

ประเทศไทย เป็นชื่อเรียกประเทศไทยมานานเกือบ 78 ปี เท่านั้น โดยก่อนวันที่ 7 กันยายน 2488 เรามีชื่อประเทศว่า “ประเทศสยาม”

สยามคือชื่อประเทศที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ อาศัยปะปนกัน ทั้งจีน แขกอินเดีย แขกอาหรับ แขกมาลายู มอญ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สยามมีคนไทยเป็นคนส่วนใหญ่และเป็นใหญ่ในประเทศ

ซึ่งความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรมนั้นหลอมรวมเป็นไทยในปัจจุบัน

ยกตัวอย่างเช่น...

ตั้งแต่คนไทยเราเกิดมาและจำความได้ เราก็เห็นว่ามีวัดจีน การไหว้เจ้าแบบจีน อาหารจีน เครื่องแต่งกายแบบจีนในเมืองไทย แม้กระทั่งการใช้คำในภาษาจีนในชีวิตประจำ เช่น เรายังคงเรียก อาเฮีย อาเจ้ อากง อาม่า รวมถึงเรายังเรียกคนไทยแท้ ๆ ว่า อาเฮีย อาเจ้ ด้วยซ้ำ แต่เราไม่เคยประกาศว่านั้นคือ ศิลปวัฒนธรรมไทย เรายอมรับชัดเจนว่านั้นคือ ศิลปวัฒนธรรมจีน

เรากินพิซซ่า สปาเกตตี แฮมเบอร์เกอร์ ตั้งแต่เราจำความได้ แต่เราไม่เคยบอกว่านั้นคือ อาหารไทย เรายอมรับว่ามันคือ อาหารฝรั่ง

เรากินโรตี ซูชิ ตั้งแต่เราเกิดและจำความได้ แต่เราก็ไม่เคยบอกว่ามันคืออาหารไทย เรายอมรับว่ามันคืออาหารอินเดีย อาหารญี่ปุ่น

เวลาเราเรียนภาษาไทย โรงเรียนและตำราเรียนของไทยเราก็สอนเราว่า ภาษาไทยคำนั้น ๆ มีที่มาจากที่ใด เช่น มาจากบาลี สันสกฤต ขอม เขมรโบราณ เรายอมรับชัดเจน

แต่บางอย่าง มันถูกพัฒนาต่อยอดวิวัฒนาการ จนกลายเป็นไทย ซึ่งเป็นธรรมชาติของการพัฒนา

เช่น ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ทั่วโลกยอมรับว่ามันคือ อาหารไทย ที่โด่งดังและเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ทั้งที่ก๋วยเตี๋ยวคืออาหารของจีน แต่คนทั้งโลกเข้าใจว่า ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย คืออารยธรรมจีนที่ถูกถ่ายทอดและต่อยอดกลายเป็นไทย โดยที่จีนไม่ต้องไปเคลมว่ามันคืออาหารจีนเพราะต้นกำเนิดมาจากจีน

แม้แต่ สปาเกตตี ราวิโอลี่ ยอกกี้ ซึ่งเมื่อก่อนคนทั้งโลกเคยเข้าใจว่าเป็นอาหารประจำชาติของอิตาลี ที่ถือกำเนิดขึ้นโดยชาวอิตาลี แต่ความจริงมันคืออารยธรรมจีนที่ถูกถ่ายทอดและต่อยอดจนกลายเป็นอาหารอิตาลี

ศิลปวัฒนธรรมหรืออารยธรรมบางอย่าง ยังคงสภาพเป็นของชาติต้นทาง แต่ของบางอย่างถูกดัดแปลงต่อยอดพัฒนาจนกลายเป็นของอีกชาติ นั้นเป็นธรรมชาติของโลก

ไม่เคยมีคนจีนที่ชอบกินสปาเกตตีมาก แล้วประกาศว่ามันคือ ก๋วยเตี๋ยวของจีน ทั้งที่วัฒนธรรมกินเส้นถูกนำไปจากจีนสู่อิตาลีโดยมาร์โคโปโลแล้วต่อยอดวิวัฒนาการเป็นอาหารอิตาลีที่ทั่วโลกเคยยกย่องว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุดและนิยมที่สุดในโลก

หรืออย่างเช่น กระดาษและดินปืน ซึ่งถือกำเนิดในประเทศจีน และถูกฝรั่งนำไปต่อยอดวิวัฒนาการ

จีนก็ไม่เคยเคลมว่า อารยธรรมเหล่านั้นเป็นของจีน เพราะจีนก่อกำเนิดและยิ่งใหญ่มาก่อน หรือเคลมสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของจีน แล้วก็เปลี่ยนชื่อเรียกสิ่งของเหล่านั้นไปเป็นชื่อจีน แล้วก็ประกาศว่ามันเป็นของจีน

แต่กัมพูชาชกมวยไทยและนิยมชมมวยไทย แล้วเอามวยไทยกลับไป โดยยังคงกติกาของมวยไทยไว้จนครบหมดสิ้น แต่เปลี่ยนชื่อเป็นภาษาเขมรแล้วบอกว่ามันคือศิลปวัฒนธรรมประจำชาติของตน เพราะจุดกำหนดมาจากบรรพบุรุษของตน มันคืออะไร

แบบนี้ จีน อียิปต์ อาหรับ เปอร์เซีย โรมันอิตาลี กรีก อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือแม้แต่อเมริกา คงเคลมศิลปวัฒนธรรมวัฒนธรรมและอารยธรรมจากทั่วโลกได้มากมาย ว่าเป็นของตน แล้วเปลี่ยนชื่อเรียกสิ่งของเหล่านั้นเป็นภาษาของตน โดยอ้างว่ามันมีที่มาจากจุดกำเนิดจากบรรพบุรุษของตน

คุณเคยคิดกันบ้างมั้ย ว่าญี่ปุ่นกับเกาหลี ที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองและร่ำรวยกว่าจีนมากมายหลายเท่า มีรากเหง้าอารยธรรมและศิลปวัฒนธรรมของมาจากไหน จีนเคยออกมาเคลมหรือไม่ว่าทั้งหมดนั้นคือของจีน ทั้งที่อารยธรรมและศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นกับเกาหลีมาจากจีนเกือบ ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์

'บัวขาว' ยัน!! ไร้ปัญหากับ 'กุน ขแมร์-กัมพูชา' แต่ช่วยจ่ายค่าตัว 2.2 ล้านที่เคยค้างไว้ด้วย

(3 ก.พ. 66) 'บัญชาเมฆ ยิม' โพสต์ยันไม่มีปัญหากับกุน ขเเมร์ แต่ขอทวงเงินผู้ใหญ่ในกัมพูชา วอนจ่ายค่าตัวที่ค้างไว้จำนวน 2.2 ล้านบาทจากรายการที่ไปชกในประเทศกัมพูชาเสียก่อน

จากประเด็นที่ประเทศกัมพูชาพยายามระบุว่า 'กุน ขแมร์' เป็นต้นกำเนิด 'มวยไทย' และใช้ชื่อ 'กุน ขแมร์' สำหรับแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2023 ที่ตนเองเป็นเจ้าภาพ จนสหพันธ์มวยไทยนานาชาติ IFMA ประกาศว่าพร้อมแบนชาติที่ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีประเด็นต่างๆ เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ที่มีการระบุว่า ชาวเขมรพยายามอ้างว่าศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในประเทศไทยล้วนมาจากเขมร

ไม่พ้นแม้แต่ 'บัวขาว บัญชาเมฆ' นักชกชื่อดังของไทย โดยก่อนหน้านี้มีคนเคลมว่าบัวขาวเป็นคนกัมพูชา แต่กําปั้นเเดนสยามยืนยันว่าตนเป็นคนไทยเเท้เเน่นอน

‘เพจดังกัมพูชา’ โพสต์ลายกระเป๋า Louis Vuitton ได้แรงบันดาลใจจาก ‘ลายผ้านางอัปสรา’ ศิลปะเขมร

(3 ก.พ. 66) เพจ ‘Ebook Cambodia’ (อีบุ๊คกัมพูชา) เผยแพร่ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์มีภาพกระเป๋าแบรนด์หลุยส์วิตตอง ลายโมโนแกรม ซึ่งเป็นลายคลาสสิกของแบรนด์ นำมาเปรียบเทียบกับลายผ้าของนางอัปสรา ตามความเชื่อนางอัปสราคือนางฟ้า หรือเทพธิดา ซึ่งเป็นรูปปั้นแกะสลักบนปราสาทหิน ศาสนสถานของประเทศกัมพูชา

พร้อมระบุข้อความที่แปลเป็นภาษาไทยว่า “แบรนด์ LV บางทีก็หนีไม่พ้นความคิดศิลปะของบรรพบุรุษชาวเขมร ประติมากรรมเก่าแก่หลายพันปี แต่ยังคงมีความศิวิไลซ์ บรรพบุรุษชาวเขมรช่างน่าทึ่ง”

'นักมวยเขมร' ประกาศท้าชก 'บัวขาว' ลั่น!! คันมือคันเท้า รอปะทะที่กัมพูชา

หลังจากก่อนหน้านี้ ไต๋ศรี จันทน รองประธานกิตติมศักดิ์สหพันธ์มวยกัมพูชา ประกาศอัดฉีดนักชกเขมรทุกคน หากใครสามารถคว่ำ บัวขาว บัญชาเมฆ ได้ ก็พร้อมมอบอัดฉีดเป็นบ้าน, รถ และเงินเดือน 10 ปีเต็ม เนื่องจากบทสัมภาษณ์ของนักชกชาวไทยที่ดูจะไม่ค่อยเข้าหูคนกัมพูชาเสียเท่าไหร่

ล่าสุด 'แก้ว รุมจอง' Keo Rumchong นักมวยกัมพูชา วัย 35 ปี ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอยากดวลกับ 'บัวขาว' เป็นอย่างมาก เพราะตอนนี้ทนไม่ไหว ใบหูร้อน คันมือ คันขา อยากปะทะกับนักชกชาวไทย

"หูร้อนทันที ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็มาแข่งที่กัมพูชา ผมรักบัวขาวมากนะ แต่คันมือ คันขา อยากปะทะ มาเลย บัวขาว บัญชาเมฆ ผมรอไม่ไหวแล้วพี่ชาย โปรดบอกผมเมื่อคุณตอบรับ" นักมวยชาวกัมพูชา กล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว

แก้ว รุมจอง ได้รับฉายาจากสื่อกัมพูชาว่าเป็น 'เสือร้ายแห่งพระตะบอง' พกสถิติอันสวยหรูในการชกคิก บ็อกซิ่ง ชนะคู่แข่งได้ถึง 157 ครั้ง จาก การขึ้นชก 174 ครั้ง น็อก 66 ครั้ง และพ่ายแพ้เพียง 13 ครั้ง เสมอ 4 ครั้ง

ย้อนประวัติศาสตร์ เมื่อครั้ง 'กัมพูชา' บ้านแตกสาแหรกขาด จนต้องหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทย

เมื่อวานนี้ (11 ก.พ. 66) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่อง ‘กัมพูชาภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารองค์พระมหากษัตริย์ไทย’ มีเนื้อหาระบุว่า

กัมพูชาหรือ Cambodia หรือ เคลมโบเดีย ในช่วงนี้อาจจะเคลมตั้งแต่มวยไทย โขนไทย ไปจนถึงห่อหมกของไทย อาจจะถูกเคลมว่าเป็นของกัมพูชา แต่คนไทยจำนวนมากอาจจะไม่เคยทราบว่ากัมพูชาเคยเป็นประเทศราชของไทย อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารขององค์พระมหากษัตริย์ไทยมายาวนาน และกษัตริย์ของคนกัมพูชาเองก็เคยพลัดบ้านพลัดเมือง พลัดถิ่นฐานบ้านเกิดเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย เหมือนที่ประชาชนชาวกัมพูชานับล้านนับแสนคนเคยหนีร้อนมาพึ่งเย็นใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารเมื่อคราวเขมรแตกเช่นเดียวกัน

นักองค์เอง หรือ สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 105 แห่งกัมพูชา แต่ทรงเป็นพระราชโอรสบุญธรรมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ของไทย เมื่อคราวเกิดความวุ่นวายในกัมพูชา นักองค์เองพระชนมายุได้เพียง 10 พรรษา ก็ต้องหนีราชภัยเข้ามาอาศัยในกรุงเทพมหานคร รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างวังเจ้าเขมรพระราชทานให้อยู่อาศัย พระราชทานให้ทรงพระผนวช หลังจากรัชกาลที่ 1 ทรงสังคายนาเหตุการณ์ความวุ่นวายในกัมพูชาได้สำเร็จ ทรงให้นักองค์เองกลับไปครองราชย์สมบัติที่กัมพูชา แต่นักองค์เองครองราชย์ได้ไม่นานก็ประชวรสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. 2339 รวมพระชนมายุเพียง 23 พรรษาเท่านั้น 

ต่อมานักองค์จันทร์พระราชโอรสของนักองค์เองได้ทรงครองราชย์ต่อจากนักองค์เอง แม้นักองค์จันทร์จะได้รับการสนับสนุนจากสยาม แต่ทรงฝักใฝ่และถูกแรงบีบคั้นจากเวียดนามอีกด้วย ทำให้กัมพูชาอยู่ภายใต้การปกครองของเวียดนาม 

โอรสอีกองค์หนึ่งของนักองค์เองคือนักองค์ด้วงได้หนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ของไทย นักองค์ด้วงเติบโตมาในวังเจ้าเขมรของนักองค์เองที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้างพระราชทานไว้ 

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ไปตีเขมรและปราบปรามความวุ่นวายในกัมพูชาจนราบคาบสงบลง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นักองค์ด้วงไปทรงครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์กัมพูชาหลังจากเสด็จมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในกรุงเทพกว่า 27 ปี ได้รับการสถาปนาโปรดเกล้าให้ทรงครองราชย์ที่สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี พระมหากษัตริย์องค์ที่ 108 ของกัมพูชา 

นักองค์ด้วงนั้นทรงเป็นพระราชบิดาของทวดของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ หรือ เจ้าสีหนุ กษัตริย์องค์ที่ 112 ของกัมพูชา และสมเด็จพระนโรดมสีหนุทรงเป็นพระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันของกัมพูชา

ทั้งนี้กัมพูชาเป็นประเทศราชของไทยอยู่เกือบร้อยกว่าปีในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนไทยจะเสียดินแดนกัมพูชาให้กับฝรั่งเศส ดังนั้นกัมพูชาจึงได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมไทยไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักองค์ด้วงซึ่งทรงเติบโตในกรุงเทพกว่า 27 ปี เมื่อทรงกลับไปครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์กัมพูชาแล้วก็ทรงนำศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของราชสำนักไทยกลับไปยังกัมพูชาด้วย ยกตัวอย่างเช่น โขน ละคร และนาฏยศิลป์ของกัมพูชานั้นได้ครูโขนและครูนาฏศิลป์ไทยไปสอนและถ่ายทอดท่ารำ และแม้กระทั่งบทร้องบทละครก็ได้รับอิทธิพลไปจากไทยทั้งสิ้นดังที่ศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือโครงกระดูกในตู้ และคุณชายคึกฤทธิ์ ได้เขียนกลอนบริภาษเขมรเอาไว้ว่า


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top